คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 สวัสดีเขาหัวซาน
บทที่ 1
สวัสดีเขาหัวซาน
แต่เอาเถอะไหน ๆ
ก็หลุดเข้ามาแล้วคงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปตามเส้นทางที่นักเขียนกำหนดเอาไว้ให้จิ้นซื่อตายอย่างโดดเดี่ยวนั่นแหละ
ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น ก็บ้าแล้ว!! ใครมันจะไปอยากตายแบบนั้นกัน
หลังจากนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน
สิ่งที่คิดได้คือเขาในร่างของจิ้นซื่อหลังจากนี้จะไม่สนใจอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
รวมทั้งเนื้อเรื่องที่นักเขียนปูไว้ ในเมื่อตัวเขาที่น่าจะตายไปในโลกที่แล้วได้รับโอกาสจากใครสักคนที่ไม่รู้ว่าหวังดีหรือร้ายให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งถึงจะเป็นในนิยายที่ยังอ่านไม่จบก็เถอะ
อย่างน้อยเขาก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนมันจบลงที่ช่วงสุดท้ายของชีวิต
อาจจะแยกออกมาจากการเป็นตัวหลักแล้วกลายเป็นตัวประกอบธรรมดา
ๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ถึงเนื้อหาในช่วงแรกจะเน้นไปที่ความรักของจิ้นซื่อก็เถอะ
ยังไงเขาก็ไม่คิดจะสนใจความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
เดิมทีก็รำคาญตัวละครตัวนี้อยู่แล้ว
ในเมื่อได้มาเกิดเป็นตัวละครที่ตัวเองรำคาญก็จะจัดการแก้ให้มันไม่น่ารำคาญเหมือนเดิม
ส่วนเนื้อเรื่องที่เหลืออีก 6 เล่มช่างมัน
ยังไงตามนิยายจิ้นซื่อตายไปแล้วตั้งแต่เล่ม 7-12 คงไม่มีบทของเขา
ที่น่าห่วงก็น่าจะเป็นตอนนี้ที่เขาไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องมันเดินมาถึงตอนไหนแล้วนี่สิ
แต่เอาเถอะเขาจะเป็นตัวเองของตัวเอง
จะประกาศให้คนในสำนักรู้ว่าจิ้นซื่อคนนี้ถึงแม้มันจะไม่มีแซ่นำหน้าเหมือนคนอื่น
แต่ก็จะทำตัวให้ยิ่งใหญ่เท่าที่จะทำได้แล้วเดินมาตบหน้าคนที่ไม่เห็นหัวเขาในตอนนี้!!!
เขาจะต้องยะ...
“เจ้าฟื้นแล้ว?”
ทำไมต้องมีคนมาขัดขวางการมโนของฉันด้วย!!
นึกแล้วก็หันไปมองทางเสียงของบุรุษปริศนา
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ
บุรุษร่างสูงใหญ่คล้ายนักรบ
ใบหน้าคมคายจนอยากเอานิ้วไปลองแตะดูว่ามันสามารถบาดได้หรือไม่
ไหนจะกล้ามหน้าท้องที่เรียงกันเป็นก้อนสวยสง่า นี่ยังไม่รวมรูปหน้าที่มองรวม ๆ
แล้วหล่อจนไม่รู้จะหล่อยังไง
ขอเบรกการบรรยายความหล่อไว้ก่อน
ไอ้ตัวละครตัวนี้คือใครทำไมถึงไม่เคยอ่านเจอ!!
เท่าที่จำได้คือจิ้นซื่อถูกไล่ให้มาอยู่คนเดียวในป่าไผ่ไม่ใช่เรอะ
แล้วพอหนุ่มหน้าคมคนนี้คือใคร!
“เจ้าเป็นอะไรไป”
บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาหาแต่จิ้นซื่อกลับถอยหลังจนเขาต้องหยุดชะงัก “เจ้ากลัวข้า?”
“จะ...เจ้าคือผู้ใด”
น้ำเสียงตะกุกตะกักถูก
ในใจก็นึกกลัวว่าตัวเองจะโดนฆ่าตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร
“นี่เจ้าคงไม่ได้โดนไม้ไผ่หักทับจนความจำสูญหายหรอกกระมัง”
“ไผ่หักทับ?”
“ใช่
เมื่อวานข้าออกไปวอร์มร่างกายในป่า แต่อยู่ดี ๆ
เจ้าก็เดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าเลยเผลอเตะต้นไผ่จนมันหักลงมาทับเจ้าจบสลบ”
การตายว่าอนาถแล้วนะแต่การมีชีวิตอยู่ของนายนี่มันอนาถยิ่งกว่าอีกนะจิ้นซื่อ
จิ้นซื่อมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
ไม่รู้สิแต่ในความรู้สึกมันรู้สึกแปลก ๆ กับคนคนนี้
แววที่มีทั้งความดุร้ายและอ่อนโยนแบบนั้น
มันทำให้นึกถึงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่โผล่มาในนิยาย
“ไป๋หยาง!”
