ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Short Fic Yaoi !! {Hey!Say!Jump & etc. }

    ลำดับตอนที่ #2 : Short fic + } HBD Takaki Yuya : ขอบคุณที่มีเธอ( ขอบคุณ...ยังน้อยไป ) part 2 END

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 54


    2-04-2011"
    ใส่เพลงนะคะ เพื่ออรรถรส ^^ ( ช้าไปมั้ย?? )




    ---------------------------------------------------------------------------------

    หลังจากวันนั้นมา ทุกๆวัน ยูยะก็จะมาช่วยยูริทำเค้กแล้วก็เอามาขายที่หน้าร้านทุกวัน โดยมียูริเป็นคนทำแล้วมียูยะเป็นลูกมือที่แสนดี แสนเก่ง...

     

    “นี่ ยูยะคุงไม่ใช่นะๆ ต้องคนแบบนี้แป้งถึงเข้ากัน”

    “อ่ะ ยูยะคุง ไม่ใช่นะๆ ต้องบีบแบบนี้ มันถึงออกมาสวย”

    “ อ่ะ ยูยะคุง ไหม้แล้วๆ เค้กแฟบหมดแล้วววว ว!!

    “อ่ะ ยูยะคุง ไม่ใช่นะๆ ไม่ใช่นากาจิมะ เรียวสุเกะ แต่เป็นยามาดะ เรียวสุเกะต่างหาก เขาสั่งเค้กคนละก้อนกันนะ อย่าเอามาปนกันสิครับ”

     

    เป็นลูกมือที่ดีมาก = =

    แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ในทุกๆวันเขาสองคนก็ก็ช่วยกันขายเค้กไปได้อย่างสำเร็จลุล่วงไปทุกที

    ไม่รู้เพราะเจ้าผู้ช่วยฝีมือดีขึ้น หรือเพราะเจ้าของร้านเก่งมากกันแน่นะ??

     

    ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาที่ทั้งสองคนรู้จักกัน...

    ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่มีความรู้สึกดีดีที่มีให้กันอยู่แล้วก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป

    จากคนรู้จัก กลายเป็นเพื่อน จากเพื่อน กลายเป็น คนรัก ...

     

    หลายเดือนที่ผ่านมา ยูริได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ยูยะมีให้กับเขา ความรู้สึกอบอุ่นที่เขาขาดมันไปตั้งแต่ที่ยายของเขาเสีย ถึงแม้เขาจะคอยปลอบตัวเองเท่าไหร่ แต่มันก็ต้องมีบ้างใช่มั้ยล่ะ? เวลาที่คนเราจะมีความรู้สึกเหงากันบ้างน่ะ?

    ยูยะ ได้เป็นคนเข้ามาเติมเต็มส่วนนั้นที่ขาดหายไปของยูริให้กลับมา  ไม่ใช่แค่ให้มันกลับมาเท่านั้น แต่กลับมาเติมเต็มให้จนล้นหัวใจดวงน้อยๆของยูริไปหมดทั้งสี่ห้องหัวใจแล้ว ...

    เขารู้สึกอยากขอบคุณเจ้าโจรในวันนั้นเหลือเกิน ที่ทำให้เขาได้มาเจอคนดีๆอย่างยูยะ



    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง และอยากตอบแทนหัวใจ
    ที่เธอให้มาจากคนตัวเล็กๆ ที่บังเอิญเธอถ่อมตัวมาสนใจ



    ด้านยูยะเอง จากที่รักยูริอยู่แล้ว ยิ่งได้มาอยู่ใกล้กัน ได้มาใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นของอีกคน  ความอบอุ่นที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมา ไม่รู้ค่าเหมือนที่เคยเป็น ต่างคนต่างเป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน  ความรักและความอบอุ่นของยูริคอยมาเติมเต็มให้หัวใจที่เคยไร้ค่าของเขากลับมีค่าเต็มไปด้วยความรัก ที่เขารู้สึกว่าเขาจะไม่มีรู้สึกกับใครแบบนี้ได้อีกแล้วเป็นแน่

     

    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง แม้อาจจะเป็นถ่อยคำที่ดูน้อยไป
    ไม่เพียงพอกับใจที่ฉันต้องการบอกเธอ

     

    ในตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว วันนี้ยูยะกลับมาอยู่ที่บ้านหลังจากแวะเวียนไปค้างบ้านยูริอยู่บ่อยครั้งซึ่งนานๆทีถึงจะกลับมาที่บ้าน ทำให้เหล่าแม่บ้านและคนใช้หรือแม้แต่คุณทานากะ (ไรเตอร์ – ที่ไม่ค่อยมีบท = = ) ได้แต่งุนงง เพราะดูคุณหนูของทุกคนวันนี้จะมีความสุขมากเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกๆวัน....

    “คุณหนูวันนี้ดูมีความสุขเป็นพิเศษเลยนะครับ มีอะไรรึเปล่าครับเนี่ย??^^” คุณทานากะเอ่ยถาเมป็นเชิงล้อแก่คุณหนูของเขา เหล่าสาวใช้และแม่บ้านที่เห็นก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู ทุกคนรู้เรื่องยูยะและยูริกันหมด เพราะยูยะเลยพายูริมาที่บ้าน ทุกคนที่เห็นต่างเอ็นดูในความน่ารักของยูริ คิดว่าคุณหนูคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกยูริเป็นคนรัก ก็น่ารักทั้งหน้าตาและนิสัยแบบนี้ ใครไม่รักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ แต่อย่ามาแย่งจากยูยะนะ ไม่งั้นอาจถึงตายได้ คนเขาหวงของเขา ^^

    “นี้ใกล้คริสต์มาสแล้ว ผมว่าจะทำเซอร์ไพรส์ยูรินิดหน่อยน่ะครับ  กะให้เขาตกใจเล่นๆน่ะ^^” กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดตลกเล็กๆเมื่อนึกไปถึงใบหน้าหวานๆตอนตกใจเมื่อเห็นของที่เขาจะทำเซอร์ไพรส์

    “มีอะไรให้พวกผมช่วยบอกได้เลยนะครับ เรื่องอย่างงี้พวกเราทำเต็มที่ ใช่มั้ยพวกเรา”

    “ใช่แล้วค่า! คุณหนูอยากให้พวกเราช่วยอะไรบอกได้เลยนะคะ เรื่องอย่างงี้พวกเราชอบค่ะ อิอิ” เหล่าสาวใช้ทั้งหลายเห็นด้วยกับคุณทานากะและกล่าวเสริมด้วยความสนุกสนานอย่างกับเป็นเรื่องของตนเอง

    “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เพราะเป็นเรื่องอย่างนี้ไงล่ะ ผมถึงอยากทำเองมากกว่า ^^

    “งั้นพวกเราจะคอยเอาใจช่วยนะครับ สู้ๆนะครับคุณหนู”

    “สู้ๆนะค๊า!!

    “ครับ ขอบคุณนะครับ ^^

     

    หากฉันมีสิ่งดีๆ สักนิดที่พอให้ความสุขกับเธอ
    อยากจะยอมยกให้ทุกอย่าง
    ตอบแทนความใจดีที่เธอเผื่อมีให้กันมีให้ฉันเรื่อยมา

     

    วันที่ 23 ธันวาคม 2010

          วันนี้เป็นวันที่ยูริแปลกใจเป็นพิเศษ เพราะว่าวันนี้ยูยะไม่ปรากฏตัวมาให้เขาเห็นตัวแม้แต่เงาเลย โทรศัพท์ไปหาก็ไม่มีคนรับ ไม่ว่าจะที่บ้านของยูยะหรือมือถือของเจ้าตัว ทำให้เขาเป็นห่วงเอามากๆเลยทีเดียว ว่าอีกคนจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า เพราะเหตุนี้ ตอนนี้ยูริ จึงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของยูยะเรียบร้อยแล้ว...

