ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SM Sweet Review รับวิจารณ์นิยาย

    ลำดับตอนที่ #18 : Send: Handsome or beauty พลิกคู่กัดให้เป็นคู่รัก (S)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 58
      0
      19 ก.ย. 58

    Handsome or beauty พลิกคู่กัดให้เป็นคู่รัก

     

    นักวิจารณ์ S

    ชื่อเรื่อง (9/10) เข้ากับเนื้อหาดีเลยค่า ตรงภาษาอังกฤษสื่อว่ามีการเข้าใจผิดเรื่องเพศกัน ส่วนภาษาไทยก็บอกเลยว่าทั้งสองไม่ถูกกันในตอนแรก แต่ที่หักไปคะแนนนึง เพราะเราคิดว่า เนื่องจาก Handsome เป็น adjective ฉะงั้นเราว่า Beauty ที่เป็น noun ควรเปลี่ยนเป็น Beautiful แทนค่ะ และเพราะว่าเป็นชื่อเรื่อง ตัว b ควรเป็นตัวใหญ่ capital letter ด้วยจ้า

    การตกแต่งบทความ (3/5) หากพูดถึงหน้าแรก ตรงแนะนำเรื่องเราว่าไรต์สามารถเขียนให้น่าดึงดูดกว่านี้ได้ค่ะ ตอนนี้อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจฟีลของเรื่องเท่าไหร่นัก เราว่าในกรณีของเรื่องนี้ นำส่วนหนึ่งของเนื้อหามาใส่เป็นตัวอย่าง อะไรแบบนี้จะเข้ากว่าอ่ะค่ะ ขอชี้แนะที่เขียนไว้แล้วนิดนึง อีกคนถูกเรียกว่า ทอมส่วนอีกคนก็ถูกเรียกว่า เกย์หากจะใช้คำว่า อีกคน นั้น ปกติแล้วจะเป็นการพูดถึงใครคนหนึ่งมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะงั้นคำนี้ตรงที่ทำตัวหนาไว้คิดว่าควรเปลี่ยนเป็น คนหนึ่ง มากกว่าค่ะ นอกจากนั้นเราว่าหากมีโปสเตอร์และแบนเนอร์ก็จะทำให้หน้าบทความดูมีสีสันมากขึ้นน้า แนะนำตัวละคร เราว่าจัดไว้กลางหน้าดีกว่าชิดซ้ายค่ะ อันนี้ความเห็นส่วนตัวเนอะ แล้วเราคิดว่าเรื่องของไรต์นั้น ใช้โควตคำพูดของตัวละครจากเนื้อหามาใส่ได้นะคะ เหมาะเลยล่ะ ส่วนในตอนย่อยไม่มีปัญหาค่า มีแต่จัดย่อหน้าซึ่งไรต์บอกให้ข้ามเนอะ ฮ่าๆๆๆ

    บทบรรยาย (16/20) ส่วนใหญ่นั้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของเราเนอะ บางอันอาจเป็นแค่เราเท่านั้นที่รู้สึกแปลกๆ ยังไงไรต์ลองดูความเหมาะสมนะคะว่าส่วนไหนไรต์คิดว่าสมควรเปลี่ยน ส่วนไหนอยากจะคงไว้

     

    ตอนที่หนึ่ง

    หลังจบเครื่องหมายคำพูด “ ควรเว้นวรรคหนึ่งทีแล้วค่อยเขียนบรรยายต่อ เพื่อให้อ่านสบายตาขึ้นค่ะ