เสียงที่ถูกใช้เรียกค่อนข้างดังทำให้คนตรงหน้าสะดุ้งไปเล็กน้อย
“ใช่นั่นคือนามของข้า”
ไป๋หยางคืองูเห่าสีเผือกที่มีลวดลายบนลำตัวชัดเจน
ยิ่งเวลาที่ตัวมันอาบกับแสงพระจันทร์ยิ่งทำให้มันนดูสวยกว่าปกติแต่พิษของมันกลับร้ายแรงมากกว่างูเห่าตัวอื่นหลายเท่า
อีกทั้งในเขี้ยวพิษของมันยังมีพิษด้วยกันถึงสามชนิดให้เลือกใช้อีกต่างหาก
เดิมทีไป๋หยางอาศัยอยู่ในถ้ำลับแถวทางขึ้นเขาหัวซาน
แต่เมื่อไม่นานมานี้ถ้ำของไป๋หยางถูกบุกรุกจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงจนทนอยู่ไม่ได้เลยต้องหนีออกมาเพราะทนความรำคาญไม่ไหว
แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทางไป๋หยางโดนทำร้ายอาการสาหัส
ประสบกับจังหวะที่จิ้นซื่อกลับจากการเข้าไปในสำนักแต่โดนซีซินหยางไล่ออกมาพอดี
พอจิ้นซื่อเห็นงูเจ็บก็เก็บมารักษาอย่างไม่รังเกียจกว่าจะรู้ว่าไป๋หยางเป็นสัตว์เซียนก็นานอยู่เหมือนกัน
ในเนื้อเรื่องตรงนี้ยังมีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่เข้าใจมาก
ๆ
หนึ่งคือ
ไป๋หยางเป็นสัตว์เซียนก็ไม่น่าจะอ่อนแอจนถึงขั้นโดนชาวธรรมดาทำร้ายจนเจ็บหนักขนาดนี้
สองคือ ในนิยายไม่เคยบรรยายถึงลักษณะของไป๋หยางเลยว่าหน้าตาในร่างมนุษย์เป็นยังไง
เลยไม่ได้นึกถึงพอมาเจอตัวจริงก็ไม่คิดว่าจะหล่อขนาดนี้
อ่า สนใจแค่ข้อหนึ่งก็พอส่วนของสองช่างหัวมันเถอะ
ถ้าจะให้เดาเนื้อเรื่องตอนนี้คงอยู่ประมาณนิยายเล่ม 2
“เจ้าคิดอะไรอยู่ทำไม
ถึงทำหน้าตาแบบนั้น” ไป๋หยางถามขึ้น
“เปล่า ๆ ข้าแค่คิดถึงซีหยางน่ะ”
เอาตัวรอดเป็นยอดดี
อ้างอะไรไปก่อนก็ได้แค่ไม่ให้ไป๋หยางรู้ว่าตนถูกเขานินทาอยู่ในใจ
จะว่าไปขนาดงูที่มีซีนแค่ตอนใช้พิษฆ่าหูกวางอิงยังหล่อขนาดนี้แล้วจิ้นซื่อที่เป็นตัวเอกเล่า
จะหล่อขนาดไหน แต่เท่าที่จำได้ก็...
