ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [THE SUN'S CURSE] คำสาปแช่งแห่งสุริยา (rewrite)

    ลำดับตอนที่ #3 : การผจญภัยช่วงที่ 2 หิ่งห้อยประหลาดสุดล้ำ กับถ้ำอัญมณีแสนงาม

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 62


    การผจญภัยช่วงที่ 2

    หิ่งห้อยประหลาดสุดล้ำ กับถ้ำอัญมณีแสนงาม

     

    ถ้าผมกำลังจะบอกว่า ‘ว้าว! รู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตเลย!!!’ จะมีใครตบผมไหมครับ

    คือรอบตัวผมตอนนี้มีแต่แสงอะไรไม่รู้ชวนตาลายไปหมด ดวงตาของผมกำลังกรีดร้องจากการอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน แล้วอยู่ๆ ก็โดนแสงจากไหนไม่รู้สาดใส่เต็มไปหมด

    สายตาพร่ามัว ปวดตุบๆ จนแทบอยากเอามือปิดตาเลยล่ะครับ

    เรย์กับดาวแยกตัวไปไหนแล้วผมก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แค่ว่าได้ยินเสียงโวยวายวุ่นไปหมดในแบบที่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ เพราะตัวผมเองก็ต้องวุ่นวายกับอะไรไม่รู้ที่กำลังรุมผมตอนนี้เหมือนกัน

    เมือกเขียวถูกพ่นมาจากทุกทิศทาง โดนทีก็แสนแสบร้อนราวน้ำร้อนลวก ผมกระโดดโหยงเหยงหลบเป็นตั๊กแตนบนใบบัว (ถ้าตั๊กแตนมันจะดิ้นได้อะนะ) พยายามใช้แขนเหวี่ยงปัดพวกมันออกไป สัมผัสของแขนผมยามสัมผัสลำตัวมันก็นุ่มหยุ่นทั้งยังเปียกชื้นได้อย่างน่าขยะแขยงมาก

    ตอนนี้ร่างกายผมร้อนฉ่าจนแทบจะพ่นไฟได้ สายตาพร่ามัวมองเห็นแค่เป็นก้อนแสงพ่นพิษได้ ใช้มือใช้แขนปัดทุกสิ่งอย่างราวกับมันเป็นดาบชั้นดี

    ร่างกายของผมเปลี่ยนระบบการทำงานเข้าสู่โหมดต่อสู้ ผมลืมความรู้สึกเจ็บปวดไม่สบายกายต่างๆ ไปชั่วคราว ภาพต่างๆ ที่เห็นชัดเจนขึ้น เริ่มจับทิศทางได้ว่าการโจมตีมาจากทางไหน ซึ่งผมก็ใช้แขนลุ่นๆ ปัดมันไปก่อนมันจะมาถึงร่างกายตัวเอง แขนอีกข้างก็ใช้เหวี่ยงตีตัวแสงรอบด้านอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่วนขาก้าวเป็นจังหวะ สัญชาตญาณเป็นตัวบอกผมว่าผมควรก้าวจังหวะไหน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายผมก็ทำงานประสานกันเป็นอย่างดี

    ในตอนนั้นเอง ที่ผมเพิ่งสังเกตว่าร่างกายของผม…กำลังเปล่งแสง

    มันไม่ใช่การเปล่งแสงแบบสว่างเหมือนหลอดไฟ แต่เป็นการเรืองรัศมีสีส้มสว่างบางอย่าง ท่อนแขนของผมที่กำลังฟัดเหวี่ยงกับฝ่ายศัตรูก็มีเส้นแสงบางอย่างวิ่งวนรอบจนทั่วบริเวณ เมื่อใดที่แขนผมบาดเจ็บจากพิษหรือการถูกโจมตี เมื่อแสงนั้นวนไป บาดแผลนั้นจะหายราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    จะว่าตกใจก็ตกใจ แต่วินาทีนี้ผมกำลังต่อสู้ ผมคิดแค่ว่าไม่ว่าพลังที่ผมมีอยู่ตอนนี้จะเป็นพลังอะไร ก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น

    “ดาว!!!” แว่วได้ยินเสียงไอ้เรย์โวยวาย “เฮ้ย! ออกไปนะโว้ย!!!”

    ผมเริ่มตระหนก รีบปัดแสงพวกนั้นด้วยความแรกกว่าเดิม ยกขาถีบมันไปตัวหนึ่ง ให้ร่างพวกนั้นลอยไปกระแทกตัวอื่นให้ล้มไปพร้อมกันสามตัว แล้วหันไปทิศที่เกิดเสียง

    ภาพที่เห็นทำผมหน้าซีด “ดาว!!!”

