ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [THE SUN'S CURSE] คำสาปแช่งแห่งสุริยา (rewrite)

    ลำดับตอนที่ #4 : การผจญภัยช่วงที่ 3 ยักษาพาสังสรรค์ องค์ชายธรรพ์ขอติดตาม

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 62


    การผจญภัยช่วงที่ 3

    ยักษาพาสังสรรค์ องค์ชายธรรพ์ขอติดตาม

     

    ดวงตาปูดโปนสีแดงก่ำนั้นจ้องมานิ่ง ริมฝีปากหนาอ้าออกเอ่ย “ดนัย…งั้นรึ”

    “…” ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก พยายามควบคุมสีหน้าท่าทางไม่ให้สั่นจนเกินไป

    ในจังหวะนั้นเอง ยักษ์อีกตนหนึ่งกลับสวนขึ้น “…มีคนรอเจ้าอยู่”

    “…หา?” ผมเดาว่าตอนนี่สีหน้าของผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

    คือที่ผมคิดไว้คือ ถ้าเราสามคนจะโดนจับกิน อันนี้ผมเตรียมใจต่อสู้ไว้แล้ว แต่ถ้าพวกเขาปล่อยให้พวกเราเดินผ่านโดยสวัสดิภาพ อันนั้นก็ดีไป

    แต่ไอ้การว่า ‘มีคนรอเจ้าอยู่’ นี่ผมคิดไม่ถึงจริงๆ

    กับดัก! มันต้องเป็นกับดักแน่ๆ พวกแกกำลังจะจับพวกเราเข้าเตาเผาแล้วย่างกินใช่มั้ย บอกมา!

    ว่าแต่…ยักษ์เวลากินนี่กินสุกหรือกินดิบวะ

    แม้ใจผมจะราวกับส่งเสียงไซเรนอยู่ตลอดเวลา ทว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะขยับเคลื่อนไหวอะไรได้มาก ผมหันไปสบตาดาวกับเรย์ให้พวกเรารู้กัน ก่อนจะหันไปสบตากับยักษ์ตนนั้น แล้วพยักหน้า

    “พาพวกเราไปพบเขาทีครับ” ผมบอก

    ยักษ์สองตนนั้นมองทางเพื่อนผมกับน้องสาวผมนิ่งจนพวกเราแอบระแวง ผมก้าวถอยหลังไปยืนบังสองคนนั้นทันที ส่งสายตาชัดเจนว่าอย่ายุ่งกับสองคนนั้น ถ้าจะทำอะไรทำกับผมคนเดียวพอ

    ดนัยผัดเผ็ดอาจจะไม่อร่อยเท่าไหร่ แต่อร่อยกว่าดาวและเรย์ผัดเผ็ดเยอะนะเชื่อเถอะ!

    ผมเริ่มกลัวจนเพ้อเจ้อ

    ในที่สุดยักษ์ทั้งสองก็ยอมเปิดประตูที่เฝ้าอยู่ให้พวกเราแต่โดยดี

    สิ่งที่อยู่หลังประตูนั้นทำให้รู้สึกราวกับว่าประตูนี้เป็นประตูมิติทะลุถ้ำ เพราะเพียงเดินทะลุประตูไป ภาพที่เห็นคือเมืองทั้งเมืองซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ

    มองไปด้านบนแลเห็นท้องฟ้าสีชาด เมฆสีหม่นอึมครึมชวนอึดอัด มองไปด้านล่างก็เห็นว่าพวกผมกำลังยืนอยู่บนทางลาดชัน ให้ได้มองเห็นเมืองได้ทั่วทุกพื้นที่

    สิ่งก่อสร้างที่นี่ล้วนทำจากหิน และหินส่วนใหญ่ก็เป็นหินมันวาวสีดำแดง ขนาดบ้านเรือน (คิดว่านะ) นั้นก็แสนใหญ่พอให้ยักษ์ทั้งตน (หรือหลายๆ ตน) อาศัยอยู่ บ้านแต่ละหลังเรียงกันมั่วซั่ว ไม่มีการจัดระเบียบเป็นตรอกซอกซอยใดๆ ท้องถนนนั้นเป็นหินสีเทา เต็มไปด้วยเหล่ายักษ์มากมายกำลังเดินขวักไขว่ใช้ชีวิต

    ตรงกลางเมืองนั้นอาจจเป็นวังยักษ์ สังเกตจากขนาดที่ใหญ่กว่าบ้านเรือนหลังอื่นมากๆ รวมถึงลวดลายการตกแต่งอันประณีตบรรจง ขณะที่บ้านเรือนหลังอื่นมีเพียงหินประดับ แต่วังแห่งนี้หลายจุดมีทองเคลือบ ทองคำสะท้อนแสงสีชาดจากท้องฟ้าบังเกิดเป็นประกายบางอย่างแลดูน่าสยดสยอง

    สภาพอากาศของที่นี่เรียกได้ว่าร้อนระอุจนแม้แต่เมษาหน้าร้อนยังยอมแพ้ และสิ่งที่ทำให้ที่นี่ห่วยกว่าเดือนเมษาก็คือตอนนี้ไม่ใช่เดือนเมษา และถึงใช่ก็คงไม่มีใครมาเล่นน้ำสงกรานต์กันอยู่ดี

    ผมนึกถึงแก๊งลูกคนใช้ในบ้านที่เคยขน (แกมบังคับ) ให้ไปเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยกันแล้วแอบอยากพาพวกเขามาที่นี่ จำได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเราเคยคุยกันว่าแดดที่ไหนร้อนที่สุด จะได้ยกพวกไปถล่มเล่นน้ำกัน ตอนนี้ผมว่าผมได้คำตอบแล้วล่ะ

    ถ้าการยกพวกมาถล่มเล่นน้ำจะไม่ทำให้พวกเราโดนจับลงกระทะ (ทองแดง (?)) กันหมดอะนะ

    …ที่นี่ถึงกับร้อนได้โดยไม่ต้องมีแดดด้วยซ้ำ

    ยักษ์ตนหนึ่งยังคงอยู่หน้าประตูเพื่อเฝ้าเมือง ส่วนยักษ์อีกตนก็เดินนำพวกเราเข้าวังยักษ์โดยเดินผ่านถนนในเมืองที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนูท่อในเมืองมนุษย์ หลายครั้งที่พวกเราต้องกระโดดหลบฝีเท้าพวกเหล่ายักษ์ด้วยความหวาดผวา ยักษ์หลายตนถึงกับไม่สังเกตเห็นพวกเราด้วยซ้ำ ส่วนตนไหนที่เห็นก็จะใช้ดวงตาปูดโปนนั้นมองมาด้วยความสนใจ