‘ใบหน้างดงามจนสามารถล่มสตรีทั้งเมืองได้
ผิวขาวสะอาดตานวลเนียนราวผิวเด็กแรกเกิด อีกทั้งเอวยังเล็กคอดราวสตรีในวังหลวง
หากหลิวจิ้นซื่อเป็นสตรีก็คงจะมีบุรุษเข้ามาให้เลือกเป็นคู่อยู่ไม่ขาด’
ชักอยากจะเห็นแล้วสิ
“ข้าว่าเจ้าเข้าไปพักเถอะ
ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะไหว” พูดจบไป๋หยางก็เดินอ้อมออกไปทางหลังเรือน
พออีกคนเดินหายไปลับตาจิ้นซื่อก็เดินกลับไปยังห้องที่ตนเพิ่งเดินออกมา
พอมองเห็นกระจกก็อดที่จะเข้าไปส่องไม่ได้ ช่วยไม่ได้นี่ก็คนมันอยากรู้นี่นา
จิ้นซื่อเดินตรงไปหยุดอยู่หน้ากระจก
ทันทีที่มองเห็นเงาสะท้อนของตนก็อดตื่นตะลึงไม่ได้
ในนิยายบรรยายไว้แล้วว่าสวยยิ่งกว่าสตรี แต่พอมาเจอของจริงคือ โคตรสวย
สวยจนเขาอยากได้เอง อยากจะกราบงาม ๆ แล้วกล่าวคำขอโทษที่เคยด่าว่าน่ารำคาญ
แต่ก็แปลกจิ้นซื่องามขนาดนี้ซีซินหยางไม่คิดหวั่นไหวหรือสัมผัสหน่อยหรือยังไง
ช่างเถอะ เรื่องหัวใจของสองคนนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขานี่เนอะ
เอาเวลาไปคิดหาทางมีชีวิตอยู่ต่อจนถึงช่วงบั้นปลายชีวิตดีกว่า
ยามจื่อ (23.00 – 01.00)
พระจันทร์ดวงกลมส่องแสงสีเหลืองนวลสว่างจนมองเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน
เสียงไม้ไผ่ดังลั่นตามลมไม่ได้ทำให้นึกกลัว
จิ้นซื่อนั่งอยู่บนตั่งไม้แขนทั้งสองข้างพาดทับกันอยู่บนราวระเบียงทางเดิน
สายลมเย็น ๆ
พัดผ่านอากาศเริ่มเย็นหากแต่คนที่นั่งอยู่กับไม่หวั่นต่อความหนาวเลยแม้แต่น้อย
เขานอนไม่หลับ
พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ไม่หลับเลยต้องออกมานั่งมองพระจันทร์ข้างนอก
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในร่างนี้ก็ยังไม่มีอาหารหรือน้ำสักหยดตกถึงท้องเลย
ในครัวก็ว่างเปล่าจนอดสงสัยไม่ได้ว่าปกติแล้วจิ้นซื่อกินอะไรเป็นอาหาร
เรื่องกินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
อดมามากกว่าหนึ่งวันก็เคยมาแล้ว นึกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงอดีตในโลกเดิมของตน
ตั้งแต่เด็กเขาเติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้า พออายุครบ 15 ก็โดนไล่ออกมาเพราะที่นั่นไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กที่มีนิสัยชอบต่อยตีอย่างเขาได้
ตอนออกมาอยู่ข้างนอกช่วงแรกเขายังคงหาทางเอาตัวรอดไม่ได้
ที่นอนก็ไม่มีอาศัยนอนหลบฝนหลบลมตามซอกตึก
วันไหนโชคร้ายเจอเจ้าถิ่นก็ต้องออกแรงเพื่อให้ตัวเองได้ที่อยู่ เป็นแบบนี้อยู่หลายปีจนครูมวยมาเจอเขาที่กำลังหมดทางสู้กลายเป็นหมาจนตอก
พ่อครูคงสงสารเลยรับเขาไปเป็นเด็กฝึกในค่าย แต่ไม่นานท่านก็จากไปเพราะโรคร้าย
นั่นเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมือนจะดีของเขา
ที่บอกเหมือนจะเพราะมันเกือบจะดีถ้าไม่นับรวมสิ่งที่ไม่อยากนึกถึง เขาก็คงจะใช้คำว่าดีได้อย่างเต็มปากเลยล่ะ
“เจ้ามานั่งทำอะไรที่นี่
เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
จิ้นซื่อเงยหน้าไปมองคนที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
ก่อนจะคลี่ยิ้มฝืด ๆ ให้ไป๋หยางแล้วเปิดปากตอบคำถาม “นอนไม่หลับ”
“เจ้าคงหิว นี่ ข้าให้”
หมั่นโถวสองลูกถูกยื่นมาตรงหน้า
จิ้นซื่อยิ่งมือไปรับมาถือไว้แล้วกัดเข้าปากไปคำหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ขอบคุณ”
“กินเสร็จก็ไปนอนได้แล้ว
ถ้าขืนเจ้ายังนั่งอยู่ตรงนี้คงได้เป็นหวัดแน่ ๆ”
ว่าจบไป๋หยางก็เดินหายไปทางหลังเรือนตามเดิม
แปลกคน จะมาก็มา จะไปก็ไป
อยากจะว่าแต่ก็นึกขึ้นได้นั่นคืองูไม่ใช่คนแถมยังเป็นงูที่มีพิษอยู่ในเขี้ยวถึงสามชนิดซะด้วยสิ
หลังจากหมั่นโถวลูกสุดท้ายหมดก็เดินกลับเข้ามานอนที่เดิม
ไม่นานดวงตาก็ปิดสนิทแล้วความมืดมิดก็พาเขาเข้าสู่วังวนแห่งความฝัน
ภาพตรงหน้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงสว่างจากพระจันทร์หรือตะเกียงให้มองเห็นทางข้างหน้า
ขาเริ่มก้าวเดินตามความมืดก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่ง
แต่ไม่ว่าจะวิ่งเร็วขนาดไหนก็ไม่มีทางออกไปหาแสงสว่างสักที
จนต้องหยุดยืนอยู่กับที่
ในระหว่างที่กำลังท้อและหมดหนทางจู่ ๆ
ก็มีเสียงชายชราดังมาจากทางด้านหลัง “ไง
พ่อหนุ่มเทียนอี้ไม่สิหลิวจิ้นซื่อต่างหากเนอะ”
“ใคร!”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ที่ข้ามาที่นี่เพราะข้ามีเรื่องต้องบอกกับเจ้า”
“...”