    สภาพน้องสาวผมตอนนี้คือเจ็บหนัก ร่างกายบอบบางเต็มไปด้วยเมือกเขียว ร่างกายอ่อนปวกเปียกนอนสลบอยู่บนพื้น รอบตัวมีก้อนแสงพยายามโจมตีอยู่สี่ห้าตัว ซึ่งเรย์ก็พยายามกันไว้โดยใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นอาวุธ

    ผมดิ่งไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว พุ่งไปขวางหน้าไอ้เรย์ แล้วใช้มือฉีกกระชากก้อนแสงก้อนหนึ่งออกจากกัน เมือกปริมาณมากกระเด็นเปรอะลำตัวครึ่งบนโดยที่ผมไม่มีเวลามาสนใจ ผมโยนเศษซากฉีกขาดนั้นใส่ก้อนแสงก้อนอื่นๆ เหวี่ยงแขน เตะขาอีกหลายจังหวะ จนในที่สุดพวกมันก็ร่วงลงไปนอนแหมะบนพื้น

    เป็นตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วก้อนแสงก็เป็นสัตว์ประหลาดแคระสีเขียวอี๋ ลักษณะของมันเป็นแมงก้อนกลม ขนาดประมาณสี่สิบเซนติเมตร ปีกเล็กสองข้างอยู่ด้านหลัง ถัดจากปีกคือก้นกลมที่เป็นตัวเปล่งแสง ด้านหน้าคือปากยืดยาวซึ่งสามารถพ่นพิษได้

    นี่มันตัวอะไรวะเนี่ย หิ่งห้อยยักษ์พ่นพิษได้เหรอ

    พอมันลงไปนอนตายบนพื้น ไม่นานก็สลายเป็นเมือกเขียวอย่างรวดเร็ว

    “ดาว!!!”

    เสียงร้องของเรย์ทำให้ผมได้สติ ผมก้มลงไปดูอาการของน้องที่กำลังแย่

    ลมหายใจของดาวแผ่วเบาจนน่าใจหาย ร่างกายของเธอมีควันลอยขึ้นจากพิษของสัตว์พวกนั้น

    มือของผมเย็นเฉียบ เลื่อนไปสัมผัสเรียวแขนนุ่มของเธอแผ่วเบา

    “ดาว...เธอไม่น่าตามพี่มาเลย” เสียงผมสั่นระริก

    พ่อกับแม่มีลูกแค่สองคนคือผมกับน้อง พวกท่านจะกระวนกระวายใจขนาดไหนกันนะที่จนป่านนี้แล้วยังไม่มีลูกคนไหนกลับบ้าน

    ตัวผมจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะนี่มันการตัดสินใจผม นี่มันชีวิตผม แต่ดาวกับไอ้เรย์มันไม่ใช่ สองคนนั้นไม่ควรมาเกี่ยวข้องหรือลำบากอะไรกับการตัดสินใจของผมเลย เพราะฉะนั้น สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุด…น้องสาวและเพื่อนของผมจะต้องกลับสู่อ้อมอกของครอบครัวอย่างปลอดภัย

    มือของผมส่วนที่จับน้องอยู่ๆ ก็ร้อนขึ้นอย่างเป็นปริศนา แสงสีส้มบางอย่างลอยจากมือผม วนรอบร่างกายดาวเป็นรูปเกลียว ในตอนนั้นเองที่เมือกทั้งหลายสลายไป รอยแผลฟกช้ำจางลง ใบหน้าจากซีดสนิทเริ่มมีเลือดฝาด ลมหายใจจากแผ่วเบาเริ่มมีจังหวะสม่ำเสมอ ใบหน้าจากที่เคยทุกข์ตรมกลับกลายเป็นใบหน้าพริ้มเพราของคนกำลังหลับสนิท

    “…”

    ผมไม่รู้ว่าแสงนั้นคืออะไร อะไรอยู่ในตัวผม ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมน่าจะมีพลังอะไรบางอย่างอยู่ในร่างกาย มันมาได้ไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมโชคดีมากที่มีมัน

    ไอ้เรย์หันมามองผมอี้งๆ ซึ่งผมก็แค่ยื่นมือไปหามัน มันเอามือมาวางไว้บนมือผม จากนั้นแสงสีส้มก็ลอยจากมือผมไปวนรอบตัวมันและทำการรักษาร่างกายมันอีกครั้ง

    เมือกเขียวและรอยฟกช้ำหายไปจากร่างกายมัน จนเหลือเพียงท่าทางมอซอของคนใส่เสื้อนักเรียนเปรอะเปื้อน แว่นของมันมีรอยร้าวและเต็มไปด้วยฝุ่น ผมล่ะสงสัยเหลือเกินว่ามันมองเห็นผมผ่านแว่นตาขุ่นมัวขนาดนั้นได้ยังไง

    “มึงเฝ้าดาวไปก่อน เดี๋ยวขอกูสำรวจอะไรสักหน่อย”

    ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวไป เสียงของเรย์ก็ว่ามาจากด้านหลัง

    “ถ้ามึงไม่กลับมา พวกกูก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน!” มันว่า นั่งกำมือน้องสาวผมแน่น

    ผมชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองมันตาดุ “มึงไม่เห็นเหรอไงว่ามันอันตราย นี่ไม่ใช่เกมเด็กอนุบาลที่จะมีเทพนิยายหรือคุณนางฟ้าใจดีนะ หนทางข้างหน้าของมึงมีแต่ความตาย มึงอยากเอาชีวิตของมึงมาทิ้งไว้กับอะไรแบบนี้เหรอ!?”

