ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [THE SUN'S CURSE] คำสาปแช่งแห่งสุริยา (rewrite)

    ลำดับตอนที่ #7 : การผจญภัยช่วงที่ 6 หนีปัญหามาปะทะเปรต เข้าเมืองเวทเผ่าอัญมณี

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 63



    การผจญภัยช่วงที่ 6

    หนีปัญหามาปะทะเปรต เข้าเมืองเวทเผ่าอัญมณี

     

    บรรยากาศรอบตัวตอนนี้เต็มไปด้วยความหนักอึ้งของคนสี่คนที่มีความกังวลใจ เรย์และดาวหลังได้ฟังประโยคนั้นก็นิ่งสนิทคล้ายว่าจะกลายร่างเป็นรูปปั้น ส่วนธรรพ์ก้มหน้า เบือนหนีไปมองอีกทาง

    ส่วนตัวผม…จะว่าไงดีล่ะ มันเป็นความรู้สึกของคนที่รู้ดีว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร และไม่เสียใจเท่าไหร่ที่ตัวเองจะต้องตายเพื่อสิ่งนั้น

    ไม่ว่าจะการเกิด การผจญภัย หรือการตาย ไม่ว่าจะอะไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นชะตากรรมของผม ผมยอมรับได้

    “มันหมายความว่า…เขาจะตาย…งั้นเหรอ” ดาวถามเสียงสั่น คิ้วขมวดมุ่น ดวงตากลมโตไหวระริก

    “ไม่ใช่…ก็ใกล้เคียง” ธรรพ์ตอบ

    “ไม่ได้สิ! มันต้องไม่เกิดขึ้น!” เรย์กำหมัดแน่น “พวกเราไม่ได้ถ่อมาไกลถึงขนาดว่าทะลุประเทศอินเดียเพียงเพื่อให้เพื่อนผมมาตายตอนหลังนะ!”

    “แล้วมีหนทางไหนบางที่ผมจะรอด” ผมถาม

    ธรรพ์หันมาสบตาผม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน “สามวัน…เรามีเวลาสามวัน ถ้าภายในสามวันนายไม่สามารถหาสิ่งที่นายต้องการเจอ จิตวิญญาณของนายจะถูกกลืนกิน”

    “…”

    “…มะ หมายความว่าไง” เรย์ถามด้วยอาการเหงื่อตก มือของเขาสั่นรัว

    ธรรพ์หันไปสบตา “การเวียนว่ายตายเกิดอย่างผิดกฎธรรมชาติทำให้ดวงจิตของดนัยอ่อนแอลงมาก อ่อนแอถึงขนาดที่ว่าชาตินี้คือชาติสุดท้ายของเขา และถ้าแม้แต่ชาติสุดท้ายถ้าดนัยยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการในระยะเวลาที่กำหนด เขาก็จะหายไปตลอดกาลแทน”

    “…” วินาทีนั้น ไม่มีใครพูดอะไรออก

    “ดนัยอาจจะหลีกเลี่ยงการขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ ด้วยดวงจิตยึดมั่นจนนำมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์วนเวียนซ้ำๆ แต่อย่าลืม…ทุกสรรพสิ่งในโลกหรือในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดสามารถหลีกหนีกฎแห่งกรรม

    “…”

    “ราตรีอาจจะมีชีวิตอยู่มาได้ถึงสองพันปีด้วยพลังเวทมนต์แห่งคำสาป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถอยู่ไปได้ตลอดกาล…วันหนึ่งเธอก็ต้องแก่และต้องตาย และเมื่อเวลานั้นมาถึง นายจะทำยังไงต่อเหรอ…ดนัย”

    ประโยคสุดท้ายนั้นธรรพ์หันมาสบตาผม ดวงตาคมนั้นราวกับจะมองทะลุไปถึงจิตวิญญาณภายใน ผมขนลุกซู่ ประกายร้อนบางอย่างแล่นจากหัวจรดเท้า จากนั้น ภาพทุกอย่างก็ถูกตัดไป

     

    ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีตอนที่เห็นว่าสภาพรอบตัวนั้นเละเทะ เรย์กับดาวหลบหลังกระท่อม มองมาทางผมด้วยสายตาราวมองปีศาจ ธรรพ์ในร่างยักษาใช้ฝ่ามือใหญ่กดผมไว้ตรึงกับต้นไม้ ดวงตาปูดโปนนั้นแดงก่ำ เต็มไปด้วยโทสะพุ่งพล่าน

    ร่างกายผมร้อนรุ่มไปทั้งตัว ใจสัมผัสได้ถึงความคลุ้มคลั่งบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ แต่ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงนั้นไม่เอื้อต่อการดิ้นรน ในที่สุดผมจึงหยุด

    ใช้เวลาสักพักกว่าทั้งผมทั้งธรรพ์จะตั้งสติกันได้ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามถามอย่างสงบนิ่ง

    “เกิดอะไรขึ้น”

    ธรรพ์ละมือออกให้ผมหายใจสะดวกขึ้น ยักษากลายร่างกลับเป็นมนุษย์ ดวงตาคมนั้นมองมานิ่ง “นายสติหลุด ต่อสู้อาละวาดจนทุกอย่างพังไปหมด”

    ผมกัดปากตัวเองจนห้อเลือด “ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับราตรี มันทำให้ผมเกรี้ยวกราดได้ง่ายมาก” ผมสารภาพ “เพราะงั้นมันคงเป็นการดีกว่าถ้าไม่มีใครพูดถึงเธอในแง่ที่ไม่ดีอีก” ผมบอกตามที่คิด

    ธรรพ์ถอนใจด้วยความกังวลขั้นสุด “…ฉันก็ว่างั้น ยอมแพ้แล้วจริงๆ”

    ผมหันไปมองเรย์กับดาว สองคนนั้นสะดุ้งถอยกลับเข้ากระท่อม

    หัวใจของผมบีบรัดเมื่อเห็นภาพนั้น ผมเบือนหน้าหนีอีกทาง “พวกเราไปกันเถอะ”