“โลกที่เจ้าถูกส่งเข้ามาคือโลกคู่ขนานของนิยายเรื่องต่อให้ทิวาดับข้าก็จักยังรักเจ้า
ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะทำเป็นเวอร์ชันรีไรท์
ซึ่งจะได้รับการตีพิมพ์ใหม่เป็นอีกเวอร์ชัน เนื้อเรื่องทั้งหมดจะดำเนินตามพล็อตเดิมแต่เป็นฉบับรีไรท์ออกมาที่จบคนละแบบต่างจากชุดแรกที่เคยวางขายเมื่อนานมาแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
“ดวงเจ้ายังไม่ถึงคราวตายเทียนอี้
ข้าเลยให้โอกาสเจ้าเข้ามาใช้ชีวิตต่อในนิยายที่อ่านก่อนตายไงเล่า”
“ไม่ต้องอ้อมให้มึนหัวได้มั้ย
จะบอกอะไรก็บอกตรง ๆ”
“ก็ได้ ๆ
แค่นี้ทำไมต้องทำตัวหงุดหงิดใส่ข้าด้วย”
เสียงนั้นหายไปช่วงหนึ่งแล้วมันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าแค่อยากให้เจ้าเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องเดิมแล้วหาทางเอาตัวรอดน่ะ
อยากจะดูสักหน่อยว่าเจ้าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ทั้งหมดยังไง
สิ่งที่เจ้าทำจะไม่ส่งผลกระทบต่อพล็อตหลักที่ปรากฏในนิยายหลักตามที่บอกไป
ที่นี่คือโลกคู่ขนานที่ข้าสร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแนวทางของนักเขียน เจ้าอยากทำอะไรเจ้าย่อมทำได้ตามใจเจ้าเอง”
“ผมจะหย่ากับซีซินหยางแล้วไปใช้ชีวิตของตัวเอง”
“นั่นก็เรื่องของเจ้าจะได้หย่าง่าย ๆ
อย่างที่เจ้าหวังหรือไม่อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวนักเขียน
ยังไงเจ้าก็เป็นแค่หนึ่งตัวละครที่ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางแค่นั้น” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังก้องหูของจิ้นซื่อ
“ข้าต้องไปแล้วขออวยพรให้เจ้ามีความสุขกับโลกใบใหม่ที่ข้าสร้างขึ้นมาให้ใหม่นะ
บ๊ายบายย”
“เดี๋ยวก่อน!”
“เดี๋ยว”
“เดี๋ยว!!!”
จิ้นซื่อดีดตัวลุกขึ้นมานั่งทันทีที่หลุดออกความฝัน
เมื่อกี้มันคืออะไรแล้วเสียงนั่นคือเสียงของใคร
ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือเขาแค่ฝันตามความคิดของตัวเอง
คำถามหลั่งไหลเข้ามาในสมอง
แต่ก็ต้องสะบัดมันออกเพราะแสงสว่างจากข้างนอกบอกว่าเริ่มต้นเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว
น้ำที่ถูกตักขึ้นมาไว้ใช้จนเต็มถังถูกกวักขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก่อนจะพาตัวเองไปที่กระจกบานเดิมที่ส่องไปเมื่อวาน
ยิ่งมองเงาสะท้อนก็ยิ่งน่าหลงใหล
ยิ่งจ้องเท่าไหร่ก็ยิ่งหลงรักมันเป็นสิ่งที่เขาคิดตั้งแต่เห็นหน้าจิ้นซื่อจนถึงตอนนี้
มือขาวเอื้อมไปหยิบหวีไม้ขึ้นมาสางผมที่แผ่สยายยาวไปจนถึงเอว
ไม่นานก็ถูกรวบขึ้นและจัดแต่งให้เป็นระเบียบอย่างที่ควรจะเป็น
ต้องขอบคุณสกิลการจัดทรงผมให้น้องในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ทำให้เรื่องแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา
หลังจากเมื่อวานนี้นั่งเอ๋อหาทางออกให้ตัวเองมาทั้งวันแล้ว
วันนี้ก็ไม่พลาดที่จะออกมาเดินสำรวจรอบ ๆ บรรยายโดยรวมถือว่าน่าอยู่เลยทีเดียว
ติดตรงที่มีเสียงไม้ไผ่ดังเกือบตลอดนี่แหละที่เขาไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
