คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ (Rewrite)
ปฐมบทแห่งการผจญภัย
บุคคลในความฝัน จี้ปริศนา และการเดินทาง
ครั้นหลับตา คล้ายใจ ไปท่องเที่ยว
ข้องพันเกี่ยว ภาพนิมิต จิตในฝัน
ครั้นหลับตา คล้ายเห็น คนรักกัน
แม้กาลผัน แต่รักนั้น ยังอยู่คง
คุณเคยเป็นไหม เมื่อครั้งที่คุณหลับตา เมื่อครั้งที่จิตคุณพักผ่อน ความรู้สึกยามนั้นคล้ายกับว่าดวงจิตนั้นได้ล่องลอยไปแสนไกล ไปในสถานที่อื่นอันหลากหลาย
สถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในวัยเด็ก ก็ดี
สถานที่ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งความทรงจำ ก็ดี
สถานที่ที่ซึ่งเคยมีความสุข ก็ดี
แต่สำหรับผม…ดวงจิตของผมนั้นกลับลอยไปในสถานที่ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน หรือคนที่ผมได้พานพบนั้นเป็นผู้ใด แต่อะไรบางอย่างในตัวผมกลับร้องเตือนผมถึงความคุ้นเคย ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าผมนั้นรู้จัก ‘เธอ’ มาอย่างยาวนาน
เธอคนนั้นมักสวมชุดเดรสยาวสยายสีดำ หากบางคราชุดนั้นกลับส่องประกายราวกับดวงดาราในท้องนภายามจันทร์ดับ ปลายผมยาวสยายและชายผ้าพลิ้วไหวตามแรงลม เสี้ยวหน้าด้านข้างแสดงให้เห็นถึงดวงตากลมหวานซึ้งดุจน้ำผึ้ง จมูกเล็กโด่งรั้น และริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวนุ่มนวลดุจน้ำนมน่าสัมผัส องค์ประกอบโดยรวมนั้นช่างงดงามจนยากที่จะละสายตา แลดูสูงส่งจนไม่อาจเอื้อม
ทุกครั้งที่ฝันเห็น ผมจะมองเห็นเธอเดินอยู่กลางป่าไพร ล้อมรอบด้วยพรรณพฤกษาอันสมบูรณ์ ส่วนตัวผมก็ทำได้เพียงมองจากด้านบน คล้ายกับว่าเป็นอะไรสักอย่างที่ทำได้เพียงสังเกตการณ์…แล้วก็จากไป
กริ๊งงงงง!
พร้อมกับสียงนาฬิกาปลุกที่แผดร้องโหยหวน (?)
ให้ตายสิ…คนกำลังฝันดี
ไอ้ครั้นจะให้บงทุนถ่อไปปิดเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้อีกฝั่งของห้องนอนก็ขี้เกียจ…เพราะงั้นก็ช่างเถอะ แค่พลิกตัวไปอีกด้านแล้วเอาผ้าห่มอุดหูไว้เป็นพอ
วันนี้โดดเรียนสักวันแล้วกัน ถึงจะเรียนคณิตสามคาบติดกันก็ช่างเถอะ ผมขี้เกียจซะอย่าง ไม่สนอยู่แล้ว
กริ๊งงงงงง!
ปัง!
แต่ผมก็รู้ชะตากรรมของตัวเองในทันทีที่ได้ยินเสียงประตูกระแทกผนังห้อง
“ไอ้พี่นัย! ตื่นโว้ยยย!!!”
ครับ…ผมไม่สน แต่น้องผมสนครับ เสียงโวยวายที่พาชิบหายยิ่งกว่าเสียงนาฬิกาปลุกดังวะโว้ย พร้อมด้วยกระสุนปืนน้ำหนักเกือบห้าสิบกิโลที่พุ่งเข้ามากระชากผ้าห่มผมทีเดียวหลุด พร้อมกับร่างกายผมที่กลิ้งหลุนๆ อย่างกับขวดน้ำแล้วตกเตียงดังปัง
ผมไม่สน ผมจะนอน!
อั้ก!
ท้องของผมสัมผัสได้ถึง ‘ฝ่าตีน’ ที่เหยียบเข้าใส่อย่างแรง แถมยังบดขยี้จนจุกไปข้าง
“จะตื่นไม่ตื่น!” เสียงหวานดุดังตะคอก
ในที่สุดก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างจำยอม สิ่งแรกของวันที่เห็นก็คือใบหน้าน่ารัก (แต่นิสัยแม่งไม่ได้น่ารักตามหน้าเลยให้ตายสิ) ของน้องสาวตัวแสบที่เด็กกว่าผมสองปี แต่ทำตัวทีนี่นึกว่าแม่ กำลังทำหน้าบึ้งถลึงตาจนแทบถลนออกจากเบ้า
คอยดูสิ ถ้าตาของยัยนั่นหลุดออกจากเบ้าได้จริงๆ ผมนี่แหละจะเป็นคนไปกระทืบจนแหลกคนแรก!
แต่ตอนนี้…ศิโรราบไปก่อนแล้วกันนะ แหะๆ
ชาวบ้านเขามีแต่พ่อบ้านใจกล้ากลัวเมีย แต่ผมนี่แหละครับพี่ชายใจกล้ากลัวน้องสาว แม่งห้าวจนแทบจะยกแก๊งไปตีเด็กโรงเรียนข้างๆ อยู่แล้วมั้ง
ละผมมันคนรักน้องไง แบบว่าเห็นน้องเป็นผู้หญิง (?) ก็เลยอยากเป็นสุภาพบุรุษด้วย ไรงี้
“ขออีกห้านาที…พอแล้วๆ ตื่นแล้วๆ! ตื่นแล้วครับ!”
ผมรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีที่น้องแม่งทำท่าจะยกขามากระทืบซ้ำ รีบกลิ้งตัวเองออกจากฝ่าเท้ามหาประลัยนั้นแล้วพุ่งหลาวไปคว้าผ้าเช็ดตัว หนีไปหลบภัยในห้องน้ำอย่างไวว่อง
นี่แหละครับ…ชีวิตประจำวันของผม
ชื่อของผมคือ ‘ดนัย หทัยวัฒน์’ ชื่อเห่ยๆ ราวกับหลุดมาจากสมัยกรุงศรีฯ ที่แม่ให้เหตุผมในการตั้งไว้ว่าฝันเห็นคนมากระซิบบอกว่าผมต้องใช้ชื่อนี้ก่อนคลอดผมหนึ่งวัน ตอนเด็กๆ ก็มีอายๆ กับชื่อนี้อยู่บ้างแหละครับ แต่พอโตขึ้นมาก็เลิกสนใจไป ให้ตายยังไงก็เปลี่ยนชื่อไม่ได้ และถึงเปลี่ยนได้ผมก็ไม่เปลี่ยนด้วย ขี้เกียจ
ผมคือเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี ลูกชายคนโตผู้น่าภาคภูมิใจ (?) ของตระกูลหทัยวัฒน์ที่ใครเขาก็ว่าร่ำรวย ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าเขาเอาอะไรมาวัดว่าใครรวยใครจน แต่ถ้าเขาจะนิยามคนรวยว่ามีคฤหาสน์ใหญ่อยู่มีรถหรูขับล่ะก็…ใช่ครับ ผมมี
แต่ผมเองก็ค่อนข้างชินชากับวิถีชีวิตแบบนี้แล้วล่ะ บางทีการใช้ชีวิตสุขสบายเกินไปมีคนรับใช้พรั่งพร้อม ก็น่าเบื่ออยู่เหมือนกันนะ
และเพราะผมชื่อดนัย น้องสาวผมผู้เกิดมาทีหลังก็ต้องพลอยรับกรรมต้องใช้ชื่อน้ำหน้าด้วย ด. เด็ก เหมือนผม ชื่อของเธอเลยเป็น ‘ดารารัตน์’ หรือที่มีชื่อเล่นว่า ‘ดาว’
ชื่อที่บางครั้งผมก็แอบเอาไปเชื่อมโยงกับผู้หญิงในฝัน หญิงสาวที่สวมชุดสีดำเปล่งประกายใต้แสงดาราคนนั้น
อะไรบางอย่างบอกผมว่าชื่อของเธอคือ ‘ราตรี’
…ราตรีที่กำลังร้องเรียกหาทิวาให้มาอยู่ข้างกาย
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมฝันถึงเธอ อาจจะตั้งแต่เริ่มรู้ความ อาจจะตั้งแต่จำความได้ ทุกครั้งที่ฝัน ผมจะฝันเห็นเพียงคนเดิม ภาพเดิม ทิวทัศน์เดิม ต่างเพียงท่าทางของเธอ บางครั้งนั่ง บางครายืน บางทีนอน
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมีเหมือนกันในทุกครั้งที่เห็น คือเธอ…อยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
ในบางจังหวะดีๆ ผมเคยมองเห็นนัยน์ตาโศกจนน่าใจหาย แม้เธอจะไม่เคยมองเห็นผม แม้เราไม่เคยสบตากันโดยตรง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความทุกข์ตรมอันท่วมท้นของเธอ
ทุกครั้งที่ฝัน ผมเป็นเพียงตัวอะไรสักอย่างไร้ตัวตนที่ทำได้เพียงเฝ้ามอง อาจจะเป็นตัวลอยละล่องตามท้องฟ้า เป็นหอยทากคลานบนดิน หรือเป็นผีสิงตามต้นไม้ อะไรก็ตามแต่
แต่เราก็ไม่เคยได้สื่อสารกันเลย
ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง อะไรบางอย่างบอกผมว่าไม่ควรมีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผม เหตุผลหนึ่งคือขืนผมเล่าให้ใครฟังว่าฝันเห็นคนไม่มีตัวตนอยู่ทุกวี่วัน เขาก็หาว่าผมบ้าดิ ส่วนอีกเหตุผลก็คือ…ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
มันอาจจะเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่ห้ามผมไว้ บางทีหากเรื่องนี้หลุดออกไป เธออาจจะหายไปจากผมตลอดกาล
อะไรบางอย่างนั้นยังบอกผมอีกว่า อีกไม่นานเราจะต้องได้พานพบกัน
ในวันใดวันหนึ่ง…อย่างแน่นอน
“ดนัย ทำไมนั่งเขี่ยข้าวอย่างนั้นล่ะ อาหารไม่อร่อยเหรอลูก”
เสียงเรียกของแม่ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมกะพริบตาปริบๆ สองสามทีดึงสติ มองแม่ที่มีแววตาเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ บุคคลผู้ซัดข้าวไม่เคยต่ำกว่ามื้อละสามจานอย่างผมถึงได้มีมุมกินข้าวไม่ลงแบบสาวน้อยอกหักขึ้นมา