    “ยูยะคุงครับ ยูยะคุง อยู่รึเปล่าครับ?” ยูริถือวิสาสะเดินเข้าไปภายในบ้านร้องเรียกหายูยะเมื่อเห็นว่าภายนอกบ้านไม่มีคนอยู่เลย

         ในขณะที่ตอนนี้ยูยะกำลังทำสิ่งเซอร์ไพรส์ยูริอยู่ภายในห้องครัวที่ไม่รู้ว่ากลายเป็นสนามรบระหว่างเขากับอุปกรณ์ครัวและวัตถุดิบต่างๆไปเมื่อไหร่ = =

    “ คุณยูยะครับ อยู่ไหนน่ะครับบบ บ” เสียงเรียกที่ตอนนี้ดังไปทั่วบ้านแล้วทำให้เหล่าคนใช้ แม่บ้าน และคุณพ่อบ้านนั้นรีบวิ่งออกมาหายูริตามคำสั่งที่ยูยะเคยสั่งไว้ทันที

    “ สะ สวัสดีครับ คุณหนุยูริ เอ่อมีอะไรกับคุณหนูหรอเปล่าครับ” คุรทากะรีบออกมาถามยูริกันไม่ให้เข้าไปหายูยะได้

    “เอ่อ คือ ผมจะมาหายูยะคุงน่ะครับ ผมไม่เห็นเค้าเลย ผมเลยเป็นห่วงน่ะครับ”

    “ อ่า ตอนนี้คุณหนูอยู่ในครัวนะครับ อ๊ะ เอ่อ แต่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งเข้าไปดีกว่านะครับ” พูดดักขึ้นเมื่อเห็นว่ายูริกำลังจะเดินไปทางห้องครัว

    “อ่า แต่ว่าผมอยากเห็นหน้าเค้าหนิครับ จะได้สบายใจ นะครับ?”

    “อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยหรอ ยูริ” ยูยะเดินออกมาอย่างห้องครัวอย่างช้าๆเหมือนจะทำตัวเท่ โดยไม่ดูสารรูปตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่สีขาวที่มาจากแป้ง และรอยเปื้อนต่างๆเต็มผ้ากันเปื้อนไปหมด ผมเผ้ายุ่งเยิง ราวกับออกรบจริงๆนั่นแหล่ะ = =

    “เอ่อ คุณยูยะ ทำอะไรน่ะครับ??” ใบหน้าเอ๋อๆกล่าวถามออกไปด้วยความงุนงงกับสภาพของร่างตรงหน้า

     

    นี่เขา ไปออกรบที่ไหนมาเนี่ย??!!!

    ทำไมตัวถึงได้เละขนาดนี้ล่ะ??

     

    “ อ่า ไม่มีอะไรหรอกยูริ ฉันทำอะไรนิดๆหน่อยๆนะ แฮะๆ ^^”” กล่าวออกไปพร้อมเสียงหัวเราะแห้งๆ เหมือนกับอายตัวเอง เหอะๆ

    “ไม่นิดแล้วมั่งครับ ขนาดเนี้ย”

    “ เถอะน่า ช่างเถอะ ว่าแต่นายมาที่นี่มีอะไรรึเปล่า?”

    “ก็ ผมเห็นว่าไม่เห็นหน้าคุณเลย ผมก็เลยลองมาหาคุณที่บ้านดูน่ะครับ”

    “ นี่นาย เป็นห่วงฉันใช่มั้ยเนี่ย??” พูดพลางทำเสียงล้อๆก่อนจะเดินเข้าไปขยี้หัวอีกฝ่ายเบาๆด้วยความเอ็นดู ><”

    “ ก็เป็นห่วงนะสินะครับ นี่ เลิกขยี้หัวผมได้แล้วน่า ยุ่งหมดแล้ว” พูดออกมาอย่างอายๆ พร้อมกับหน้าที่แดงก่ำ เหล่าคนใช้ที่ยังไม่ไปไหนก็ได้แต่มองด้วยเอ็นดู

     

    “นี่ ยูริ พรุ่งนี้ปิดร้านสักวันนะ เดี๋ยวฉันจะพาไปเที่ยวคริสต์มาสอีฟ เอามั้ย??” เป็นขอเสนอที่ดีมากเสียเหลือเกินสำหรับยูริที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวนัก

    “ จริงหรอครับ ! จะพาผมไปเที่ยวจริงๆนะ ไปครับไป ^^” เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดีใจเหลือเกินที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันในวันสำคัญแบบนี้

    “งั้นเดี่ยวพรุ่งนี้ฉันไปรับที่บ้านนะ แต่งตัวรอไว้เลยล่ะ”

    “ ครับ !!

     

    จะได้ไปเที่ยวกับยูยะคุงแล้ว ดีใจจังเลย ><”

     

    เช้าวันที่ 24 ธันวาคม 2010

     

    กริ่งๆ !!

    “ครับ มาแล้วครับ”

     

    แอ๊ดดด ด!!

    เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างบางที่เดินมาที่หน้าประตูในชุดที่ทำให้คนที่มากดกริ่งนั้นอึ้งกิมกี่ไปเลย...

    ร่างบางในตอนนี้กำลังสวมใส่เสื้อมีฮู้ดสีแดงมีลายขวางสีเขียวอยู่ที่ริมขอบเสื้อ ตัวฮู้ดมีขนสีขาวๆปักอยู่ล้อมรอบประปราย  พร้อมกับกางเกงขาห้าส่วนสีแดง สวมรองเท้าผ้าใบสีเขียวกับกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบเปิดบนไม่มีซิปสีแดงแซมขาวเล็กน้อย

    ช่างราวกับซานตาครอสน้อยก็ไม่ปาน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของร่างสูงก็คือ ...

     

    น่ารัก

    ช่างน่ารักอะไรขนาดนี้ ยูริ

     

    “อะ เอ่อ ยูยะคุงจะ จ้องผม ทำไมหรอครับ”  ยูริที่รู้สึกสายตาคมที่จ้องมองมาที่ตนอย่างไม่ละสายตาไปไหนก็รู้สึกเขินขึ้นมาจึงได้ถามออกไป

    “อ๊ะ คะ ขอโทษที วันนี้นายน่ารักมากเลยนะ” กล่าวขอโทษออกไปก่อนจะชมร่างตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ทั้งยังไม่ละสายตาออก

    “ยูยะคุงก็ อย่ามาชมกันแบบนี้สิครับ ผมเขินนะ >/////<” ใบหน้าหวานก้มงุดหน้าติดอกด้วยความเขิน แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย ปฏิกิริยาน่ารักแบบนี้ทำให้ยูยะหัวเราะออกมาเล็กๆด้วยความเอ็นดู

    “โอเคๆ งั้นเราไปกันเถอะนะ”

    “ครับ !^^” เสียงตอบรับดีใจหยั่งกับเด็กน้อยที่กำลังจะได้ของเล่น ช่างน่ารักเสียจริงๆ...