    …หวังว่าคงไม่ใช่สนใจจะกินหรอกนะ

    “ไอ้พวกตัวกระจ้อยนี่มันอะไร!” ยักษ์ตนหนึ่งที่กำลังแบกของมากมายไว้บนหัวเดินผ่านมาถาม

    “คนของเจ้าชาย อย่าไปแตะต้องเขา” ยักษ์ที่กำลังนำทางพวกเราเตือน แต่แววตาที่เขามองมาก็ไม่ได้ทำให้เราอุ่นใจเลย “…แต่ก็แค่คนตรงกลางน่ะนะ”

    ผมรีบใช้แขนสองข้างดึงเรย์กับดาวมาไว้ใกล้ตัวทันที สองคนนั้นตัวสั่นระริก ผมเองก็พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเส้นแสงสีส้มนั้นเกิดขึ้นมาวนรอบตัวพวกเราแล้ว…คงเป็นการใช้พลังของผมเอง

    “หึ…เป็นแค่แมว ยังจะมาผยองพองขนขู่” ยักษ์ผู้ผ่านมาตนนั้นแค่นเสียงเหอะ แต่เขาก็จากไปแต่โดยดี

    เดินต่อไปด้วยความหวาดระแวง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มียักษ์ตนไหนสนใจพวกเราอีก กระทั่งมาถึงหน้าปราสาท ยักษ์ที่นำทางพวกเรามาก็รายงานกับยักษ์ทหารที่กำลังเฝ้าประตูปราสาทว่า

    “พาคนมาพบเจ้าชาย”

    “คน…มนุษย์เหรอ” ยักษ์เฝ้าประตูวังถาม หันมามองพวกเราด้วายสายตาใคร่รู้

    “ชื่อของเขาคือดนัย” ยักษ์ที่นำทางเราตอบเสียงหนักแน่น “เขาคือคนในตำนาน”

    หือ!?

    คนในตำนานที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนในตำนานตอนนี้กำลังสำลักน้ำลายตัวเอง ขณะที่เพื่อนกับน้องสาวผมตัวสั่น…แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นสั่นเพราะหัวเราะมากกว่า

    ผม…ไปเป็นคนในตำนานตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

    แบบว่าตำนานไอ้ตัวป่วนปฐพีแห่งชาติ ดนัยผู้หนีครูห้องปกครองรอดทุกสถาบัน อะไรประมาณนี้หรือเปล่านะ

    “แน่ใจนะว่าเป็นตัวจริง” ยักษ์หน้าประตูถามอีก “ดนัยคนก่อน…ไม่ใช่แบบนี้”

    “!!!”

    ผมจากที่เคยสำลักน้ำลายตัวเองถึงกับหยุดทันที นึกรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว

    ดนัยคนก่อน…ดนัยอะไรวะ!?

    “เอ่อคือ…” ผมค้านขึ้น “ผมคิดว่าผมเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก”

    “ย่อมไม่มีดนัยคนใดสามารถจดจำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ” ยักษ์ที่นำทางพวกเราเอ่ย “คนที่จะตัดสินว่าตัวจริงหรือตัวปลอม…มีเพียงเจ้าชาย”

    “…” ยักษ์ที่เฝ้าประตูไม่ตอบ เขาเพียงผายมือเชิญให้พวกเราเข้าไปแต่โดยดี

     

    ระยะทางจากหน้าประตูวังเข้าถึงตัววังนั้นไกลแสนไกล สำหรับพวกยักษ์ยาวสี่เมตรอาจจะเป็นระยะที่พอไปได้ แต่สำหรับมนุษย์ตัวกระจ้อยที่การก้าวขาแต่ละทีของยักษ์นี่พวกเราต้องวิ่งไล่ตามแทบขาดใจนี่มันทรมานเหลือเกิน ระหว่างทางเดินสามารถพบพืชเขียวอี๋ที่เดาว่าคงเป็นต้นไม้ตัดแต่งได้เป็นระยะๆ ตำหนักต่างๆ เก่าโทรมชนิดที่ว่าบ้านคนใช้ของผมยังน่าอยู่กว่า กับยักษ์องค์รักษ์มากมายที่มองมาทางพวกเราด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ (กูสิที่ต้องไม่ไว้ใจพวกมึง!!!)

    “ดนัยคนก่อน…ดนัยอะไรวะพี่” ดาวสะกิดถามผมยิกๆ ระหว่างทาง

    “พี่ก็ไม่รู้!” ผมบอก “พี่ก็ว่าพี่ก็มีของพี่คนเดียวนะ”

    “แต่ยักษ์นั่นพูดเหมือนรู้จักมึงเป็นอย่างดี” เรย์แย้งขึ้น “ไหนจะประโยคว่าย่อมไม่มีดนัยคนใดสามารถจำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำนั่นอีก…กูว่าเรื่องนี้มันแปลก บางที…อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เราจะคาดถึงซ่อนอยู่ในการเดินทางครั้งนี้ก็ได้นะ”

    “…” ผมกับดาวมองมันนิ่ง

    เรย์สะดุ้งถาม “อะ…อะไร”

    ผมขมวดคิ้ว “มึงคือไอ้เรย์ตัวจริงป้ะเนี่ย ทำไมวันนี้ดูฉลาด”

    “สัตว์!” มันตบหัวผมไปป้าบหนึ่ง ก่อนที่พวกเราจะหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกของวัน

    สายตาที่ยักษ์มองมาทำให้พวกเรารู้ได้แล้วว่าควรเงียบ เราสามคนรีบหันหน้าไปคนละทาง ปัดเนื้อปัดตัวแบบที่ไม่ได้ทำให้ชุดนักเรียนมอมๆ ดูสะอาดขึ้นเลย