ผมฉีกยิ้มแป้น “อร่อยเหมือนเดิมครับแม่ แต่ผมง่วงอะ เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย”
…ซะที่ไหนล่ะ กลับบ้านมานอนหลับเป็นตายเลยต่างหาก ใครใช้ให้เมื่อวานมีสอบเก็บคะแนนล่ะ คืนก่อนหน้านั้นคนขี้เกียจแต่ดันอยากได้คะแนนดีๆ อย่างผมก็ต้องปฏิบัติการวันไนท์มิราเคิลสิครับ พอผ่านการสอบไปได้เลยกลับบ้านมาเก็บเวลานอนที่เสียไปไง
แม่จ้องหน้าผมคล้ายไม่เชื่อ
…เอาจริงก็ไม่แปลกใจหรอก แม่รู้จักผมมาเท่าอายุผมนะ แม่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมอดหลับอดนอน และผลของการอดหลับอดนอนคือวันต่อมาผมจะยิ่งกินเยอะขึ้นสามเท่า กินข้าวทีหมดเป็นหม้อจนคนใช้ต้องวิ่งมาเติมให้หัวปั่น
ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน พักหลังๆ มานี้จิตใจของผมชักจะโหยหาคนในฝันมากขึ้นทุกที บางครั้งก็ถึงกับหลุดไปอยู่ในภวังค์จนลืมโลกความจริง อยากกินข้าวก็โดนความคิดถึงแปลกประหลาดเล่นงานจนคล้ายว่าจะกินไม่ค่อยลง
“…พี่นัย”
นั่นไง น้องสาวผมผู้น่ากลัวกว่าแม่ร้อยเท่าเริ่มเล่นแล้ว สายตาดุนั่นจ้องมาหมายกดดัน
ผมไม่ตอบ นั่งกินข้าวต่อเงียบๆ มองนกมองไม้ มองฝ้ามองผนัง มองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หน้ามัน
“…พี่มีอะไรปิดบังพวกเรา” ดาวถามต่อ เสียงเย็นจะยะเยือกไปถึงไขสันหลัง
“ไม่เอาน่ะดาว” แม่ว่า ส่งสายตาปรามพร้อมส่ายหน้านิดๆ
ช่วยชีวิตผมไว้แล้วไงแม่! ขอบคุณครับ!
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ยัยดาวก็ยอมละความสนใจไปจากผมโดยดี
ติ้ง!
เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้น ปกติผมเองก็ไม่สนใจหรอก แต่สถานการณ์ที่โคตรน่าอึดอัดตอนนี้อะไรจะมาเรียกร้องความสนใจผมไปผมก็เอาทั้งนั้น ผมหยิบสมาร์ทโฟนคู่ใจออกมา พบว่ามีรูปที่ถูกส่งมาหนึ่งรูปจากผู้ใช้ที่ใช้ชื่อว่า ‘unknown’
คิ้วขมวดกันโดยอัตโนมัติถึงข้อความน่าสงสัย ไอกลัวว่าจะเป็นไวรัสก็กลัว แต่อีกใจก็อยากรู้ ซึ่งหลังจากทำสงครามเล็กๆ กับตัวเองไปพักหนึ่งผมก็ตัดสินใจลองเปิดดู
แล้วภาพที่เห็นก็ทำผมชะงักค้าง…
รูปนั้นเป็นรูปต้นไม้…ต้นไม้ในป่าที่ผมแน่ใจว่าต้องเป็นหนทางไปหาผู้หญิงคนนั้น!
ในฝัน ทั้งหมดที่ผมเห็นล้วนเป็นเหตุการณ์ตอนกลางคืน ส่วนช่วงเวลาที่อยู่ในรูปนั้นคือตอนกลางวัน แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ถึงมันจะต่างกันค่อนข้างมาก บรรยากาศ แสงเงาต่างๆ ไม่มีอะไรเหมือน
แต่ ‘อะไรบางอย่าง’ ในตัวผม รวมถึงลักษณะการจัดเรียงตัวของต้นไม้…บ่งบอกว่ามันใช่!
“…” ผมทำได้เพียงมองภาพในมือถือนิ่งราวต้องมนต์สะกด ภาพที่ตาเห็นราวกับมีเงาร่างของเธอคนนั้นเบาบาง
ฟุ่บ!
โทรศัพท์ถูกฉกไปโดยคนเจ้าปัญหาคนเดิม ดาวมองรูปในโทรศัพท์นั้น เคี้ยวข้าวต่อหนุบๆ สักพักก็ขมวดคิ้ว “ใครมันบ้าโรคจิตส่งมา ป่าอะไรนั่นน่ะ…ป่าหลังโรงเรียนเหรอ?”
ผมแทบหงายหลังลงพื้น
ป่าหลังโรงเรียน?
ภาพที่ผมฝันเห็นมาตลอดสิบกว่าปี คือภาพของป่าหลังโรงเรียนเนี่ยนะ!?
ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าหรือว่าผมจะประสาทหลอนจริงๆ วะ
สงสัยปีนกำแพงโดดเรียนบ่อยไป เลยหลอนฝันเห็นป่าที่เคยแวะชม (?)
แต่ผมก็ว่าผมไม่เคยไปถึงตรงนั้นนะ
“ขอพี่คืน” ผมบอก ใช้เสียงเรียบนิ่งไปหน่อยจนน้องตกใจ หันมามองผมอึ้งๆ ยอมส่งโทรศัพท์ให้โดยดี
พอรับคืนมาแล้วผมก็เพิ่งสังเกตเห็น ว่ามีตำแหน่งที่ตั้งถูกส่งมาด้วย และครั้งนี้แหละที่ถึงไม่หงายหลัง ผมก็สำลักข้าวออกมาจริงๆ
เป็นโลเคชันป่าหลังโรงเรียนจริงด้วยว่ะ!
