คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การผจญภัยช่วงที่ 1 ถ้ำวังเวง กับเพลงกลอนของเทพวารี
การผจญภัยช่วงที่ 1
ถ้ำวังเวง กับเพลงกลอนของเทพวารี
ตุบ!
ก่อนที่ผมจะทันได้ร้องโวยวายอะไร พอรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่บนพื้นซะแล้ว
“…”
ครั้งที่สองของวันแล้วนะที่ผมสติหลุดอย่างรุนแรง
มองไปด้านบนก็เห็นน้องสาวตัวเองวิ่งหน้าซีดมายืนอยู่ปากหลุม กับเพื่อนสนิทที่โน้มตัวลงมาที่ปากหลุมอีกข้าง
หลุมนี้ลึกเกินไปที่จะปีน และอันตรายเกินไปในการกระโดดลงมา ผมละสายตามองไปรอบด้าน จนได้เห็นทางเดินใต้ดิน และแสงนำทางที่กลับมาอีกครั้ง
ข้างหน้าผมตอนนี้คือถ้ำขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ใต้ดินหลังโรงเรียนผมได้ มองตรงไปมีแต่ความมืดมิด เห็นเพียงเส้นนำทางที่เรืองแสงท่ามกลางความมืด แต่แสงของมันก็เป็นแสงสีเขียวที่ให้ความรู้สึกเหมือนหน้งสยองขวัญ สภาพทางที่ผมกำลังจะไปเลยดูราวกับทางไปสู่บ้านแม่มดก็ไม่ปาน
ผม…น่าจะเอาไฟฉายมานะ
ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะไปต่อ หรือจะนั่งโง่รอการช่วยเหลือ ให้มีคนพาผมขึ้นไป จากนั้นก็ไปเอาไฟฉาย เสื้อผ้า เสบียงต่างๆ มา แล้วค่อยกลับมาใหม่อีกรอบดี ในตอนที่ได้ยินเสียงตุบสองทีข้างหลัง หันกลับไปก็เจอเพื่อนและน้องสาวรวมสองหน่อกำลังยืนทำหน้าสลอนอยู่ตรงนั้น
“…”
วินาทีแรก เราสามคนมองกันนิ่ง
วินาทีต่อมา ผมร้องลั่น “จะกระโดดลงตามมาทำไม!!!”
ดาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ใครกระโดด ดาวหายตัวลงมาเถอะ”
ส่วนเรย์พยักหน้า “ก็พอจะรู้อยู่หรอกตอนโดดตามดาวลงมา แต่ไม่ทันได้ร่วงด้วยซ้ำเท้าก็เหยียบพื้นแล้ว”
ผมสะกิดใจนิดหน่อยที่สองคนนี้ก็เป็นเหมือนผม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องการไง!
“แล้วพวกมึงจะกระโดดตามลงมาหาหอกอะไรวะครับ!?” ผมโวยวาย “มันอันตรายนะรู้มั้ย ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง หลุมลึกขนาดนี้ใครเขาจะเห็นจะมาช่วย!?”
ดาวถลึงตาใส่ผม “คำพูดนี้พี่ควรบอกตัวเองดีกว่ามั้ย”
“แล้วทำไมแกไม่ไปวิ่งตามผู้ใหญ่ กระโดดตามลงมาคิดว่ามันจะมีประโยชน์เหรอ!” นี่คือหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมใช้ความเป็นพี่ชายในการดุน้องตัวเอง
แต่ดาวก็คือดาว เพราะมันก็แค่กลอกตาแล้วว่า “มีประโยชน์กว่าแน่นอน ยิ่งดาวทำอย่างนั้นพี่ก็จะรีบใช้โอกาสนั้นหนีไปล่ะสิไม่ว่า สู้ตามมาเลยดีกว่าจะได้รู้ว่าพี่แม่งกำลังจะทำเรื่องบ้าอะไรอีก”
รู้ทันกูอีก!!!
เส้นขมับผมนี่เต้นตุ้บๆ น้ำตาจะไหลเมื่อรู้ว่าน้องสาวผมรักผมมาก รักจนกลัวว่าจะก่อเรื่องจนต้องตามมาควบคุม!
คือผมก็ยอมรับแหละว่าตัวผมก็ไม่ใช่พี่ชายที่ดีนักหรอก เป็นไอ้เด็กจอมขี้เกียจที่ตอนไปเรียนทีก็ต้องให้น้องปลุกที ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพิ่งมามีตอนนี้แหละที่เริ่มสำนึกผิดละว่านี่น้องถึงกับต้องตามผมมาขนาดนี้เลยเหรอวะ
“…เรย์” ผมหันไปคาดคั้นอีกคนแทน
เรย์ยักไหล่ “กูไม่รู้ กูตามดาวมา”
ไอ้นี่ก็สิ้นคิด!!!