แต่ถ้าจะให้อยู่ก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเพราะยังไงมันก็ดีกว่าไม่มีที่จะอยู่
เดินมาได้ไม่นานขาสองข้างก็ต้องหยุดชะงักกะทันหัน
เขาได้ยินเสียงบางอย่างลอยมาตามสายลม
แถมยังเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
ตั้งใจฟังดี ๆ แล้วเสียงมันดังมาจากทางทิศเหนือ
จิ้นซื่อไม่รอช้าเดินไปยังจุดหมายทันที
ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งทำให้มั่นใจว่ามาถูกทางแล้วไม่มีผิดเพี้ยน
ภาพที่ตรงหน้าคือไป๋หยางที่สวมเพียงกางเกงผ้าท่อนบนไร้เสื้อปกปิดเหมือนเมื่อวาน
กำลังออกท่าทางเหมือนกันการฝึกฝนวิชาแต่ติดที่ว่าท่าทางพวกนั้นเขาก็ทำได้เช่นเดียวกัน
จิ้นซื่อค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ
มือแตะที่ไหล่ของอีกคนเบา ๆ
ไป๋หยางตกใจจนสะดุ้งหมัดที่ตั้งการ์ดไว้ถูกปล่อยออกไปหาจิ้นซื่อตามสัญชาตญาณ
จิ้นซื่อหลบหมัดของไป๋หยางได้เป็นอย่างดีแต่ด้วยสัญชาตญาณของนักสู้เขาเลยเผลอปล่อยหมัดสวนกลับไป
ไป๋หยางที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหลบไม่ทันทำให้หมัดของจิ้นซื่อต่อยเข้าที่เบ้าตาเต็มแรง
“โอ๊ย!”
ไป๋หยางยกมือกุมเบ้าตาแล้วทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น
จิ้นซื่อนั่งลงตามอีกคนก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน
“ไป๋หยางเจ้าเจ็บหรือไม่”
ไป๋หยางจ้องจิ้นซื่อไม่วางตา
แต่ไม่ใช่แววตาที่แสดงถึงความโกรธแค้น มันเต็มไปด้วยความสงสัย
เท่าที่เขารู้คือจิ้นซื่อเลิกฝึกวรยุทธไปตั้งหลายปีแล้ว
ไม่สนใจแม้แต่ศาสตร์การต่อสู้ด้านอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ
มาวันนี้กลับหลบหมัดของเขาได้ราวกับฝึกมานานหลายปีแถมยังรู้จักหวะการตอบโต้คู่ต่อสู้อีก
มันเลยอดสงสัยไม่ได้ “นายเป็นใคร”
มือที่กำลังจะแตะถึงใบหน้าของไป๋หยางหยุดชะงักกะทันหัน
“หมายความว่าไง”
“จิ้นซื่อไม่มีทางที่จะทำแบบนี้ได้
อีกอย่างมวยสากลแบบนี้ที่นี่คงไม่มีใครเคยฝึกแน่ ๆ ฉันมั่นใจ”
จิ้นซื่อหน้ากระตุกเพราะคำพูดของไป๋หยาง ว่าไปตามจริงเขารู้สึกแปลกตั้งแต่ไป๋หยางใช้คำว่าวอร์มแทนคำว่าฝึกแล้วล่ะ
แต่ไม่คิดว่ามันจะมีคนหลุดเข้ามาในนี้เหมือนตัวเองเลยปล่อยผ่าน
มาตอนนี้เขาเข้าใจมันทั้งหมดแล้วล่ะ มั้ง…
จิ้นซื่อหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วตอบอีกคน
“เทียนอี้คือชื่อของผม”
“นาย!!” ไป๋หยางเผลอตะโกนออกมาเสียงดังเพราะตกใจและเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“รู้จักฉันเหรอ”
จิ้นซื่อถามด้วยความประหลาดใจ
“ถามหน่อยเถอะในแวดวงของนักมวย
ตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จักนักชกไร้พ่ายบ้าง”
“ก็จริง”
ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนู้น
ตั้งแต่ขึ้นชกเวทีแรกจนถึงปัจจุบันไม่มีสักครั้งที่เขาเป็นฝ่ายแพ้เลย
ยกเว้นก็แต่การขึ้นชกครั้งล่าสุดที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตนี่แหละที่ทำให้เขาแพ้
แถมแพ้ครั้งแรกก็ตายเลยน่าขำ ๆ
“เป็นนายจริง ๆ เหรอ”
ไป๋หยางถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อืม” จิ้นซื่อพยักหน้า
“แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไง
หรือว่านายตายแล้ว?”