    ตะคอกออกไปด้วยความเหลืออด อะไรพวกมันจะอยากเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้าพวกมันอยากเสี่ยงเอาประสบการณ์เร้าใจ พวกมันควรไปเล่นรถไฟเหาะในสวนสนุก ไม่ใช่ติดแหง็กอยู่กับอะไรไม่รู้ที่พิสูจน์หาความจริงไม่ได้สักอย่างกับผม

    “พาดาวออกไป” ผมออกคำสั่ง “ตอนนี้กูอาจจะช่วยพวกมึงได้ แต่เราคงไม่โชคดีอย่างนี้ไปตลอด”

    “กูจะไม่พาดาวไปไหนทั้งนั้นจนกว่าดาวจะตื่นขึ้นมาบอกกูว่าดาวอยากกลับบ้าน” เรย์ยืนกราน “และกูพนันได้เลย ว่าถ้าดาวตื่นมาไม่เจอมึง น้องสาวมึงจะต้องดันทุรังเดินวนในถ้ำจนกว่ามึงจะกลับมา…”

    ผมทรุดลงไปนั่งบนพื้น “ไอ้เรย์…กูรู้ว่ามึงชอบดาว แล้วเรื่องนั้นกูก็ไม่เคยห้าม…” ผมเกริ่น

    “…” เพื่อนผมเม้มปากแน่น ดวงตากลมใต้กรอบแว่นสั่นระริก

    “แต่มึงไม่คิดเหรอ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือการพาดาวกลับไปยังที่ปลอดภัย ไม่ใช่เอาแต่ทำตามความต้องการของน้องกูจนมึงลืมความต้องการของตัวเอง”

    “แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าความต้องการของกูคือการกลับบ้าน” เรย์สวน “ถามทีเถอะ ในบ้านหลังนั้นน่ะ จะมีใครสักคนไหมที่รอต้อนรับกู จะมีใครสักคนไหมที่ยังเห็นว่ากูมีตัวตน”

    ผมกดหน้าลงกับพื้น กัดฟันจนกรามเป็นสันนูน

    ไอ้เด็กเอาแต่ใจปัญญาอ่อน!

    “กูไม่รู้และไม่แน่ใจว่าบ้านกูยังต้องการกูมั้ย สิ่งที่กูรู้คือที่นี่ต้องการกู ดาวต้องการกู และตัวมึงเองก็ไม่สามารถผจญถ้ำเหี้ยนี่ได้คนเดียวหรอกถ้าไม่มีกู มึงประสาทแดกก่อนแน่นอน หรือมึงจะเถียง”

    “…”

    “ไอ้นัย…ถ้ามึงอยากไปต่อ มึงต้องมีกู”

    “…”

    ผมมองดวงตาโตที่ฉายแววดื้อรั้นนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

    ทั้งเพื่อนทั้งน้อง ไม่มีใครสติดีสักคน!!!

    “หุบปากไปไอ้ยอดชายไม้ฟุตเหล็ก!” ผมสวนด้วยความโมโห แต่คำพูดของผมกลับทำมันหัวเราะ

    “เออกูเป็นยอดชายไม้ฟุตเหล็กก็ได้ กูเป็นอะไรก็ได้” มันว่า “แต่ไม่ว่ายังไง กูและไม้ฟุตเหล็กก็จะตามมึงไปจนกว่าจะถึงที่หมายด้วยกันนั่นแหละ”

    ในที่สุดผมเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างปลงตก “กูแค่อยากสำรวจนิดหน่อยเผื่อแถวนี้จะมีอะไรดีๆ ขอกูไปดูก่อน แล้วจะกลับมา”

    เมื่อได้ยินว่าผมจะกลับมาเพื่อนผมก็วางใจ มันนอนลงพื้นถ้ำข้างดาวแล้วหลับตาลง ผมหัวเราะอย่างเหนื่อยใจ เดินไปค้นกระเป๋านักเรียนที่ถูกวางทิ้งตั้งแต่ตอนโดนสัตว์ประหลาดนั่นโจมตีครั้งแรก รื้อเอาเสื้อแขนยาวตัวใหญ่สีดำออกมา ก่อนจะกางเสื้อออก แล้วโยนพรึ่บให้น้องและเพื่อนตัวเองนอนห่มด้วยกัน

    ทั้งดาวทั้งเรย์ขยับตัวให้เข้ากับผ้าห่มนั้นเพื่อรับความอุ่นสบาย เกิดเป็นภาพสองหญิงชายนอนเคียงกันชนิดที่ถ้าเป็นโลกข้างบน คุณพ่อคุณแม่คงได้พากันอกแตกตาย

    ผมส่ายหน้าขำ “เด็กกันจริงๆ”

    แล้วแบบนี้จะไม่ให้ห่วงได้ไง

    แต่ปล่อยไปแล้วกัน…สองคนนั้นแท้ที่จริงแล้วรู้สึกอย่างไรต่อกัน พวกเรารู้กันดี

    ที่ไอ้เรย์มันไล่ตามผม ตอน ม.ต้นมันก็ขอพ่อแม่เรียนโรงเรียนเอกชนที่เดียวกับผม พอขึ้น ม.ปลาย ก็สู้สอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังมาด้วยกัน ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ ว่าในใจมันมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่

    แล้วสีหน้าของดาวที่แอบประดับรอยยิ้มเล็กๆ ตอนทีเพื่อนผมมันมาหาผมที่บ้าน (ซึ่งบ่อยมากจนลืมความเกรงใจไปได้เลย) ทำไมผมจะไม่สังเกตเห็นล่ะ นี่น้องสาวผมนะ จะหลุดรอดสายตาพี่ชายที่โตด้วยกันมาได้ไง…แต่ก็เห็นว่าเพราะเป็นเรย์ที่ไว้ใจได้แหละ ผมถึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เข้าไปแทรกแซง