คือผมก็รู้แหละว่ามันติดผมกับดาวมาก คือมันเป็นลูกชายคนกลางของบ้านที่ไม่ได้เป็นที่คาดหวัง หรือเป็นคนต้องดูแล ออกจะจืดจางด้วยซ้ำ พอไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่เท่าไหร่ มีเพียงผมกับน้องที่เป็นเพื่อนเล่นมันมาตั้งแต่เด็ก การที่มันจะยึดติดผมกับดาวก็ไม่แปลก
แต่นี่มันเกินไปไหม
ผมเริ่มหนักใจแล้ว ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะปัญหาส่วนตัวของผมทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัว ทุกคนควรอยู่ห่างจากเรื่องนี้ให้มากที่สุด
อะไรบางอย่างบอกผมอย่างนั้น
“รออยู่นี่จนกว่าจะมีคนมาช่วย” ผมออกคำสั่ง
“ได้” ดาวรับปาก ผมเกือบเบาใจแล้วถ้าเธอไม่พูดต่อว่า “แต่พี่ต้องอยู่ตรงนี้ด้วย”
ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง คู่หนึ่งรู้เท่าทัน อีกคู่กระวนกระวาย
“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่” เรย์ถามขึ้น ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นมองมาอย่างมีข้อกังขา
“อะไรที่ไม่เกี่ยวกับพวกแก” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงเหินห่าง “กลับไปเสีย ถ้าไม่อยากชีวาวาย”
“…”
ทุกคนตรงนั้นนิ่งเงียบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด
ดาวยักคิ้ว “ชีวาวาย?” แล้วพูดเสียงกดต่ำ “คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มีสิทธิ์เที่ยวบอกชาวบ้านว่าเขากำลังจะตาย”
“…”
ผมหรี่ตามองดุน้องตัวเอง
เรย์เดินเข้ามาแทรกกลาง “เอ่อ…ทั้งคู่ใจเย็นๆ นะ”
ผมได้สติ กะพริบตาแรงๆ สองสามที แล้วถาม “ถ้าฉันบอกว่าฉันจะไป พวกเธอจะเอาไงต่อ”
ดาวกับเรย์สบตากัน ก่อนตอบมาพร้อมกัน
“จะไปด้วย”
“แล้วถ้าไม่ให้ไป?” ผมถาม
“พีไม่มีสิทธิ์” ดาวกอดอก “พี่นัย…พี่รู้หรือเปล่าว่าจี้ที่คอพี่ จริงๆ แล้วมันเรียกว่า ‘ระวีสีพฤกษ์’ น่ะ”
ผมสะดุ้ง รีบจับของบนคอด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ สัมผัสของจี้หยกให้ความรู้สึกเย็นเฉียบราวน้ำแข็งหิมะ
ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใคร…แล้วน้องสาวผมรู้ได้อย่างไร
“ย้อนไปเมื่อสมัยดาวยังเด็ก ดาวเคยสัมผัสกับใครบางคน ใครคนนั้นบอกดาวว่า วันหนึ่งพี่จะได้ครอบครองระวีสีพฤกษ์ และครองคู่รักกับผู้หญิงในฝัน”
“!!!”
ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างมือของผมกับจี้หยกอย่างไหนเย็นกว่ากัน สิ่งที่ผมมั่นใจที่สุดในชีวิตคือผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ไม่มีคนรอบตัวผมคนไหนรู้เรื่องนี้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าผมจะกระวนกระวายใจอยากหาคำตอบอย่างไร กระเสือกกระสนคิดหาวิธีเพ้อเจ้ออยากพบคนในฝันมากแค่ไหน หรือแม้กระทั่งแทบทุกคืนที่น้ำตาของผมมักจะไหลลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งหมดนั้นผมล้วนเก็บไว้คนเดียว แม้บางครั้งความอึดอัดใจเล่นงานผมจนแทบกระอัก แต่ผมก็อดทนต่อไปด้วยความหวังว่าวันหนึ่งผมจะได้พบเธอ
แต่สุดท้าย…น้องสาวผมกลับรู้เรื่องบางอย่างขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งยังทิ้งปริศนาไว้แค่นั้น
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าระหว่างโกรธคนที่ไปเจอดาว กับหงุดหงิดน้องสาวของตัวเอง อย่างไหนเป็นความรู้สึกผม หรือจะเป็นทั้งคู่
ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมกำลังก้มหน้านิ่ง มือข้างหนึ่งกำจี้แน่นจนสั่น ความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกจากจี้หายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากสภาพอารมณ์ของผมเอง
คุณลองนึกตามสิ ลองเป็นคุณที่ต้องเก็บงำอะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตคุณมากๆ มาเป็นสิบๆ ปี เก็บความอึดอัดดุจไฟโลกีย์ไว้จนหัวใจแทบสลาย จนมาถึงวันหนึ่งที่คุณได้โอกาสออกเดินทางหาคำตอบ แต่ว่าอยู่ๆ คนที่คุณไม่เคยอยากให้ข้องเกี่ยวก็กระโดดตุ้บมาแล้วบอกว่าเป็นเขานั่นแหละที่รู้เรื่อง ไม่ใช่ผม
ผมเงยหน้าสบตาดาว ผมคิดว่าสายตาของผมคงน่ากลัวมากแน่ๆ เพราะเรย์ถึงกับเอาตัวมาบังน้องสาวผมไว้
“นี่น้องมึงนะไอ้นัย” มันพยายามเตือนสติ
“ถ้าอยากไป…ก็ได้” ผมพูดเสียงเย็น “แต่รับผิดชอบชีวิตตัวเองก็แล้วกัน”
ว่าแล้วผมก็หันหลังหนี ก้าวฉับๆ เข้าถ้ำตามแสงนำทาง จังหวะนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่กำลังวิ่งตามมา พร้อมกับเสียงของดาวที่ร้องว่า
“ประโยคนั้นเก็บไว้พูดกับตัวเองเถอะ ไอ้มนุษย์ตื่นสาย!”