    “เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกมือใครบางคนสัมผัสที่แขนฉับพลัน ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือสอบอย่างเคร่งเครียด ใครมันกล้ากวนตรูตอนนี้ฟะ อยากจะเห็นหน้ามันจริงๆ -*-  ตรงที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ เราว่ามันควรเป็นประโยคเดียวมากกว่าอ่ะค่ะดูจากเนื้อหา และที่ทำตัวหนาเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำซ้ำ หรืออะไรทำให้เราว่าอ่านแล้วสะดุด คือมันตัดออกได้อ่ะค่ะ เราว่าเขียนเป็น ผมร้องเสียงหลงเมื่อมีมือมาสัมผัสที่แขนขณะกำลังอ่านหนังสือสอบอย่างเคร่งเครียด สังเกตว่าเราตัดบางคำออกเพื่อให้ประโยคไม่ยาวไปนะคะ มันก็ยังอาจจะยาวไปอยู่ดีแหละ ฮ่าๆ แต่คิดว่าเอามารวมเป็นประโยคเดียวกันดีกว่าอ่ะค่ะ ส่วนท้ายนั้นที่บอกว่า ใครมันกล้ากวนตรูตอนนี้ฟะ อยากจะเห็นหน้ามันจริงๆ -*-  เราว่ามันทำให้อารมณ์เราขาดหน่อยๆ ต้องใช้เวลาอ่านทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่ควรเกิดขึ้นแบบฉึบฉับเลยอ่ะ เพราะว่าหากโดนแตะก็ต้องหันไปมองกะทันหันตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว แต่ประโยคนี้ทำให้รู้สึกว่ามันใช้เวลาพอสมควรกว่าพระเอกจะหันไปยังไงไม่รู้ ตามความรู้สึกเราน้า

    วะ ว่ะ ละ ล่ะ ยะ ย่ะ ไรต์ยังใช้ผิดในบางที่อยู่นะคะ ลองอ่านทวนดูจ้า ตัวอย่างเช่น ผมหลุดขำก๊ากทันทีที่มันพูดจบ อึ้งเลยวะ ต้องเป็น ว่ะ เนอะ

    บางที่นั้นเราว่าไรต์สามารถใส่คำบรรยายได้อีกเพื่อให้ผู้อ่านอินขึ้นอ่ะค่ะ ตัวอย่างเช่น “แกล้งเป็นแฟนกูที” ผมนิ่งอึ้งไป 3 วินาที O_O ตรงนี้สามารถยืดให้คนอ่านลุ้นว่าเบสจะพูดว่าอะไรก่อนที่จะพูดได้ ประมาณว่า แต่หารู้ไม่ว่าการเสียเฟิร์สคิสให้ผู้ชายด้วยกันครั้งเดียวนั้นอาจจะดีกว่าคำขอร้องที่อีกฝ่ายกำลังจะอ้อนวอนผมก็ได้... เอิ่ม อันนี้อาจจะไม่ค่อยดีนะคะ ไรต์ลองเขียนดูนะ ฮ่าๆ หรือไม่ก็บรรยายเพิ่มหลังจบระโยคการวิงวอนค่ะ สิ้นเสียงทุ้มต่ำของคนตรงหน้า ตาของผมก็เบิกโพลง ปากอ้าค้างด้วยความอึ้งขณะพยายามซึมซับและตรวจทานความหมายที่ถูกเปล่งออกมาอย่างละเอียด  มันว่ายังไงนะ?...อะไรประมาณนี้ ขอโทษที่ประโยคที่พยายามยกตัวอย่างแก้ไขให้มันไม่ค่อยดีนะคะ TOT

    นอกจากนี้ในประโยคที่ยกมาให้ดู มีเรื่องของตัวเลขที่เราคิดว่าควรเขียนเป็นคำมากกว่าค่ะ

    เสียงร้องทักพร้อมกับร่างของส้มโอที่วิ่งโผเข้ามากอดฉันกะทันหันจนฉันเกือบเอนล้มไปข้างหลัง แต่ดีที่ทรงตัวไว้ได้ ตรงนี้ปัญหาเดียวกับประโยคแรกค่ะ คำว่า ฉัน อันไหนสักอันนึงเอาออกก็ได้ค่า มีหลายที่เลยทีเดียวที่เป็นแบบนี้น้า ทุกบทเลย ส่วนตอนท้ายของประโยคนี้เราว่าอ่านแล้วมัน...แปลกๆ อ่ะ อาจจะเพราะเคาะเว้นวรรคออกมาเป็นอีกประโยค จึงทำให้ดูเยิ่นเย้อเล็กน้อยตามความรู้สึก หรือไม่ก็ตัดไปเลยค่ะ เพราะคำว่า เกือบ ก็บอกผู้อ่านอยู่แล้วว่าไม่ล้มเนอะ อาจจะเปลี่ยนเป็น เสียงร้องพร้อมกับร่างของส้มโอที่โผเข้ามากอดกะทันหันทำให้ฉันเกือบจะล้มลงไปข้างหลัง ตัดบางคำออกไปนะคะเพราะคิดว่ามีการใช้คำเปลืองอยู่นิดนึงนะ