    หรืออีกนัยหนึ่ง…ผมก็อิจฉา บ่อยครั้งผมก็แอบนึกภาพแทนที่เรย์กับดาวเป็นผมกับราตรี เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าเราสองคนได้มีช่วงเวลาพบเจอกัน แอบชอบกันไปมา มันจะเป็นช่วงเวลาอันแสนมีความสุขแค่ไหนนะ

    แต่อนิจจัง ดูความจริงสิ…ไม่มีแอบชอบอะไรทั้งนั้น มีแต่ผมที่มอบให้เธอแล้วทั้งใจแล้วไล่ตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย คาดว่าถ้าพบเธอเข้าจริงๆ แล้ว เห็นทีว่า…

    ผมหยุดจินตนาการตัวเองไว้แค่นั้น ตัดภาพมาที่ความจริงก่อน

    ความจริงในถ้ำมืดแห่งความสิ้นหวัง…ผมล่ะละเหี่ยใจจริงๆ

    ผมอยากไปสำรวจรังของไอ้เจ้าพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้น เพราะขึ้นชื่อว่ารัง คงเต็มไปด้วยปัจจัยที่ต้องใช้ในการมีชีวิตใช่มั้ยล่ะ

    อาหารและความอบอุ่น นั่นแหละที่ผมกำลังมองหา

    ผมเดินตรงไปทางที่ก้อนแสงพวกนั้นปรากฏตัวมาตอนแรก นับว่าไกลจากจุดที่ผมเคยอยู่พอสมควร ผมเดินไปดูซอกหินที่พวกมันเคยหลบซ่อนตัวอยู่ พอจับดูก็รู้ว่ามันพอขยับได้

    ผมถอยออกมา ใช่เท้าถีบหินก้อนใหญ่ข้างผน้งถ้ำอย่างรุนแรง แสงสีส้มวนรอบเท้าผมในจังหวะที่ผมออกแรง จากนั้นแรงผมก็เพิ่มขึ้นจนทำให้หินก้อนนั้นขยับออกไปได้สองสามฟุต

    ความรู้สึกแรกหลังถีบก้อนหินนั้นออกไปคือความอบอุ่นที่เข้ามาปะทะร่างกาย ผมหันไปทางช่องเปิดที่เกิดการขยับก้อนหินแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

    ภายในรังนั้นมีอุณหภูมิอุ่นสบายเหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่าด้านนอก มีลักษณะเป็นโถงถ้ำกลมๆ บริเวณกว้าง เพดานถ้ำตรงกลางโถงนั้นโหว่จนมองเห็นแสงดาวยามค่ำคืน ตามรอยร้าวของหินตรงผนังถ้ำมีแสงปริศนาสีเหลืองอุ่นส่องลอดออกมาทำให้มองเห็นบริเวณภายใน ซึ่งบริเวณภายในก็เป็นหินพื้นถ้ำเรียบๆ ปราศจากหินงอกทิ่มแทง แล้วสิ่งที่ถูกวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นนั่นก็คือ…

    เสบียงอาหาร!

    ไหนจะที่นอน หมอน ผ้าห่ม ไฟฉายอย่างดีนั่นอีก

    จากบรรดาของและกระเป๋าเดินทางพวกนี้ทำให้ผมเดาได้ว่าไอ้สัตว์ประหลาดพวกนั้นมันคงเป็นตัวที่คอยดักปล้นนักเดินทางที่หลงมาที่นี่แน่นอน จากนั้นก็เอาของที่เก็บได้มาไว้ในรัง…ซึ่งก็คือตรงนี้

    สิ่งแรกที่ผมพุ่งไปดูคืออาหารแห้งที่ถูกเก็บไว้มุมหนึ่งของรัง ครบเลย…บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลาตากแห้ง หมูแดดเดียว รวมถึงพวกผัก ผลไม้แห้งต่างๆ ผงข้าวสารพร้อมใส่น้ำรับประทานนั่นก็ด้วย

    มันมากพอที่จะทำให้พวกเราอยู่กันไปได้ทั้งอาทิตย์

    ผมรีบกลับไปปลุกเพื่อนและน้องสาวให้เข้ามานอนในรังแห่งนี้ที่อุ่นกว่า และสภาพแวดล้อมก็เหมาะกับการนอนมากกว่า สองคนนั้นเดินลอยๆ เหมือนคนไม่มีสติ แต่พอมาถึงจุดที่ต้องการก็ล้มตัวลงนอนหลับปุ๋ยกันอย่างรวดเร็ว

    ผมเป็นคนขนกระเป๋านักเรียนของเราทั้งสามคนเข้ามา เทหนังสือเรียนและของที่ไม่จำเป็นก่อน แทนที่ด้วยการยัดเสบียงอาหาร รวมถึงไฟฉาย เครื่องนอนต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงเข้าไป

    พอจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง…จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ผมลืมเรื่องเวลาไปเลยแฮะ จนตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไปตีสองกว่าแล้ว สำหรับเด็กมัธยมสายอนามัยมันคงเป็นเวลานอนเพื่อเตรียมตัวไปต่อสู้กับบทเรียนต่างๆ ในวันถัดไป