    ผมรีบจ้ำอ้าวไปตามแสงนำทางที่นำเราอยู่ ก้าวฉับๆ ฝ่าดงพืชกินคนโดยไม่สนใจแม้แต่ความอันตรายที่กำลังเสี่ยง ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น

    ถ้าธรรพ์ว่าสามวัน…ผมก็จะใช้เวลาสามวันนั้นหาราตรีให้เจอ ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมรู้ คือผมต้องหาทางคุยกับเธอให้ได้ และต้องคุยกันให้รู้เรื่องด้วย

    ผมรับได้ที่ตัวเองต้องตายเพราะเธอ แต่ผมรับไม่ได้ที่เรย์กับดาวต้องมาเดือดร้อนเพราะพวกเราสองคน

    นี่เป็นเรื่องของผมกับราตรี และมันควรจบแค่ผมกับราตรี โดยไม่ลากใครเข้ามาในเรื่องบ้าบอนี้ทั้งนั้น

    มันควรจบลงได้แล้ว

     

    การเดินทางต่อจากนั้นมีเพียงความเงียบ เสียงที่เกิดขึ้นมีเพียงเสียงร้องของนกกาควบคู่ไปกับเสียงเท้ากระทบพื้นของพวกเรา คนที่เดินอยู่ข้างผมนั้นคือธรรพ์ที่มีบรรยากาศดำมืดไม่แพ้กัน ส่วนเพื่อนและน้องสาวผมอยู่ข้างหลัง โดยที่ผมไม่แม้แต่จะกล้าหันไปมอง

    พอเวลาผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดดาวก็เร่งฝีเท้ามาเดินข้างผม

    “…พี่นัย” น้องสาวผมทัก

    “พี่ขอโทษ” ผมก้มหน้าซ่อนสีหน้าของตัวเอง “พี่…ไม่รู้สึกตัวเลย”

    “กูกับดาวคุยกันแล้ว” เรย์เร่งฝีเท้ามาเดินอีกข้างของผม “บางที…บางทีนะ มันอาจจะเป็นอาการของโรคหลายบุคลิก

    “โรคหลายบุคลิก?” ผมทวนคำ

    “มันขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ” เรย์บอก “เมื่อบุคลิกหลักเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาอย่างรุนแรง เมื่อนั้น บุคลิกหลักจะโดนบุคลิกรองกลืนกิน”

    “…”

    “กูสังเกตมาสักพักแล้ว บุคลิกรองของมึงจะโผล่มาในเวลาใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับราตรี บุคลิกรองของมึงซึมเศร้ากว่าบุคลิกหลักของมึงมาก และเวลาโกรธก็…น่ากลัวมากเหมือนกัน”

    “ดาวเอะใจตั้งแต่เห็นแววตาของพี่ที่เปลี่ยนไป” ดาวเสริม “สายตาของบุคลิกรองของพี่ แค่มองดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่พี่ แต่พอช่วงหลังสุดตอนที่พี่ดูงงๆ แล้วถามพี่ธรรพ์ว่าเกิดอะไรขึ้น…ตอนนั้นดาวเห็นชัดเลยว่าแววตาของพี่มันกลับมา”

    “ที่คุณพูดว่าไอ้นัยจะถูกกลืนกิน หรือมันจะหายไปตลอดกาล…คุณหมายถึงว่า บุคลิกรองจะกลืนกินมันงั้นเหรอครับ”

    “โรคดิสโซสิเอทีฟ เป็นอาการทางจิตที่ต้องรักษา” ธรรพ์ว่า “บุคลิกรองของเพื่อนนายมีความต้องการที่แรงมาก และทางรักษาเดียวคือต้องทำให้ความต้องการของบุคลิกรองนั้นสำเร็จ…ถ้าเกิดว่ามันไม่สำเร็จ เขาจะกลืนกินบุคลิกหลักเพื่อออกมาควบคุมร่างด้วยตัวเอง”

    “…” ผมพูดไม่ออก

    “ดนัย…คนที่โหยหาและรักราตรีมากที่สุดคือบุคลิกรองของนาย” ธรรพ์เฉลย “ส่วนบุคลิกหลักที่เป็นนายจริงๆ นั้นไม่เคยรักและไม่ได้รู้สึกอะไรกับราตรีเป็นพิเศษ”

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง

    ผมเม้มปากแน่นจนตัวสั่น “คุณรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว?”

    “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน” ธรรพ์สารภาพ

    “แล้วทำไมไม่บอก” ผมถามเสียงเรียบ

    อีกฝ่ายอึกอัก “ถ้าฉันบอก…นายจะเอาอะไรมารับประกันฉันว่าจะไม่ฆ่าฉันตั้งแต่ตอนนั้น ดนัย…บุคลิกรองของนายน่ากลัวมากนะ ถ้าเกิดว่าเมื่อเช้านายไม่ได้สติดึงตัวเองกลับมาได้ก่อน พวกเราทั้งหมดจะตายคากระท่อมกันได้เลย”

    ผมไม่พูด ไม่เถียง ไม่จับผิด แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายเล่าความจริงออกมาไม่หมด

    “ถ้าวันนึงฉันหายไป จะอยู่กันได้มั้ย” ผมถาม

    “ถึงอยู่ได้ดาวก็ไม่ยอม!” ดาวยืนยัน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ไปจนถึงดื้อด้าน “พี่เป็นพี่ของดาวนะ! ดาวจะปล่อยให้พี่หายไปได้ยังไง!”