ทั้งแม่ทั้งน้องมองผมอย่างกับมองสัตว์ประหลาด ซึ่งผมที่กำลังสำลักข้าวอย่างเอาเป็นเอาตายก็ทำได้แค่โบกไม้โบกมือขอน้ำดื่มเพิ่ม พวกคนใช้ตกใจพากันวิ่งจ้าละหวั่น
และเวลาที่ทุกคนกำลังวุ่นวายเพราะอาการสำลักของผมนั้นเอง ผมก็พบว่าเมื่อผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอีกที ชื่อและข้อความของ ‘unknown’ ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
โรงเรียนยามเช้าวันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่มีนักเรียนเดินสวนทางกันขวักไขว่ บรรยากาศรอบตัวเป็นไปอย่างคึกคัก แต่คนไม่คึกคักจำนวนหนึ่งคนถ้วนอย่างผมกลับกำลังเดินวนอยู่ข้างสนามบอลที่เคยใช้งานอยู่ประจำอย่างเบื่อๆ
เพื่อนที่เคยเตะบอลด้วยกันพอเห็นผมมันก็ชวน แต่เป็นผมเองที่ปฏิเสธ มันทำหน้างงเล็กน้อยที่อยู่ๆ ไอ้ตัวตั้งตัวตีที่เคยชวนกันโดดเรียนมาเตะบอลวันนี้กลับไม่อยากเล่นขึ้นมา แต่สุดท้ายมันก็ละไป
ผมมองบรรยากาศรอบโรงเรียนรัฐชื่อดังของประเทศก็ได้แต่ถอนใจ ความรู้สึกผมตอนนี้จะว่าขำก็ขำ ว่าฉิวก็ฉิว
ย้อนไปตอนสมัยผมอยู่ ม.ต้น ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เรียนโรงเรียนรัฐชื่อดังอะไรหรอก ก็เรียนอยู่โรงเรียนเอกชนที่พ่อแม่จัดให้อะแหละ จะดิ้นรนหาที่เองทำไม ขี้เกียจ แต่น้องสาวผมมันไม่ใช่ แทนที่ดาวจะตามรอยผมเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน ที่ไหนได้ ยัยนั่นดันอยากท้าทายตัวเองเปลี่ยนสังคมเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง สุดท้ายพอจะขึ้น ม.๑ ก็สอบเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ ตอนนั้นผมที่อยู่ ม.๓ พอรู้ว่าน้องสาวจะไม่ตามไปเรียนโรงเรียนนั้นก็ช็อค
ตอนนั้นผมก็คิดง่ายๆ ความรู้สึกก็จะว่าห่วงก็ห่วง เกิดน้องไปหลงคารมโดนผู้ชายชั่วๆ หลอกเข้าก็ซวยดิ! ไม่ได้ๆ ผมต้องตามไปควบคุมความประพฤติ!
สุดท้ายเลยมีเด็กโง่คนหนึ่งต้องพยายามเกือบตายในการดันตัวเองมาจากการเรียนผ่านบ้างตกบ้าง ก็พยายามเข็นตัวเองขึ้นมาให้สอบเข้า ม.๔ โรงเรียนเดียวกับน้องให้ได้ คิดว่าจะตามมาควบคุมความประพฤติมัน
ตัดภาพมาที่ความจริง…ดู๊ดู! ใครควบคุมความประพฤติใครกันแน่วะ
แต่ถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะยังเลือกทางเดิมมั้ย…ผมก็เลือกนะ หนึ่งคือผมว่าผมอยู่ที่นี่สบายใจมากกว่า ทั้งเพื่อน ทั้งสังคม ค่อนข้างแมตช์กับผมเลยแหละ สองคือการได้อยู่โรงเรียนเดียวกับยัยน้องสาวตัวดีก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงเวลาก็ไปกลับบ้านพร้อมกัน วันไหนผมนอนไม่ตื่นก็ใช้งานมันปลุก(?) นี่แหละ ง่ายดี เหมาะกับคนขี้เกียจอย่างผม
ตอนนี้ผมก็เข้าสู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แล้ว ถึงเวลาที่จะคิดเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่เด็ก ม.ปลาย ควรจะเป็น แต่ในหัวผมกลับยังไม่มีคณะหรือสาขาใดๆ ในใจ ซึ่งทางแก้ไขปัญหาคงเหมือนตอนสอบเข้า ม.4 นี่แหละ คือถามน้องสาวว่าอยากเข้าที่ไหน ผมจะได้ไปรอที่นั่น
อยากตามไปดูแลน้องสาว?