ถ้ำแห่งนี้พอเข้ามาข้างในแล้ว บรรยากาศก็ช่างวังเวงอย่างกับหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญไม่มีผิด หินงอกบางอันก็แหลมคมจนน่ากลัวว่าถ้าเหยียบเข้าอาจจะมีคนเท้าเป็นรูกลับบ้าน หินย้อยก็แลดูน่ากลัวว่าจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ บางครั้งก็ได้ยินเสียงน้ำค้างตกกระทบพื้นแผ่วเบาเป็นระยะๆ แต่บางจังหวะเสียงนั้นมันก็ชวนขนหัวลุกเสียเหลือเกิน
สีเดียวที่ผมมองเห็นตอนนี้คือสีเขียวจากแสงนำทาง มันสะท้อนจนเกิดเป็นเงาเขียวอี๋ไปทั่วทั้งถ้ำ ผมสำนึกเสียใจเป็นครั้งที่ล้านว่าทำไมไม่เอาไฟฉายมาวะ
ไฟฉาย เสื้อผ้า อาหาร ปัจจัยสี่ ตอนนี้ผมไม่มีสักอย่าง ความพร้อมอะไรต่างๆ ก็ไม่มี
เราสามคนยังใส่ชุดนักเรียนสะพายเป้โรงเรียนกันอยู่ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะยัยดาวที่มาทั้งเสื้อคอซองของเด็ก ม.๓
อารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ ที่พาผมมาที่นี่
นอกจากความมืดแล้ว ยังมีความชื้นและความเงียบสงัดที่รบกวนจิตใจ ไหนจะกลิ่นเหม็นอับที่ลอยมาติดจมูก บางครั้งถ้าเผลอไปเหยียบน้ำบนพื้นเข้าก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากให้รองเท้านักเรียนผมเปียกโชกอีก
ถ้าผมต้องกลับบ้านไปด้วยสภาพเสื้อเปรอะดิน เท้าเปื้อนน้ำอย่างนี้ ถ้าไม่โดนแม่ด่าก็มีแต่ว่าแม่ไม่อยู่บ้านเท่านั้นแหละ
“ถ้ำนี้มืดจังเลยนะ” เรย์บ่นขึ้นในความเงียบ
“ก็ใช่แหละ” ผมเห็นด้วย “ถ้าไม่ได้แสงนำทางกูก็มองอะไรไม่เห็นเหมือนกัน”
“แสงนำทาง?” เพื่อนผมสงสัย
“บนพื้นไง?” ผมบอก แต่ตอนนี้ก็เริ่มคิดละล่ะว่าหรือพวกมันจะมองไม่เห็นวะ
“คงเป็นเพราะระวีสีพฤกษ์ที่พี่ใส่อยู่” ดาวอธิบาย “มันคงกำลังนำทางพี่ตามคำที่คนๆ นั้นว่านั่นแหละ”
“แล้วตกลงเธอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับระวีสีพฤกษ์บ้าง” ผมถาม
ดาวจ้องหน้าผมกลับ “ก่อนอื่น…ดาวว่าพี่เล่าสถานการณ์ของพี่มาก่อนดีกว่า พี่ต้องการอะไร สิ่งไหนที่ทำให้พี่มาอยู่ที่นี่”
ผมเม้มปาก ตอนแรกอึดอัดใจ แต่ต่อมาก็ยอมรับความจริงและเล่าความฝันตลอดสิบปีของผมทั้งทั้งคู่ฟัง ผมกลัวใจเหลือเกินว่าจะถูกด่าว่าเป็นคนบ้า แต่การตอบกลับของดาวและเรย์นั้นก็มีเพียงนิ่ง พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจความคิดผม
“ตาเธอแล้วนะ” ผมบอก
ได้ยินเสียงถอนหายใจของน้องสาวแว่วมา “ก็ไม่รู้อะไรมากหรอก รู้แค่ว่าเขาคนนั้นเปรยๆ ว่าระวีสีพฤกษ์จะช่วยแถลงทาง ส่วนคำกลอนจะช่วยแถลงใจ”
ประโยคของน้องทำให้ผมสะดุดหู “คำกลอน ?” ผมหยิบใบไม้ที่เคยเก็บได้ออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียน ตัวอักษรสีทองมันวาวนั่นคล้ายจะเรืองแสงในความมืด “เหมือนก่อนตกลงมา พี่จะได้ใบไม้สลักกลอนใบหนึ่งมา”
“ใบไม้สลักกลอน!?” เสียงของเรย์ฟังดูแปลกใจมาก ทั้งมันทั้งดาวรีบก้าวมาดูข้อความที่อยู่บนใบไม้ในมือผม ก่อนที่เรย์จะเริ่มอ่านออกเสียง
“ ‘การเวกร้องเพลงบรรเลงเสียง
เอ่ยสำเนียงเพรียงเพราะเสนาะขัน
สองหนุ่มสาวคู่รักไม่พลัดกัน
ดั่งสวรรค์บันดาลให้เป็นไป’ ”
“หมายถึงคำกลอนนี้หรือเปล่านะ” ผมรำพึง
“ถ้าคำกลอนจะช่วยแถลงใจ มันก็คงหมายความว่า กลอนนี้กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับพี่” ดาวบอก
“ถ้ากลอนมันกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง แสดงว่านี่คงไม่ใช่บทเดียวที่มีอยู่” สมองของผมเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่กำลังต่อติดกัน “งั้นก็หมายความว่ากลอนบทอื่นๆ รอเราอยู่ แสงแห่งระวีสีพฤกษ์กำลังนำเราไปสู่สิ่งนั้น”