    “ดนัยเหมือนไม่ใช่ดนัยจริงๆ” ยักษ์ตนนั้นรำพึง

    ผมยักไหล่ “ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าดนัยในตำนานคือใคร หรือว่าตามเรื่องเล่าบ้าบอนั่นแล้วผมต้องเป็นคนแบบไหน ผมก็รู้แค่ว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ เรื่องอื่นเป็นไงผมไม่สนหรอก”

    “…” ยักษาหนุ่มไม่ตอบโต้

    “…ว่าแต่ ดนัยในตำนานคนนั้นเป็นยังไงเหรอครับ” ผมแอบสนใจ

    “เงียบขรึม จิตใจตั้งมั่นในรัก เคร่งเครียด จริงจัง มุ่งมั่นทะเยอทะยาน” ยักษ์ตอบ “และที่สำคัญ คนผู้นั้นไม่เชื่อใจใคร เวลาเขามาที่นี่…เขาจะมาคนเดียว”

    ผมกะพริบตาปริบๆ

    ไม่มีอะไรตรงกับผมสักอย่าง!!!

    ถามว่าที่ผมให้เรย์กับดาวกลับบ้านไปตอนแรก คือผมไม่เชื่อใจสองคนนั้นเหรอ…คำตอบก็คือไม่นะ ผมก็แค่ว่าเป็นห่วงไม่อยากให้พวกเขาต้องมาลำบาก แต่ถ้าถามใจผมจริงๆ ว่าระหว่างมาคนเดียวกับมากับเพื่อน ถ้าเลือกได้ผมจะเลือกอะไร

    หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านสบาย ไม่มีใครตายสุขสบายชั่วนิรันดร์

    แบบนี้สิดีสุด!

    นี่ใครล่ะครับ…ดนัยผู้ไปที่ไหนได้เพื่อนใหม่ที่นั่นนะครับ อย่าลืม!

    ไอ้ประเภท เงียบขรึม เคร่งเครียด จริงจัง ผมว่าถ้าจะให้ผมเป็นแบบนั้นสู้จับผมไปทำดนัยผัดเผ็ดจริงๆ แล้วให้ดวงวิญาณผมไปเกิดใหม่อีกชาตินึงน่าจะง่ายกว่า

    “ถ้าเป็นแบบนี้…อาจจะสำเร็จก็ได้” ยักษ์ตนนั้นว่ามาอีก

    ผมยักคิ้ว “อะไรสำเร็จเหรอครับ”

    “องค์ชายจะเป็นผู้ให้คำตอบแก่เจ้า”

     

    นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่พวกเราเข้ามาในวังของเหล่ายักษ์…

    อุปกรณ์สิ่งของเครื่องใหญ่นี่ใหญ่มากชนิดที่แม้แต่เก้าอี้ที่พวกยักษ์ใช้นั่งยังสูงเท่าไหล่ผม โต๊ะยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมันถึงกับสูงเลยหัวของพวกเราไปอีก ของประดับตกแต่งบางอย่างก็ใหญ่พอฟาดคนกระดูกแหลกได้ และถ้าไม่ได้มองผิดไป ที่เรียงรายกันอยู่บนขอบเพดานนั่นน่ะ…หัวกะโหลกมนุษย์ใช่ไหม

    การมองเห็นของทุกอย่างใหญ่เกินตัวไปหมดทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ซึ่งยักษ์ตนนั้นก็ดูเหมือนรู้ความรู้สึกของพวกเรา เพราะเขาเหลือบมองมา ก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งที

    …ก็ดูเหมือนว่าพวกเราจะหลุดมาอีกมิติหนึ่ง

    ในมิตินี้ พวกเรากำลังอยู่ในห้องนั่งเล่นสไตล์โมเดิร์นขนาดกลาง การตกแต่งเป็นสีขาวดำแลดูเรียบง่าย ล้อมรอบด้วยฝาผนังสีขาว ติดวอลเปเปอร์ลายต้นไม้สีดำโดยรอบ ไม่มีประตู พวกเรานั่งอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีดำสนิท ตรงหน้าคือโต๊ะเตี้ยที่เต็มไปด้วยผลไม้และของหวาน

    ตรงข้ามเราแทนที่จะเป็นยักษาน่าเกลียดน่ากลัว กลับกลายเป็นชายหนุ่มวัยเบญจเพสคนหนึ่งกำลังกัดแอปเปิ้ลเข้าปาก เคี้ยวกรุบๆ

    หน้าตาของเขาเป็นสไตล์หนุ่มใต้ด้วยดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึก โครงหน้าคมเฉียบ ผิวสีแทนคร้ามแดด สวมเสื้อยืดสีเทาเข้มสบายๆ และกางเกงยีนสีซีดที่มีเข่าขาดตามแฟชั่น รูปร่างกำยำ ความสูงน่าจะประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร

    “…”

    จังหวะแรก ไม่มีใครพูดอะไร

    จังหวะต่อมา ดาวถึงถามขึ้น “คุณเป็นใคร มาอยู่เมืองยักษ์ได้ยังไง”

    ผู้ชายคนนั้นละสายตาจากผลแอปเปิ้ลมาสบตาดาว สายตานั้นพราวระยับจนผมนึกอยากดึงตัวน้องสาวให้พ้นจากคนอันตราย “ผมคือยักษาที่พาคุณเข้ามาในวัง ตอนนั้นผมแปลงกายเป็นยักษ์ทหารเพราะอยากดักตัวพวกคุณมานั่นแหละ แต่ความจริงแล้วผมนี่แหละเจ้าชายของเมืองยักษ์เมืองนี้ ชื่อของผมคือ ‘ธราเทพ’ องค์ชายคนที่สองแห่งเมืองยักษ์นาม ‘ธรรพ์ธานี’ หรือคุณจะเรียกผมว่าธรรพ์ก็ได้ คนที่นี่จะเรียกพระบรมวงศานุวงศ์ในเมืองรวมๆ ว่า ‘องค์ธรรพ์’ ”

    “เมืองยักษ์!?” ดาวร้อง “ทำไมเมืองยักษ์ถึง…”

    “เข้ามาอุดอู้สร้างมิติจำลองในถ้ำได้น่ะเหรอ” ธราเทพ หรือธรรพ์พูดแทรก ดาวพยักหน้าหงึก “ก็เป็นฝีมือของแม่ราตรีนั่นไงล่ะ”

    “แม่ราตรี!?” ตัวของผมชาวาบ “คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้น?”