    แต่สำหรับผมผู้ฝักไฝ่ในการอ่านหนังสือแบบวันไนท์มิราเคิล อดหลับอดนอนเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ผมยังไม่ง่วง และมีแววว่าจะนอนไม่หลับ

    ผมนั่งอยู่ตรงทางเข้ารัง เหม่อมองแสงนำทางที่ยังคงทอดยาวไปอีกแสนไกล

    …ผมอยากเดินทางต่อแล้ว ผมอยากรีบหาคำตอบของเรื่องบ้าบอต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงรีบพบกับเธอคนนั้นโดยไว

    …ผู้หญิงคนนั้น คนในฝันของผม

    …กำลังไปหานะ

    และนั่นก็เป็นอีกคืนที่ผมฝันถึงเธอ

     

    “พี่นัย ตื่นได้แล้ว”

    …แม้ผมจะกำลังอยู่ในการเดินทางอันแสนไกล อยู่ในถ้ำมหาภัยสุดอันตราย แต่สุดท้าย ผมก็ยังไม่สามารถตื่นขึ้นยามเช้าได้ด้วยตัวเองจนต้องให้น้องสาวปลุกอยู่ดี

    ตอนแรกผมยังไม่ได้สติรับรู้สถานการณ์ตัวเอง ผมพลิกตัว กำลังจะหาผ้าห่มคู่ใจมาคลุมโปงตามกิจวัตร หากสิ่งที่มือสัมผัสได้กลับมีเพียงหินแข็งๆ แสนอับชื้น และกระเป๋านักเรียนที่เอามาใช้เป็นหมอนรอง ตอนนั้นแหละที่ผมเพิ่งได้สติว่าตัวเองไม่ได้อยู่บ้านให้ต้องหาเรื่องโดดเรียน แต่อยู่ในถ้ำมืดมิดและกำลังผจญภัยในโลกเวทมนต์อยู่ต่างหาก

    ผมยอมลืมตาตื่นขึ้นอย่างอิดออด ภาพแรกที่ผมเห็นในเช้าวันนี้คือภาพเพื่อนและน้องตัวเองที่กำลังเคี้ยวอาหารแห้งกันกรุบๆ

    “คิดถึงแกงเขียวหวาน คิดถึงต้มยำกุ้ง” เรย์บ่นพลางกัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งคาซอง กัดมันทั้งสภาพแห้งๆ กรอบๆ นั่นล่ะ

    …เฮ้อ ตอนนี้พวกเราไม่มีกระทั่งน้ำต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกันด้วยซ้ำ แม้แต่อาหารมนุษย์สิ้นเดือนพวกเราก็ยังไม่มีปัญญาทำกิน

    สำหรับคนที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอดอย่างเราสามคน การที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ช่างเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน

    ผมคว้าอาหารแห้งที่ใกล้ตัวที่สุด…ขนมข้าวเกรียบ มาแกะกินเป็นอาหารเช้าโดยพยายามไม่อิดออด พยายามไม่คิดถึงข้าวต้มกุ้งแสนอร่อยฝีมือแม่ที่เคยนั่งกินกันอยู่ทุกวัน

    ไม่มีข้าวต้มกุ้ง กินข้าวเกรียบกุ้งประทังชีวิตไปก่อนละกันนะ

    “นี่เสื้อพี่เหรอพี่นัย” ดาวที่กำลังนั่งกัดหมูแดดเดียวอยู่ถาม เธอยู่หน้าเล็กน้อยเพราะความแข็งจนกัดไม่แหลกของมัน

    ผมมองฮู้ดสีดำที่น้องยึดไปใส่ “เออ พี่ให้ ใส่ไปเถอะ”

    อากาศในถ้ำค่อนข้างหนาว สำหรับสาวน้อยบอบบางอย่างเธออาจจะป่วยได้ง่ายๆ

    ในกระเป๋าผมมียาพาราอยู่แผงนึง กับยาแก้แพ้แบบไม่ง่วงอีกแผง แล้วก็ยาอมแก้ไอ ถ้ามีอะไรฉุกละหุกน่าจะพอใช้ได้บ้าง…หวังว่านะ

    “ว่าแต่…ที่นี่ที่ไหน ทำไมมีเสบียงอาหาร เสื้อผ้าเต็มไปหมด พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนกูกับดาวยังนอนอุตุอยู่ตรงที่เราเคยสู้กับไอ้พวกหิ่งห้อยพิษนั่นเหรอ” เรย์ถาม

    ผมคิดสองสามตลบว่าถ้าเฉลยไปตามตรงว่า ‘อ๋อ! ที่นี่ก็คือรังของไอ้ตัวที่เราเพิ่งฆ่าไปนั่นแหละ!’ พวกมันสองคนจะช็อคกันไหม สุดท้ายเลยเลี่ยงตอบ

    “ก็เมื่อคืนที่บอกว่าอยากสำรวจหาอะไรหน่อย ก็คือกูอยากมาสำรวจหาที่อุ่นๆ ให้พวกมึงนอนกันนี่แหละ แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอแจ็คพอตได้อาหารพวกนี้เป็นของแถม”

    “อาหารพวกนี้มาจากไหนกันนะ” ดาวอยากรู้

    ผมเลี่ยงไม่ตอบ นอกจากก้มลงไปกัดข้าวเกรียบกินราวกับมันอร่อยเหลือเกิน…จะว่าไปแล้วทุกอย่างล้วนอร่อยหมดแหละถ้าเรากินตอนกำลังหิวเต็มที่ จริงมั้ย