    “แล้วบุคลิกรองไม่ใช่พี่ของดาวเหรอ” ผมถามกลับ “คำนิยามของพี่น้องคืออะไร…คือคนที่เกิดมาร่วมพ่อร่วมแม่กัน มีสายเลือดร่วมกันและเติบโตร่วมกันมา แล้ว…”

    “พี่น้องสำหรับดาวหมายถึงพี่น้องที่ผูกพันกันด้วยจิตวิญญาณ” น้องสาวผมพูดแทรกก่อนที่ผมจะทันพูดจบประโยค “สายเลือดหรือการเติบโตร่วมกันมาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด…ดาวคิดว่าพี่รู้”

    “โรคนี้มีทางรักษา มันไม่ใช่เรื่องว่าบุคลิกไหนใช่หรือไม่ใช่มึง มันคือเรื่องที่ว่าไม่ว่ามึงจะกำลังเจอสถานการณ์อะไรอยู่ พวกเราจะช่วยกันดึงมึงออกมาจากตรงนั้นได้ยังไง” เรย์เสริม แววตาของมันสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ไอ้นัย…มึงไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมึง ขอให้มึงรู้ไว้ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ และมึงเลิกห่วงสวัสดิภาพความปลอดภัยของกูกับดาวจนไม่เป็นอันทำอะไรของมึงได้แล้ว กูกับน้องสาวมึงดูแลตัวเองได้ พวกกูมาเพื่อซัพพอร์ตมึง ไม่ได้มาเพื่อเป็นภาระของมึง”

    หัวใจของผมเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา…น้ำตาของความตื้นตัน หัวใจของผมพองโตราวกับกำลังจะลอย และพอรู้ตัวอีกที ผมก็พบว่าตัวเอง…น้ำตาไหล

    ของเหลวอุ่นบางอย่างกำลังเอ่อล้นตาและลงมาทางแก้ม เพื่อนและน้องสาวของผมกระโจนมากอดผม ในจังหวะนั้นเองเราสามคนก็ร้องไห้โฮ

    ในเวลาที่เรากำลังแย่ที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว ณ จุดนั้นเราไม่ได้ต้องการอะไรเลย…สิ่งที่เราต้องการมีเท่านี้จริงๆ

    แค่ใครสักคนที่รักและเข้าใจกันเท่านั้น ก็มากพอให้สามารถเติมพลังและก้าวเดินต่อไปได้แล้ว

     

    การเดินทางกลับเข้าสู่สภาพปกติในที่สุด ตลอดทางเราสามคนคุยกันไม่หยุด แม้แต่ธรรพ์ยังโดนผมลากเข้าบทสนทนา สภาพจิตใจผมดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามาก กระทั่งเวลาผ่านไปถึงตอนเที่ยง เลยมาถึงยามเย็น ในที่สุดพวกเราก็มาหยุดยืนกันที่หลังกำแพงเมืองแห่งหนึ่ง

    “…???”

    กำแพงเมืองแห่งนี้คือกำแพงหินเรียบง่าย สูงประมาณสี่เมตร แต่สิ่งที่กำลังเตะตาเราตอนนี้ไม่ใช่กำแพงเมือง แต่เป็น…

    นั่น ‘เปรต’ ใช่มั้ยล่ะนั่น

    ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีเป็นสิบ!!!

    อสุรกายน่าสยดสยองที่มีความสูงเท่าต้นตาล มือเท่าใบลาน ปากเล็กเท่ารูเข็ม ผอมกะหร่องจนไม่สามารถเดินตัวตรงได้ บัดนี้กำลังวิ่งพล่านไปทั่วหลังกำแพงเมือง ผมถึงกับได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนทะลุกำแพงมาเลยทีเดียว

    “มึงเข้าไปทำอะไรในนั้นวะไอ้เรย์” แม้จะตะลึง แต่หมาในปากผมยังทำงานได้ดี

    “ส้นตีนแม่มึงเถอะ!” เพื่อนผมด่าเข้าให้ “เล่นไม่รู้เวลาไอ้สัตว์”

    ผมหัวเราะ แต่ก็หนักใจอยู่ในมีเพราะแสงนำทางแม่ง…ตรงดิ่งเข้าไปในเมืองเลย!

    ผมกำลังคิดอยู่ว่าหรือเราจะหลบภัยสักคืนหลังกำแพงเมือง แต่พอนึกได้ว่าเวลาของเรามีจำกัด ผมก็รู้ได้ว่าไม่ว่าข้างในจะมีอะไร ยังไงพวกเราก็คงต้องไปข้องเกี่ยวอย่างช่วยไม่ได้

    ผมพยายามรวบรวมพลังลมปราณ “เราไปกันเถอะ”

     

    พอเข้ามาในเมืองนี่อื้มหืม…คุณพอนึกสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยกรุงศรีที่เราเคยเห็นตามละครย้อนยุคได้มั้ยครับ นั่นแหละ ตามนั้นเป๊ะเลย

    บ้านเรือนไม้ใต้ถุนยกสูง ผู้ชายเปลือยท่อนบนสวมโจงกระเบน ผู้หญิงสวมผ้ารัดอกกับผ้าถุง หรือไม่ก็ไม่ใส่อะไรเลยก็มี

    เว้นแต่ว่าคงไม่มีละครเรื่องไหนมีเปรตมาป่วนเมืองจนคนต้องหนีกันจ้าละหวั่นล่ะนะ

    เปรตนั้นเป็นอสุรกายกายละเอียด การมีอยู่ของมันไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับกายหยาบของมนุษย์หรือวัตถุสิ่งของได้ เท้าใหญ่นับห้าเมตรของมันเหยียบทะลุบ้านอย่างไม่สามารถทำให้บ้านพัง มือเท่าใบลานไม่สามารถปัดโอ่งน้ำให้ล้ม มันทำได้เพียงเดินไปเดินมา ร้องโหยหวนให้คนตกใจเล่นเท่านั้น

    ผมหันไปมองดาวกับเรย์ สองคนนั้นหน้าซีดแต่ก็ยังอุตส่าห์ใจดีสู้เสือเดินตามผมเข้ามา ส่วนธรรพ์นั้นนิ่งมาก ผมถึงกับเห็นเขาเบ้ปากแล้วพึมพำว่า

    “แค่เปรตกากๆ ยังจะกลัวกันอีกเนอะ นี่ถ้าเจอยักษ์อย่างฉันจะไม่ฉี่ราดกันทั้งเมืองเลยเรอะ”