จิ้นซื่อพยักหน้า
“ไม่ยักรู้ว่านายอ่านนิยายประเภทนี้ด้วย”
“เลิกถามเรื่องของฉันแล้วบอกเรื่องของนายมาสักทีเถอะน่า”
“ฉันชื่อจินเป็นนักมวยของค่ายคู่แข่งนาย
ถ้านายจำได้เมื่อประมาณสี่เดือนที่แล้วมีคู่แข่งของนายไม่มาแข่งเพราะประสบอุบัติเหตุใช่มั้ยล่ะ”
ไป๋หยางพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าแต่ไม่นานก็ปรับมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับปกติตามเดิม
เขาไม่อยากนึกถึงตอนที่เขายังอยู่ในโลกฝั่งนู้นอีกแล้ว
“อย่าบอกนะว่าคือนาย”
“อืม ฉันเอง ฉันคือคนนั้นคนที่ใคร ๆ
ต่างก็บอกว่าฉันคือตัวเต็งในวันนั้น ฉันสามารถเอาชนะนายได้สบาย ๆ
เพราะจำนวนการแพ้ของฉันมันน้อยกว่านักชกคนอื่นอยู่มาก
แต่รู้มั้ยวันนั้นที่ฉันตายมันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก” ไป๋หยางยิ้ม
“หมายความว่าไง”
“รถที่ฉันนั่งไปโดนตัดสายเบรกน่ะ
แล้วนายรู้มั้ยว่าใครเป็นคนทำ”
“ไม่รู้”
ถึงจะตอบว่าไม่รู้แต่ใจมันกลับเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
“คนของค่ายนายไง
เขากลัวว่นายจะแพ้ฉันเลยทำให้ฉันตาย ๆ ไปซะจะได้สิ้นเรื่อง” ไป๋หยางหันไปมองอีกคน
เห็นว่าตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยพูดต่อ
“ไม่ต้องกลัวหรอกฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า พวกเราน่ะมันก็แค่หุ่นเชิดที่พวกเขาเอาไว้หาชื่อเสียงกับเงินเข้ากระเป๋าเท่านั้นแหละ
คิดดูสิแข่งมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งส่วนแบ่งก็แทบไม่เข้าเราเลยด้วยซ้ำ”
“มันก็จริงของนาย”
จิ้นซื่อนึกตามแต่ก็ถามในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจออกมา
“แล้วนายรู้รึเปล่าว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่”
“ตาแก่นั่นส่งมา
เขาบอกว่าฉันยังไม่หมดอายุขัยแต่ตายก่อนเลยถูกส่งใหม่มาเกิดใหม่ที่นี่นายก็น่าจะมาจากสาเหตุเดียวกับฉันนั่นแหละ”
ไป๋หยางอธิบายคร่าว ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ
การตายของเขาอาจจะไม่ใช้การช็อกเพราะอดนอนแต่เป็นเพราะยากระตุ้นอะไรสักอย่างที่รับเข้ามาในร่างกาย
บวกกับร่างกายที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนอยู่แล้วเลยทำให้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อ่อนแอเลยกลายเป็นแบบนี้สินะ
ไป๋หยางเห็นว่าอีกคนเงียบไปก็พูดขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องโลกนี้หรอก มันไม่ผลกระทบต่อนิยายที่ถูกพิมพ์ขายอยู่แล้ว
อีกอย่างนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่เก่ามาก ๆ
คนเขียนก็อยากเอามันมารีไรท์เนื้อหาใหม่โดยใช้พวกเราเป็นตัวเดินเรื่องแทนที่เขาจะใช้สมองคิดเองก็แค่นั้น”
“ตาแก่ที่นายพูดถึงคือคนเขียนเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกจะว่าไงดี
ตาแก่นั่นไม่ใช่คนเขียนแต่คนเขียนเหมือนมีจิตผูกกับตาแก่นั่นที่เป็นเทพหรือเซียนอะไรสักอย่างนี่แหละฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ”
“งั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรในโลกนี้มันก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลัก
แต่มันจะไปโผล่ในฉบับรีไรท์ที่เขาบอกว่าจะเขียนเนื้อเรื่องและตอนจบให้ต่างไปจากเดิม
ส่วนเราก็ต้องทำตามเหตุการณ์ที่อยู่ในต้นฉบับต่อไปฉันเข้าใจถูกมั้ย” จิ้นซื่ออธิบายความคิดของตัวเองให้ไป๋หยางรู้
ไป๋หยางพยักหน้าก็นึกตามที่อีกคนพูด