เรย์ถอนหายใจแรง “ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก ทำไมไม่โยนคำกลอนมาทีเดียวทั้งหมดให้รู้กันไปเลยวะ”
ผมถึงบางอ้อ “สรุปคือ ระหว่างการเดินทาง เราจะต้องเก็บสะสมคำกลอนพวกนี้ให้พบแล้วนำไปแก้ปริศนาสินะ…ให้ตายเถอะ นี่เรากำลังเล่นเกมเด็กประถมอยู่หรือไง” ประโยคสุดท้ายทำได้แค่หัวเราะแกนๆ
“เล่นเกมเด็กมัธยมล่ะมั้ง” เรย์ว่า “สรุปว่า สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือเดินตามไอ้ระวีสีพฤกษ์อะไรนี่ไปสินะ…รู้สึกเหมือนเป็นหนูน้อยฮันเซลกับเกรเทลที่กำลังเดินตามหินที่ถูกโรยไว้ยังไงไม่รู้”
“ไม่ใช่อะ” ดาวแย้ง “เหมือนเป็นเด็กน้อยที่กำลังเดินตามช็อคโกแลตที่ผู้ใหญ่โรยไว้บนพื้นเพื่อให้ไปหามากกว่า”
ไม่มีใครแย้งคำของเธอ
“สิ่งที่รอเราตรงหน้าคงไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีหรืออะไรที่น่าอภิรมย์หรอก นี่มันกับดักชัดๆ” เรย์บ่น
“ได้เจอคนๆ นั้นบ่อยมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดมากไปกว่านี้
“ไม่ แค่ครั้งเดียว…แต่นั่นก็มากพอให้ดาวตัดสินใจตามพี่มา” ดาวเปลี่ยนเรื่องตาม แต่บรรยากาศตึงเครียดก็กลับมาอีกครั้งเมื่อเธอพูดประโยคถัดไป “พี่นัย ถ้าเกิดว่าจุดมุ่งหมายของการเดินทาง คือการเดินทางไปพบราตรีที่โลกวิญญาณ…ถ้ามันต้องแลกมากับชีวิตพี่ พี่จะยังทำอยู่ไหม”
“…”
เคยไหมครับ…ความรู้สึกที่เรียกว่าน้ำท่วมปาก คำถามง่ายๆ ที่แค่ใช้หลักเหตุผลง่ายๆ ก็ตอบได้ แต่พอถึงเวลาที่ต้องตอบจริงๆ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ผม…ไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย
เรียกได้ว่าถ้าเป็นเรื่องของราตรี ความรู้สึกของผมมักจะนำหน้าเหตุผลไปก้าวหนึ่งเสมอ ถ้าเป็นเรื่องของเธอ สามารถทำให้วันดีๆ ของผมพังทลายลงได้อย่างง่ายๆ เธอเป็นมากกว่าคนในใจผม เธอเป็นมากกว่าคนในความฝัน เธอเป็นราวกับสายลำธารที่เลี้ยงชีวิต เป็นหลักยึดให้เกาะไว้เสมอมา
ผมไม่เคยคิด…ว่าถ้าวันหนึ่งเป็นเธอที่ทำลายชีวิตผม ผมจะทำอย่างไร
“ดาวไม่รู้หรอกนะว่าคนในฝันพี่จะสำคัญกับพี่ขนาดไหน” น้องสาวผมว่าต่อ “แต่ในโลกความจริง พี่มีดาว มีพี่เรย์ มีพ่อมีแม่นะ พี่ไม่ใช่คนเร่ร่อนไร้บ้าน แต่พี่มีเพื่อน มีสังคม มีคนที่รักพี่ พี่…จะหันหลังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพราะใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตนจริงๆ เหรอ”
ประโยคสุดท้ายเสียงของเด็กสาวผู้ที่เข้มแข็งมาตลอดกลับเครือลง ผมที่ควรจะกอดปลอบใจน้องกลับหันหน้าหนี ตอบไปประโยคหนึ่งด้วยความมั่นใจ
“…ราตรีมีตัวตน”
“แล้วเธอ…มีตัวตนมากกว่าตัวตนของครอบครัวที่ให้กำเนิดพี่ขึ้นมา มีค่ามากกว่าพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่รอบตัวพี่ในทุกๆ วันอีกงั้นเหรอ?” ดาวถามอีก
ผมไม่รู้จะตอบคำถามน้องยังไง นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง…ท้ายที่สุดแล้วก็จะไม่มีใครเข้าใจผม
พ่อแม่อาจจะให้กำเนิดร่างกายของผม แต่คนที่ให้กำเนิดหัวใจของผมคือเธอ พ่อแม่อาจจะหล่อเลี้ยงให้ผมเติบโต แต่ราตรีต่างหากที่ทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตต่อไป เธออยู่กับผมในหัวใจ อยู่กับผมในลมหายใจ อยู่ด้วยกันทุกวินาที
…เธอคือทุกอย่าง
ทุกอย่างของดนัยคนนี้
“พี่…ต้องทำ มันคือความหมายในการมีอยู่ของชีวิตพี่” ผมตอบตามที่ตัวเองคิด เลิกคาดหวังแล้วว่าคนฟังจะเข้าใจ