    “เฮ้ คุณกำลังจะเหยียบฉี่แน่ะ” ผมเตือน

    องค์ชายธรรพ์ชะงักขา เท้าของเขาเกือบเหยียบเข้าที่ของเหลวสีเหลืองเข้มเข้าแล้ว

    “แล้ว…เราจะเอาไงกันต่อดี” ผมบ่น “ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินละทุเมืองไปเฉยๆ ดีกว่าเนอะ”

    พวกเราทำอย่างนั้นกันได้ประมาณสิบห้านาที ก็รู้ได้ว่าความสงบสุขไม่อาจพบได้ในการเดินทางครั้งนี้ เพราะอยู่ๆ เปรตตนหนึ่งก็มายืนอยู่หน้าพวกเรา มันก้มหน้ามาเอาปากเท่ารูเข็มนั่นจ่อพื้น ดูดเศษฝุ่นเข้าไปคล้ายว่าจะกินเป็นอาหาร เกิดเป็นภาพที่สยดสยองสุดๆ จนพวกเราก้าวขาไม่ออก

    ดาวกรี๊ด

    และพวกชาวบ้านก็หยุดวิ่ง หันมองเราเป็นตาเดียว

    แวบแรก ผมคิดว่าเราต้องเปิดเกมโกยแน่บไม่สนผีสนเปรตกันแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมากลับเป็นเสียงตะโกนก้องด้วยความยินดีของชาวบ้าน

    “องค์ราชามาแล้ว! คำทำนายเป็นจริง!”

    “ทรงพระเจริญ!”

    “ทรงพระเจริญ!”

    ผมช็อค

    เฮ้ย จะมาพูดทรงพระเจริญตรงนี้ทำไม ที่นี่ไม่มีใครแจกพิซซ่า!

    ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกไป ผมก็พบว่าชาวบ้านหญิงคนหนึ่งกุลีกุจอวิ่งมาก้มกราบแนบพื้นต่อหน้าพวกเรา จนผม ดาว และเรย์ต้องรีบนั่งลงให้เสมอเธอ เราสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

    ให้ผู้ใหญ่กราบเท้า เขาว่าขี้กลากจะขึ้นหัว!

    “ได้โปรด…ช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เปรตพวกนั้น…แม้ไม่มีฤทธีทำลายบ้านเมือง แต่กลิ่นอายความบาปของมันเป็นพิษต่อเมืองเรา มันรบกวนดวงจิตและการใช้ชีวิตของพวกเรามากๆ ได้โปรด…ได้โปรดไล่มันออกไปให้พวกเราด้วยนะเจ้าคะ!”

    “ไล่เหรอ…” ผมคิดหนัก ถึงผมะมีพลังเวทมนต์ แต่ผมไม่ชัวร์ว่ามันจะสามารถใช้กับอสุรกายจำนวนมากขนาดนี้ได้ไหม หรือว่าผมจะเหนื่อยตายก่อน

    ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรออก เปรตทุกตในเมืองอยู่ๆ ก็กลับหยุดความเคลื่อนไหวทุกอย่าง พวกมันพนมมืออนุโมทนา แล้วก็กลายร่างเป็นคนสองแขนสองขา

    และถ้ามองไม่ผิด…รัศมีที่แผ่ออกมานั้น คือรัศมีของเทวา?

    เทวีตนหนึ่งในชุดผ้าใบลายไทยวิจิตรเดินมาทางพวกเรา เธอคนนั้นเดินมาหน้าดาวที่ลุกขึ้นยืนประจันหน้า ก่อนที่นางฟ้าจะถอนสายบัวทำความเคารพ น้องสาวผมถึงกับงงเต๊ก

    “ขอบคุณสำหรับส่วนบุญที่แผ่มาให้นะคะ องค์เทวีผู้เปี่ยมเมตตา” เธอว่าด้วยเสียงก้องดุจระฆังกังวาน “ข้าขออวยพรให้ชีวิตของท่านและคนที่ท่านรักได้พบกับความสุขความเจริญ”

    จากนั้นนางฟ้าก็หายตัววับไปเลย เหลือเพียงดาวที่ยืนงงในดงเมืองโบราณ และผมที่กระโจนเข้าไปถาม

    “ยัยดาว! ทำได้ไงน่ะ!!!”

    ผมเคยสู้กับนาคามากฤทธิ์มาก็จริง แต่ผมก็ไม่เคยสู้กับเปรตได้เป็นสิบตน โดยที่จุดจบคือเปรตสวยขึ้นกลายเป็นนางฟ้าแล้วมาขอบคุณมาก่อนเลยนะ!!!

    “ก็เคยได้ยินว่าถ้าอยากให้เจ้ากรรมนายเวรเลิกราวีต้องแผ่ส่วนกุศล…แต่ดาวก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้ผลขนาดนี้” น้องสาวผมตอบลอยๆ เหมือนคนสติยังไม่มา

    “มิใช่ทุกคนดอกเจ้าค่ะที่จักทำเช่นนั้นได้” ชาวบ้านที่อยู่กับพวกเราเฉลยด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณนักเดินทางคือผู้มีบารมีดุจองค์ราชันย์และพระบรมวงศานุวงศ์ คือกลุ่มคนดังคำทำนายอันกล่าวว่าจะสามารถทำภารกิจได้ประสบผลสำเร็จ”

    ผมกะพริบตาปริบ

    ไม่ได้เป็นราชาปกครองเมือง แต่กำลัวจะสานต่อธุรกิจครอบครัวปกครองห้างร้านและเครือข่ายย่อยอื่นๆ นี่อันเดียวกันมั้ยวะ

    “คำทำนายอะไร” เรย์ถาม

    “เชิญพวกท่านเข้าคุยกับองค์กษัตรีเถิดเจ้าค่ะ พระองค์ท่านจักต้องทรงดีพระทัยแน่ๆ หากทรงทราบว่ามีผู้คนสามารถจัดการกับอสุราเหล่านั้นได้ อีกทั้งยังเป็นคนเช่นคำทำนายว่าจักพาบ้านเมืองสู่ความสงบสุข”