     

    ตลอดทั้งวันนี้ พวกเขาทั้งสองคนดูจะมีความสุขเสียเหลือเกิน

    ยูยะได้พายูริไปเที่ยวสวนสนุก ทั้งเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ทั้งบ้านผีสิงเอย รถไฟเหาะเอย ชิงช้าสวรรค์ และอื่นๆอีกหลายอย่าง วันนี้เป็นวันที่ยูริดูจะมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยก็ได้มั่ง? การที่ได้มาเที่ยวกันสองคนกับคนที่รักแบบนี้มันก็ต้องมีความสุขอยู่แล้วสินะ ยิ่งเป็นวันพิเศษแบบนี้ด้วยแล้ว ยูยะก็มีความรั้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก  ยิ่งนึกถึงสิ่งที่เขาเตรียมให้ยูริที่บ้านด้วยแล้ว ยิ่งคิดไปใหญ่ว่า เมื่อยูริเห็นจะรู้สึกยังไงบ้างนะ?

     

         ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนค่ำแล้ว นี่ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ ทั้งสองคนไปหาอะไรกินก่อนที่จะไปเดินเที่ยวกันในเมือง วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ ตามที่ต่างๆในเมืองถูกประดับตกแต่งด้วยต้อนคริสต์มาสทั้งของจริงและของปลอม มีไฟห้อยประดับไว้ตามอาคารบ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ ต่างเต็มไปด้วยของขวัญวันคริสต์มาสที่เตรียมไว้เพื่อให้ผู้คนมาเลือกซื้อหากลับไปให้คนที่รักกัน  หิมะค่อยๆตกลงมาอย่างอ้อยอิ่ง ช่างเข้ากับบรรยากาศเสียเหลือ ช่วยเพิ่มบรรยากาศโรแมนติกให้คู่รักหลายๆคู่ที่ออกมาเดทกันวันนี้เสียเหลือเกิน  รวมถึงคู่ของยูยะและยูริด้วย ทั้งสองคนเดินเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตลอดทางมีร้านค้าหลายร้านที่ยูริไม่เคยเข้า มีของที่เขาไม่เคยเห็นเยอะแยะ ทำให้ไม่ว่าจะเดินไปร้านไหนยูริก็ลากยูยะเข้าซะเกือบหมดเลยล่ะ ! จนเมื่อเวลาผ่านไปตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทั้งสองคนจึงเดินทางกลับบ้านกัน โดยที่ยูยะชวนยูริไปที่บ้านของตนซึ่งยูริก็ไม่ขัดใดๆ

     

    “ยูริ ฉันเตรียมของเซอร์ไพรส์ไว้ให้นายด้วยล่ะ หลับตาสิ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆที่ข้างหูของคนตัวเล็กซึ่งตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ภายในบ้านของร่างสูงเรียบร้อยแล้ว

    “ อ่ะ เซอร์ไพรส์อะไรหรอครับ” เอียงคอน่ารักถามด้วยความอยากรู้

    “ถ้าบอกแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์มั้ยล่ะ? เถอะน่า หลับตาก่อน” แล้วเมื่อคนตัวเล็กหลับตาตามที่ตนสั่งเรียบร้อยก็เขาก็พาตัวเจ้าของหัวใจของเขาเดินขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองก่อนจะเปิดประตูพาตัวร่างบางเข้าไปในห้อง ที่ไม่รู้ว่าถ้าเจ้าตัวลืมตาขึ้นมาแล้วจะรู้สึกยังไงนะ?

     

    “รออยู่นี่แปปนะ เดี๋ยวฉันมา ห้ามลืมตาล่ะ ! “ พูดกำชับกับร่างเล็กก่อนจะเดินหายลงไปข้างล่าง และไม่นานก็เดินขึ้นมาเข้าไปในห้องพร้อมกับนำของที่ตนถือขึ้นมาด้วยซ่อนไว้ข้างหลัง

    “ เอาล่ะ ลืมตาได้แล้ว” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆที่ข้างหูของคนตัวเล็กก่อนที่คนตัวเล็กจะค่อยๆปรือตาลืมขึ้นมา ก่อนจะได้เห็นภาพที่ทำให้เขาอึ้งไป ราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ความตื้นตันจากสิ่งที่ได้เห็นทำให้เขาอดกลั้นน้ำตาที่มาก่อตัวในดวงตาของตนเองไม่ไหวก่อนมันจะค่อยๆไหลลงมาด้วยความซึ้งใจ....


         ภาพตรงหน้าเขาคือ ห้องของยูยะที่ตอนนี้ทั้งห้องถูกเปลี่ยนให้เป็นเทศกาลคริสต์มาสขนาดย่อมๆ มีต้นคริสต์มาสตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ด้วยขนาดห้องที่กว้างจึงทำให้ขนย้ายขึ้นมาได้ไม่ยาก ทั้งยังมีกล่องของขวัญหลายกล่องถูกประดับไว้ใต้ต้นคริสต์มาส มีถุงเท้าถูกแขวนเอาไว้ที่หน้าต่างราวกับรอให้ซานตาครอสมาใส่ของขวัญลงถุงเท้านั่น  และสิ่งที่ทำให้เขาร้องไห้ก็คงไม่ใช่อะไร นอกเสียจากการที่ตอนนี้ ที่นี่ เวลานี้ บนกำแพงของห้องนี้ มีรูปของเขาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะติดแปะไว้กับกำแพง หรือถูกแขวนเอาไว้ด้วยเชือก แต่ละภาพดูก็รู้ว่าเป็นการแอบถ่ายทั้งนั้น  มันเป็นภาพในแต่ละอากัปกิริยาของเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ขนาดภาพตอนเขาหลับก็ยังมี  ไม่รู้คนถ่ายเอาเวลาที่ไหนไปถ่ายนักหนา ถึงได้ถ่ายภาพของเขาออกมาได้เป็นร้อยรูปขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ ความห่วงใย และความรักของคนถ่ายได้เป็นอย่างดี และคนที่ถ่ายก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาตอนนี้


    “ยูริ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเขาก่อนที่เขาจะหันไปได้เห็นสิ่งที่น่าทึ้งอีกสิ่งนึง

    ในมือของคนร่างสูงตอนนี้กำลังถือสิ่งที่น่าจะเรียกว่าเค้ก มันดูไม่ค่อยสวยเป็นรูปร่างเท่าไหร่ แต่แผลที่มีพลาสเตอร์ติดที่มือหลายที่ ที่ตอนแรกเขาไม่สังเกตเพราะอีกฝ่ายสวมถุงมืออยู่แต่ตอนนี้ไม่ได้สวมไว้แล้วจึงเห็นได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเค้กก้อนนี้ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทำออกมาสำเร็จได้ขนาดนี้  บนเค้กถูกเขียนไว้ว่า

     

    Merry X’mas

    Love Chinen Yuri


    สงสัยคงเป็นเพราะคำนี้ล่ะมั่ง ที่ทำให้ต่อมน้ำตาของเขาแตกออกมาได้อย่างง่ายดาย...

