ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความปรารถนาของดานิกา

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 : คนขี้วีน

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 67


    “หมู่นี้อารมณ์เสียบ่อยไปรึเปล่า” 

    ชายหนุ่มวางแก้วแล้วเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงจริงจัง เหตุเพราะหมู่นี้เขามักได้ยินคนในสำนักงานบ่นถึงความเจ้าอารมณ์ของเกศรินให้ฟังไม่ขาด ที่แม้แต่เรื่องจุกจิกเล็กน้อยอย่างการเบิกของใช้ในสำนักงานเธอก็ทำให้เป็นประเด็นได้ โดยเฉพาะกับหัวหน้าที่เขาเองก็ไม่อยากให้เธอไปมีเรื่องมีราวด้วยสักเท่าไร

    แต่เพราะความที่เธอเองก็มีเรื่องขุ่นเคืองอยู่ในใจเหมือนกัน พอได้ยินดังนั้น เกศรินก็ไม่รอช้าที่จะพ่นความหงุดหงิดอย่างออกอรรถรส

    “จะไม่ให้เสียได้ยังไง แกก็ดูหัวหน้าสิ สั่งงานฉันเหมือนสั่งขี้มูก นู่นนี่ก็เอามาลงที่ฉันหมด แต่พอมีเรื่องอะไรก็มาโทษฉันก่อน นี่ก็คนมีหนึ่งหัวสองมือเหมือนกัน ไหนจะรายงานบัญชีที่ยังไม่ได้ส่งอีก แกจะให้ฉันทำอะไรทัน” เธอหมายถึงทุกงานในสำนักงาน ที่ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหน พอถึงขั้นตอนการเบิกเงินทีไร หัวหน้าเป็นต้องมีปัญหาให้เธอตามแก้ตลอด แน่ละพอเธอโวยวายเข้าหน่อย ก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อของเพื่อนร่วมงานไปอีก

    “ฉันให้เด็กในทีมไปช่วยคนหนึ่งเอาไหม” ได้ฟังแล้วกวินทร์ก็รู้สึกเห็นใจเพื่อนรักอยู่ไม่น้อย จึงเสนอเด็กฝึกงานที่เขาดูแลอยู่ให้กับเธอ และคิดว่าหากมีคนช่วยงานฝ่ายเธอมากขึ้น ก็อาจทำให้ปริมาณงานที่เกศรินต้องทำลดลงบ้าง

    ซึ่งที่จริงเขาน่าจะรู้ว่าเธอนั้นไม่มีทางรับมันไว้ สังเกตได้จากมุมปากที่เหยียดออกแสดงถึงความไม่พอใจอยู่นั่นเอง

    “เด็กแกน่ะเหรอ เฮอะ! ไม่เกินสองวันก็หนีเชื่อได้เลย”

    เกศรินปฏิเสธ ด้วยเด็กฝึกงานส่วนใหญ่ที่เข้ามา น้อยคนนักที่จะทนความเข้มงวดของเธอได้ จึงได้แต่บอกปัดไปเพราะไม่อยากเอาอารมณ์ไปลงกับเด็กด้วย

    “ไม่เอาละ...ฉันมีไอ้สากับพี่ต่ายช่วยงานก็ดีอยู่แล้ว ถึงงานจะช้าผิด ๆ พลาด ๆ บ้างก็ยังดีกว่าต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะสอนงานเด็กใหม่ แถมไม่รู้จะอยู่ด้วยกันได้สักกี่วัน ดีไม่ดีเจออย่างไอ้คนที่แล้วขโมยเงินไปอีก...โอ๊ย ฉันหัวจะปวด”

    เมื่อเอ่ยถึงอดีตเด็กฝึกงานที่เคยดูแล เธอยิ่งรู้สึกหัวเสียขึ้นมากกว่าเดิม ไอ้เพราะเห็นว่าเป็นเด็กเก่งเรื่องบัญชี เธอจึงมอบหมายงานที่เกี่ยวกับการเงินให้ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นเด็กฝึกงานแอบเอาเงินเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากร้านค้าใส่กระเป๋า เป็นเรื่องเป็นราวให้ต้องตามตัวกันวุ่นวาย หลัง ๆ มาเธอจึงเข้มงวดกับเด็กที่จะเข้ามาทำงานในฝ่ายตัวเอง กลายเป็นว่าส่วนใหญ่จะทนไม่ไหวหนีไปหากวินทร์ ที่ทั้งใจดีและงานเบากว่าแทน

    ด้านกวินทร์ก็พอเข้าใจสิ่งที่เพื่อนกำลังจะสื่อ แต่สิ่งที่เขารู้สึกอยู่ก็คือเหมือนหมู่นี้เธอจะอารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เรียกได้ว่าอะไรนิดหน่อย เธอก็มักจะแสดงความฉุนเฉียวออกมาทันที

    “ริน...พูดตามตรงเลยนะ แกนี่นับวันยิ่งบ่นเก่ง จะเข้าวัยทองแล้วเหรอ”

    “วัยทองป้าแกสิ ฉันเพิ่งสามสิบหก เขาเรียกกำลังสาวย่ะ” หญิงสาวแหวใส่ แม้อีกไม่กี่ปีจะสี่สิบ แต่เธอก็ยังดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เอาจริงตอนนี้เธอรู้สึกไม่ต่างอะไรกับตอนอายุยี่สิบกว่า ๆ ด้วยซ้ำ