    เหตุการณ์แบบนี้มันคุ้นๆ ไหม

    ผมเหลือบมองธรรพ์ ซึ่งทางนั้นก็ยักไหล่มานิ่งๆ

    ก็นั่นแหละครับ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินตามเธอ ฝ่าฟันคำว่า ‘ทรงพระเจริญ’ ที่ผมฟังแล้วกระดากใจเหลือเกิน ของชาวบ้านที่มาสรรเสริญรอบด้าน ฝ่าบ้านไม้เรือนไทย ฝ่าโอ่งน้ำ ฝ่าคอกวัวคอกควาย ฝ่าอะไรก็ตามที่มีอยู่ จนในที่สุดผมก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรอเราอยู่หน้าประตูทางเข้าวัง

    ผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาแบบคนไทยโบราณ กล่าวคือดวงตาไม่โตไม่ตี่ปลายชี้ตรง จมูกโค้งมนและริมฝีปากที่ยาวกว่าปลายจมูกนิดหน่อย โครงหน้ารูปเหลี่ยม ผมสีดำขลับตันสั้น หูทัดดอกไม้แสดงสัญลักษณ์ชนชั้นสูง ผิวสีน้ำผึ้ง สวมผ้าสไบลายวิจิตรและเส้นสังวาลย์ ผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้า

    ผู้หญิงคนนั้นเดินมาหาพวกเรา แต่เธอเลี้ยวไปหาธรรพ์ แล้วถอนสายบัวทำความเคารพ ธรรพ์งงนิดหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้ารับ

    “อยากจะแหมไปถึงดาวอังคาร ดูออกนะยะหล่อน”

    ผมได้ยินเสียงลอดไรฟันของน้องสาว

    “ยินดีต้อนรับนักเดินทางผู้เป็นดังคำทำนาย” เธอกล่าว “เชิญพวกท่านเข้ามาด้านใน ดื่มกินกันให้สำราญใจเสียเถิด”

    และแล้วพวกผมก็ได้เข้ามาในวังเป็นครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าวังมนุษย์ ซึ่งอย่างน้อยก็ดีกว่าวังยักษ์ตรงที่พวกเราไม่ต้องอึดอัดใจกับสิ่งของที่ดูเหมือนจะใหญ่เกินมนุษย์ไปมาก แต่ถามว่าที่นี่สวยงามหรือมีพร้อมเหมือนตอนวังยักษ์ไหมก็ไม่ การตกแต่งหลายอย่างไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับสมัยใหม่ที่ผมใช้ชีวิตมาถือว่าธรรมดาค่อนไปทางแย่ด้วยซ้ำ

    ที่นี่ก็เหมือนวัดรกร้างที่ยังสร้างโบสถ์ไม่เสร็จ

    ในที่สุดพวกเราก็ได้เข้ามานั่งกันในวัง องค์หญิงนั่งบัลลังค์หนึ่ง ล้อมรอบด้วยสาวรับใช้ โดยที่ผม ดาว และเรย์ต้องนั่งบัลลังค์ที่ต่ำว่าเธอ มีเพียงธรรพ์ที่ได้นั่งเคียงข้างด้วยการเชื้อเชิญจากเธอเอง

    โอ้โห แม่เจ้าประคุณทำกันขนาดนี้ แม้แต่ผมนี่ยับแอบคิ้วกระตุก

    ถึงจะรู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ผมจากมาก็เถอะ แต่บุคคลผู้มาจากโลกเสรีอย่างผมมาเจอ ‘ความไม่เท่าเทียม’ แบบนี้แล้วมันชวนโมโหจริงๆ สิน่า

    “ตัวข้าชื่อสุมาลี เป็นผู้ปกครองเมืองนี้” เธอบอก “สมเด็จพระสุมาลีกษัตรีแห่งเมืองมณีรัตน์นคร หรือที่คนนอกพากันเรียกว่า เผ่าเวทอัญมณี’ 

    ผมกำลังคิดอยู่ว่าต้องถึงกับลงไปนั่งบนพื้นแล้วกราบเลยมั้ย ในตอนที่เรย์ทักทายกลับเรียบง่ายว่า “สวัสดีครับ”

    “…” สุมาลีมองพวกเรานิ่ง

    “พวกเรามาจากโลกเสรี คุณคงไม่คาดหวังให้พวกเราก้มลงไปกราบพื้นแล้วบอกว่า ‘ด้วยฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า ดนัย หทัยวัฒน์ ผู้มาจากกรุงเทพมหานคร’ หรอกใช่ไหม” ผมบอกเจตจำนงไปโดยตรง

    ฟังดูเสียมารยาทต่อคนเมืองนี้ แต่ถ้าเขาบังคับให้ผมทำอย่างนั้น เขาก็เสียมารยาทต่อผมด้วยเหมือนกัน

    เราสองคนสบตากัน ประกายไม่ชอบใจบางอย่างเกิดขึ้นเหมือนเป็นศัตรูกันแต่ชาติปางก่อน ก่อนที่สุมาลีจะเป็นฝ่ายละไป

    “พวกเจ้า…เป็นนักเดินทางจากต่างแดนใช่หรือไม่” เธอถาม

    “ครับ ผมมีชื่อว่าดนัย ข้างผมนี่คือน้องสาวชื่อดาว แล้วก็ไอ้เรย์นั่งฝั่งตรงข้าม” ผมจงใจละธรรพ์ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว

    สุมาลีนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามคนข้างกาย “ท่านมีนามว่าอย่างไรรึท่านพี่

    “แค่กๆๆๆ”

    ทั้งผม ดาว และเรย์พร้อมใจกันไอเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะ

    ใครว่าหญิงไทยสมัยก่อนใจงามหวงเนื้อหวงตัววะ

    คำว่า ท่านพี่ มาเต็มปากเต็มคำเลยนะแหม!