     

    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง และอยากตอบแทนหัวใจ
    ที่เธอให้มาจากคนตัวเล็กๆ ที่บังเอิญเธอถ่อมตัวมาสนใจ



    “ฮึก ... ยูยะ ... คุง”

    “ยะ ... ยูริ ร้องไห้ทำไม !” ด้วยความตกใจที่คนตัวเล็กร้องหน้าเขาร้องไห้ออกมาเขาจึงรีบวางเค้กก้อนนั้น ก่อนจะค่อยยกมือขึ้นค่อยๆเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มคนตรงหน้าเบาๆราวกับกลัวมันจะช้ำไปเสียก่อน


    “ กะ ก็ ... ฮึก ผะ ผม  ดีใจ หนิครับ  ฮือออ อ” และแล้วที่ตัวเองตั้งใจจะไม่ร้องไปมากกว่านี้ก็อดกลั้นไม่ได้จนต้องปล่อยให้น้ำตามากมายไหลออกมาก่อนมันจะซึมซับไปหมดกับเสื้อของร่างสูงที่ตนเข้าไปกอดอย่างแน่นด้วยความดีใจ


    “ที่ฉันทำ ฉันก็แค่อยากตอบแทนสิ่งต่างๆที่ยูริมีให้ฉันเท่านั้นเองนะ เค้กเนี่ยฉันก้ทำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้รสชาติจะเป็นยังไงบ้างนะ? ฉันทำตั้งหลายรอบแน่ะ แต่ก็ได้แค่นี้ล่ะนะ ฮะๆๆ” พูดพลางกอดอีกฝ่ายซุกหน้าอกอย่างแนบแน่น


    “ยูยะคุง ฮึก เจ็บมากมั้ยครับ ดูสิ มือมีแต่แผลเต็มไปหมดเลย” ผละออกจากหน้าอกของอีกฝ่ายก่อนจะจับมือของร่างสูงขึ้นมีแผลขึ้นมาก่อนจะลูบที่แผลนั้นอย่างเบามือกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บไปมากกว่านี้


    “ไม่เจ็บหรอกยูริ แค่นี้เอง ฉันก็แค่อยาให้อะไรกับยูริบ้างเท่านั้นแหละ ยูริให้ฉันมาตั้งมากมาย  รู้มั้ย ตั้งแต่ที่มียูริเข้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน  ความเหงาที่ฉันเคยคิดว่ามีมันเป็นเพื่อนมาโดยตลอด  มันกลับค่อยๆหายไป เพราะมียูริคอยอยู่ข้างๆฉันมาตลอด  ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ทำผิดไปบ้างยูริก็ให้อภัยฉันเสมอ  เวลาช่วยงานยูริอยู่ที่ร้าน  ถึงฉันจะทำได้ไม่ดี  แต่ยูริก็ไม่เคยโกรธฉัน  ขอบคุณมากนะยูริ ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างฉันเสมอมา  ขอบคุณที่มาช่วยเติมเต็มความรักให้ฉัน ขอบคุณที่รักฉันนะ”   ถ้อยคำรักที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยหวานเท่าไหร่  แต่กลับส่งผ่านความรู้สึกได้จากดวงตาคมคู่นี้ที่กำลังจ้องมองไปที่ดวงแก้วสุกใสที่ส่องประกายอยู่กับอีกคนอยู่ได้อย่างจริงใจและหวานซึ้งยิ่งกว่าสิ่งใด


    “ผะ ผม ก็ต้องขอบคุณ ฮึก ยูยะ .. คุง เหมือนกันนะครับ  ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียไป ถึงจะมีคุณยายที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่แล้ว  แต่มันก็ต้องมีบ้างที่ผมจะเหงา  แล้วนี่พอคุณยายเสียไป  ผมก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว  มันก็เหงาเหมือนกันนะครับ  แต่พอมียูยะคุงเข้ามาในชีวิตผม  ยูยะคุงก็ได้ช่วยเติมเต้มสิ่งต่างในชีวิตของผมที่มันขาดให้ให้มันกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ไม่สิ  ตอนนี้ความรักที่ยูยะคุงมีให้ผม มันล้นอยู่ที่นี่เต็มไปหมดแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”   ฝ่ามือเรียวจับมือหยาบกร้านที่ไม่ค่อยนุ่มเสียเท่าไหร่ของอีกฝ่ายขึ้นมาทาบไว้ที่หน้าอกของตนที่เป็นที่อยู่ของหัวใจดวงน้อยก่อนจะยิ้มหวานอย่างมีความสุขพร้อมน้ำตาแห่งความดีใจที่ยังคงเอ่อล้นดวงตาใสอยู่


    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง แม้อาจจะเป็นถ่อยคำที่ดูน้อยไป
    ไม่เพียงพอกับใจที่ฉันต้องการบอกเธอ


    “ พอแล้วๆ ยูริ ดูสิ ขี้แยอยู่ได้ เดี๋ยวตาก็บวมหมดหรอก  มา เดี๋ยวเรามากินเค้กของฉันกันเถอะนะ อาจจะเค็มไปบ้าง อย่าว่ากันนะ ฮะๆๆ” นิ้วมือที่มีแต่พลาสเตอร์แปะติดยกขึ้นเกลี่ยน้ำตาของอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะกล่าวติดตลกให้อีกฝ่ายมานั่งกินเค้กฝีมือของตน

    “ครับ !

     

    ดูเหมือนว่าคริสต์มาสปีนี้ของทั้งสองคน คงจะเป็นปีที่มีความสุขที่สุดแล้วล่ะมั่ง?

    แต่เขาว่ากันว่า ความสุขมันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว อนาคตข้างหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่กันนะ??

     

    .

    .

    .

     

         หลังจากวันคริสต์มาสผ่านไป  ก็ดูเหมือนความรักของทั้งสองคนจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆจนเรียกได้ว่าไม่มีใครมาแทนอีกฝ่ายได้อีกแล้ว  ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาจนถึงปีใหม่ ปี 2554 ขึ้นปีใหม่ใครๆก็ต้องคิดอยู่แล้วว่าน่าจะมีเรื่องดีๆรับปีใหม่  แต่มันคงไม่ใช่สำหรับทาคาคิ ยูยะสักเท่าไหร่ 

         กริ๊งงง ง กริ๊งงงง ง!!


    “ครับ ครับ มาแล้ว
    !” เสียงโทรศัพท์บ้านประจำคฤหาสน์ตระกูลทาคาคิแผดเสียงดังขึ้น คุณทานากะพ่อบ้านประจำตระกูลที่ตอนนี้อยู่หลังคฤหาสน์จึงต้องรีบวิ่งมารับอย่างเร็วไว

    “สวัสดีครับ ตระกูลทาคาคิครับ อ๊ะ คุณท่านหรอครับ !!” เสียงพูดอย่างตกใจกล่าวขึ้นเมื่อรู้ใครเป็นผู้โทรศัพท์มา

    “ครับ ครับ จะกลับมาในอีก 2 วันหรอครับ? ครับ ครับ เดี๋ยวจะบอกคุณหนูให้ครับ ครับ สวัสดีครับ” เมื่อวางสายจากนายใหญ่ของตระกูล  ใบหน้าของคุณทานากะเปลี่ยนสีทันทีเมื่อนึกถึงอนาคตของคุณหนูเพียงคนเดียวของเขากับคนรักของคุณหนูซึ่งตอนนี้กำลังมีความสุขอยู่ด้วยกันที่บ้านหรือร้านเค้กของอีกฝ่าย  ในอีก 2 วันเท่านั้นที่นายใหญ่ของตระกูลจะกลับมากำหนดอนาคตของคุณหนูของเขา 

         

         ใครๆก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมา  คุณท่านหรือคุณพ่อของทาคาคินั้นมักจะกำหนดอนาคตให้ลูกชายตัวเองเสมอมา ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้การที่ได้ไปเรียนให้มหาวิทยาลัยชื่อดังขนาดนั้นก็เพราะ คุณท่านส่งให้ไปเรียนที่นั่นเพราะเห็นว่าที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง และอันที่จริงเขาน่ะคิดจะส่งไปเรียนอเมริกาด้วยซ้ำ  แต่ด้วยความที่คุณผู้หญิงหรือคุณแม่ของทาคาคิห้ามไว้เพราะอยากให้ลูกได้เรียนประเทศญี่ปุ่นมากกว่าคุณหนูของเขาจึงได้อยู่ที่นี่  และเมื่อตอนนี้คุณหนูกำลังจะเรียนจบ  แล้วเมื่อเรียนจบทาคาคิก็ต้องไปทำงานรับช่วงต่อธุรกิจของคุณพ่อของตน  และสิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องของคุณหนูยูริ หรือ ยูริจังของคุณหนุยูยะของเขานั่นเอง...