    อาหารมื้อเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราเทบรรดาหนังสือเรียนรกกระเป๋าออก (ตอนนี้ผมกับไอ้เรย์คงไม่มีอารมณ์มานั่งทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ตรีโกณมิติในถ้ำมหาภัยที่เต็มไปด้วยอันตรายหรอกมั้ง) เพื่อที่จะขนข้าวขนน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะขนได้ยัดใส่กระเป๋าเพิ่มเติมจากที่ผมใส่ให้เมื่อคืนจนมันตุง จากนั้น ผมก็ลุกขึ้นยืน สะพายกระเป๋านักเรียนทำท่าเหมือนจะไปโรงเรียน แต่ความจริงคือกำลังไปที่ไหนก็ไม่รู้ โดยมีกระเป๋าโคตรหนักจนหลังแอ่นแต่ไม่มีหนังสือเลยสักเล่มติดตัวไปหนึ่งใบถ้วน

    พอมื้ออาหารผ่านไป เราสามคนก็ค่อยๆ แทรกตัวผ่านก้อนหินเพื่อออกจากรังสัตว์ประหลาด แต่พอผมงัดตัวเองออกมาได้ ภาพที่เห็นในวันนี้ก็ทำผมตะลึง

    นี่มัน…เมื่อวานมันไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม แทนที่จะเป็นถ้ำมืดอับชื้น เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย หรือแอ่งน้ำค้างชวนรำคาญใจ กลับกลายเป็น…ถ้ำอัญมนีขนาดใหญ่

    ใช่ครับ…ถ้ำอัญมนี

    ไม่ใช่แค่เป็นถ้ำธรรมดาๆ ที่มีอัญมนีประปรายด้วยนะ

    แต่หมายถึงถ้ำทั้งถ้ำอะ ทำมาจากอัญมณีหมดเลย!

    มันสวยมาก…สวยแบบทำผมน้ำตาไหลอะ ความมืดมิดเมื่อคือหายไป แทนที่ด้วยแสงสว่างจากช่องเปิดทางออกถ้ำซึ่งมองเห็นป่าไพรได้ชัดเจน ผนังรวมถึงเพดานถ้ำที่เห็นนั้นคืออัญมณีบางอย่างผิวมันเรียบสีชมพู หินงอกหินย้อยต่างๆ นั้นก็มีขนาดใหญ่จนไม่ต้องกวนใจว่าจะเผลอไปเหยียบ อีกทั้งมันยังเป็นหินอัญมณีหลากสี ขอบเหลี่ยมราวกับผ่านการเจียระไนมาอย่างดีของพวกมันสะท้อนแสงตามเหลี่ยมมุมต่างๆ เกิดเป็นภาพสวยงามตระการตา

    “นั่นไง! ทางออก!” ดาวชี้ไปที่ทางออกจากถ้ำที่โผล่มาได้ไม่ทราบด้วยความดีใจ สายตาของเด็กสาวเป็นประกายสดใสสุดๆ ที่ในที่สุดก็จะได้ออกจากถ้ำแคบชวนอึดอัดสักที

    “บอกทีว่าเรากำลังจะไปทางนั้น” เรย์ถามด้วยประกายตาแห่งความหวัง

    ผมมองทางแสงนำทางซึ่งนำพวกเราเข้าไปในถ้ำลึก และท่าทางแบบนั้นก็คงเป็นคำตอบให้ทั้งสองคนแล้ว

    ดาวถอนใจ พูดเสียงอ่อย “…ก็ได้ อย่างน้อยถ้ำอัญมณีก็ยังดีกว่าถ้ำหินที่มีหิ่งห้อยยักษ์พ่นพิษได้แล้วกัน”

    ผมหัวเราะหึ “ยังจะคิดว่านี่เป็นโลกปกติที่เราเคยอยู่อยู่อีกเหรอ”

    “โลกปกติ? มึงหมายความว่าไง” เรย์ถาม

    “ไอ้เรย์…เราเจอหิ่งห้อยยักษ์ปริศนา แล้วกูก็มีพลังวิเศษขึ้นมา แล้วพอตอนเช้าเราตื่นมาอยู่ๆ ก็ราวกับโลกเปลี่ยนมิติ…พวกมึงคิดว่าที่นี่คือสถานที่ธรรมดาๆ แบบที่บ้านที่โรงเรียนที่เราเคยอยู่อีกเหรอวะ” ผมร่ายยาว

    ดาวตาโต “พี่นัยมีพลังวิเศษ!?”