    แทนที่จะตอบคำถาม ธราเทพกลับนั่งจ้องหน้าผมเงียบๆ สายตาคมกริบนั่นเรากับจะทะลุผมลงไปถึงระดับจิตวิญญาณ ผมขนลุกซู่ทั่วตัว

    “ไม่ใช่ดนัยจริงๆ ด้วย” เขาว่า

    “ไม่ใช่ดนัย?” ผมนึกถึงข้อสงสัยของยักษ์อีกตนที่เฝ้าประตูอยู่ “จะบอกว่าเป็นผมตัวปลอมงั้นเหรอ”

    “ก็เป็นดนัยตัวจริงนั่นแหละ เพียงแต่ว่า…ไม่ใช่ดนัยคนนั้น” ธรรพ์ตอบด้วยสายตามีนัย

    ผมถอนใจ ปั่นเก่งจังนะไอ้นี่ “ดนัยคนนั้นคนไหนล่ะ ผมไม่รู้หรอกนะว่าดนัยในตำนานที่ว่านั่นคนไหนอะไรยังไง แต่ผมไม่ใช่ไอ้งี่เง่านั่น”

    “ไอ้งี่เง่า…ฮ่าๆๆๆ” ธราเทพทวนคำแล้วหัวเราะลั่น “ก็ไม่ใช่จริงๆ นั่นแหละ”

    “พี่ชายฉันก็คือพี่ชายฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าเขาใช่หรือไม่ใช่ใคร” ดาวพูดแทรกการหัวเราะนั้น สายตาของเธอดูคุกกรุ่นนิดๆ

    “เอาน่า ใจเย็นหน่อยแม่สาว ถ้าเธอรู้ความจริงเธอจะยิ่งหัวร้อนกว่านี้อีกหลายเท่าเลยแหละ” ว่าจบองค์ชายธรรพ์ก็ยื่นผลสาลี่ให้ ดาวเมินหน้าหนีอย่างไม่สนมารยาท

    “ความจริงอะไร” เด็กสาวขมวดคิ้วถาม

    สายตาของธราเทพทอประกายนึกสนุก กัดแอปเปิ้ลเข้าปากอีกคำ แล้วถาม “อยากรู้จริงๆ งั้นเหรอ”

    “…” น้องสาวผมใช้ความเงียบและสายตากดดันเป็นคำตอบ

    “ก็ได้ๆ บอกก็ได้” ธรรพ์ทำเป็นยกสองมือยอมแพ้ “ความจริงก็คือ…เธอจะคิดยังไงถ้าผมจะบอกเธอว่าดนัยไม่ใช่พี่ชายของเธอ…ในตำนานนั้นกล่าวถึงดนัยมากมายนับสิบคน แต่รู้ไว้นะ ว่าไม่ว่าจะเป็นดนัยคนไหน…ก็ไม่ใครใช่พี่ชายของเธอ”

    “…” หลังจบประโยคนั้น ทุกคนเงียบ

    ชั่วขณะหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร อาการคล้ายคนที่อยู่ๆ ก็โดนค้อนทุบหัว เวียนหัว ชาวาบในช่วงแรก แล้วช่วงต่อมา…จึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกช็อค

    “หมายความว่าไง!” เรย์โพล่งถามก่อนผมอีก

    “ความทรงจำถูกปรับแต่ง คนจากที่ไม่มีตัวตนจะมีตัวตนขึ้นมา ส่วนคนที่เคยมีตัวตนนั้นอาจจะกลับกลายเป็นว่าไม่มีตัวตนก็เป็นได้” ธรรพ์พูดประโยคปริศนาที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

    “หมายความว่าไง…” ผมถาม เสียงสั่นเกินควบคุม

    คือคุณเข้าใจไหมครับ ผมคือเด็กคนหนึ่งที่อายุสิบกว่าจนจะยี่สิบอยู่แล้วนะ ผมมีพ่อมีแม่มีครอบครัว มีเพื่อนมีสังคม มีชีวิตการเรียนตั้งแต่สอบได้ สอบตก คุณครูชม โดนครูดุ ไปจนถึงวิ่งหนีครูฝ่ายปกครอง ปีนกำแพงหนีเรียนต่างๆ ความทรงจำเหล่านั้นอัดแน่นอยู่ในหัวของผม ทุกอย่างหล่อหลอมให้ผมมีวุฒิภาวะแบบที่เด็กอายุสิบเจ็ดควรจะมี

    แต่แล้วจู่ๆ ก็ปิ๊ง มีคนบอกผมว่าความทรงจำของนายถูกปรับแต่ง

    ตอนนี้ผมเลยงงไปหมด อันไหนของจริง อันไหนของปลอม หรือความจริงแล้วผมเป็นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่อุบัติขึ้นแบบโอปปาติกะ* อยู่หน้าถ้ำ ถูกปรุงแต่งความทรงจำว่าเป็นลูกของคนนู้น เป็นเพื่อนกับคนนี้ แล้วก็ออกเดินทางโดยมีดาวและเรย์ติดสอยห้อยตามมาด้วยความบังเอิญ

    มือของผม…ไม่สิ ทั้งร่างกายของผมเย็นเฉียบ

    “ความทรงจำที่ถูกใครบางคนปรับแต่ง” องค์ชายธรรพ์อธิบายต่อ “สิ่งที่พวกเธอคิดว่ามันเคยมีเคยเกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วมันไม่มี”

    “…” ทุกคนรอฟังต่อ

    ธรรพ์หันไปสบตากับดาว “…ก็เหมือนกับที่เธอคิดว่าดนัยคือพี่ชาย แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่พี่ชายเธอ นั่นก็คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถูกปรับแต่งเหมือนกัน เหตุการณ์ที่แท้จริงที่ควรจะเกิดขึ้น คือทายาทของตระกูลดังควรมีเพียงคนเดียว คือดารารัตน์ หทัยวัฒน์ ส่วนดนัย หทัยวัฒน์นั้นไม่ควรมีตัวตน การเกิดมาและมีอยู่ของเขา เป็นสิ่งผิดธรรมชาติ”

    สีหน้าของดาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอตัวสั่น ซึ่งในสถานการณ์ปกติ ผมคงเข้าไปกอดปลอบว่าไม่เป็นไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอ

    แต่ในตอนนี้ ผมไม่มั่นใจกระทั่งว่าตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ แถมผมยังไม่ใช่พี่ชายที่แท้จริงของเธอ แล้วต่อไปนี้ผม…จะวางตัวยังไง

    ในขณะที่ผมกำลังวิตก ดาวกลับทำสิ่งหนึ่งที่ผิดไปจากความคาดหมายของทุกคน

    สีหน้าของเธอโกรธเกรี้ยว “นี่มันจะมากไปแล้วนะ!” ดาวพุ่งเข้าหาเจ้าชาย ทำเอาทั้งผมทั้งเรย์ต้องช่วยกันฉุดไว้

    แม้ดาวจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เธอเป็นผู้หญิงสายกีฬา แรงมีมหาศาลมากชนิดที่ว่าสลัดทีเดียวทำไอ้เรย์หลุด เหลือเพียงผมที่ต้องจับตัวไว้ได้อย่างยากลำบาก

    เจ้าชายเพียงมองมานิ่งๆ ผมไม่สามารถอ่านแววตานั้นได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    “ดาว! หยุดเถอะ!” ผมพยายามเตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จนในที่สุดเด็กสาวก็ยอมนั่งลงโดยดี

    “ฉันขอโทษ…” ผมรำพึงด้วยความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าความทรงจำของใครจะถูกปรับแต่ง ไม่ว่าสิ่งไหนจะเป็นเรื่องโกหก ทั้งหมดเหล่านั้นอย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริง คือผมไม่ได้ตั้งใจทำ

    “!!!”

    ดาวและเรย์ตกใจสุดขีดเมื่อผมลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นต่อหน้าพวกเขา

    “ฉันรู้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังสับสน แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากทำ…ฉันขอโทษที่ดึงพวกเธอทั้งสองคนให้มาวุ่นวาย!!!”

    ดาวเป็นคนแรกที่ได้สติ เด็กสาวรีบลงจากโซฟามานั่งตรงหน้าผม เรย์ลงตามมา และสิ่งต่อไปที่ผมได้รับคือฝ่ามืออรหันต์ที่ฟาดเข้าแก้ม

    เพี้ยะ!!!

    “!!!” ผมช็อค

    ใบหน้าหวานของดาวแดงก่ำ ดวงตากลมโตรื้นน้ำตา “ใครสั่งใครสอนให้คุกเข่าต่อหน้าน้องสาวตัวเอง!!!” เธอโวยวาย

    “…” ผมยังคงนิ่งอึ้ง

    “ไม่ว่ายังไง…” เธอร้องไห้ “พี่ก็ยัง…เป็นพี่ชาย…”

    ผมรู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อน วินาทีต่อมาถึงได้รู้ว่ามันคือผลจากน้ำตาที่มันไหล

    “คนที่จะตัดสินว่าอะไรจริงอะไรปลอมในชีวิตกูคือกู ไม่ใช่คนอื่น” เรย์ยืนยันอีกเสียง “ถ้ากูรู้ว่าใครเป็นคนปรับแต่งความจำกู กูจะเตะมันให้กระเด็น กูจะเดินทางไปพร้อมเพื่อนของกูเพื่อไปเตะหน้ามัน!”

    และครั้งนี้…ผมก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ปิดบัง

    พวกเราสามคนนั่งกอดคอกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ เสียงร้องไห้ดังระงมราวโรงเรียนเด็กอนุบาลยามเปิดเทอมวันแรก และเป็นดาวที่ละออกมาถาม

    “แล้วที่อยู่ตรงนี้ล่ะ…ของจริงไหม”

    “ตั้งแต่พวกเจ้าเริ่มการเดินทาง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริงอย่างไม่มีเวทมนต์ใดสามารถปรับแต่งได้” องค์ชายธรรพ์ตอบ มือก็ทิ้งแก่นแอปเปิ้ลไปแล้วหยิบมะม่วงมาปอกเปลือก “เพราะดินแดนนี้มีกระแสเวทมนต์เข้มข้นกว่าโลกที่พวกเธอจากมา ไม่มีทางที่เวทมนต์จากพลังจิตอันอ่อนแอจะสามารถแทรกแซง”

    “ถ้างั้น ก็คิดถูกแล้วล่ะที่มา” ดาวว่า “ความจริงแล้วฉันจะเป็นลูกคนเดียวของแม่แล้วไง ฉันรู้แค่ว่าตอนนี้ฉันมีพี่ชายหนึ่งคนก็พอแล้ว พี่ก็คิดเหมือนกันใช่มั้ย…พี่นัย”

    “…” ชั่วขณะหนึ่งสมองของผมไม่สามารถประมวลผลคำพูดออกมาได้ “ขอบคุณนะ”

    “ด้วยความยินดี” เพื่อนทั้งสองของผมตอบพร้อมกัน

    “ดนัยคนนี้ต่างจากคนที่แล้วที่ผ่านมา” ธรรพ์พูดขึ้น เริ่มหยิบมะม่วงชิ้นแรกเข้าปาก “อย่างน้อยที่สุด การมีตัวตนก็ยังปรากฏชัดเจนกว่าดนัยคนก่อน…สังเกตจากการมีผู้ติดตาม มีคนบันทึกเขาไว้ในความทรงจำ”

    “พวกเขาไม่ใช่ผู้ติดตามของผม พวกเขาคือเพื่อน” ผมแก้

    สายตาขบขันที่ฝ่ายนั้นมองมาช่างชวนกระทืบหน้าเสียเหลือเกิน

    “การปรับแต่งความทรงจำ…มันเกิดขึ้นได้ไง เกิดจากอะไร” ดาวถาม

    “ฉันก็ยังไม่รู้แน่ชัด” องค์ชายตอบ “เท่าที่รู้คือ ยังไงซะคนๆ นั้น…ผู้หญิงในฝันของพี่ชายเธอน่ะ แท้ที่จริงแล้วเธอคนนั้นเป็นนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับตำนาน แม้ตอนนี้จะถูกกักขังไว้ แต่พลังของเธอก็สามารถ…เชื่อมต่อ กับดวงจิตของนายได้อย่างไม่น่าเชื่อ”

    “เราสื่อสารกันผ่านความฝัน” ผมบอก

    “การเห็นอยู่ฝ่ายเดียวไม่ใช่การสื่อสาร นายไม่ได้สื่อสารกับเธอ” ธรรพ์แย้ง เคี้ยวผลไม้กรุบๆ “เธอพยายามเชื่อมต่อพลังจิตกับดนัยเพื่อให้ดนัยออกตามหาเธอ คนแล้ว…คนเล่า ที่ดนัยออกตามหาอยู่เรื่อยไป หากแต่ดนัยทุกคน…ล้วนจบลงที่ความตาย”

    “แสดงว่า…มีดนัยหลายคนจริงๆ เหรอ” เรย์ถาม “นี่มันอย่างกับนิยายแฟนตาซีเลย!”