       

        อย่างที่บอกไป ว่าทุกๆอย่างในชีวิตของคนเป็นลูกอย่างคุณหนูทาคาคิน่ะ ถูกคุณพ่อกำหนดไว้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องคู่ครองในอนาคต ... ถ้าหากคุณท่านของเขาทราบเรื่องที่ว่าคุณหนูของเขามีคนรักแล้ว แล้วคนคนนั้นเป็นผู้ชายแถมเป็นแค่คนที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีใครดูแลเลยแบบนี้  จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ??

      

        

         กริ๊งงง กริ๊งงง ง!~

    เสียงโทรศัพท์บ้านของยูริดังขึ้น  ในขณะที่เขากับยูยะคุงของเขากำลังทำเค้กขายอย่างมีความสุข  เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขาจึงต้องปลีกตัวออกมาก่อนโดยทิ้งที่ให้ยูยะอยู่ในห้องครัวคนเดียว ( ไรเตอร์ – คิดถูกแล้วหรอลูก เดี๋ยวยูยังก็ทำครัวพังอีกหรอกนะ = = )

    “สวัสดีครับ อ๊ะ คุณทานากะหรอครับ มีอะไรกับยูยะคุงรึเปล่าครับ? อ๊ะ อะไรนะ ... ครับ”

    ตึ้ง !!

    สิ้นเสียงสนทนาแค่นั้น ก่อนที่โทรศัพท์จะร่วงลงจากมือน้อยๆของยูริ

    “ยะ ยูริ มีอะไรรึเปล่าน่ะ” ยูยะที่ได้ยินเสียงของโทรศัพท์ที่ตกร่วงลงสู่พื้นเสียงดังจึงได้รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวมาหายูริที่กลางบ้านทันที

    “คะ คุณทานากะ ...” เสียงสั่นๆของร่างเล็กตรงหน้าเขาเอ่ยขึ้นยังไม่ทันพูดอะไรต่อเขาก็ยกโทรศัพท์ที่ห้อยอยู่ที่พื้นขึ้นมาคุยแทน

    “ฮัลโหลครับ คุณทานากะ มีอะไรหรอครับ  อะ หวะ...ว่าไงนะ คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับมา  ใน 2 วัน”

    เสียงสั่นๆพูดซ้ำกับประโยคที่ตนได้ยินกับที่อีกคนพูดบอกกล่าวให้ฟัง


    “แล้วไงครับ  ฝากโทรบอกคุณพ่อด้วยนะครับว่า ผมจะพาลูกสะใภ้ไปให้ท่านเจอตัวแน่  แค่นี้นะครับ”  พูดอย่างฉุนเฉียวก่อนจะรีบวางสายไป  อีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ เมื่อได้ยินที่ร่างสูงพูดไปอย่างนั้นก็ตกใจใหญ่ ไม่ใช่อะไร  เขากลัวน่ะสิ  กลัวคุณพ่อของอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับเขา ที่เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนดูแล ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้  แค่คนขายเค้ก ขายขนมหาเลี้ยงตัวเองไปวันๆเท่านั้นเอง  ยูยะเคยเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ  เรื่องของพ่อของร่างสูงที่มักจะกำหนดอะไรในชีวิตให้ทุกสิ่ง  ถึงแม้ยูยะจะบอกว่าเรื่องความรักแบบนี้ตัวเองจะไม่ยอมถูกบังคับ  แต่ยังไงเขาก็ยังกลัวอยู่ดีนั่นแหละ

     

    “คะ คุณทาคาคิครับ ผะ ผมว่า  คุณ  กลับไปก่อนดีมั้ยครับ? ฮึก  คุณ  กลับไป  เถอะนะครับ ฮือออ อ อ ผมขอร้องล่ะ”  คนตัวเล็กที่เงียบไป  จู่ๆก็พูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันไหลออกมาได้อย่างไร

    “ เดี๋ยวสิ  อะไรน่ะ ยูริ  อยู่ๆเป็นอะไรไปน่ะ  แล้วทำไมเรียกฉันแบบนั้นล่ะ ?  เรียกยูยะคุงเหมือนเดิมสิ นี่ เดี๋ยวก่อน”  ไม่แค่พูดเปล่า มือน้อยๆทั้งสองข้างของยูริยังพยายามดันหน้าอกผลักคนตัวสูงให้ออกไปจากบ้านตัวเองทั้งที่เป็นไปไม่ได้ด้วยแรงอันน้อยนิดของตัวเอง

    “นี่ เป็นไรน่ะยูริ หยุดก่อนได้มั้ย!”  ยูยะที่ทนไม่ไหวจึงจับมือทั้งสองข้างของยูริยกขึ้นแล้วดึงตัวอีกเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองอย่างแรง  ก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปตามๆกัน

    “ฮึก  ฮืออ อ กะ ก็ อึก ผะ  ผมกลัวหนิครับ  ตอนนี้  คุณพ่อของคุณทาคาคิกลับมาแล้ว  ผมเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว  ว่ายังไง ฮึก วันนี้ก็ต้องมาถึง  ฮือออ อ อ” อ้อมกอดที่ตอนแรกแน่นอยู่แล้ว  แน่นขึ้นไปอีกราวกับจะกอดให้อีกคนหลอมรวมกับตัวเองเป็นคนๆเดียวกัน

    “ ฉันก็บอกนายแล้วไง  ว่าไม่ต้องกลัว  มีฉันอยู่ทั้งคนนะ ยูริ ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้พ่อมาบังคับฉันได้อีกหรอก  ฉันถูกบังคับมาตลอดชีวิตแล้ว  ขอแค่เรื่องแค่นี้เท่านั้นที่ฉันจะไม่ให้พ่อมาบังคับฉันได้ เพราะฉะนั้น  เลิกกังวลได้แล้วนะ  แล้วก็กลับมาเรียกฉันแบบเดิมเถอะ นะ?” เขาดันยูริออกมาเบาๆก่อนจะกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ยูริรู้สึกสบายใจขึ้น


    “ ตะ แต่ว่า ...”


    “ไม่มีแต่นะ  ยูริ  สัญญากับฉันนะ  ว่าจะไม่ทิ้งฉันไปไหน จะอยู่สู้ไปกับฉันนะยูริ” กล่าวคำพูดให้อีกฝ่ายสัญญากับตนด้วยสีหน้าที่จริงจัง  แล้วแบบนี้มีเหรอที่คนอย่างเขาจะไม่สัญญาด้วย  เพราะตั้งแต่ที่เขาคิดที่จะรักคนอย่างยูยะแล้ว  เขาก็สัญญากับตัวเองอยู่แล้วล่ะว่าจะต้องอยู่กับยูยะตลอดไปให้ได้  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  หรือเขาจะต้องอยู่ในสถานะใดก็ตาม ...


    “ครับ ฮึก ... ผมสัญญาครับ  อึก ยูยะคุง...”  อ้อมกอดที่ตอนแรกผละออกจากกัน ตอนนี้กลับกอดกันแนบแน่นราวกับว่าเมื่อปล่อยมือออกจากันฝ่ายใดฝ่ายนึงจะต้องหายไป  แต่ไม่ว่ายังไง ตราบใดที่ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ข้างกัน  ยังไงวันที่ทั้งสองคนจะแยกจากกันก็คงจะไม่มาถึงหรอก จริงมั้ย?

     

    .

    .

    .