    ผมถอนหายใจยาว ยกแขนขึ้นมาข้างหนึ่ง กำมือ บังเกิดเป็นประกายแสงสีส้มบางอย่างวิ่งวนรอบมือผมเป็นเกลียวไปถึงข้อศอก การแสดงให้สองคนนั้นเห็นชัดๆ ทำให้ทั้งดาวและเรย์แววตาลุกวาบ ดูราวกับเด็กอนุบาลนั่งดูการ์ตูนพลังวิเศษครั้งแรก

    “โคตรเจ๋ง!” เรย์ร้อง “กูว่ากูโชคดีละล่ะที่ตัดสินใจตามมึงมา ได้เห็นอะไรแบบนี้ถือว่าคุ้มสุดๆ”

    ผมส่ายหน้าขำ ลดมือลง ประกายแสงสีส้มนั้นหายไป แล้วมองไปทางที่พวกเราต้องไปต่อ ปากก็ว่า

    “อย่ามัวแต่อึ้งเลย ยังไงพวกเราก็คงต้องอยู่กับอะไรแปลกๆ แบบนี้ไปอีกนาน หิ่งห้อยยักษ์มันคงเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ที่เราต้องเจอเท่านั้นแหละ เราอาจจะต้องเจออะไรที่อันตรายและน่าเหลือเชื่อกว่านี้อีกเยอะ ทำใจให้ชินเถอะ”

     

    พอถ้ำมืดเปลี่ยนเป็นถ้ำอัญมณี นอกจากความสวยงามที่มีมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคืออากาศ ความอับชื้นหายไป แทนที่ด้วยความเย็นสบายราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในท้องนภา ในบางจังหวะผมถึบกับได้ยินเสียงดนตรีแสนไพเราะซึ่งคล้ายว่าจะดังมาจากอัญมณีเหล่านั้นแผ่วเบา

    นุ่มนวล ขับกล่อม ราวกับต้องมนต์สะกดให้ตกอยู่ในห้วงนิทราชั่วนิรันดร์

    หนังตาผมเริ่มหนักอึ้ง ความง่วงเข้าเล่นงานแม้เพิ่งตื่นเช้ามาไม่นาน

    “พี่ว่าที่นี่คืออะไรแบบว่า…โลกเวทมนต์ โลกต่างมิติ อะไรแบบนั้นหรือเปล่า” เสียงของดาวเป็นตัวปลุกผม

    “คงงั้นมั้ง” ผมตอบรับ “ถ้าเป็นงั้นก็อธิบายได้ว่าทำไมถึงหาราตรีไม่เจอสักทีถึงจะพยายามมานาน ที่ไหนได้…อยู่กันคนละโลกนี่เอง”

    สีหน้าของเรย์ยับมากเหมือนโดนจับยัดแกงขี้เหล็กเข้าปาก

    ผมคิ้วกระตุก “มึงคงไม่บ่นว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรอกใช่มั้ยหลังจากที่เราเจอเรื่องทั้งหมดนี่มา?”

    มันเม้มปาก สีหน้าเปลี่ยนทันที ”เออเค ไม่ละ” แล้วมันก็กลับมาทำหน้างงอีกรอบ “แต่กูก็ยังสงสัยว่า…อะไรที่ทำให้มึงยอมทำเพื่อคนไม่มีตัวตนขนาดนี้วะ”

    เอ้าไอ้นี่! ปั๊ดพ่อต่อยแว่นหัก!

    ผมถอนใจแบบเหนื่อยหน่ายสุด “กูไม่รู้ ให้กูบรรยายวันนี้คงไม่จบ…”

    “กูฟังได้” มันแทรกขึ้นทันที สีหน้าอยากรู้อยากเสือกมาก

    ผมตบหัวเพื่อนไปป๊าบนึงให้มันด่าพ่อผมเล่น (ซึ่งพ่อผมก็พ่อดาวอะแหละ พอน้องสาวผมส่งสายตามองแรงไปให้ มันถึงกับเงียบกริบ ยกมือขอโทษดาวแทบไม่ทัน)

    “สรุปคือ พี่นัยกำลังออกเดินทางตามหาราตรีคนนั้น” น้องสาวผมสรุป “โดยตัวนำทางของพี่คือจี้ระวีสีพฤกษ์ที่ใส่อยู่ และระหว่างทางเราก็อาจจะเจอกลอนพวกนั้นเพิ่มเติมมาให้เบาะแสหรือช่วยเฉลยปมปริศนาต่างๆ ของเราด้วย”

    “อ้อ…” เรย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วมันก็สงสัยอีกรอบ “แล้วมึงไปได้ระวีสีพฤกษ์นี่มาจากไหนวะ”

    ผมกำรอบจี้หยกที่คอ สัมผัสของมันอุ่นมือ ทั้งยังสั่นนิดๆ ราวกับกำลังแผ่พลังงานบางอย่างออกมา “…สุนิสา สาเป็นคนให้กูมา”

    ดาวขมวดคิ้ว “สา? ใครอะพี่”

    “เออใครวะ” เรย์ก็สงสัย

    “เอ้าไอ้พวกนี้นี่” ผมหมั่นไส้ “ก็สาคนดังของโรงเรียนไง…ไอ้เรย์ก็กูก็เคยพาไปส่องตอนสาเรียนคาบพละอยู่เลย นั่นน่ะระดับสาวฮอตมีเสน่ห์สุดยอดเลยนะ”

    เรย์กะพริบตาปริบๆ หัวสมองมันดูว่างเปล่ามาก “ใครวะ…สาเรียนห้องไหน มออะไรวะ”

    “ก็เรียนห้อง…ห้องไหนวะ” คำตอบเหมือนติดอยู่ในส่วนลึกของสมอง แต่พอผมจะเค้นออกมา กลับเค้นไม่ออก “อยู่มอห้าเหมือนเรา…เปล่าวะ”