“ถ้างั้นการปกป้องคนในครอบครัวก็คือความหมายในการมีชีวิตอยู่ของดาวเหมือนกัน”
แต่คำตอบของน้องกลับเป็นเหมือนหมัดที่สวนเข้าเบ้าหน้าผม
“…”
“ดาวเคารพการตัดสินใจของพี่แล้ว พี่เคารพการตัดสินใจของดาวเถอะ” น้องร้องขอ “ไม่ต้องเข้าใจดาวก็ได้ เพราะดาวก็ไม่เข้าใจพี่ แต่การอยู่ร่วมกันในสังคม นอกจากความเข้าใจแล้ว ความรักและการเคารพการตัดสินใจของกันและกันก็สำคัญเหมือนกันไม่ใช้เหรอ”
“…”
ทั้งผมทั้งดาวต่างก็ถูกเลี้ยงมาในแวดวงนักธุรกิจที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เราสองพี่น้องถูกฝึกให้มีความเฉลียวฉลาดและทักษะชีวิตที่ต้องพัฒนา มันเลยเข้าใจได้ว่าทำไมทั้งผมทั้งน้องถึงได้มีวุฒิภาวะมากกว่าวัยรุ่นทั่วไป
แต่ผมเองก็คิดนะว่า คำพูดที่เพิ่งออกมาจากปากน้องสาวตัวเองเมื่อกี๊ คือคำพูดของเด็ก ม.3 จริงๆ เหรอวะ
ระหว่างทางเดินมีบทสนทนากันเป็นระยะๆ แต่ครั้งนี้จะเน้นคุยเรื่องสัพเพเหระกันมากกว่า เพราะหลังจากผมเจอวลีว่า ‘เคารพการตัดสินใจ’ ของดาวไป ผมก็ไม่คิดจะซักไซ้อะไรเธออีก
พอเดินมาสักพักความหิวก็เริ่มเล่นงาน ผมเองก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะเอายังไงกับอาหารมื้อเย็นดี
อดข้าวไม่เท่าไหร่ แต่อดน้ำนี่เรื่องใหญ่อยู่นะ ผมไม่อยากพาเพื่อนและน้องตัวเองมาตายเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่ออกเดินทางโดยไม่มีความพร้อมหรอก
ผมเริ่มคิดถึงร้านสะดวกซื้อข้างบน มันเป็นอะไรที่หาง่ายยิ่งกว่าหาเห็ด พอหิวหรือนึกอยากได้อะไร ก็เลี้ยวเข้าไปแล้วซื้อเลย
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของผมสบายขนาดไหน ก็ตอนที่ต้องมาตกระกำลำบากแล้วนี่เอง
คิดเรื่องข้าวเรื่องน้ำได้ไม่ทันไร ผมก็เริ่มได้ยินเสียงธารน้ำไหลแว่วมาตามทาง ความรู้สึกของผมตอนนี้ราวกับเจอทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์
และเมื่อเดินมาอีกสักพัก พวกเราก็พบกับสายน้ำใต้ถ้ำจริงๆ แม้มันจะน่าสยดสยองไปหน่อยจากการสะท้อนแสงสีเขียว (ซึ่งมีแค่ผมที่เห็น) แต่แม้จะดูเขียวอี๋อย่างนั้น หากมองอีกทีก็พบว่ามันคงจะใสอยู่พอควร ชนิดที่ถ้ามีแสงมากกว่านี้หน่อยอาจจะเห็นสายน้ำแห่งนี้เป็นสีฟ้าใสเลยล่ะ
“นี่มันสวรรค์ชัดๆ ไปดูหน่อยดีกว่าว่าน้ำสะอาดพอกินมั้ย” ผมว่า กำลังจะเดินไปแต่ก็โดนเพื่อนตัวเองจับไว้
เรย์มองหน้าผมเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาด “มึงจะกินน้ำจากไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ”
ผมหัวเราะแห้ง “แล้วเรามีทางเลือกอื่นเหรอวะ”
“กูมี!” มันว่าพลางปลดเป้โรงเรียนออก ค้นกุกกักสองสามครั้ง ก่อนจะหยิบขวดน้ำขวดใหญ่ที่มีน้ำติดอยู่ก้นขวดออกมา
ผมยิ่งโล่ง “เอาน้ำในนี่เติมใส่ขวดมึง”
“ไม่ไอ้สัส สกปรก!” มันร้อง
ดาวก้าวไปยืนจังก้าอยู่หน้าหนุ่มแว่น ดวงตากลมโตของเธอฉายแววแข็งกร้าว “พี่เรย์คะ อย่าเรื่องมาก”
กึก
คนฟังชะงักไปจังหวะหนึ่ง รีบยกขวดน้ำให้เด็กสาวโดยเร็ว
ดาวคว้าขวดน้ำหมับ เดินดุ่มๆ ไปยังลำธาร กำลังจะเอาขวดจุ่มน้ำ และเพียงแค่ปากขวดแตะผิวน้ำเท่านั้น ลำธารทั้งสายก็สว่างวาบ
แม้แสงเจิดจ้าจะทำให้แสบตา แต่ผมก็รีบวิ่งหาน้องด้วยสัญชาตญาณ หากกลับต้องเจอกับแรงต้านมหาศาลจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ผมกำลังจะร้อง ในจังหวะนั้นเองที่แสงนั้นดับลง ผมรีบมองไปทางน้องสาว เธอยังปลอดภัยเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือบนสายน้ำมีใครบางคนกำลังลอยอยู่
ใช่ครับ…ลอยอยู่
