ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความปรารถนาของดานิกา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : ลูกที่ไม่เคยเจอหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 67


    เกศรินใช้เวลาช่วงบ่ายจนเกือบถึงวลาเลิกงาน ในการรบรากับหัวหน้าตัวเองอยู่ในห้อง ก่อนจะออกมาพร้อมกับความหงุดหงิด ด้วยท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องเป็นคนกลับมาแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ดี ทั้งที่เป็นหน้าที่ของทุกคนในสำนักงานควรช่วยกันดูแลแท้ ๆ ยิ่งพอออกจากห้องมาเห็นเพื่อนร่วมงานนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ และทานขนมทำตัวสบาย ๆ เหมือนคนไม่มีงานทำ เกศรินก็นึกเบื่อหน่าย จนท้ายที่สุดเธอก็คว้ากระเป๋าออกจากสำนักงานไปโดยไม่พูดคุยกับใครเลย แม้แต่กวินทร์เองก็ตาม

    ถึงจะออกจากที่ทำงานมาเร็ว แต่ด้วยสภาพการจราจรในเขตปริมณฑลที่เต็มไปด้วยการก่อสร้าง เพื่อรองรับการขยายความเจริญจากเมืองหลวง ก็ทำให้เธอต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงบ้านของตัวเอง ที่ซึ่งซื้อมาด้วยกำลังทรัพย์กับระยะเวลาผ่อนนานนับสิบปี

    ทันทีที่เลี้ยวรถผ่านรั้วเหล็กสูงแค่หน้าอกเข้ามา หญิงสาวก็ลงมาจากรถและแทบไม่ได้ใส่ใจกับต้นไม้ใบหญ้า ที่วันนี้คนอยู่บ้านอุตส่าห์ตั้งกระถางกุหลาบซึ่งกำลังออกดอกโต แล้ววางมันไว้ตรงข้างประตูเข้าบ้าน เพราะมัวแต่สังเกตไฟในครัวเปิดอยู่ อันเป็นสัญญาณว่าเวลานี้แม่กำลังเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น

    เข้าบ้านไปได้ก็เอ่ยคำทักทายกับมารดากันพอสมควร ก่อนจะช่วยเตรียมโต๊ะอาหาร ซึ่งก็เป็นกับข้าวง่าย ๆ อย่างน้ำพริกปลาทู ผักลวก และแกงส้มที่คาดว่าน่าจะซื้อมาจากร้านกับข้าวหน้าหมู่บ้าน

    และมื้อเย็นยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่ายอย่างเช่นทุกวัน จนกระทั่งดาหลาเอยคำถามหนึ่งออกมา

    “ช่วงนี้มีใครโทรหาบ้างรึเปล่า”

    “ไม่มี แม่ถามทำไม” เกศรินยังคงมีสมาธิกับการม้วนผักต้มให้พอดีคำ ก่อนจะเอาเข้าปากพร้อมข้าวคำโต โดยไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของแม่มากมายนัก

    “วันนี้มีคนโทรหาแม่ด้วย”

    สิ่งที่ดาหลาบอก ทำเอาหญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

    “ใคร…”

    “ลูกสาวแก”

    น้ำเสียงของดาหลาฟังดูเรียบง่ายแต่เฉียบขาด เกศรินวางช้อนกลางที่กำลังจะตักแกงส้มแทบจะทันที แววตาสั่นไหวแสดงความวิตกออกมาเล็กน้อย แล้วจึงหยิบช้อนเดิมขึ้นมาตักแกงส้มใส่จานตัวเอง พร้อมกับตอบกลับไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ

    “วันหลังแม่ไม่ต้องรับนะ ให้เขาอยู่กับพ่อเขาไป”

    เธอเอ่ยด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่แม่บอกมา แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเพราะอะไรเด็กคนนั้นถึงได้โทรหายายแทน แต่ด้วยเหตุผลที่เธอไม่เคยพบเจอหน้าลูกมาก่อน นับตั้งแต่คลอดออกมาจนวันนี้ก็เกือบสิบห้าปีแล้ว จึงไม่อยากไปสานสัมพันธ์ให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก เพราะคนสับสนก็คือตัวเด็กคนนั้นเอง

    “ริน นั่นลูกแท้ ๆ ของแกนะ”

    เสียงของดาหลาตวัดขึ้นมาด้วยโทสะ ในขณะที่ลูกสาวยังคงทำท่าเหมือนทองไม่รู้ร้อน

    “ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอแม่ ว่าเราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก” คราวนี้เป็นฝ่ายเกศรินที่ทำเสียงเข้มขึ้นมาบ้าง ข้อตกลงนี้มีมาหลายปีนับตั้งแต่เธอเลือกที่จะปิดฉากชีวิตการแต่งงานของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้เธอหันกลับไปสนใจคนบ้านนั้นได้อีก ต่อให้เขาจะใช้ลูกสาวมาเป็นข้ออ้างก็ตาม