    ข้อมูลของสุนิสาในหัวผมช่างเลือนราง ผมคลับคล้ายคลับคลาแค่ว่าเคยยกเพื่อนไปส่องสาตอนคาบพละ…แต่คาบพละตอนไหน เมื่อไหร่ เธออยู่ห้องไหน ชั้นอะไร หรือแม้กระทั่งสถานที่ที่ผมเคยส่องเธอทุกอย่างล้วนเลือนรางและไม่มีคำตอบ

    “…” ดาวกับเรย์รอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ

    “…ไม่รู้ว่ะ” ประโยคนั้นของผมแผ่วเบา

    ดาวถอนหายใจ ใบหน้าหวานแหงนมองอัญมณีหินงอกด้านบน “ทุกอย่างรอบตัวเราตอนนี้…มีแต่ปริศนาอะไรไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมดเลยนะ”

    “…อืม” ผมตอบรับ

     

    พอเดินมาได้สักพัก (อาจจะประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง) ถ้ำอัญมณีจากที่เคยมีอัญมณีหลากหลายสี เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเหลือเพียงสีแดงกับดำ อากาศที่เคยเย็นสบายกลับกลายเป็นร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเสียงดนตรีที่เคยดังคลอขับกล่อมก็เงียบหายไป

    ดาว เรย์ หรืออาจจะรวมผมด้วย เริ่มมองไปรอบด้านด้วยความหวาดระแวง บรรยากาศรอบตัวเราตอนนี้ราวกับกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ดงซาตาน หรือไม่ก็เมืองนรก

    “เฮ้ยหลบ!” ผมพูดเสียงกระซิบ รีบดันผู้ร่วมทางทั้งสองคนเข้าไปหลบหลังอัญมณีงอกท่อนใหญ่

    ดาวกับเรย์มีท่าทางงงงวยตอนแรก แต่พอทั้งคู่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มเข้าใจ

    ตรงหน้าพวกเราตอนนี้…คือยักษ์ตนใหญ่สองตัว

    ใช่ครับ…ยักษาตามตำนานเมืองไทยเลย ร่างกายสีเขียวทั้งตัว ดวงตาปูดโปน จมูกแบนกว้าง ริมฝีปากใหญ่ มีเขี้ยวโดดเด่น สูงประมาณสามสี่เมตร ท่อนบนเปลือยกาย ท่อนล่างสวมโจงกระเบนสีกรม ในมือใหญ่ถือกระบอกขนาดใหญ่พอที่จะฟาดผมให้กลายเป็นดนัยป่นได้ภายในครั้งเดียว

    ยักษาสองตนกำลังยืนเฝ้าหน้าประตูบางอย่าง เป็นประตูไม้ทาสีแดง ขอบประตูมีทองเคลือบ ขนาดของประตูนั้นใหญ่พอที่จะทำให้ผมสี่คนต่อตัวกันเดินผ่านไปได้สบายๆ

    ผมมองแสงนำทางที่ทอดยาวเข้าไปแล้วก็เสียวสันหลังวาบ

    …ตกลงว่ามันจะพาเราไปหาราตรี หรือพาเราไปตายกันแน่นะ

    ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้าของรอยเท้าต้นกำเนิดแห่งแสงนำทางเหล่านั้นคือใคร ทางง่ายๆ ทำไมไม่ไป ทำไมหาเรื่องตายเก่งกันจัง

    “มึง!” เรย์สะกิดผมยิก “เราควรหนี ไม่ใช่เข้าไป!”

    “เออ กูรู้!” ผมสะบัดเสียงใส่ “แต่ประเด็นคือ แสงนำทางมันชี้เข้าไปในนั้นไงมึง!”

    “แย่ล่ะสิทีนี้…” ดาวเหงื่อตก “…พวกเราจะทำยังไงกันดี”

    ผมวางกระเป๋านักเรียนฝากไว้กับเรย์และดาว “เดี๋ยวพี่เข้าไปคุยก่อน ถ้าเหมือนจะไม่รอดเมื่อไหร่ รีบหอบเสบียงหนีไปทันทีเลยนะ”

    น้องสาวผมจะค้าน “แต่…”

    “นี่เป็นคำสั่ง” ผมพูดด้วยเสียงเด็ดขาด

    ตัวผมจะเป็นยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่สองคนนี้…

    ยังไม่ทันที่น้องจะเอ่ยประโยคถัดมา ผมก็ปรากฏตัวขึ้นให้ยักษ์เฝ้าประตูทั้งสองตนเห็น

    ตะบองขนาดเท่าท่อนไม้ชี้มาทางผมทีเดียวสองตะบองแบบคงกะเอาให้ผมแบนเป็นข้าวแต๋น สายตาปูดโปนนั้นฉายแววข่มขู่ ร่างกายใหญ่โตตั้งมั่น ปากใหญ่ก็แสยะจนเผยให้เห็นรอยฟันชนิดที่กัดผมแหลกได้ภายในครั้งเดียว

    “สวัสดีครับ ผมชื่อดนัย…เป็นนักเดินทางที่ผ่านมาทางนี้” ผมพยายามเจรจาด้วยรอยยิ้มการค้า “ไม่ทราบว่า…ผมพอจะใช้เมืองเมืองนี้เป็นเส้นทางของผมได้มั้ยครับ”

    สายตาของสองยักษ์ที่มองมา ทำให้ผมเริ่มคิดว่า…

    หรือว่ากูจะรอดจากหิ่งห้อยมาเพื่อโดนยักษ์แดกตายวะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×