ถ้าเป็นคนปกติอย่างไอ้เรย์คงตกใจจนตะลึง แต่ผมที่เจอเรื่องแปลกประหลาดมาจนชินแล้วก็ทำเพียงมองเขาอย่างพิจารณา
คนแคระหนุ่มวัยกลางคน สูงแค่ประมาณครึ่งหนึ่งของผมเท่านั้น ผมยาวลงจนถึงเท้า หนวดเครายุ่งเหยิงมองไม่เห็นจมูกและปาก ดวงตาสีฟ้าใสที่โผล่พ้นมานั้นเต็มไปด้วยรอยตีนกา สวมชุดเสื้อและกางเกงขายาวสีน้ำเงินอ่อนทั้งตัว แขนสองข้างของเขากางออก และถ้าดูให้ดี เหมือนจะมีรัศมีสีครามบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขาด้วย
ปากของเขาขยับเปล่งเสียง
“อันวารีแห่งนี้มีผู้รักษา
เมื่อเจ้ามาจักต้องตอบข้อสงสัย
เจ้าเป็นใครและมาจากที่ใด
ข้าจะให้เจ้าบอกชื่อเสียงเรียงนาม”
คำกลอนที่ออกมาจากตัวเขานั้นมีคีย์ขึ้นลงเป็นท่วงทำนองที่แม้ไม่ไพเราะเท่าทำนองเพลง หากเป็นจังหวะสะดุดใจที่ฟังเพียงครั้งเดียวก็ติดหู มันเป็นเพลงกลอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบที่ผมไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้
และกว่าจะรู้ตัวอีกที เสียงที่เปล่งออกจากปากผมก็คล้ายกับว่าจะเป็นถ้อยคำที่ไม่ได้ออกมาจากความคิดของตัวเอง
“อันตัวข้าดนัยใคร่ขอบอก
ข้าคนนอกผู้มาจากกรุงเทพหนา
เดินจากป่าสู่ถ้ำพบคงคา
ข้าจึงมาขอท่านให้ใช้ดื่มกิน”
“แต่งสด?” ดาวยักคิ้วถาม
ผมชะงักไปเล็กน้อย แล้วยักไหล่ “มอต้นแต่งบ่อยตอนจีบสาว เห็นแต่งกลอนจีบละมันดูเสี่ยวดี”
น้องสาวผมกลอกตา “ไอ้พี่เวร”
ผมเหลือบตามองมัน
‘นี่พี่ชายไง พี่ชายเอง’ ห้วใจของผมกรีดร้อง
ชายคนแคระแย้มยิ้มด้วยดวงตาที่เป็นประกายบางอย่าง
“อันตัวข้านั้นคือเทพวารี
เทพผู้มีหน้าที่ทำข้อซักถาม
เจ้าจงวิเคราะห์หาและคิดตาม
ข้ามีสามคำถามที่ติดใจ”
ผม ดาว และเรย์มองหน้ากันให้เลิ่กลั่ก…อะไรวะ
ลองนึกภาพดูสิ สมมติว่าเป็นคุณที่อยู่ตรงนี้ แล้วก็อยู่ๆ ก็มีอะไรแปลกออกมาบอกว่าเฮ้! มาเล่นเกมปริศนาทายคำกันเถอะ พวกเธอถึงจะผ่านด่านฉันไปได้!
นี่มันการละเล่นของเด็กอนุบาลเหรอไงวะเนี่ย…
“เชิญครับ” ผมขี้เกียจด้นกลอนแล้ว เลยตอบกลับไปแบบธรรมดา
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังมีพลังในการแต่งกลอนอยู่ เลยสวมวิญญาณเจ้าพ่อสุนทรภู่กล่าวเพลงกลอนขึ้นมาอีกครั้ง
“อะไรเอ่ยเปรียบเช่นเป็นต้นไม้
มีเกิดแก่เจ็บตายใจครวญหา
มีดีแย่ตามแต่โชคชะตา
ตามที่ฟ้าดินจะใคร่ให้กำหนด”
“ชีวิต” ผมตอบโดยแทบไม่ต้องคิด
“มึงรู้ได้ไงวะ” เรย์ถาม หน้ามันยังดูสตั๊นกับการนั่งแปลคำกลอนอยู่เลย
“ควรรู้ตั้งแต่ได้ยินคำว่าเกิดแก่เจ็บตายแล้วมั้ยอะ” ดาวสวน
แม้ไม่มีคำเฉลย แต่สีหน้าของเทพวารีที่ดูพึงพอใจนั้นก็เป็นตัวบ่งบอกว่าคำตอบของผมถูกต้อง จากนั้นคำกลอนอีกบทก็ถูกร้องออกมา
“อะไรเอ่ยเปรียบเช่นเป็นอาหาร
รับประทานชิมได้รู้หลากรส
ทั้งเปรี้ยวหวานเผ็ดเค็มล้วนชิมหมด
มีเพิ่มลดมีแปรเปลี่ยนเพี้ยนตามกาล”
ผมนิ่งคิด ไอ้อยากตอบว่าชีวิตก็อยากตอบอยู่หรอก เพราะจะว่าไปแล้วชีวิตคนเราก็มีหลายรสชาติเหมือนกันนั้นแหละ แต่คงไม่มีใครโง่เอาคำถามสองคำถามที่มีคำตอบเดียวกันมาถามหรอก อีกอย่างคือชีวิตไม่สามารถเพิ่มลดตามกาลเวลาได้ นอกจากว่าจะอยู่หรือจะตาย
“อืม…เดี๋ยวนะ เหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจ” ดาวรำพึง ท่าทางของเธอดูคิดหนัก “ดาวติดใจตรงวรรคสุดท้าย ‘มีเพิ่มลดมีแปรเปลี่ยนเพี้ยนตามกาล’ เหมือนวรรคนี้จะทำให้คิดอะไรบางอย่างได้”
“ถ้าพูดถึงหลากหลายรสชาติ หรือการแปรเปลี่ยนตามเวลา มันก็คงจะเป็นอะไรที่ไม่มีความแน่นอน” เรย์ออกความเห็น “อะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้…ไวมากๆ หรือว่าจะเป็นความรู้สึก?”