    “ตัวข้ามีนามว่าธราเทพ องค์ชายยักษาแห่งเมืองธรรพ์ ผู้คนมักเรียกข้าติดปากว่าองค์ชายธรรพ์ ตามชื่อเมืองที่ข้าปกครอง” ธรรพ์ว่า ระหว่างแนะนำตัวยังอุตส่าห์เหลือบตามาถลึงใส่ด้วยเล็กน้อย  ผมแลบลิ้นยิงฟันกวนตีนตอบกลับไป

    “ท่านพี่มีธุระอันใดงั้นรึจึงได้เดินทางมาเมืองนี้” เธอถาม

    คนถูกถามมีสีหน้าอึดอัดใจ “เรื่องนี้ผมว่าถามดนัยจะดีกว่านะครับ”

    ผมระเบิดเสียงหัวเราะ ธรรพ์ถึงกับทนไม่ไหวเปลี่ยนมาใช้ภาษายุคเรากันเลยทีเดียว

    “พวกเราต้องการตามหาราตรี” ผมบอกธุระตัวเองโดยตรง “การตามหาราตรีต้องผ่านเมืองนี้”

    “เรื่องนั้นข้ารู้ นั่นคือภารกิจของดนัย” สุมาลีหักหน้าผมตรงๆ “ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดครั้งนี้จึงมีผู้คนติดตามเจ้ามากมาย”

    ผมจ้องหน้าเธออย่างจริงจัง “พวกเขาไม่ใช่คนติดตามผมครับ พวกเขาคือเพื่อน

    สุมาลีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เช่นนั้นรึ

    ครับ” ผมยืนยัน

    “ผมขอถามอะไรหน่อยสิครับ ค้างคาใจมาสักพักแล้ว” เรย์ว่า “ที่บอกว่าพวกเราคือคนในคำทำนาย มันหมายความว่ายังไง”

    สุมาลีหัวเราะหึ “มิใช่พวกเจ้า หากเป็นพวกเจ้าผู้ใดผู้หนึ่งต่างหากที่เป็นผู้ดังคำทำนาย”

    “???” พวกเราเข้าสู่โหมดงงเต๊กกันอีกรอบ

    แววตาของสุมาลีตอนนี้สมกับที่เป็นกษัตรีแห่งมณีรัตน์นคร ขณะที่ปากนั้นก็เอ่ยกลอนอันเป็นคำทำนายออกมา

    เมืองนี่จักต้องสาปบาปต้องใช้

    จักต้องอยู่ในความเศร้าเคล้าทุกขา

    กระทั่งมีการปรากฏองค์ราชา

    พระองค์นั้นจึ่งมาปัดเป่าภัย

    “การปรากฏขององค์ราชา?” ผมนี่อึ้งเลยครับ

    เป็นดนัย เป็นทิวากลับชาติมาเกิด เป็นองค์ราชาอีก สรุปคือเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วที่แท้ทรู

    “ชาวเมืองแห่งนี้สามารถสัมผัสจิตวิญญาณแห่งองค์ราชันย์ได้ไม่ยาก” สุมาลีเฉลย “ความมากบารมีของดาว คือข้อยืนยันว่าพวกเจ้าคือผู้มากบุญระดับองค์ราชันย์และราชวงศ์ของพระองค์”

    “แต่ใครคือราชา ใครคือราชวงศ์ก็อีกเรื่องอ่านะ” ดาวรำพึง แล้วหันมาสบตากับผม สะบัดผมทำท่าเก๊กสวย “พี่ว่าดาวเหมือนเจ้าหญิงมะ”

    ผมหัวเราะ ยีหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู “เหมือนสิครับ สำหรับพี่ ดาวก็เหมือนองค์หญิงตัวน้อยๆ เสมอแหละ”

    “ท่านพี่มีคำถามอะไรบ้างรึ” สุมาลีหันไปถามคนข้างกาย สายตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวานทันที

    “ผมสงสัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเผ่าเวทอัญมณี ที่เขียนว่าทิวากับราตรีเกิดความคิดกบฎอยากครองเมือง จึงได้ทรยศองค์ราชาจนเกิดสงครามผมอยากขอรายละเอียดมากกว่านั้นหน่อย” ธรรพ์ถาม

    ย่อมได้” สุมาลีตอบ ก่อนจะเอ่ยปากเล่าเรื่อง

    ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจ

    ย้อนไปเมื่อสองพันปีก่อน บัดนั้นเมืองมณีรัตน์นครมีราชาผู้ปกครองเมืองนามว่าพระราชากวินราช มีมเหสีคู่กายนามว่านางกัญญาเทวี โซ่ทองคล้องใจของทั้งสองพระองค์คือองค์ชายภานุมาศ ผู้เป็นรัชทายาทสืบต่อบัลลังค์ และองค์ชายระพี ครูกวีแห่งเมืองมณีเวท

    ในสมัยนั้น ทิวาคือหัวหน้ากองพันทหารผู้ปกครองเมือง เขาเป็นนักเวทผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในศตวรรษ สามารถทำกองทหารฝ่ายศัตรูนับร้อยคนล้มตายได้ภายในการร่ายเวทเพียงครั้งเดียวอย่างไม่อาจมีใครเทียบ

    ด้วยความแข็งแกร่งของทิวานี้เอง ทำให้องค์ชายรัชทายาทอย่างภานุมาศไม่พอพระทัยในการมีอยู่ของเขา ภานุมาศพยายามบีบบังคับทุกทางเพื่อให้ทิวาพ้นจากตำแหน่งแม่ทัพ แต่ไม่สำเร็จ

    บ้านเมืองสงบร่มเย็นได้นับสิบปี มาวันหนึ่ง เมืองประเทศราชของมณีเวทก็ได้ส่งองค์หญิงของเมืองมาพร้อมกับของบรรณาการ องค์หญิงผู้นั้นมีนามว่า องค์หญิงราตรี

    องค์หญิงราตรี คือหญิงสาวที่ผู้คนร่ำลือถึงความงามอันเป็นหนึ่งในศตวรรษ รวมถึงพลังเวทอันแข็งแกร่งอย่างหาตัวจับยาก ในตอนนั้น องค์ชายภานุมาศดีพระทัยมากที่จะได้ตบแต่งกับสาวงาม พรั่งพร้อมด้วยเวทแสนทรงพลัง หากต่อมา ทิวากลับมาต้องใจองค์หญิงราตรีด้วยเช่นกัน