อ๋อเปล่า แค่ไม่มีที่ไป
กริ๊งง…ง…
เสียงกระดิ่งยืดยาวบางอย่างคล้ายดังแว่วมาจากสายลม ณ ปลายสายตาของดวงตาคมเหลือบแลเห็นชายผ้าขาวพราวระยับ ผมหันขวับไปมองทิศทางนั้น จนได้เห็นบุคคลตรงหน้าที่ทำให้ผมตะลึง
“…”
เด็กสาวผิวขาวสว่าง แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่องในชุดนักเรียนถูกระเบียบ ดวงตากลมโตดุจตากวางช่างน่ามอง จมูกแดงระเรื่อยากจะละสายตา ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูน่าดึงดูด กับพวงแก้มนุ่มแดงระเรื่อ ผมตรงยาวสีดำขลับคลอเคลียตัดกับผิวบนใบหน้า ถูกรวบไปไว้ด้านหลังพร้อมผูกโบว์ริบบิ้นสีน้ำเงิน
ผมรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้
ชื่อของเธอคือ “สุนิสา” ถือเป็นเด็กสาวคนดังประจำโรงเรียนเลยเชียวล่ะ ถ้าให้นึกชื่อผู้หญิงที่ทรงเสน่ห์ที่สุด ไม่มีใครไม่คิดถึงเธอ
ผมเองก็ชอบเธอนะ ชอบแบบผู้ชายทั่วไปที่ชอบมองผู้หญิงน่ารัก ยังไงสุนิสาก็เป็นคนสวยสะดุดตา ก่อนหน้านี้ก็มีบ้างที่เคยแอบขนเพื่อนไปส่องตามคาบพละหรือเวลาพักเที่ยง แต่พอมาวันนี้ วันที่ดวงตากลมสุกใสนั้นกำลังสบกับผมโดยตรง ผมกลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างในตัวเรากำลังเชื่อมต่อกัน เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา หากกำลังถักทอเป็นสายใยข้องพันเกี่ยวพวกเราไว้
เพียงมุมปากกระจับนั้นยกขึ้น ก็มากพอแล้วให้โลกทั้งใบของผมถล่มทลาย “สวัสดีจ้ะ”
ผมใบ้แดก รู้สึกเหมือนลูกตาตัวเองจะแตกเอาตอนนั้น “สะ…สวัสดีครับ”
เด็กสาวร่างบางคนนั้นนั่งลงตรงหน้าผม ใบหน้าหวานมองทางสนามบอล ให้ไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลายตกตะลึง ก่อนจะเป่าปากวี้ดวิ้วส่งเสียงแซวดังเซ็งแซ่
แต่ ณ จุดนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากเรื่องของคนตรงหน้า
“ทั้งหมดนั่น…เพื่อนนายเหรอ”
ผมถอนหายใจ รวบรวมสติ “ใช่…พวกมันก็งี้แหละ อย่าไปถือสาเลย รกหัวเปล่า”
แอบแซะเล็กน้อยพอเป็นพิธี คนฟังหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะผินหน้ากลับมาคุย ดวงตานั้นเป็นประกาย
“ดนัย”
“ห้ะ…รู้จักเราด้วย?” ผมแปลกใจมาก
ดวงตากลมยิ่งเป็นประกายมากกว่าเดิม “ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ”
ผมพยายามคิด…ตัวผมนี่ถือว่าเป็นคนเด่นดังของโรงเรียนกับเขาหรือเปล่าวะ แบบว่าถ้าอยู่ๆ ก็มีคนรู้จักนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเปล่า
ไม่รู้แฮะ ใครจะไปสนกันล่ะว่าตัวเองดังหรือไม่ดัง ผมสนแค่ว่าวันนี้จะชวนเพื่อนคนไหนไปเตะบอลด้วยกันดีเท่านั้นแหละ
เธอยกยิ้ม รอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายเหล่านั้นทำให้ผมแทบจะกลายเป็นเมือกหลอมเหลวละลายลงพื้นเสียเดี๋ยวนั้น “เรามีอะไรจะให้ล่ะ” เด็กสาวว่า
“…หา?” ผมว่าสีหน้าของผมตอนนี้คงเป็นไอ้โง่ทึ่มคนหนึ่ง สมงสมองมึนเบลอไปหมด
เธอหยิบบางอย่างมาวางไว้ตรงหน้าผม มันคือกล่องกำมะหยี่สีกรมท่า เอาซะผมแทบจินตนาการว่ามีแหวนแต่งงานอยู่ข้างใน “…นี่”
เสียงไอ้พวกเพื่อนเวรโห่ฮิ้วหนักกว่าเดิม ผมหูอื้อตาลาย สติหายเกลี้ยง สมองขาวโพลน กล่องถูกวางค้างไว้บนโต๊ะโดยที่ผมไม่แม้แต่จะกล้าหยิบมันมาด้วยซ้ำ ทำได้แค่มองมันเหมือนมันเป็นเอเลี่ยนต่างโลก
สุนิสาไม่คาดคั้น เธอเพียงเท้าคางมองมานิ่งๆ แต่ดวงตากลมสดใสนั้นช่างน่ารักน่าชัง จนในที่สุดผมถึงค่อยเอื้อมมือหยิบกล่องนั้นมาดู
ในจังหวะที่มือของผมสัมผัสกับกล่อง อยู่ๆ เสียงโห่ของแก๊งเตะบอลก็เงียบไปอย่างเป็นปริศนา พอหันไปก็พบว่าอยู่ๆ พวกมันก็กลับไปเตะบอลกันตามปกติ ผมงงเต๊ก แต่สุดท้ายก็หันกลับไปสนใจกล่องใบเล็กในมือ
สัมผัสของกล่องนั้นบ่งบอกผมว่าสิ่งที่อยู่ในมือไม่ใช่กล่องกำมะหยี่ทั่วไป…ไม่สิ มันไม่ใช่กล่องกำมะหยี่ด้วยซ้ำ รูปลักษณ์ภายนอกมันอาจจะดูเหมือนเป็นเช่นนั้น แต่พอได้มาสัมผัสจริงๆ แล้วกลับพบว่ามันทั้งมันวาว นุ่มลื่น และเบากว่ากำมะหยี่ทั่วไปมาก ทั้งยังแผ่รัศมีบางอย่างที่ทำให้ดูเป็นสิ่งพิเศษ บริเวณที่เปิดนั้นถูกล็อกไว้อย่างดีราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกเก็บรักษามาแสนนาน
บริเวณที่เปิดที่ดูเหมือนล็อกแน่น แต่เพียงนิ้วของผมสัมผัส มันกลับเปิดออกได้อย่างง่ายดายราวติดสปริง
ภายในกล่องบรรจุด้วยหยก…ไม่สิ สร้อยคอล็อกเก็ตที่ถูกทำจากหยก รูปร่างของมันคือดวงอาทิตย์ ผมตะลึงมองคนตรงหน้า พบเพียงรอยยิ้มสดใสและดวงตาเป็นประกายดุจเดิม
“ลองเปิดสิ” สุนิสาบอก
ผมมือสั่น ลองเปิดตามคำเธอว่า และถ้าตาไม่ฝาด เหมือนผมเห็นแสงสีเขียวบางอย่างลอยเข้ามาที่ตา ภาพที่ผมเห็นราวกับมีคนเอาแสงแฟลชมาส่องใกล้ๆ ผมกะพริบตาไล่แสง
“ไอ้นัย! ไปกินข้าวกัน!”