“ความรู้สึก?” ผมทวนคำเบาๆ
ดาวดีดนิ้วดังเป๊าะ “ตอบได้แล้ว…ความรัก!” เด็กสาวว่า
เทพวารีมีสีหน้าพึงพอใจ เขาถึงกับแย้มยิ้มออกมานิดๆ และในที่สุดก็มาถึงคำถามสุดท้าย
“อะไรเอ่ยเปรียบเช่นเป็นในเจ้า
ผู้ต้องเอาภารกิจมาสืบสาน
เพื่อออกล่าหาบางสิ่งมาแสนนาน
แม้กาลผ่านแต่ท่านยังคงตัวตน”
“เป็นในข้า?” คำถามนี้ทำให้ผมงงจริงจัง ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในข้อสงสัยของเทพวารีผู้ยิ่งใหญ่ได้ยังไง
อะไรเปรียบเป็นผม? ผมทำภารกิจอะไร? ผมออกล่าความเป็นจริงมาแสนนาน? แสนนานนี่คือระยะเวลาประมาณไหน แล้วคำว่า ‘คงตัวตน’ ทำไมพอผมฟังแล้วกลับรู้สึกขนหัวลุกแปลกๆ
หนึ่งคำถามของเทพวารี จุดข้อสงสัยนับล้านขึ้นมาในใจผม ตอนนี้กลายเป็นผมแล้วที่อยากถามเขากลับว่าตกลงเขาไปรู้เรื่องอะไรมาบ้าง พอจะช่วยหาคำตอบที่ผมต้องการจากการเดินทางในครั้งนี้ได้ไหม
“เขาหมายถึงอะไร” เรย์หันมาถามผม
ผมส่ายหน้า ไม่มีอะไรในหัวเลยเหมือนกัน
ดาวกัดริมฝีปากล่าง ท่าทางคิดหนัก
ระยะเวลาผ่านไปพักใหญ่ แต่ตรงนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถคิดคำตอบ
อะไรบางอย่างเหมือนติดอยู่ในใจผม เหมือนกำลังมีเส้นผมบังภูเขา แต่ดันเป็นเส้นผมเล็กๆ ที่หนักเป็นตัน ปัดยังไงก็ปัดไม่ออก ไม่ว่าอย่างไรก็ไปได้แค่เกือบถึงหากก็ไม่ถึง
ปกติแล้ว นี่จะเป็นความรู้สึกที่ผมเกลียดที่สุดเวลาที่ผมทำข้อสอบ แล้วคำตอบของข้อสอบแม่งก็แค่ติดอยู่ในหัวผมแค่นี้ เค้นออกมายังไงก็เค้นไม่ออก
“คำตอบของคำถามข้อนี้ ข้าจะเป็นฝ่ายบอกแก่เจ้า” คำพูดที่ออกมาจากปากของเทพสารีนั้นดังกังวาน “จิตวิญญาณแห่งดวงตะวัน”
“จิตวิญญาณแห่งดวงตะวัน!!!” ผมเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ “เดี๋ยว!!!”
ผมวิ่งไปหมายจะเข้าถึงตัวเทพวารี แต่วินาทีนั้นเขาก็หายแว่บไปเลยโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้เห็นอีก
ปึก!!!
กลายเป็นผมนี่ล่ะที่กำหมัดชกผนังถ้ำด้วยความคับแค้นใจ
“พี่นัย!?” น้องสาวผมร้อง ดวงตากลมเบิกกว้าง
ผมรีบวิ่งไปที่ลำธาร กวักน้ำมาล้างหน้าหมายดับไฟบางอย่างในจิตใจ มองตรงไปที่ผิวน้ำซึ่งกำลังไหวสะเทือนเพราะความเกรี้ยวกราดของผม แลเห็นเงาสะท้อนของใบหน้าและร่างกายตัวเองที่ติดอยู่กับผมมานับสิบเจ็ดปี
ดวงตาคมปลายเฉียงขึ้นดูมากเล่ห์ที่น้องสาวมักบอกว่ามันมีแววตาของแมวขี้เกียจ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากยาว รูปหน้าคมคายล้อมกรอบด้วยผมรองทรงชนิดที่วิ่งหนีครูห้องปกครองทุกวัน สวมชุดนักเรียนคลุมทับร่างเพรียว หากมีกล้ามเนื้อตามฉบับคนชอบเล่นกีฬา
ผมพอจะรู้ว่าตัวเองมีความดึงดูดเพศตรงข้าม ก่อนหน้านี้ก็ยอมรับว่าเคยเอาร่างกายสมบูรณ์แบบนี้ไปใช้ประโยชน์ จนถึงขั้นฟันผู้หญิงมาไม่ใช่น้อย (อย่าให้แม่กับยัยดาวรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ)
แต่พอมาตอนนี้ ผมเองก็ชักรู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว
ข้อสงสัยบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจผม ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้ตอนนี้คือการปัดมันออกไป เพราะถ้าสงสัยต่อไป มันยิ่งมีแต่จะเป็นตัวกวนใจไร้ประโยชน์
เรย์เป็นคนคว้าขวดน้ำจากมือดาวมาตักน้ำซะเอง ขณะที่น้องสาวผมก็วิ่งดุ่มๆ มาจับไหล่ผมด้วยความเป็นห่วง
ผมถอนหายใจยาว พยายามรวบรวมสติที่เดี๋ยวนี่ดูเหมือนจะหลุดบ่อยเหลือเกิน เอามือกวักน้ำมาดื่มเอื้อกๆ หวังว่าความเย็นของน้ำที่ผ่านลำคอลงไปจะทำให้พอสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง
“ทุกคนดื่มน้ำดับกระหายเถอะ เราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่จะเจอแหล่งน้ำดีๆ แบบนี้อีก” ผมว่า