    ฉันชะงักมือ เมื่อไม่ได้ยินเสียงส้มโอตอบกลับเช่นทุกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้นมองส้มโอ พบว่า ตรงนี้คำว่าส้มโอตอนหลัง เปลี่ยนไปใช้ เธอ ก็ได้ค่ะ ระหว่าง มือ กับ เมื่อ ไม่ควรเคาะเว้นเนอะเพราะมันประโยคเดียวกัน ปัญหาการเว้นวรรคทั้งที่เป็นประโยคเดียวกันทำให้อ่านไม่ต่อเนื่องนี้ไรต์เป็นเป็นหลายประโยคเลย ลองดูนะคะ คำว่า ฉัน ครั้งที่สอง ก็สามารถตัดออก เปลี่ยนเป็น จึงเงยหน้าขึ้น ติดกับประโยคแรกไปเลยค่ะ ส่วนตรง พบว่า เราแนะนำให้ใส่ ก็ ลงไปก่อนหน้า และเติม ... หลังประโยคเพื่อทำให้ผู้อ่านลุ้นไปกับเรื่องว่าพบอะไรค่ะ

    ไอ่ > ไอ้

    ปะ > ป่ะ

    ตรงที่ข้ามเหตุการณ์จากคีย์ไปแตงโม เราว่าเว้นบรรทัดหน่อยดีกว่าค่ะ

    หลัง ๆ ควรเคาะเว้นวรรคด้วยนะคะ มีบางทีที่ไม่ได้เคาะน้า

     

    ตอนที่สอง

    บทต่อๆ ไปนี้มีจุดที่ซ้ำกับที่ชี้แนะไปแล้วในบทหนึ่งเยอะพอสมควร เพราะงั้นขอไม่ยกมาพูดซ้ำเนอะ

    อะ > อ่ะ

    ผมไม่ไหวแล้วเนี่ย มันน่าอายวะ

    “กูก็อาย มึงเงียบแล้วรีบๆ เดินดิวะ จะยืนเป็นสายตาอีกนานไหม -///-“ มันพูดอย่างอายๆ

    ตรงนี้คือ คำว่า อาย ซ้ำแล้วอ่านออกมาแปลกมากเลย ข้อความหลังไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ค่ะว่าอาย เพราะในบทสนทนาก็บอกแล้วว่าเบสอาย

    “ในละครน่ะเขาเรียกว่าการแสดง กูแค่แสดงให้เหมือนว่ากูคุยโทรศัพท์อยู่” อันนี้อ่านแล้วรู้สึกเยิ่นเย่อนิดๆ ค่ะ อาจเพราะคำซ้ำด้วยเลยให้ความรู้สึกยืดๆ ที่ขีดเส้นใต้กับทำตัวหนา อันใดอันนึงตัดออกได้เลยค่ะ การใช้คำซ้ำอย่างนี้นั้นไรต์ทำเยอะมากพอสมควรเลยค่ะ ลองดูเอาเนอะ ขอยกตัวอย่างอีกที่นึงแล้วกันค่ะ

    ชุดเดรสสั้นสายเดี่ยวสีชมพู...ที่คาดผมสีชมพูวาววับ ตรงนี้ใช้คำว่า สีเดียวกัน อะไรแบบนี้ก็ได้ค่ะ

    นอกจากเรื่องคำซ้ำก็มีการใช้ประโยคที่ความหมายเดียวกันซ้ำด้วยค่ะ มันตัดออกได้เลยเพื่อให้อ่านกระชับขึ้นจ้า

    “โมวันนี้แต่งตัวน่ารักจัง”...ชุดที่ส้มโอบอกว่าฉันใส่แล้วน่ารัก เปลี่ยนไปบอกว่า ชุดที่ว่านี้คือ... ทำนองนี้ก็ได้น้า มีแบบนี้อยู่เยอะพอสมควรเลยอีกเช่นกัน ลองดูนะคะ