    ในคราแรก เกิดเพียงสงครามเล็กๆ ระหว่างผู้ชายสองคนที่รักหญิงสาวคนเดียวกัน หากเมื่อเรื่องนี้ถึงหูพระราชา สงครามกลับขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นสงครามภายในของคนทั้งเมือง

    ทิวาที่เก็บซ่อนความปรารถนาอยากครองเมืองไว้ในใจมาตลอด เมื่อได้แรงสนับสนุนจากราตรีก็จึงได้ตัดสินใจก่อกบฎ แต่แม้ทั้งคู่จะมีพลังเวทแข็งแกร่ง หากไม่สามารถต่อสู้กับเหลี่ยมเล่ห์กลของเจ้าชายภานุมาศและองค์ราชันย์ได้ สุดท้ายทั้งคู่จึงพ่ายแพ้

    ทว่าการพ่ายแพ้ของพวกเขา นั้นก็ต้องแลกมากับความหายนะของเมืองทั้งเมือง บ้านเรือนพังทลายประชาชนอพยพ องค์ชายระพี พระคู่หมั้น และชาวเมืองส่วนหนึ่งหลบหนีไป ส่วนพระราชากวินราชและเจ้าชายภานุมาศที่ยืนหยัดสู้ ก็ได้เสียชีวิตลงในสนามรบ

    สิ่งที่ทำให้สงครามครั้งนี้ขึ้นชื่อว่าสำเร็จ เห็นจะมีเพียงการที่ทิวากับราตรีไม่สามารถครองเมืองได้ดังใจนึกเท่านั้นเอง

    ส่วนอย่างอื่นที่เหลือนั้นพังพินาศ

    การฟื้นฟูของเมือง คือการที่เจ้าชายระพีและพระคู่หมั้นพาประชาชนกลับมาซ่อมแซมบ้านเรือนอีกครั้ง เจ้าชายระพีเข้าสู่พิธีบรมราชาภิเษกขึ้นปกครองเมือง จากนั้นก็เป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ด้วยบทกวีให้พวกเราได้เรียนรู้กันในปัจจุบัน

    ผมหยิบใบไม้ที่สะสมได้ออกมา ลองเปรียบเทียบกับกลอนที่สู้อุตส่าห์แลกแรงกายแรงใจมาได้ดู

    ตัวอักษรสีทองลายตวัดบนใบพฤกษาสีดำนั้นยังคงส่องประกาย

    การเวกร้องเพลงบรรเลงเสียง

    เอ่ยสำเนียงเพรียงเพราะเสนาะขัน

    สองหนุ่มสาวคู่รักไม่พลัดกัน

    ราวสวรรค์บันดาลให้เป็นไป

     

    มาวันหนึ่งซึ่งผ่านมานานปี

    เปลี่ยนชีวีคู่รักด้วยคุณไสย

    พลังเวทอันมากล้นกลายเป็นไฟ

    ชีพมอดไหม้ด้วยโลภะเกินพรรณา

     

    องค์ราชันย์หัวเมืองเรืองฤทธิ์เลิศ

    กลับบังเกิดความกระหายใจโหยหา

    อยากครอบครองอำนาจอยากชิงมา

    จึงคิดพาสองคู่รักช่วยการเมือง

     

    อันทิวาราตรีคือนักเวท

    ในประเทศล้วนมักมีเสียงลือเลื่อง

    ลือถึงพลังว่าจะพารุ่งเรือง

    กลับเป็นภัยให้ขุ่นเคืองเกิดขึ้นมา

     

    สองนักเวทเฉดตัวออกจากบ้าน

    เหล่าทหารเหล่าชาวเมืองเฝ้าตามหา

    สองนักเวทหนีเภทภัยใหญ่เกินพรรณา

    พวกเขาพากันมาอยู่ ณ ชายแดน

     

    อนิจจังไอพลังอันมากล้น

    กลับถูกค้นพบง่ายตามแบบแผน

    จึงต้องหนีไปเรื่อยตามเขตแดน

    เปรียบเทียบแทนเหยื่อน้อยคอยหนีไป

    ผมจะยังไม่ตัดสินใจว่าอันไหนถูก อันไหนผิด ผมจะเพียงปักหมุดในใจไว้ว่า บันทึกประวัติศาสตร์ที่ผมได้มา กับสิ่งที่เมืองมณีรัตน์นครบันทึกไว้มันต่างกัน

    สำหรับการบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่ว่าใครก็บันทึกเพียงในมุมมองของตนเอง คงไม่มีใครบันทึกไว้หรอกว่าตัวเองคือคนชั่วช้าคิดกบฏอยากครองเมือง หรือตัวเองคือพระราชาใจดำคืดคดจะใช้งานีอกฝ่ายเพื่อความยิ่งใหญ่

    ไม่ว่าจะฝั่งไหน ต่างก็บันทึกไว้ว่าอีกฝ่ายคือผู้ร้าย ส่วนตนเองคือเหยื่อกันทั้งนั้น

    “นั่นคือกวีประวัติศาสตร์อีกบทงั้นรึ” สุมาลีถามเหมือนรู้ทัน

    “ใช่ครับ” ผมหันไปสบตากับเธอ “มีหลายจุดที่ใจความไม่สัมพันธ์กัน ผมไม่สามารถสรุปได้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก”

    สุมาลีหัวเราะหึ ดวงตาปลายตรงนั้นแลดูมากเล่ห์ “บทกลอนนั่นจักต้องเป็นบทกลอนของทิวาเป็นแน่แท้” เธอว่า “เขารู้แน่ว่าเขาจักต้องกลับชาติมาเกิดอีกหลายภพหลายชาติ จึงได้แต่งกลอนเตรียมไว้เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด…หากเป็นเรื่องราวทั้งหมดในมุมของดขาเอง หาได้เป็นความจริงไม่”