ดาวจำใจละจากผมไปดื่มน้ำบ้าง เรย์ก็เลิกอิดออดและทำแบบเดียวกัน
“แล้วข้าวล่ะ…อาหารเย็น” เพื่อนผมถามเสียงอ่อย มีเสียงท้องร้องดังขึ้นอย่างรู้งาน
“ลืมไปเถอะ” ผมบอกตามตรง
ที่นี่คือในถ้ำไม่ใช่ป่าใหญ่ ไม่มีหรอกเทพนิยายโลกสวยที่จะมีผลไม้หวานชุ่มฉ่ำตลอดสองข้างทาง แสงสว่างสดใสและสัตว์ป่าใจดี
มองไปรอบด้านก็มีแต่ความมืดมิดอันน่าอึดอัด อาหารน้ำก็หายากเหลือแสน บรรยากาศอับชื้นน่าหงุดหงิด ผมเองก็เริ่มคิดแล้วล่ะว่าถ้าไม่ได้ดาวกับเรย์เป็นเพื่อนคุย ผมก็อาจจะสติแตกไปแล้วตั้งแต่ตอนเดินสะดุดหินงอกครั้งแรกก็เป็นได้
“พี่…เราคงไม่อดตายกันหรอกใช่มั้ย” ดาวถาม ดวงหน้าหวานมีแววกังวล
ผมมองแสงนำทางที่เหมือนจะทอดยาวฝ่าความมืดมิดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“มันขึ้นอยู่กับว่าระวีสีพฤกษ์จะนำเราไปทางไหน” ผมตอบ
บรรยากาศการเดินทางหลังจากนั้นมีเพียงความเงียบ เพราะเหมือนดาวกับเรย์นั้นเพิ่งตระหนักได้ถึงความยากลำบากในการเดินทาง ตลอดทางจึงมีเพียงเสียงหยาดน้ำค้างกระทบพื้นถ้ำ สลับกับเสียงก้าวเดินของพวกเราเท่านั้น
กระเป๋านักเรียนที่ผมสะพายอยู่คล้ายจะหนักขึ้น หรือไม่ก็เป็นไหล่ของผมเองที่เริ่มล้าจากการต้องสะพายของหนักอย่างไม่ได้หยุดพัก พอๆ กับกล้ามเนื้อขาที่เริ่มปวดหนึบ ความเหนื่อยล้าเล่นงาน สภาพร่างกายเรียกร้องการพักผ่อน
“กล้ามเนื้อเริ่มเหนื่อยล้าจากการหายใจแบบแอนแอโรบิคเรสไพเรชันแล้วว่ะ” ผมบ่นกึ่งเล่นมุข
ดูจากสีหน้าว่างเปล่าของไอ้เรย์แล้วผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่เข้าใจ
“ก็ปวดไง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ “ก็เวลาใช้งานกล้ามเนื้อหนักๆ ออกซิเจนไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อก็เลยต้องใช้แอนแอโรบิคเรสไพเรชันในการผลิตเอทีพี ได้ผลิตภัณฑ์เป็นกรดแลกติคทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย”
“…”
สายตาที่มันชายมามองผมคือสายตาเหนื่อยหน่ายยากจะบรรยาย
ผมหัวเราะคนเดียว “ความรู้มอสี่ไงมึง”
“นี่มันใช่เวลามาเล่นมั้ยเนี่ย” ดาวบ่น แต่อย่างน้อยริมฝีปากเล็กนั่นก็มีรอยยิ้ม
“เล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะมีปาปริก้าไง”
“ไหนปาปริก้า” เรย์สวน “ถ้ามีเอามาแบ่งเลยนะมึง ตอนนี้กํหิวจนแทบจะแดกควายได้ทั้งตัวแล้วมั้ง”
“มึงจะแดกตัวเองทำไมเรย์”
“ไอ้สัตว์!!!”
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังก้องถ้ำ แทบจะเป็นการหัวเราะครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวลงถ้ำมหาภัยมา ผมดีใจที่อย่างน้อยก็ทำให้ทั้งสองคนผ่อนคลายได้บ้าง แม้สถานการณ์จริงจะโคตรตึงเครียดเลยให้ตายสิ
หางตาเหลือบเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ ผมรีบดันตัวเองนำหน้าเพื่อนกับน้องสาว ก้มลงหรี่ตามองแสงนั้น
ตอนแรกดาวกับเรย์นึกแปลกใจ แต่ต่อมาทั้งคู่ก็สงบนิ่งเมื่อเห็นสิ่งเดียวกับที่ผมเห็น
แสงสีขาว…จะเรียกว่าแสงก็ไม่ถูก เพราะมันไม่ได้สะท้อนไปมาทั่วบริเวณตามหลักการของแสง แต่มันเป็นเพียงจุดสว่างที่สว่างแค่ในอาณาเขตของมัน จุดสว่างนั้นมีประมาณสี่ห้าจุดหลบอยู่ซอกหินตรงผนังถ้ำ
มันเป็นสิ่งผิดปกติ และทิศทางการลอยไปลอยมานั่นก็ดูมีพิรุธ
และยังไม่ทันเท่าไร แสงเหล่านั้นก็พุ่งตรงมาทางพวกเราอย่างรวดเร็ว
น้ำสีเขียวอี๋ถูกพ่นใส่ พวกเราตกใจกระโดดหนีไปคนละทิศละทาง
ต่อมาจึงได้รู้ว่าแสงเหล่านั้นแม่งมีเป็นสิบ พวกมันรุมตอมพวกเราจนพวกเรามึนงงไปหมด
สติของผมแตกกระเจิงด้วยความตื่นกลัว
นี่มันอะไรกันวะ!?!?
ความคิดเห็น