     

    วันนี้วันที่ 14 กุมภาพันธ์  เป็นวันที่คุ่รักหลายๆคู่คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปเที่ยวด้วยกัน  ไปเดทกัน  หรือมีคู่รักคู่ใหม่ๆเกิดมาขึ้นอีกเยอะแยะ  แต่ก็มีอีกหนึ่งคู่ที่อาจจะต้องเจอศึกหนักในวันนี้ก็ได้นะ?

     

     

    ณ สนามบินนาริตะ


    ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ คุณท่าน คุณผู้หญิง ^^” เหล่าสาวใช้ แม่บ้านทั้งหลายต่างไปยืนต้อนรับคุณผู้หญิงและคุณท่านของตัวเองที่เดินทางกลับมาประเทศญี่ปุ่นถึงวันนี้


    “ยินดีต้อนรับกลับนะครับ คุณท่าน คุณผู้หญิง”  คุณทานากะเจ้าเดิมเดินออกมาต้อนรับคุณท่านของตัวเองอย่างมีมารยาท พร้อมยืนแขนออกไปรับเสื้อนอกของคุณท่านอย่างรู้หน้าที่


    “เอ่อ ... คุณหนูอยู่กับเพื่อนน่ะครับ” ตอบเสียงสั่นหลีกเลี่ยงฐานะที่แท้จริงของยูริออกไป


    “งั้นหรือ  เดี๋ยวกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ เรียกมันมาพบฉันด้วย”เมื่อสั่งสิ่งที่ตนต้องการออกไปนายใหญ่ผู้หน้าเกรงขามของตระกูลทาคาคิก็เดินออกจากตัวสนามบินไปทันที


    “คุณทานากะ ยูยะจังสบายดีใช่มั้ยจ๊ะ??” คุณผู้หญิงของตระกูลหรือแม่ของทาคาคิกล่าวถามถึงลูกชายของตนด้วยความเป็นห่วงที่ไม่ได้กลับมาเจอลูกมานมนาน


    “ครับ คุณหนูสบายดีไม่ตองห่วงนะครับคุณผู้หญิง” เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็โล่งใจขึ้นเพราะกลัวว่าลูกของเธอจะเหงาไปมากกว่านี้  ไม่แน่ตอนนี้ ลูกของเธออาจจะมีคนสำคัญมาเติมเต็มความเหงาให้แล้วก็ได้นะ ...

        
          ทาคาคิ โมโมโกะ เป็นคุณผู้หญิงหรือจะเรียกอีกอย่างว่าเป็นภรรยาของคุณท่านของตระกูลทาคาคิก็ได้  เธอเป็นคนจิตใจดี เธอแต่งเข้าตระกูลทาคาคิด้วยการถูกผู้ใหญ่เลือกคู่ครองให้หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเล็กทำให้เธอไม่สามารถขัดอะไรได้  แต่เมื่ออยู่กันไปความรู้สึกรักมันก็เกิดขึ้นเอง  แต่ก่อนที่ความรู้สึกนั้นมันจะมาเธอก็ได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันอึดอัดและทรมานมากแค่ไหนที่จะต้องไปแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก  ฉะนั้นเมื่อตอนนั้นเธอมีลูกแล้ว  เธอจึงไม่อยากจะให้ลูกของเธอต้องถูกคลุมถุงชนสักเท่าไหร่หรอกนะ  อยากให้มันเป็นเรื่องของหัวใจมากกว่า  เธอสัญญากับตัวเองไว้ว่า  ไม่ว่าลูกสะใภ้ของเธอของเธอจะเป็นใครก็ตาม ขอแค่เพียงว่าคนคนนั้นเป็นคนดี  เธอก็พร้อมที่รับเขาคนนั้นเป็นลูกสะใภ้แล้วพร้อมที่จะให้ความรักได้เท่าๆกับที่เธอให้กับยูยะ ...

     

     

     

    ครืดดด ด !!

    เสียงประตูคฤหาสน์เปิดขึ้น บ่งบอกได้อย่างดีว่านายท่านและนายหญิงของทุกคนที่นี่กลับมากันแล้ว  เหล่าคนใช้ที่เหลือจากที่ไม่ได้ไปรับท่านทั้งสองที่สนามบินรีบออกมาต้อนรับกัน  ก่อนที่นายท่านทั้งสองที่เข้าตัวคฤหาสน์ไปนั่งรอเจ้าตัวดีของตนที่กำลังจะเดินทางมา  เวลาผ่านไปไม่นาน  รถสปอร์ตคันหรูของคุณหนูของตระกูลก็เคลื่อนตัวมาถึงหน้าคฤหาสน์  คนที่มีหน้าที่เปิดประตูรีบไปเปิดประตูคฤหาสน์ก่อนที่ตัวรถจะเคลื่อนไปยังโรงจอดรถ และคนทั้งสองในรถไปลงมาและยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตัวคฤหาสน์ใหญ่

    “พร้อมนะ ยูริ” ถามเพื่อความเตรียมความพร้อมให้อีกคน  ก่อนจะได้รับคำตอบที่ควรจะได้รับออกมา

    “ครับ !

     


    “คุณท่านครับ คุณหนูเดินทางมาถึงแล้วครับ”

    “เรียกมันเข้ามา” สิ้นเสียงของนายท่านอันน่าเกรงขาม  คุณหนูที่ถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวเดินเข้ามาให้ห้องโถงใหญ่ที่มีคุณพ่อและคุณแม่ของตนนั่งรออยู่

    “ยูยะจังลูกแม่ แม่คิดถึงลูกจังเลย” คนเป็นแม่เมื่อเห็นหน้าลูกตัวเองที่ไม่ได้เห็นมานานถึงกับนั่งไม่ติดโซฟาลูกขึ้นตรงไปกอดลูกชายแนบแน่นด้วยความรัก

    “ผมก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกันครับ” คนเป็นลูกที่คิดถึงคุณแม่จากใจจริงเอ่ยขึ้นทั้งอย่างงั้น ก่อนจะมีเสียงพูดมาขัดเวลาซึ้งของแม่ลูก

    “เลิกซึ้งกันได้แล้วล่ะ” ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน เสียงคุณพ่อของเขานั่นเอง

    “แหมคุณ ก็ฉันคิดถึงลูกนี่นา คุณก็” เสียงติดน้อยใจเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะผละตัวออกมาจากลูกชายของตน

    “สบายดีใช่มั้ยลูก เอ๊ะ ! เหมือนจะดีกว่าเมื่อก่อนซะอีกนะเนี่ย ^^” เสียงหวานของคุณแม่เอยถามลูกชายก็เลยความอยากรู้ว่าทำไมลุกชายของตนถึงได้ดูมีความสุขซะขนาดนี้

    “ ก็ งั้นแหละครับ” ฝ่ายตอบก็ตอบแบบหลีกเลี่ยง แต่ผู้เป็นแม่ยอมดูอาการลูกของตัวเองออกอยู่แล้วจึงถามต่อไปอีก

    “มีแฟนแล้วใช่มั้ยล่ะเนี่ย?? เห็นคุณทานากะบอกมาหนิจ๊ะ”

    “ครับ วันนี้ผมพาเขามาให้คุณพ่อ คุณแม่รู้จักด้วยนะครับ”  ยูยะที่เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่ถามออกมาตรงๆแบบนี้ก็ได้โอกาสเรียกยูริให้ออกมทันที 

    “ สะ สวัสดีครับ” ยูริโค้งตัวอย่างสั่นๆออกไป  พยายามแล้วทีจะไม่สั่น  แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อได้มาเจอกับพ่อแม่ของยูยะจริงๆแบบนี้

    ยิ่งตอนนี้ทุกคนนิ่งไปกันหมดเขายิ่งกลัวไปใหญ่ จนกระทั่ง...