    “เอ่อ...ใช่ๆ”ตกกระไดแล้ว ก็ตกไปเลยดีกว่าเดี๋ยวมีพิรุธ ส้มคิดในใจ เราว่า...ยกเอาความคิดส้มมาพูดทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขียนเป็นบุรุษที่หนึ่งของแตงโมมันทำให้คนอ่านงงได้นะคะ อาจใส่ ‘…’ แต่เราว่าทางที่ดีตัดออกไปเลยจะดีกว่า มันทำให้คนอ่านได้คิดเองด้วยว่าส้มโอดูมีพิรุธโดยไม่ต้องบอกให้เขารู้ตรงๆ ว่าส้มโอคิดแบบนี้อ่ะค่ะ ทำให้นิยายมีเสน่ห์ขึ้นน้า

    ซ้ำนี้ยังมีเรื่องการแบ่งวรรค ที่ส่วนตัวเราคิดว่ามันควรจะเป็นแบบนี้มากกว่า ตกกระไดแล้วก็ตกไปเลยดีกว่า เดี๋ยวมีพิรุธ เนอะ

    รองเท้าผ้าใบสีขาว แล้วก็ใส่ยีนสั้นแล้วก็คล้องกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอด้วย คิดว่า แล้วก็ ที่หนึ่งเนื่องจากยังไม่จบประโยค ควรตัดออกค่ะ เพราะ แล้วก็ ควรใช้กับสิ่งสุดท้ายที่จะพูดถึงเนอะ

    ยีน > ยีนส์

    การที่ส้มโอสามารถบอกรายละเอียดได้ขนาดนี้เราว่ามันแปลกๆ เพราะเจ้าตัวก็ไม่ได้มองตรงๆ แต่กลับเห็นส่วนที่ปกติถ้าไม่ตั้งใจจะมองก็ไม่เห็นอย่างรองเท้าผ้าใบสีขาวได้เลย ทั้งๆ ที่มันอยู่ต่ำแล้วสีขาวก็ไม่ใช่สีจ้าด้วย เลยคิดว่าอาจไม่สมเหตุสมผลเล็กน้อยน้า

    ขอวิจารณ์แบบนี้แค่บทแรกๆ เนอะ เพราะต่อจากนี้ที่เราอ่านสิบบทด้วยกันก็จะเป็นจุดที่ได้ชี้แนะไปแล้ว มีอยู่หลายที่เลยทีเดียว ไรต์ลองดูจ้า ต่อจากนี้ขอเป็นแบบรวมๆ เลยนะคะ

    ขอแจ้งคำผิดที่เจออีกนิดน้า

    พาน > พาล

    แป๊ป > แป๊บ

    บดิกาด > บอดี้การ์ด?

    ขอยกตัวอย่างอีกนิด เรื่องของการใช้คำหรือประโยคซ้ำที่ชัดมากๆ

    ไอ้คีย์มันเดินย่ำเท้าออกไปทันทีที่ปาหนังสือพิมพ์ที่ขย้ำเป็นก้อนขี้ลงถังขยะเรียบร้อยแล้ว ผมเห็นประกายตาความไม่พอใจบางอย่างในตามัน...มันถึงกับขย้ำหนังสือพิมพ์เป็นก้อนขี้หมาปาลงถังขยะห้องน้ำ

    อย่างแรกคือ ปาหนังสือพิมพ์ที่ขย้ำเป็นก้อนขี้ลงถังขยะ ซึ่งมันซ้ำสองครั้ง อาจเปลี่ยนการใช้คำให้แตกต่างได้ค่ะ ส่วน ประกายตา กับ ในตา มันซ้ำอ่ะค่ะ คือบอกว่าในตาก็พอแล้ว ไม่ต้องบอกว่าประกายตา เพราะมันก็หมายความสิ่งในตาเหมือนกัน คำว่าประกายตาเราว่ามันแปลกๆ ด้วยแหละ ฮ่าๆๆ คิดว่าตัดคำว่าตาตอนแรกออกก็ได้ค่ะ

    อีกอย่างที่อยากจะแนะคือเรื่องของคำหยาบ เข้าใจว่าผู้ชายกัน ไรต์อยากให้มันเรียลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทาร์เก็ตคนอ่านนิยายส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นใสๆ กันทั้งนั้น ฮ่าๆ ยังไงอยากให้ไรต์ลดลงนิดนึงงง

    สรุปก็คือ เรื่องของการใช้คำซ้ำและประโยคที่มีความหมายคล้ายๆ กัน ทำให้อ่านแล้วดูยืดๆ และสะดุดได้ที่เป็นประเด็นหลักน้า