“…”
“เฮ้ย! มึงเหม่อไรเนี่ย!?”
“!?!?!?”
วินาทีแรก ผมงงใจ วินาทีต่อมา ผมสติแตกบรรลัย
ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือกลุ่มนักเรียนเพื่อนร่วมห้องที่กำลังเฮฮายามพักเที่ยง ทุกคนเก็บข้าวของเตรียมลงไปหาอะไรกิน ตรงหน้าคือโปรเจกต์เตอร์ที่เปิดงานนำเสนอของครูทิ้งไว้ และเพื่อนสนิทของผมที่กำลังขมวดคิ้วมอง
คือ…เมื่อกี๊ผมเพิ่งโดนแฟลชส่องตามาใช่มั้ย
แบบว่า…เพิ่งมีสาวมาให้สร้อยคอผม?
แล้วผม…ก็กำลังกำสร้อยนั้นในมืออยู่เลย
แต่ว่าตอนนี้คือ แขนผมวางราบกับลำตัว โต๊ะที่นั่งเปลี่ยนจากม้าหินอ่อนเป็นโต๊ะเรียน ส่วนจี้นั่นตอนนี้มันสวมอยู่บนคอผมอย่างเรียบร้อย
อย่าบอกนะย่าผมดีใจจนสติหลุด
แต่สติหลุดจนรู้ตัวอีกทีก็โผล่มาในห้องเรียน วาร์ปช่วงแห่งกาลเวลาผ่านการเข้าแถวหน้าเสาธง ผ่านการเรียนอันแสนทรหดสี่คาบติด มาจนถึงตอนพักเที่ยงโดยไม่มีอะไรในหัวเลยเนี่ยนะ!?
“…ไอ้นัย?”
สีหน้าผมตอนนี้คงแย่มากจริงๆ สังเกตจากที่เพื่อนเริ่มห่วงผมแล้ว
‘เรย์’ หรือคุณชายรชต เด็กที่ดูภายนอกคล้ายเด็กเรียน แต่ความจริงคือผลการเรียนรั้งท้ายห้องตลอด รูปลักษณ์ดูโง่ทึ่มด้วยแว่นทรงกลมใหญ่เต็มใบหน้า รูปร่างผอมสูงในชุดนักเรียนเรียบกริบ และท่าทางอ้ำอึ้งขาดความคล่องแคล่ว
แต่เพราะผมอยู่กับมันมานานตั้งแต่อายุเป็นเลขหลักเดียว ผมจึงรู้ว่าจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่คนห่วยอย่างที่มันเคยดูถูกตัวเอง แต่เป็นเพราะคนรอบข้างทำให้มันเชื่ออย่างนั้น จริงๆ แล้วมันก็แค่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ไม่ได้มากเล่ห์ฉ้อฉลแบบที่ครอบครัวมันพยายามสอนสั่งให้เป็น
“กู…สติหลุด” ผมบอกตามตรง
เรย์หัวเราะลั่น “…มึงโดนพิษครูสุจิตราเล่นเข้าแล้วเหรอวะ”
ผมส่ายหน้าเรียกสติ สมองผมแบลงค์ขนาดนี้ ไปคั้นถามมันว่าครูสุจิตราทำอะไรไปก็เท่านั้น ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมรับรู้อะไร เอาแค่ให้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองยังยาก
ผมพาเรย์เดินลงบันไดจากชั้นห้าลงชั้นหนึ่ง มีนักเรียนหลายคนพากันวิ่งลงไปอย่างรีบเร่งเพราะกลัวว่าลงไปโรงอาหารช้าแล้วคิวต่อแถวซื้อข้าวจะยาว แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะสนในเรื่องนั้นแล้วล่ะ
“กู…เป็นไงบ้างวะ”
“หืม…หมายความว่าไง” เรย์ถาม
ผมสบตามันอย่างจริงจัง “เมื่อเช้านี้จนถึงก่อนที่มึงจะเรียกกู กูเป็นยังไง”
เรย์ทำหน้างงเต๊ก ก่อนจะหันไปถอนหายใจ “มึงเหม่อ” มันตอบ
“กูสติหลุด” ผมว่า
“กูเชื่อ” มันหัวเราะหึ “ตอนเรียน มึงนั่งนิ่ง นิ่งแบบนิ่งมากๆ เอาแต่นั่งมองหน้าต่าง ครูสุจิตราเรียกสติมึง แต่มึงก็แค่หันไปมองครูแล้วก็กลับไปเหม่อเหมือนเดิม สมุดปากกาก็ไม่ยอมเอามาจดในคาบเรียน ชีทที่อาจารย์สั่งมึงก็ไม่ทำส่ง…กูพยายามสะกิดเรียกมึง แต่มึงไม่ตอบกูเลยเถอะ”
“…”
ผมพยายามคิดตาม แต่ไม่ว่าจะขุดความจำตัวเองยังไง ก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าผมทำอะไรแบบนั้นลงไปด้วย
“…มึงเหมือนคนใจลอย”
“…”
ผมก้มหน้าลงพื้น เม้มปาก ถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
คาบบ่ายหลังจากนั้นสติผมหลุดยิ่งกว่าหลุด แต่หลุดแบบรู้ตัวนะ แบบว่ารู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร แค่ไม่สามารถตั้งสมาธิกับเนื้อหาที่เรียนหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าเวลาในชีวิตหายไปเลยแบบตอนเช้า
ชั่วขณะหนึ่งของเวลาเรียน ผมพลันนึกถึงรูปที่เคยมีคนส่งมาให้ผม
…รูปป่าหลังโรงเรียน
สุนิสา หญิงสาวในฝัน จี้หยกรูปดวงอาทิตย์
เรื่องราวแปลกๆ ที่ผมเจอในวันนี้ ผมต้องการคำตอบ
ผมมองสายตาของสุนิสาเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเธอเองก็คงมีความรู้สึกดีๆ กับผมอยู่บ้าง (ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่เธอไม่ใช่คนแรกที่เข้าหาผมแน่นอน) ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติ การมีสาวที่เคยแอบเล็งมาเข้าหาคงเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ที่ถูกประทานมาจากองค์อินทร์ แต่สายตาซุกซนของเธอมันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น เธอดูกร้านโลกมากกว่าเด็กสาว ม.ปลายทั่วไป เธอดูร้ายมากกว่าที่แสดงให้คนอื่นเห็น
‘นายต้องช่วยฉัน’
แม้ไม่ได้สื่อด้วยคำพูด แต่สายตาของเธอบอกผมอย่างนั้น
ถามว่าผมอ่านคนลึกซึ้งขนาดนั้นได้ยังไง
เฮ้! เกิดเป็นลูกนักธุรกิจ เติบโตมาในวงการนักธุรกิจที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อคว้าผลประโยชน์เข้าหาตัวเองและพวกพ้อง มันก็ต้องมีสกิลกันบ้าง
ถ้าผมไม่ใช่คนสกิลดี ป่านนี้ลูกชายคนโตท่าทางห่วยแตกคนนี้คงโดนเฉดหัวไปนานแล้วเถอะ
พอตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะตรงดิ่งไปหลังโรงเรียน ตรงกำแพงจุดที่เคยพกแก๊งเด็กเที่ยวปีนออกไปเวลาโดดเรียนอยู่บ่อยๆ (คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าผมใช้ชีวิตนักเรียนคุ้มค่าขนาดไหน เรียกได้ว่าถ้าไม่ติดว่าเกรดยังดีอยู่ผมน่าจะโดนโรงเรียนไล่ออกไปนานแล้วเถอะ)
ตอนนี้โดยรอบตัวผมเงียบสงัดไร้ผู้คน ทุกอย่างกำลังเอื้ออำนวย ผมปีนขึ้นกำแพงอย่างคล่องแคล่วแล้วกระโดดฟุ่บลงไป
“ไอ้พี่นัย!!! วันนี้แม่เพิ่งโทรมาบอกให้รีบกลับบ้าน!!”
เสียงตะโกนของน้องสาวที่ดังสวนขึ้นมาทำให้ผมแทบล้มหัวทิ่มพื้น
“เออ แกกลับไปก่อนเลย!” ผมบอก แล้วรีบชิ่ง
“พี่นัย…ไอ้พี่ดนัย!!!”
โห…เสียงแหกปากจังหวะสุดท้ายทำผมผวา สัมผัสได้เลยว่าครั้งหน้าที่เจอกันผมได้โดนน้องสาวตัวเองกินหัวแน่
แต่ตอนนี้ใครจะสนกันล่ะ ผมหันหลังไปเตรียมตัวเดิน ก่อนจะต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น
ผมว่าผมเห็น…แสงสีเขียว
สายสีเขียวบางอย่างที่อยู่บนพื้น
จะว่าเป็นสายก็ไม่เชิง…มันเหมือนเป็นรอยเท้าของคนเป็นสิบคนที่เดินในหนทางซ้ำๆ กัน รอยเท้าเหล่านั้นต่อเนื่องกันจนเป็นทางเดินสายยาว
ทุกอย่างรอบตัวผมตอนนี้เป็นปริศนาไปหมด ผมอยากหาคำอธิบายมาอธิบายให้ตัวเอง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ทุกสิ่งเหมือนกำลังท้าทายผม เรียกร้องให้ผม ‘ออกเดินทาง’ ถ้าอยากค้นหาคำตอบให้ตัวเอง
ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับบ้านไปแอบเก็บกระเป๋าเดินทางออกมาดีมั้ย แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่าถ้าต้องปะทะอารมณ์กับน้องตัวเองอีก
ไม่…ไม่ใช่ตอนนี้
ผมเดินตามเส้นสีเขียวนั้น เสียงของเท้ายามกระทบพื้นหญ้าและเศษใบไม้แห้งกลางป่าใหญ่ในครั้งนี้ให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าที่เคยเป็น
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ลงมาที่พื้น เสียงจิ้งรีดเรไรดังรอบกาย กลางป่าใหญ่แห่งนี้ผมคือคนเพียงคนเดียวที่กำลังก้าวเดิน ความรู้สึกวังเวงบางอย่างเริ่มกัดกินจิตใจผมจนเริ่มอยากเดินกลับ
อย่างไรก็ตาม ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ แสงสีเขียวที่กำลังนำทางดูคล้ายกำลังเรืองแสงในความมืด บางคราดูเหมือนมีสะเก็ดแสงบางอย่างลอยออกมาด้วยซ้ำ
เดินมาจนสุดทางที่แสงนั้นอยู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ ผมยืนนิ่งห่างจากจุดสิ้นสุดของแสงนั้นประมาณสองเมตร ตรงตำแหน่งนี้ผมได้ยินเสียงกระดิ่งบางอย่างคล้ายดังมากับสายลมที่กำลังพัดแผ่วเบา