    “ดนัยคนแล้วคนเล่าเกิดมาและออกเดินทาง แต่การเดินทางก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยิ่งเวลาผ่านไป ตัวตนของดนัยยิ่งเจือจาง” ธรรพ์ว่า “ตัวตนและการมีอยู่ของดนัยเริ่มไม่เป็นที่ถูกจดจำ เขาโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อยๆ จนคนล่าสุด…ฉันที่คิดว่ารู้จักเขาดีแท้ๆ ยังเผลอลืมเลือนเลยในบางเวลา…แต่พอดนัยคนนี้ ฉันสัมผัสได้ว่ามีการแทรกแซงบางอย่างเพื่อเพิ่มการมีตัวตนของเขา”

    “การแทรกแซง?” ผมสงสัย

    “เช่น…การปรับแต่งความทรงจำ แล้วใส่ตัวตนของดนัยเข้าไปในความทรงจำของเพื่อนนายไง” เจ้าชายตอบ “ทำให้มีคนคิดว่านายไปทำอย่างนู้น อย่างนี้ ทั้งที่ความจริงคือไม่เคยมีนายอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ”

    “…”

    “ด้วยการแทรกแซงนี้ จะทำให้ดนัยคนนี้ถือว่าเป็นดนัยที่ทรงพลัง น่าสนใจว่าจะสามารถตามหาราตรีจนเจอได้ในที่สุด” ธรรพ์สรุป

    “ผมขอเรื่องเล่าราตรี เธอเป็นใคร” ผมดึงมาประเด็นที่สงสัยในตอนแรก และที่เคยสงสัยมาตลอดชีวิตของผม

    “ฉันก็ไม่รู้ชัดขนาดนั้นหรอก แต่เท่าที่ได้ยินเขาเล่ามา ราตรีเกิดและเติบโตในสมัยปู่ทวดของฉัน เธอเป็นนักเวทผู้ยิ่งใหญ่” ธรรพ์เกริ่น “พอมาวันหนึ่ง เธอกลับหลงมัวเมาในรักจนทำสิ่งผิดพลาด ความพิโรธของเธอทำให้เกิดหายนะทั่วอาณาจักรเวทมนต์ จนสุดท้าย เธอก็ถูกพลังเวทของตัวเองกักขังไม่สามารถออกไปไหนได้ ส่วนคนรักของเธอก็เสียชีวิตไปเพราะปัญหาที่สร้างขึ้นเอง”

    “แล้วผมล่ะ คืออะไร” ผมถามต่อ

    “ราตรีจะเฝ้าเรียกหาชายหนุ่มที่มีดวงจิตคล้ายกับคนรักของเธอ” องค์ชายธรรพ์ตอบ “สิ่งที่เหมือนกันระหว่างชายหนุ่มพวกนั้นหนึ่งคือชื่อ…ชายหนุ่มพวกนั้นจะใช้ชื่อว่าดนัย สองคือลักษณะนิสัยที่เป็นผู้เงียบขรึม ชายหนุ่มที่ทีลักษณะเหมือนกันพวกนั้นจะถูกจิตวิญญาณของเธอเรียกร้อง ให้ต้องเดินทางไปหาเธอโดยคิดว่าเป็นคนในดวงใจ”

    “…” สมองของผมประมวลผลตาม

    แปลก…แปลกมาก ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องของราตรี ผมมักจะใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่พอมาตอนนี้ ผมกลับมีสติอย่างไม่น่าเชื่อ ยามที่องค์ชายธรรพ์พูดว่า ‘โดยคิดว่าเป็นคนในดวงใจ’ ผมนั่งฟังอย่างสงบนิ่ง แม้ความเชื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมาจะกำลังถูกสั่นคลอน

    ธราเทพโยนองุ่นลูกสุดท้ายของพวกเข้าปาก “นายรู้สึกยังไงกับราตรี”

    “เธอคือคนในฝันของผม” ผมบอก “เธอคือคนที่ใจผมถวิลหา เธอคือสายธาราหล่อเลี้ยงชีวัน เธอคือเป้าหมายให้รู้ว่ากำลังใช้ชีวิตเพื่อใคร และสุดท้าย…เธอคือจิตวิญญาณที่ทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตและเติบโตเรื่อยมา” ผมบอกด้วยอาการเหม่อลอย ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าแสนโศกนั้นแวบเข้ามาในหัว จิตใจของผมดำดิ่งสู่ภวังค์

    “ไม่ คำตอบนั้นไร้สาระมาก” ธรร์พตัดบททื่อๆ “ที่ถามว่ารู้สึกยังไง ฉันต้องการคำตอบแค่ว่า รักหรือไม่รัก

    ใจของผมสั่งให้รีบตอบว่า ‘รักสิ’ หากปากผมกลับไม่ทำตามสั่ง เมื่อสมองสวนทางกับหัวใจ อาการของผมจึงคล้ายคนน้ำท่วมปาก อ้ำอึ้งอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากโดยปราศจากเสียง

    ดวงตาคมกริบคู่นั้นลุกวาบ “นั่นแหละคือคำตอบ…แต่มาถึงตอนนี้จะย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ยังไงซะชะตากรรมของนายก็ถูกกำหนดมาให้ต้องตามหาราตรี ทางเดียวที่จะทำให้นายสามารถพ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ คือนายต้องตามหาเธอให้เจอ แล้วต้องกลับมาแบบเป็นๆ

    คำพูดเรียบๆ นั้นทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผมเปลี่ยนไป