    “เรื่องมันผ่านมาสิบห้าปีแล้วนะริน อีกอย่างลูกแกเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เมื่อไหร่แกจะให้อภัยสักที” เมื่อทำอะไรไม่ได้ ดาหลาก็เลือกที่จะคุยกับลูกด้วยเหตุผล จะอย่างไรคนที่พูดถึงก็คือหลาน และเป็นลูกในไส้ของเกศริน จะทำเป็นไม่ดูดำดูดีก็จะใจร้ายเกินไปสักหน่อย

    แต่เหมือนว่าสิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยออกมา จะไปเพิ่มความหงุดหงิดที่เกศรินสะสมไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย ให้ปะทุออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

    “อภัยอะไรล่ะแม่ รินต้องให้อภัยใครอีก ที่ผ่านมารินยังโดนมาไม่พออีกเหรอ แม่ก็รู้นี่ว่ารินต้องเจอกับอะไรบ้างน่ะ” หญิงสาวเอ่ยถึงสาเหตุที่เธอยังครองตัวโสดจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นหากไม่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเธอ บางทีเธออาจจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมากกว่าทุกวันนี้ก็ได้

    “แต่ลูกแกเขาก็แค่อยากจะเจอหน้าแม่สักครั้ง แกจะใจดำไม่ยอมพูด ไม่ยอมเจอหน้าลูกเลยเหรอ” ผู้เป็นแม่พยายามอธิบายอย่างใจเย็น อย่างน้อยในฐานะของคนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด หญิงสาวก็ควรใส่ใจลูกของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทำราวกับลูกไม่มีตัวตนแบบนี้

    และแน่นอนว่าสิ่งที่ดาหลาพูดออกมา มันไม่ได้ทำให้ลูกสาวอย่างเกศรินรู้สึกดีขึ้นเลย สำหรับเธอแล้วข้อตกลงเป็นเช่นไร มันก็จะต้องเป็นเช่นนั้นไม่มีวันเปลี่ยน และเมื่อรู้ว่าเถียงกับแม่ไปก็เท่านั้น เธอจึงเลือกที่จะทำตามใจมารดา โดยที่ยังคงความต้องการของตัวเองเอาไว้อยู่

    “ถ้าแม่อยากเจอก็เรื่องของแม่เถอะ รินไม่ห้าม แต่ถ้ามาเมื่อไรก็บอกรินด้วยแล้วกัน รินจะได้ไปอยู่ที่อื่น”

    “แกทำแบบนี้มันก็ไม่ช่วยทำให้แกลืมเรื่องนั้นหรอกนะ” น้ำเสียงเคร่งขรึมบ่งบอกถึงความสุดจะทนกับผู้ที่ยังฝังใจกับเรื่องเก่า ๆ และข้อตกลงที่ลูกสาวทึกทักเอาเอง ว่าจะยอมปล่อยลูกให้อยู่กับพ่อ หากว่าฝั่งนั้นยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และแยกกันอยู่โดยไม่ติดต่อกันอีก

    หรืออาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เกศรินไม่คิดจะเผาผีกับอดีตสามีอีกแล้ว

    “เพราะรินไม่ลืมไงแม่ รินถึงต้องไปหาหมอ กินยาบ้า ๆ ไม่เลิกสักที แม่อยากให้มันกลับมาตอกย้ำรินอีกรึไง” พูดจบเกศรินก็ล้วงกระเป๋าเอายาที่เธอต้องกินประจำให้กับมารดาได้เห็น มันเป็นยาสำหรับโรคทางใจ และภาวะวิตกกังวลที่เธอไม่เคยหยุดกินมันได้เลยสักครั้ง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

    เห็นยาที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ดาหลาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจนัก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าลูกสาวต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง แต่การที่จะให้เธอทำเป็นละเลยหลานแท้ ๆ ของตัวเอง หรือมองดูเกศรินทำเหมือนว่าลูกไม่เคยมีตัวตน เธอก็ไม่อาจทำใจได้เช่นกัน

    “อย่างน้อยแกก็น่าจะทำอะไรเพื่อลูกตัวเองบ้างนะ ลูกมันจะได้ไม่ต้องมีแผลในใจว่าแม่เกลียดมันจนไม่อยากแม้แต่จะเจอหน้า”

    “ให้เข้าใจแบบนั้นมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ จะได้ไม่ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องกันอีก” หญิงสาวย้ำชัดถึงความต้องการของตัวเอง เมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ขอเกี่ยวข้องใด ๆ กับอดีตคนที่เคยเป็นสามี เธอก็จะไม่ขอมีส่วนร่วมใดในเรื่องที่เกี่ยวกับเขา ถึงแม้จะเป็นเรื่องของลูกสาวที่เธอคลอดออกมาเองก็ตาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×