    ผมไม่บอกว่าประวัติศาสตร์ของสุมาลีก็ถูกบันทึกด้วยมุมมองขององค์ราชาระพีคนเดียวเหมือนกัน และระพีคงไม่ด่าพ่อตัวเองหรอกว่าชั่วช้าสามานย์กระหายอำนาจจนทำเมืองชิบหายกันหมด

    องค์กษัตรีลุกขึ้นยืน “ข้ามีสถานที่ที่เจ้าสมควรไป…ดนัยหลายต่อหลายคนล้วนต้องไปดูสิ่งที่เหลือจากที่ตัวเองก่อไว้”

    ว่าแล้วเธอก็ลุกเดินนำ จนพวกเราทุกคนต้องเดินตาม

    สุมาลีพาพวกเราเดินทะลุสวนสวยงามในวังมาจนถึงหลังวัง ณ ตรงนั้นสิ่งที่เห็นคืออัฐิสถานมากมายที่ตั้งเรียงรายกัน และตรงแถวหน้าสุด ที่ตั้งเรียงกันนั้นถูกติดป้ายชื่อพร้อมแนบรูปวาดไว้ว่า ‘ดนัย’

    ผมไล่มองดนัยในแต่ละรุ่น จนพบว่าผมคือดนัยรุ่นที่สิบ ผมคือคนที่ทิวากลับชาติมาเกิดเพื่อสานต่อภารกิจเป็นครั้งที่สิบแล้ว ดนัยจะตายแล้วเกิดใหม่ในทุกๆ สองร้อยปี วนเวียนไปเช่นนั้น กระทั่งเวลาผ่านไปสองพันปีจวบจนปัจจุบัน

    หน้าตาของดนัยทุกคนล้วนมีส่วนคล้ายกันไม่เว้นกระทั่งตัวผม ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจ การเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆ นั้นเกิดจากการมีจิตยึดติด และหากทิวาจะยึดติดรูปร่างหน้าตาเพิ่มไปอีกอย่างก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

    สิบภพสิบชาติ

    ผมต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆ อยู่เช่นนี้ ใช้ชีวิตเพื่อการตามหาราตรีอยู่อย่างนี้ ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว มีสังคมรอบตัวดนัยมากเท่าไหร่แล้วที่ต้องสูญเสีย ไม่ว่าจะชาติไหนผมไหน ไม่มีชาติใดที่ผมเสียใจที่ต้องตายเพื่อราตรี แต่ผมกลับเสียใจ…หากคนรอบข้างผมต้องแตกสลายไปตามผม

    ดาว ไอ้เรย์ หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ผมในชาติปัจจุบัน…

    ตอนนี้เองที่ลำคอของผมแห้งผาก ผมเพิ่งรู้สึกผิดอย่างจริงจังที่ตัดสินใจทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง

    ผมเอื้อมมือไปแตะอัฐิสถานของดนัยคนล่าสุด หลับตาตั้งจิตอธิษฐาน

    ธรรพ์บอกว่าชาตินี้คือชาติสุดท้ายของผม พลังจิตในการเวียนว่ายตายเกิดของผมอ่อนแอลงทุกที หากพ้นชาตินี้ไปแล้วยังหาราตรีไม่เจอ ตัวผมเองนี่แหละที่จะหายไปตลอดกาล…ผมเองก็อธิษฐานเช่นนั้น

    การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก…ผมรู้

    ตถาคตสอนไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากราวจำนวนเขาวัวเมื่อเทียบกับจำนวนขนวัวในร่างกาย หรือให้เต่าตาบอดพยายามใช้หัวคล้องแหวนในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

    แต่สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์วนเวียนซ้ำนับสิบชาติโดยไม่ได้ใช้ชีวิตไม่ได้สะสมบุญบารมีอะไร…ผมเองก็คงต้องขอพอเพียงเท่านี้

    ผมตั้งจิตปล่อยวาง ไม่ว่าภพนี้ผมจะหาราตรีพบหรือไม่ ผมก็จะปลง จะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวงเวียนกรรมเช่นนี้อีก

    ฉ่า!

    “ร้อน!!!”

    อยู่ๆ อัฐิสถานที่ผมสัมผัสก็เกิดความร้อนราวน้ำร้อนลวก ผมกระชากมือออกมาสะบัดๆ ด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ พอดูมือตัวเองอีกครั้งผมก็เจอกับใบคำกลอนสี่ใบ

    สี่ใบเต็มๆ!!!

    ผมตื่นเต้น หงายใบไม้ขึ้นใบหนึ่ง แต่อยู่ๆ ในจังหวะนั้นกลับเป็นผมที่นิ่งไป

    พร้อมกับภาพนิมิตที่บังเกิดขึ้น

    ในนิมิตนั้น ผมเห็นว่าตัวเองอยู่ในป่าใหญ่ และคนตรงหน้าผมคือ…ราตรี

    ใบหน้าสละสลวยเปื้อนน้ำตานั้นฝังอยู่ในใจของผม ผมลิงโลดจะวิ่งเข้าหาเธอ แต่ผมกลับก้าวขาไม่ออก ผมไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้ราวมันไม่ใช่ของตัวเอง

    และในจังหวะนั้นเอง สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

    ราตรีร่ายเวททำร้ายผม!!!

    ร่างกายของผมวิ่งหนีตามสัญชาตญาณในขณะที่ผมกำลังช็อค ผมร่ายเวทตอบกลับไป กลับกลายเป็นการปะทะกันระหว่างผมกับราตรีเมื่อผมไปถึงที่หมาย

    ผมงง ผมไม่เข้าใจ

    ไม่ใช่ว่าราตรีกำลังรอผมด้วยความเศร้าเหรอ

    แล้วทำไม…

    เมื่อเรามาเจอกัน เราจึงต้องสู้กัน

    ตูมมม!!!

    เสียงระเบิดดังขึ้น วินาทีนั้นผมไม่รู้สึกตัวอะไรเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×