    รัก? ไม่น่าใช่

    เกลียด? ก็ไม่น่าใช่

    โกรธแค้น ขุ่นเคือง…น่าจะพอมีส่วน

    ผมเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถถามออกไปได้ ทำไมราตรีถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ หรือเป็นผมเองที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก และอีกนับล้านทีที่วิ่งวนในหัวราวพายุ…รวดเร็ว รุนแรง จนผมคล้ายกับจะเป็นหูอื้อตาลาย ดีที่ธรรพ์พูดขัดขึ้น

    “ครั้งนี้ฉันจะช่วย ราตรีสร้างปัญหาให้ปู่ทวดฉันไว้มาก…เพราะความหายนะที่เธอสร้างไว้ ทำให้เมืองธรรพ์ทั้งเมืองถึงกับต้องย้ายลงมากบดานกันในถ้ำ ซึ่งถึงเวลาจะผ่านมานานตั้งแต่รุ่นปู่ทวดจนถึงรุ่นพ่อฉันที่เป็นราชาองค์ปัจจุบัน พวกเราก็ยังไม่สามารถเอาเมืองกลับขึ้นไปได้” เขาหยิบมะม่วงเข้าปาก กัดไปครึ่งชิ้น “ฉันจะติดตามนายไป แล้วหลังจากนั้นก็ขอลากตัวราตรีมาให้เคลียร์เรื่องที่ตัวเองก่อไว้ให้เรียบร้อย เมืองยักษ์จะได้เป็นอิสระสักที เราติดแหง็กอยู่ที่นี่มาสามชั่วอายุแล้ว ฉันไม่อยากเป็นรุ่นที่สี่หรอกนะ”

    “…”

    ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรรู้สึกยังไง ดีใจ? ซาบซึ้ง? หรือแบบว่าอ้อ! มาสิมามาด้วยกันเลย! เอาเป็นว่าหน้าผมตอนนี้เป็นหน้าคนแดกจุดมาก อยู่ๆ พวกเราก็ได้สมาชิกคนที่สี่มาแบบไม่ทันตั้งตัว

    แต่เรื่องที่ผมไม่คาดคิดไม่ได้จบลงเท่านั้น เพราะวินาทีต่อมา องค์ชายธรรพ์ก็กำมือ พอแบมือออกมาก็พบใบไม้สีดำขลับขอบขลิบทองที่คุ้นเคยอยู่บนฝ่ามือหนา อยู่ๆ มันก็ปรากฏตัวออกมาราวเป็นพลังเวทมนต์

    “นี่คือบทกลอนที่ฉันได้มาจากการติดตามดนัยคนก่อน” ธรรพ์อธิบาย

    ผมตาโต ไม่คาดฝันว่าอยู่ๆ จะพบเจอสมบัติล้ำค่าในที่ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ อีกทั้งยังเหนือความคาดหมายไปไกล เพราะใบไม้ที่อยู่ในมือคนตรงหน้าไม่ได้มีเพียงใบเดียว หากมีถึงสาม

    สามใบ!

    ผมรีบคว้ามาโดยไม่คิด น้ำตาแทบไหล กว่าจะหากลอนได้แต่ละบทนั้นแสนยากลำบากกาย การได้มาซึ่งกลอนสามบทรวดแบบสบายๆ อย่างนี้นี่ผมแทบจะลงไปกราบกรานเทวดารักษาตัวผมจริงๆ

    ขอบคุณที่ช่วยดลบันดาลโชคให้ครับ!

    ข้อความที่สลักอยู่บนใบไม้ยังคงเป็นตัวอักษรไทยลายตวัดอันคุ้นเคย มีความว่า

    มาวันหนึ่งซึ่งผ่านมานานปี

    เปลี่ยนชีวีคู่รักด้วยคุณไสย

    พลังเวทอันมากล้นกลายเป็นไฟ

    ชีพมอดไหม้ด้วยโลภะเกินพรรณา

     

    องค์ราชันย์หัวเมืองเรืองฤทธิ์เลิศ

    กลับบังเกิดความกระหายใจโหยหา

    อยากครอบครองอำนาจอยากชิงมา

    จึงคิดพาสองคู่รักช่วยการเมือง

     

    อันทิวาราตรีคือนักเวท

    ในประเทศล้วนมักมีเสียงลือเลื่อง

    ลือถึงพลังว่าจะพารุ่งเรือง

    กลับเป็นภัยให้ขุ่นเคืองเกิดขึ้นมา

    “จากกลอนนี้แปลความหมายง่ายๆ แค่ว่ามีราชาหน้าโง่คนนึงอยากได้อำนาจ เลยจะดึงตัวราตรีกับ…ทิวา คนนี้ใช่ปะที่ว่าเป็นคนรักของราตรีน่ะ” ผมถาม

    “อย่าเชื่ออะไรที่มันไม่มีน้ำหนักมากพอดีกว่า” ธรรพ์ถอนใจ “กลอนนั่นเท่าที่ฉันอ่านมาก็เป็นแค่กลอนที่ถูกแต่งโดยคนคนเดียวมีมุมมองด้านเดียว แต่ว่าพอฉันเอาไปเทียบกับเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมา มันก็ดูเหมือนว่าจะมีจุดต่างกันอยู่”

    “เช่น…?” ผมถาม

    “ในหนังสือตำนานเผ่าเวทอัญมนี เขียนไว้ว่าทิวากับราตรีเคยรับราชการอยู่ในวังในฐานะนักเวทประจำเมือง แต่พอมาวันหนึ่งกลับนึกอยากชิงบัลลังค์ครองเมืองเสียเอง ด้วยผยองว่าตัวเองทรงพลังกว่าราชา สุดท้ายพอทำสงครามกันจริงๆ กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พลังเวทของพวกเขามีมากล้นแต่ยากจะควบคุม สุดท้ายมันเลยวกกลับมาทำร้ายพวกเขาเสียเอง…ทิวาเสียชีวิต ณ ที่นั้น ส่วนราตรีก็ถูกไอพลังเวทของตัวเองกักขังจนทุกวันนี้”