ข้อนี้เขารู้มาตั้งแต่เข้ามาที่นี่แรก ๆ แล้ว จริง ๆ
นักเขียนคนนั้นก็แค่ขายวิญญาณของตัวเองให้ตาแก่นั่นแทนการขายให้ซาตานผลมันเลยออกมาเป็นว่าตาแก่จะส่งคนที่ตายไปแล้วแต่อายุขัยยังไม่หมดมาที่นี่แทนเพื่อนใช้เป็นหนูทดลอง
“เขาบอกฉันว่าจะมีคนเข้ามาอีกแค่คนเดียวนึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาย”
“ฉันก็ไม่นึกว่าจะเคยเจอคู่ต่อสู้ที่ยังไม่ทันได้ชกก็ชนะของตัวเองที่นี่เหมือนกัน”
“นายอยากลองชกกับฉันดูหน่อยมั้ยล่ะจิ้นซื่อ”
จิ้นซื่อจ้องหน้าไป๋หยาง ไป๋หยางเองก็จ้องเขากลับเช่นเดิมกัน
ไม่นานคนทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
พอตั้งสติได้จิ้นซื่อก็เป็นฝ่ายถามไป๋หยางก่อนอีกเช่นเคย
“นายอ่านมันถึงเล่มไหนแล้ว”
“เล่มเก้า กำลังจะขึ้นสิบแต่ตายก่อน
นายล่ะ”
“หกกำลังจะเจ็ด
งั้นนายก็นำฉันอยู่สองเล่มเพราะงั้นนายเป็นไกด์นะโอเค๊”
จิ้นซื่อตกลงเอาเองเสร็จสับโดยไม่เปิดโอกาสให้ไป๋หยางเปิดปากพูดเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไปตอนนี้เนื้อเรื่องมันถึงไหนแล้วนะ”
“ตอนที่ซีซินหยางใกล้จะกลับหรืออาจจะกลับมาแล้วเมื่อคืนตอนฉันออกไปหาอะไรมาให้นายกินบังเอิญไปได้ยินศิษย์ในสำนักพูดถึงเรื่องนี้พอดี”
“อือ ฉันควรจะทำยังไงต่อดี”
จิ้นซื่อถามอย่างคิดไม่ตก
“ฉันไม่รู้
แต่เคยคิดอยู่ว่าถ้านายหย่าแล้วมันจะเปลี่ยนทั้งหมดแล้วกลายเป็นจุดจบเลยรึเปล่า”
“ฉันก็อยากทำแต่ตาแก่นั่นบอกฉันว่ามันไม่ง่ายถ้าคิดที่จะหย่าตอนนี้”
“ตอนนี้คือนายยังหย่าไม่ได้สินะ”
ไป๋หยางทำท่าครุ่นคิด จิ้นซื่อดำเนินเรื่องยังไง มันย่อมส่งผลกระทบมาถึงเขาด้วย
เพราะตาแก่นั่นกล่าวเอาไว้แล้วว่าเขากับจิ้นซื่อจะต้องเป็นคู่หูกัน
แต่ดูทรงแล้วไม่น่าจะรอดง่าย ๆ
“อือ”
เขาเองก็มีความที่ไม่ต่างจากไป๋หยางเท่าไหร่นัก
“งั้นนายก็”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล “เดี๋ยว! มีคนมา”
ไป๋หยางที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนก่อนแต่พลังทั้งหมดที่เขามีมันก็ยังคงอยู่
ประสาทสัมผัสของงูที่ทำให้รับรู้ถึงสถานการณ์แปลก ๆ ได้เร็วกว่าคนปกติ
ไป๋หยางที่อยู่ในร่างของคนเปลี่ยนเป็นงูที่ตัวเล็กกว่าปกติเลื่อนเข้าไปหลบในกองใบไผ่
จิ้นซื่อมองภาพนั้นอย่างอึ้ง ๆ
ปกติเขาเป็นคนที่ชอบงูมาก ๆ
ถึงขนาดที่เคยจะเลี้ยงพอได้มาเห็นงูเห่าแสงจันทร์ที่ใคร ๆ
ต่างก็บอกว่าหายากนักหายากหนาแบบนี้แถมยังเป็นตัวเล็ก ๆ
แบบนี้มันก็อดที่จะรู้สึกอยากเดินเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้
แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นไปหาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดซะก่อน
จนเขาเผลอจิ๊ปากด้วยความเสียดาย
“จิ้นซื่อ! เจ้าอยู่หรือไม่”
เสียงของบุรุษปริศนาดังขึ้นมาจนทำให้เขาหันไปมอง
บุรุษร่างสูงในอาภรณ์สีอ่อนกำลังส่งเสียงเรียกเขาอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
จิ้นซื่อเดินเข้าไปหาก่อนจะขานรับเบา ๆ “ข้าอยู่นี่”
คนผู้นั้นหันมามองเขาก่อนจะยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้มันอะไรกันในนิยายเรื่องนี้มีคนญาติดีกับจิ้นซื่อด้วยเหรอ
“ท่านพ่อให้ข้ามาบอกเจ้าว่าเย็นนี้ให้เข้าไปท่านมื้อเย็นที่สำนัก”
ชายผู้นั้นเอ่ยยิ้ม ๆ
จากการประมวลผลของสมอง คนคนนี้เรียกซีซูเย่ว่าพ่อ
แล้วซีซูเย่ก็มีบุตรชายแค่สองคน ผลจากการคำนวณ
คนคนนี้น่าจะเป็นซีซั่วหยางพี่ชายของซีซินหยางอย่างแน่นอน!