     

    “ต๊ายยยย ย นี่หรอจ๊ะแฟนของยูยะจัง น่ารักจังเลยนะเนี่ย หนูชื่ออะไรหรอจ๊ะ??” ผิดความคาดหมายของยูยะและยูริไปโดยสิ้นเชิงเมื่อแม่ของตนนั้นแสดงกริยาที่ดูเหมือนจะยอมรับลูกสะใภ้คนนี้อย่างง่ายดาย

    “คะ ครับ? ผม ชื่อ ยูริ ครับ”  ตอบออกไปเสียงสั่นๆทั้งยังไม่แน่ใจกับท่าทีแบบนี้ของแม่ของยูยะด้วยว่าเป็นยังไงกันแน่

    “ชื่อ ยูริ หรอจ๊ะ ชื่อน่ารักด้วยนะเนี่ย แล้วอายุเท่าไหร่ อยู่กับใคร เรียนที่ไหนหรอจ๊ะ??”

    “ ผมอายุ 18 อยู่คนเดียวน่ะครับ พ่อแม่ของผมเสียไปตั้งนานแล้ว คุณยายที่เคยอาศัยอยู่ด้วยก็เสียไปเมื่อปีที่แล้ว  ตอนนี้ผมเปิดร้านขนมเค้กเล็กๆอยู่ในเมืองน่ะครับ” ตอบออกไปพร้อมกับก้มหน้างุดด้วยความอายและทึ้งในความสวยของแม่ของร่างสูง สงสัยที่เขาหน้าตาดีคงได้แม่มาเยอะเลยใช่มั้ย?

    “โธ่ๆ น่าสงสารจังเลยนะเนี่ย  พอดีเลย  มาอยู่ที่นี่กับยูยะดีมั้ยจ๊ะ?? มาเป็นลูกสะใภ้...”

    “ไม่ได้ !”  เสียงอันน่าเกรงขามของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในตระกูลนี้ที่เงียบอยู่มานานถูกเปล่งขึ้น  หลังจากที่ทนฟังบทสนทนาอันงี่เง่านั้นมาได้นานสองนาน

    “ทำไมล่ะค่ะคุณ !”  ผู้เป็นภรรยาเอ่ยกระแทกเสียงกลับไปหาสามีที่ขัดอารมณ์ตนกำลังคุยกับลูกสะใภ้ในอนาคต


    “คนที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเรา จะต้องเป็นคนที่มีหัวนอนปลายเท้าเท่านั้น ไม่ใช่คนที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่พ่อแม่แบบนี้
    !!” 


    “อึก
    !” คำพูดที่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับยูริที่อุตส่าห์เตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่ก็ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอของจริงที่ยิ่งกว่าที่ตนคิดไว้ ตอนนี้คำว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าสำหรับเขามันเจ็บเหลือเกิน เจ็บจนทำนบน้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ได้พังทลายลงอย่างไม่ใยดีเสียแล้ว...


    “นี่คุณ ไปพูดอะไรแบบนั้นหล่ะ เห็นมั้ยหนูยูริเค้าร้องไห้แล้วนะ
    !


    “ฮึก ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณผู้หญิง  ผม รู้ตัวดี  อึก ว่าผม  มันไม่คู่ควรกับคุณยูยะ  ผมก็แค่เด็ก ฮึก ไม่มีหัวนอน ... ปลายเท้า ฮึก ถ้างั้นผม อึก ผมขอลา...ก่อนนะครับ  ขอบคุณ ฮึก ... ที่อุตส่าคุยกับคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบผม  นะครับ ฮืออ อ” พูดออกไปทั้งที่น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสายแถมยังฝืนยิ้มได้อย่างเจ็บปวดก่อนจะวิ่งออกไป  แต่ก็ถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นของยุยะฉุดรั้งเอาไว้เสียก่อน

    “ ไม่ ยังไปไหนไม่ได้ยูริ อยุ่กับฉันก่อน”

    “ ตะ แต่ว่า ฮือออ อ” ในที่สุด น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายอยู่แล้ว  ยิ่งไหลออกมามากไปอีกเมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่คอยปกป้องเค้ามาตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา


    “คุณพ่อครับ หยุดบังคับผมสักทีเถอะ คุณพ่อบังคับผมมาทั้งชีวิต ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวมาโดยตลอด  ผมก็แค่อยากได้คนรักที่เขารักผมและผมก็รักเขามาอยู่ด้วยเท่านั้นเองนะครับคุณพ่อ”


    “ไม่ ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับคนที่ฉันเลือกไว้ให้เท่านั้น” คุณท่านผู้หัวแข็งเสียเหลือเกินพูดขึ้นอย่างไม่ใยดี  ไม่สนใจถึงจิตใจที่เจ็บปวดของลูกตัวเองและคนที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นลูก


     “ถ้าพ่อไม่ให้ผมกับยู่ริอยู่ด้วยกัน  ผมจะพายูริหนีไปในที่ที่พ่อไม่มีทางตามเจอ และพ่อก็จะไม่มีคนมาทำธุรกิจพันล้านของพ่อต่อ ว่ายังละครับ
    !” ยูยะยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับพ่อของตน เพราะยังไงสำหรับพ่อของตนแล้วธุรกิจก็ต้องมาก่อนอยู่ดี


    “อึก ...” ผู้เป็นพ่อถึงกับสะอึกเมื่อลูกตัวดีของเขามายื่นข้อเสนอให้แบบนี้  จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อเขามีทายาทอยู่คนเดียว  แล้วอีกอย่างธุรกิจพันล้านที่เจ้าลูกตัวดีของเขาว่ามาน่ะ  อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลี้ยงลูกของเขามาจนโตถึงตอนนี้ไดแล้วกันล่ะนะ  เขารู้ตัวดีว่าเขาอาจจะบังคับลูกเกินไป แต่นั้นก็เพราะเขารักลูกของเขา อยากให้ได้แต่สิ่งดีๆ  และเพราะเขาไม่สามารถอยู่ดูแลลูกตัวดีของเขาได้เพราะเขามีงานมากมายที่ต้องทำ ทำให้เขาจำเป็นต้องกำหนดชะตาชีวิตให้ลูกของเขาทั้งหมด  ถึงแม้จะเป็นวิธีรักลูกแบบผิดวิธีไปหน่อย  แต่คนเป็นพ่ออย่างเขาก็ทำได้ดีที่สุดเท่านี้


    “ผมแค่รักยูริ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครเห็นผมสำคัญได้เท่ากับยูริ  ขนาดพ่อกับแม่ยังทิ้งผมไปอเมริกา  ถึงจะบอกเป็นงานก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ยังทำให้ผมเหงาอยู่ดี  ถึงจะมีคุณทานากะ  แม่บ้าน สาวใช้ที่คอยดูแลผมแต่มันก็ไม่เหมือนกันนะครับ  แต่พอมียูริเข้ามาอยู่ในชีวิตผม  ชีวิตผมกับเขามันเหมือนกัน  การที่ถูกคนที่เรารักทิ้งไปให้เราอยู่อย่างเดียวดายน่ะ  มันเหงานะครับ  พอมียูริที่เข้าใจถึงความเหงาของผมมาอยู่ด้วย  มันทำให้ผมอยากปกป้องเขา  มันทำให้ผมรักเขา  รักเขาขนาดที่ผมไม่คิดว่าจะรักใครได้อีกแล้วนะครับพ่อ
    ! ผมแค่อยากอยู่กับคนที่ผมรักไม่ได้หรอครับ!” ยูริที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของยูยะที่เริ่มจะเงียบลง เมื่อได้ยินยูยะกล่าวถ้อยคำบอกรักและบอกถึงความรู้สึกที่อยากปกป้องตน และให้ความสำคัญกับตนขนาดนั้นก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาอีกรอบ เพราะคำพูดแต่ละคำ ช่างบ่งบอกได้ดีเสียจริงว่าคนที่กอดเขาอยู่ตอนนี้รักเขามาแค่ไหน