    นี่มัน…แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนี่หว่า

    ก็เรื่องปกติของประวัติศาสตร์แหละนะ ขนาดประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเอง พอเอาไปเทียบกับตำราประวัติศาสตร์ของพม่า เรื่องราวที่เขียนไว้นั้นก็ราวกับจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน อันไหนผิดถูกไม่มีทางรู้ ที่พอแกะได้มีเพียงหลักฐานทางโบราณคดี พวกวัตถุต่างๆ ที่ยังคงอยู่ให้เห็นเป็นรูปร่างจวบจนปัจจุบัน

    ดูท่าว่าถ้าต้องการคำตอบว่าแท้จริงเป็นอย่างไร มีเพียงแต่จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

    พูดถึงเดินหน้าต่อไป…

    “คุณบอกว่าคุณติดตามดนัยคนก่อน…” เรย์พูดในสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดี “หมายความว่าไงครับ ดนัยคนก่อนเป็นใคร หรืออะไรยังไง”

    “ดนัยคนก่อน…” องค์ชายธรรพ์เคี้ยวมะม่วงชิ้นสุดท้าย “เขาคนนั้นอายุยี่สิบปี…เกิดและมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณสองร้อยปีที่แล้ว…”

    “สองร้อยปีที่แล้ว!?!?” เราสามคนตะโกนถามพร้อมกัน

    “ใช่แล้วล่ะ” ธรรพ์เอนตัวพิงพนักโซฟา กางแขนสบายใจเฉิบ “ตอนนั้นตามประวัติศาสตร์ไทยก็เป็นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในรัชสมัยของพระนั่งเกล้าฯ ดนัยตอนนั้นทำอาชีพเป็นช่างประกอบเรือนให้ชาวบ้าน อาศัยเป็นครูพักลักจำแอบไปจำวิชาสร้างบ้านมาจากช่างหลวง แล้วนำเอาความรู้มาสร้างบ้านเรือนให้ชาวบ้าน…ฝีมือของเขานับว่าเป็นที่เลื่องลือ”

    “…” ผมกะพริบตาปริบๆ ลองนึกภาพตัวเองไปเป็นช่างสร้างบ้านดู

    โห…ตรงข้ามกันสุดๆ คนละขั้วเลยนะนั่น

    “เขาเล่าว่าเขาเฝ้าตามหาคนในดวงใจนับตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก มาวันหนึ่งก็ได้รับระวีสีพฤกษ์พร้อมคำกลอนบทแรก เขาจึงออกเดินทางตามที่ระวีสีพฤกษ์นั้นนำ จนในที่สุดก็มาพบกับฉัน แล้วฉันก็เดินทางตามเขาไป…แต่อนิจจา ดนัยผู้น่าสงสารกลับต้องจบชีวิตลงระหว่างการเดินทางเพราะโดนอสูรร้ายสังหาร”

    “…” พวกเราทุกคนนั่งนิ่ง ตั้งใจฟัง

    “ตอนนั้นฉันก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่ไม่ตกเป็นเป้าสังหาร สุดท้ายพอได้สติ ก็จัดการเก็บรวบรวมของที่ยังเหลืออยู่เผื่อเอาไปใช้ประโยชน์ หรือไม่ก็เก็บไว้ให้ดนัยคนถัดไป…แต่ระวีสีพฤกษ์กับกลอนบทแรกกลับหายไปอย่างปริศนา ซึ่งตอนนี้ของทั้งสองอย่างนั้นคงอยู่ที่นายแล้วสินะ”

    “…ครับ” ผมตอบรับ

    “ตั้งแต่มาที่นี่ ฉันยังไม่เห็นพวกเธอแตะต้องอะไรเลย…นี่น่ะ อาหาร สนใจกินกันหน่อยมั้ย” องค์ชายธรรพ์ยักคิ้วถาม ชูจานที่เต็มไปด้วยละมุดปอกเปลือกน่ากินให้พวกเราดู

    ดาวทำหน้ายุ่ง “ฉันคิดว่า…พวกยักษ์จะกินแต่เนื้อซะอีก”

    “ฉันเป็นยักษ์กึ่งมนุษย์” องค์ชายธรรพ์เฉลย “บรรพบุรุษฝั่งพ่อฉันคือสายตระกูลของราชาธรรพ์ผู้ปกครองเมือง ส่วนบรรพบุรุษฝั่งแม่…ยายทวดฉันเป็นมนุษย์ สายเลือดมนุษย์แม้เจือจางแต่ก็ยังคงอยู่ มันเลยทำให้บางครั้งฉันก็ผิดแผกไปจากยักษ์ตนอื่นๆ”

    “มิน่า…แปลงร่างซะหล่อเลย นี่คือร่างมนุษย์จริงๆ ของคุณเหรอ” ดาวถาม

    คนฟังทำท่าค้อมตัวรับคำชม ก่อนจะเงยหน้ามามองด้วยรอยยิ้มจาง “ก็ใช่แหละ ถ้าอิงตามสายเลือดมนุษย์ในตัวฉัน หน้าตาของฉันก็คงเป็นประมาณนี้…แล้วว่าแต่ผลไม้พวกนี้ ตกลงจะกินกันมั้ย พวกเธอคงไม่อยากกินสบัยงอาหารแห้งไปตลอดกาลหรอกใช่มั้ย ดังนั้นก็รีบกินเถอะตราบใดที่ยังมีโอกาส”

    “งั้น…รบกวนด้วยนะครับ” เรย์เป็นคนแรกที่เริ่มหยิบละมุดมากิน

    และบรรยากาศหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นการสังสรรค์ อาจจะด้วยความอัธยาศัยดีของผมเอง หรือเพราะธรรพ์เป็นคนสบายๆ กว่าที่คิดก็ได้ ถ้าไม่นับการที่หมอนี่ชอบปั่นประสาทน่ะนะ

     

     

    *โอปปาติกะ ในทางพุทธศาสนาหมายถึง ‘ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ และโตเต็มตัวในทันใด’ มักใช้กับเทวดา หรือดวงวิญญาณ

     

    Note : ทุกย่างไม่มีอะไรแน่นอนว่าอันไหนถูก อันไหนผิด แม้แต่คำบอกเล่าของธรรพ์ก็ไม่ได้ถูกต้อง 100% ซึ่งก็มีทั้งเป็นข้อมูลที่เขารู้ไม่ชัด รู้มาผิด หรือแม้กระทั่งโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่เขาหวังว่าจะได้รับในอนาคตก็มี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×