    “สาวเทื้อล่ะสิ” เขาค่อนขอด “วันก่อนแม่แกก็แอบถามอยู่นะ ว่ามีใครแวะเวียนมาจีบหรือมีใครทำท่าสนใจแกบ้างหรือเปล่า”

    “อย่ามาโกหก แม่ฉันไม่มีวันถามอย่างนั้นแน่”

    เธอโต้แย้งออกมาทันควัน แต่เหมือนว่าคู่สนทนาจะไม่ยอมแพ้

    “ทำไมแกคิดงั้น”

    “ก็รู้ ๆ กันอยู่ แกเองก็น่าจะรู้คำตอบนี้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำ”

    ใจความประโยคนี้ อาจหมายถึงชีวิตของเธอและเขาที่ผ่านการแต่งงาน และการล่มสลายของครอบครัวมาแล้ว พอเห็นเขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ เกศรินก็พาเปลี่ยนเรื่องเสีย

    “จะว่าไปช่วงนี้ไม่เห็นแกไปหาน้องป่านเลย”

    ได้ยินชื่อลูกสาววัยสิบขวบของตัวเอง กวินทร์ก็ถอนหายใจอย่างคนหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาทันที

    “แม่เขาพาย้ายไปอยู่กับแฟนใหม่ที่สวีเดนแล้ว ถึงอยากไปยังไงก็ไม่มีปัญญาอยู่ดี”

    “อ้าว แล้วนี่แกไม่ห้ามล่ะ นึกว่าจะเอาลูกมาเลี้ยงเองซะอีก” คนฟังตกใจ เท่าที่เห็นเพื่อนเธอก็เป็นคนรักลูกมากคนหนึ่ง หลายครั้งที่เธอเห็นเขาส่งเงินให้ลูก และพยายามไปหาลูกให้ได้หากมีโอกาส แม้จะไม่ถูกกับแม่ของลูกก็ตาม

    “ก็อยากทำอยู่หรอก แต่ลูกก็อยากไปอยู่กับพ่อใหม่เหมือนกัน ทางโน้นเขาก็รักเจ้าป่านเหมือนลูกแท้ ๆ เลยไม่รู้จะขัดขวางอนาคตลูกไปทำไม”

    พูดถึงสามีใหม่ของอดีตภรรยาที่เป็นหนุ่มตาน้ำข้าว เขาก็รู้สึกเจ็บในใจขึ้นมา เหมือนลูกสาวของเขาก็เข้ากันได้ดีกับทางนั้น และเมื่อการไปอยู่ต่างแดนอาจทำให้อนาคตของลูกดีขึ้น เขาก็ไม่รู้ว่าหากไปต่อสู้เพื่อชิงลูกมาเลี้ยงเอง มันจะดีต่ออนาคตของลูกจริง ๆ หรือไม่ และมันจะเป็นสิ่งที่ลูกต้องการจริงหรือ เพราะอย่างที่เห็นว่าลูกสาวของเขาเองก็อยากไปเช่นกัน

    “แต่ก็ยังดีนะที่ป่านมันเรียกพ่อใหม่ว่าแด๊ดดี้ ขืนเรียกเป็นภาษาไทยว่าพ่อ ฉันก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันว่ะ”

    ท่าทางกวินทร์เหมือนคนปลงตกไปแล้วทุกสิ่ง แม้จะทำเหมือนทุกอย่างยังเป็นปกติ ทว่าเกศรินรู้ดีว่าในใจของเขาเองก็คงจะบอบช้ำไม่น้อย ที่ต้องเลือกระหว่างความถูกใจตัวเองกับอนาคตของลูก จึงได้แต่พยายามหาทางปลอบใจเพื่อน

    “เออ ฉันเป็นกำลังใจให้ เอาจริง…แกก็ไม่ได้เป็นพ่อที่แย่นะ ที่ผ่านมาแกก็ทั้งส่งเสียเลี้ยงดู พาไปโน่นไปนี่ตลอด เท่าที่เห็นน้องป่านก็รักแกดี ถึงไม่เจอหน้ากันก็ยังติดต่อกันทางอื่นได้นี่”

    “ก็จริงของแก” ชายหนุ่มยิ้มเศร้า ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากกระเป๋าถือของเธอ “รินโทรศัพท์ดังรึเปล่าน่ะ”

    เกศรินหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า พอยกขึ้นมาดูแล้วรู้ว่าเป็นเบอร์โทรของใครก็กดวางอย่างรวดเร็ว ซึ่งท่าทางของเธอสร้างความสงสัยให้กับคนที่นั่งดูอยู่ไม่น้อย

    “ทำไมไม่รับ พวกคอลเซนเตอร์เหรอ”

    “เปล่าหรอก แค่ไม่อยากรับน่ะ” เธอตอบเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วทำเป็นมองนาฬิกาในร้าน “ได้เวลาทำงานแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวหัวหน้าหาว่าฉันแอบอู้”

    ว่าแล้วเธอก็คว้าแก้วกาแฟที่ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็ม พร้อมกับลุกขึ้นทั้งที่ยังไม่หมดช่วงเวลาพักเสียด้วยซ้ำ ถึงจะแปลกใจในท่าทีลุกลี้ลุกลน แต่กวินทร์ก็ลุกตามไปด้วยเช่นกัน พร้อมกับความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจ ว่าหญิงสาวต้องมีอะไรสักอย่างที่กำลังปิดบังเขาอยู่แน่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×