กริ๊ง…ง…
จังหวะกระดิ่งนั้นเชื่องช้าชวนเคลิบเคลิ้ม ต้นกำเนิดเสียงเหมือนจะเป็นใบไม้ใบหนึ่งที่วางอยู่ตรงจุดที่แสงสีเขียวหมดลงพอดี ใบไม้นั้นเป็นสีดำขลับตัดกับใบไม้แห้งสีซีดรอบด้าน อีกทั้งขอบของใบไม้ยังเป็นขลิบทองอย่างผิดธรรมชาติ หากโดดเด่นชวนหยิบมาพิจารณา
ผมเดินไปคว้าใบไม้ใบนั้นขึ้นมาดู ที่ถูกสลักอยู่บนนั้นคืออักษรไทยลายตวัดสีทองมันวาว แลดูสวยงามราวต้องมนต์
‘การเวกร้องเพลงบรรเลงเสียง
เอ่ยสำเนียงเพรียงเพราะเสนาะขัน
สองหนุ่มสาวคู่รักไม่พลัดกัน
ดั่งสวรรค์บันดาลให้เป็นไป’
คำกลอนนี้…มันสื่อถึงอะไรกันนะ
สถานการณ์ในตอนนี้เดาได้แล้วว่าคงเป็นเพราะจี้ตรงคอนำทางมา ผมถึงได้เจอกลอนบทนี้ แล้วคำถามคือ พอผมได้มันมาแล้ว…แล้วไงต่อ
คำตอบคืออะไร ผมต้องทำยังไงต่อไป
และในจังหวะที่ผมกำลังจะออกตัวเดินกลับนั้นเอง ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นรอยร้าวรอบเท้าผม
ผืนดินเฉพาะที่ที่ผมยืนอยู่คล้ายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หน้าดินแตกระแหงทั้งๆ ที่บนดินนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าอย่างผิดธรรมชาติ และเพียงจังหวะหายใจของผมก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผงดินบางส่วน…ร่วงกราวลงไปข้างล่าง
ข้างล่างที่พอมองผ่านรอยโหว่ลงไปก็คล้ายกับว่าจะมีโพรงบางอย่างอยู่ใต้ดิน
นี่หรือที่เรียกว่าดินทรุด?
ดินทรุดบ้านไหนวะ!? ตอบ!!!
ผมเริ่มตัวสั่นขึ้นมาแล้ว ขืนถ้าฝืนก้าวขึ้นมานี่คงได้ร่วงหล่นสู่ความมืดมิดแน่ พอมองไปทางที่พอจะปีนป่ายต้นไม้หรือหาตัวช่วยได้ ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดก็เล่นห่างกันเป็นเมตร
…เอาไงดีวะ
ผมอยากรู้ว่าข้างล่างมันจะเป็นโพรงแบบไหน ลึกมั้ย อันตรายหรือเปล่า
“…พี่นัย!”
ในขณะที่ผมกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั่นเอง การปรากฏตัวของน้องสาวของผมนี่ช่าง…
ช่างไม่ช่วยอะไรเลย!!!
ถ้าไม่ติดว่าดินใต้เท้าผมตอนนี้เปราะบางเหลือเกิน ผมคงทรุดลงดินนั่งร้องไห้มันตรงนั้น แต่ตอนนี้ผมทำได้เพียงยกแขนเป็นเชิงห้ามน้อง ก่อนจะค่อยๆ ชี้ลงพื้นให้มันเห็นว่าผมกำลังเจอกับอะไร
เด็กสาวชุดคอซองหน้าซีด
เรย์ปรากฏตัวมาด้านหลังน้องสาวของผม เมื่อมันมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้เท้าผมมันก็ซีดไปเหมือนกัน
“ถ้า…ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่” ผมเริ่มสั่งเสีย “อย่าลืมเป็นความหวังของครอบครัวแทนที่ด้วยนะ”
“พี่นัย!!!”
ผมสัมผัสได้ว่าน้องสาวของผมไม่ยอม แต่ในจังหวะนั้นความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวผม
…หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นสีเขียวและรอยเท้าพวกนั้นหายไป?
จริงๆ แล้วมันไม่ได้หายไปหรอก มันแค่ทิ่มลงพื้นดินเท่านั้นเอง
สถานการณ์ของผมตอนนี้ ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ต่อให้ผมพยายามยังไงไอดินมหานรกนี่ก็คงจะปริแตกแล้วผมก็ต้องหล่นตุ้บอยู่ดี ทำได้แค่คิดหาท่าให้ตัวเองบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่านั้นแหละ
อีกอย่างคือ มาขนาดนี้ ผมไม่คิดจะย้อนกลับไปอีกแล้ว
ผมต้องไปต่อ ไปต่ออีกไกลมากๆ
อะไรบางอย่างบอกผมแบบนั้น
ผมหลับตา “ลาก่อน”
ในจังหวะนั้นดินใต้เท้าผมก็ทรุดลงพอดี ร่างกายของผมร่วงลงสู่พื้นพสุธาที่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้นั้น
จี้หยกตรงคอผมสั่น เหมือนเป็นนกหวีดที่เป่าเพื่อเริ่มการแข่งขันกีฬา คือเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่า
ความคิดเห็น