    โครงเรื่อง/ความน่าสนใจ (14/20) ตอนแรกๆ เลยที่เราอ่าน เราไม่เข้าใจว่าทำไมเบสต้องขอให้คีย์แกล้งเป็นแฟน ฮ่าๆๆๆ แบบว่า เขาบอกว่าเขาเป็นเพลย์บอย คบใครได้ไม่นาน ก็เลยต้องเป็นแฟนกับผู้ชาย...แต่เป็นแฟนกับผู้ชายก็คบไม่นานได้เหมือนกันนะ ฮ่าๆ อีกอย่าง เพราะว่าเป็นเพลย์บอยนี่แหละเราจึงไม่เข้าใจว่าเบสจะอยากให้คีย์เป็นแฟนทำไมให้ดูเหมือนตัวเองเป็นเกย์ ทั้งที่อาจเสียงชื่อได้แล้วผู้หญิงที่รู้เรื่องนี้อาจจะเลิกชอบเขา ทำให้เป็นเพลย์บอยเหมือนเดิมไม่ได้ก็ได้ คือเราคิดว่าเขาไม่น่าคิดว่าข่าวไม่แพร่แน่ๆ อ่ะเพราะกะเทยยังไง ถ้ารู้แล้วเจ็บใจ อกหัก อะไรแบบนี้ยังไงก็ต้องแฉอยู่แล้วตามนิสัยคนทั่วๆ ไป

    แล้วที่ส้มโอให้แตงโมช่วยแกล้งเป็นแฟน เราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันจะช่วยไม่ให้ไอ้โรคจิตตามตรงไหน และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นความลับ เนื่องจากไอ้โรคจิตคนนั้นถ่ายรูปส้มโอตลอดเวลา ภาพมันหลุดได้ง่ายๆ เลยใช้เป็นหลักฐานว่าส้มโอกับแตงโมคบกันอ่า เลยคิดว่ามันแปลกๆ ที่แตงโมตกลงโดยไม่คิดถึงเรื่องนี้อ่ะค่ะ เข้าใจว่าเป็นแค่การแสดงเท่านั้น แต่คิดว่าควรทำให้คนอ่านเชื่อในสิ่งที่ตัวละครแสดงด้วยเหมือนกันค่ะ เพราะในเรื่องพระนางก็เชื่อในสิ่งที่เบสและแตงโมบอก เพราะงั้นตรงนี้ควรทำให้ดูมีเหตุผลมากกว่านี้น้า

    เราว่าเรื่องของเนื้อหาในกรณีนี้เราจะเชื่อมกับตัวละคร ในด้านความสมเหตุสมผล และการกระทำของตัวละครนะคะ

    ตัวละคร (10/20)
    เราว่าตอนคีย์คุยกับเบสตอนแรกสุดเลยที่กำลังอ่านหนังสือสอบ เจ้าตัวพูดเหมือนว่าไม่ชอบที่ใครมากวนตอนกำลังเคร่งเครียด แต่ก็ยังกวนบาทาเบสต่อไป ทั้งๆ ที่เราคิดว่าน่าจะอยากรีบๆ เคลียร์ให้มันจบๆ เรื่องไปมากกว่าอ่ะค่ะ ฉากนี้ยังไม่ค่อยได้คาแร็คเตอร์ที่ชัดระหว่างคีย์กับเบสนัก เหมือนสองคนนี้ใช้คำพูดคล้ายๆ กัน อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ

    ตอนที่ส้มโอส่งเสียงดังเมื่อจะบอกแตงโมเรื่องโรคจิตนั่น หลังจากที่แตงโมจะวิ่งตามไปแล้วส้มโอมาห้ามไว้เพราะบอกว่าเสียงดังเกินไปแล้วอาย เราว่าส้มโอไม่น่าจะห่วงเรื่องแบบนี้แล้วอ่ะค่ะ เพราะตอนแรกพี่แกก็ส่งเสียงดังเพราะเห็นว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ และถ้าจะขอความช่วยเหลือจากแตงโมก็น่าจะอยากให้แตงโมตามไปมากกว่า