“จิ้นซื่อเจ้าเป็นอะไรหรือไม่
ข้าเห็นเจ้าสีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
ข้าเรียกเจ้าอยู่นานสองนานเจ้ากลับไม่ตอบข้าเลย”
“ข้าสบายดี ท่านพี่มาเรียกข้าถึงที่นับว่ารบกวนท่านแล้ว”
จิ้นซื่อพูดยิ้ม ๆ ถึงปากจะยิ้มแต่เสียงกรีดร้องที่ดังก้องอยู่ในใจไม่ได้เบาลงเลย
ภาษาของที่นี่มันพูดอยากขนาดนี้เลยเหรอ!
ซีซั่วหยางมองหน้าจิ้นซื่อที่มีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของตนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ปกติเวลาเจอหน้าเขาหรือใครก็ตามในสำนัก
สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของจิ้นซื่อจะเป็นชื่อของน้องชายตน
แต่วันนี้กลับเงียบไม่เอ่ยปากถามถึง แถมท่าทางยังสงบกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว
แอบคิดเหมือนกันว่านี่อาจจะเป็นคราวโชคของซีซินหยางแล้วแน่ ๆ
“มีอะไรติดหน้าข้าหรือ”
จิ้นซื่อถามเพราะเห็นว่าซีซั่วหยางเอาแต่จ้องหน้าตน
“เปล่า งั้นข้าขอตัวก่อน”
จิ้นซื่อคารวะซีซั่วหยางตามที่เพิ่งจะนึกออกเมื่อกี้ว่าถ้าคุยกับญาติผู้ใหญ่สิ่งที่ควรทำคือความเคารพ
ถึงแม้ว่าตอนแรกเขาจะลืมก็เถอะ
หลังจากซีซั่วหยางหายไปลับตาแล้วจิ้นซื่อก็หันกลับมาหางูเห่าตัวน้อยที่เขามั่นใจว่ามันจะไม่งับเขาแน่
ๆ เมื่อเห็นว่าไป๋หยางยังไม่คืนร่าง
ก็เดินเข้าไปหยิบมาวางไว้บนอุ้งมือตัวเองแล้วพากลับเรือน
ไหน ๆ ก็มีโอกาสแล้วอะเนอะ
แถมลายบนลำตัวสีขาวของไป๋หยางยังสวยกว่าตัวที่เขาเคยเจอในสวนสัตว์มันก็อดที่จะเอามาเล่นด้วยไม่ได้
ไป๋หยางเพื่อนรักวันนี้เจ้าเสร็จข้าแน่5555555555555555
ว่าแต่ว่า
ที่ซีซั่วหยางเรียกเขาให้เข้าไปทานมื้อเย็นที่นั่นก็หมายความว่า...
ซีซินหยางกลับมาแล้ว!!!
talk : สวัสดีนักอ่านทุกคนด้วยค่ะตอนแรกเราเปิดแล้วนะคะ
ที่มาช้าเพราะตัวเองล้วน ๆ เลยค่ะ เราว่ามันยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เลยลองลบแต่งใหม่อยู่หลายครั้ง
จนตัดสินใจได้ว่าจะเอาอันที่คิดว่าดีที่สุดมาอัปก่อนแล้วกัน
เผื่อจะได้รู้ว่ามันโอเครึเปล่า ได้คำแนะนำเพิ่มมั้ย แฮะ ๆ
ถ้ายังไงทุกคนสามารถแนะนำในส่วนที่ยังไม่โอเคได้นะคะ
เรายินดีนำไปแก้ไขและปรับปรุงต่อไปค่า
ส่วนพระเอกก็คือพระเอกนะคะ555 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใครเพราะมีคนเดียว
._.
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านกันนะคะ!
ความคิดเห็น