    ตอนที่เดินห้างแล้วคีย์กับโมทะเลาะกัน เราว่าการพูดจาของแต่ละคนนั้นไม่เข้ากับนิสัยที่ไรต์บิ้วด์มาตั้งแต่ต้นเท่าไหร่นัก หากแตงโมจะทะเลาะต่อว่าคีย์โดยใช้ภาษาแบบนั้น ไรต์ควรใส่อะไรลงไปในบทบรรยายตอนที่เป็น POV ของแตงโมหน่อย ให้บ่นหรืออะไรก็ได้ค่ะให้คาแร็คเตอร์ตัวละครมันชัดกว่านี้นิดนึง

    ที่ส้มบอกว่าไม่ได้ถามคุณลุงว่าจะเอารูปไปทำอะไรเพราะรู้ว่ามีเหตุผลพอ เราว่าคนทั่วไปน่าจะถามนะคะ ที่ถ้าลุงเขาไม่อยากบอกก็ไม่คะยั้นคะยออะไรแบบนี้มากกว่า

    เราว่าตัวละครแตงโมที่ไรต์เขียนมา ตั้งแต่การแต่งตัวถึงการพูดในใจ เราว่าเธอไม่ค่อยเหมือนทอมเท่าไหร่อ่ะค่ะ เลยรู้สึกแปลกใจที่จะมีใครมาเรียกว่าทอม เพราะเท่าที่ดูนั้นเขาก็ไม่ได้ห้าวขนาดนั้น นอกจากตอน ตัวอย่างเช่น ตะโกนในห้องสมุด คือคิดว่าไรต์อาจจะใส่อะไรแบบนั้นได้มากกว่านี้อ่ะค่ะ

    ตรง POV ของส้มโอกับแตงโม เราว่ามันไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ คิดว่าไรต์สามารถใส่จิตวิญญาณ ทัศนคติอะไรของตัวละครลงไปได้มากกว่า ให้คาแร็คเตอร์แต่ละคนนั้นชัดเจนมากขึ้นค่า

    ตอนอ่าน POV ของเบส ที่ทำงานให้คุณอา เรายังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเจ้าตัวถึงตกลง ทั้งๆ ที่มันต้องลงทุนเยอะเหมือนกันนะที่จะต้องแกล้งเป็นแฟนกับเพศเดียวกันเนี่ย แบบ ถ้ามีคนรู้จักมาเห็นเข้า เขาก็เสียยับเยินเลยนะคะ แถมยังไม่รู้จุดประสงค์ของคุณอาชัดเจนด้วย นอกจากนี้พี่แกยังบอกว่า ลูกผู้ชาย คืนคำไม่ได้ พอใช้คำนี้ทำให้เรายิ่งรู้สึกแปลกใหญ่ที่ลูกผู้ชายจะยอมมาทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆๆ

    “ช่างเหอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ” ตรงนี่แตงโมพูดกับส้มโอ เราว่าควรมีการเว้นระยะไว้หน่อยอ่ะค่ะ ให้ตัวละครคิดพิจารณาเรื่องในหัวเล็กน้อย ตอนนี้รู้สึกมันง่ายไปหน่อย ฮ่าๆๆ


    การดำเนินเรื่อง (19/20) ขอชื่นชมเลยว่าถึงแม้ไรต์จะมีตัด POV ของคนโน้นคนนี้เยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์ขาดจ้า ที่อยากเสริมคือการเว้นบรรทัดก่อนขึ้น POV ของคนอื่น แล้วเรื่องของการบรรยายให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ เช่นตอนเดินห้างก็ได้ค่ะ ว่าบรรยากาศห้างเป็นยังไง คือใส่ได้เยอะพอสมควรเลยตรงนั้น

    ความประทับใจจากนักวิจารณ์ (4/5) ชอบเลยน้า ชอบเรื่องการดำเนินเรื่องที่มีในมุมมองของตัวละครอื่น ซึ่งทำให้มันแหวกและแปลกใหม่ไม่เบื่อดีจ้า

    รวมคะแนน (75/100)


    ชื่อ :
    ชื่อเรื่อง/ลิ้งค์ :
    รู้สึกยังไงเมื่อเห็นผลการวิจารณ์ :
    ให้เครดิตและกดโหวตให้หน่อยน้า :
    มีไรอยากพูดเพิ่มเติมไหมเอ่ย :

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×