     

    บอกกับเธอได้เพียงว่าฉันยังไม่เคยรู้สึกอย่างนี้
    เมื่อเจอใครๆ ฉันจะมีเธอเท่านั้น
    ฉันจะมีเธอเท่านั้นอยู่ภายในใจ....... อู้

     

    “ ฮึก คุณ ยูยะ ฮือออ อ”


    “ไม่เอานะ ยูริ ไม่ร้องนะ มีฉันอยู่ด้วย เราจะต้องไม่แยกจากกันนะ ร่างสูงดันคนตัวเล็กออกมาน้อยๆก่อนจะค่อยก้มลงจูบซับน้ำตาที่แก้มของอีกคนด้วยความรักอย่างทะนุถนอม


    “คะ ครับ” ใบหน้าหวานซุกลงไปที่อกของคนรักด้วยความกลัวที่อาจจะต้องแยกจากคนที่รักไป


    “นั่นสิคะคุณ  เราสองคนน่ะ  ก็ไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ลูกต้องเหงาบ้างสิคะ การที่ลูกต้องการคนที่ลูกรักมาอยู่ด้วยกันนี่มันผิดหรอค่ะ? ดูอย่างเราสองคนสิ  ต้องถูกจับให้มาแต่งงานกัน คุณก็รู้มั้ยใช่หรอว่าตอนที่เรายังไม่ได้รักกันน่ะความรู้สึกมันเป็นยังไง  แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าลูกของเราจะรักคนที่เราหาให้ได้เหมือนเราสองคนน่ะ  ในเมื่อเค้าได้เจอคนที่รักแล้ว  คุณก็อย่าไปบังคับเค้าอีกเลยนะคะ  ที่ผ่านมาที่คุณบังคับ กำหนดชีวิตเค้ามาตลอดถึงแม้ว่าคุณจะแค่หวังดีกับลูกแต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่หรอกนะคะ  ปล่อยให้เค้าได้มีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างเถอะ”  คนเป็นแม่ที่ทนเห็นลูกตัวเองต้องทุกข์ทรมานกับการที่จะต้องถูกจับแยกจากคนที่ลูกรักไม่ได้ก็ด้พูดเตือนสติให้กับผู้เป็นสามี  ว่าสิ่งที่เขาทำน่ะ มันอาจจะมากเกินหน้าที่ของคนเป็นพ่อก็ได้  อย่างน้อยเรากำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตของเขาได้  แต่ก็ต้องมีสักเรื่องที่เขาอย่างกำหนดมันขึ้นมาเองเหมือนกัน  นายใหญ่ของตระกูลทาคาคิเมื่อได้ยินผู้เป็นภรรยาและคนที่ตนรักพูดเตือนสติตนแบบนั้น  ขึ้นได้ยืนขึ้นอยู่เป็นเวลานาน ก็จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา


    “ก็ได้  ฉันให้พวกแกสองคนอยู่ด้วยกันก็ได้  แต่แกต้องสัญญาว่าพอเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเมื่อแกได้ใบปริญญามาแกจะต้องมาทำงานที่บริษัททันที”  คำพูดนี้ของคุณพ่อของเขาเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์จริงๆ  เพราะยังไงเขาก็ต้องไปทำงานที่นั่นอยู่แล้ว  เขาเพียงแค่อยากให้พ่อเขายอมรับในตัวยูริ  ให้ได้มาเป็นลูกสะใภ้เท่านั้นเอง


    “ครับ  แค่คุณพ่อยอมให้ผมได้อยู่กับยูริผมก็ดีใจมากแล้วครับ  ขอบคุณมากนะครับคุณพ่อ”  ยูยะได้แต่โค้งตัวลงขอบคุณพ่อของตัวเองด้วยความขอบคุณจากหัวใจ


    “ฮึก คะ ขอบคุณมากนะครับ  ขอบคุณมากจริงๆครับ ฮึก ฮือออ อ”  ยูริที่เห็นยูยะก้มขอบคุณก็โค้งตัวขอบคุณบ้างเหมือนกัน  แต่ต่างกันตรงที่ว่าน้ำตาที่มันไหลล้นทะลักออกมาจากดวงแก้วใสบนใบหน้าของยูริด้วยความซึ้งใจและขอบคุณจากใจจริงที่คุณพ่อของยูยะยอมรับในตัวของเขาแล้ว


    “ขอบคุณมากนะคะคุณ  ที่ยอมรับในตัวของหนูยูริ  ฉันเชื่อนะคะว่าเขาจะต้องรักลูกของเราและเติมความรู้สึกส่วนที่เราสองคนไม่ได้ให้ลูกเราได้อย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ” โมโมโกะผู้เป็นแม่ของทาคาคิรู้สึกยินดีและมีความสุขแทนลูกของตนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหวไหลซึมออกมาด้วยเลยทีเดียว


    “ยูริ เห็นมั้ย ตอนี้เราได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ  ระ เรา ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ” เสียงสั่นๆที่เกิดขึ้นมาจากความดีใจระคนความสุขใจที่ต่อจากนี้ไปตัวเขาและคนรักจะได้อยู่ด้วยกันถูกเอ่ยออกมาจากร่างสูง


    “คะ ครับ เรา จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะครับ” ยูริ ยิ้มหวานออกมาด้วยความดีใจทั้งน้ำตาแห่งความสุข


    “ไม่เอาแล้วนะยูริ เราได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ร้องนะ” นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าที่เขารักเบาๆก่อนจะค่อยจูบซับน้ำตาตามไปอีกด้วยความอ่อนโยน


    “ครับ ต่อไปนี้ ผมจะไม่รักใครอีกแล้ว นอกจากยูยะคุงนะครับ”


    “ฉันก็เหมือนกัน ยูริ ต่อจากนี้ไป เราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก้ตาม”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

         นั่นแหละครับ เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว  จนถึงวันนี้ก็ครบหนึ่งปีแล้วที่ผมกับยูริได้พบกัน  ถึงแม้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของผมจะยอมรับเค้าเป็นลูกสะใภ้แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ขอเค้าแต่งงานอย่างจริงๆจังๆสักที ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันครบรอบของเราและเป็นวันเกิดของผม  ผมเลยจะใช้โอกาสนี่แหละ ขอเค้าแต่งงานล่ะครับ  เอาใจช่วยผมด้วยนะ ^^

     

     

    “นี่ ยูยะคุง เราจะไปไหนกันแน่น่ะ ทำไมต้องปิดตาผมด้วยหล่ะครับ??”  ยูริกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย  ก็เพราะตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถสปอร์ตคันหรูของคนรักเขา  แต่มันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้าคนรักของเขานำผ้ามาปิดตาเขาด้วยเนี่ยสิ ! แถมเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของคนรักเลยแม้แต่น้อย เพราะคนรักของเขาอ้อมมาปิดตาด้านหลังไม่ยอมให้เขาเห็นแม้แต่เสี่ยวหน้า หวังว่าคงจะไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์เขาเหมือนปีที่แล้วหรอกนะ...

    “หน่า ยูริ ใกล้ถึงแล้วล่ะ” คนปิดตาให้พูดขึ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยที่อีกคนไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าสภาพข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง  

         รถคันหรูแล่นมาเรื่อยๆจนเมื่อถึงที่หมายรถคันหรูก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวลง แล้วคนร่างสูงก็ได้มาเปิดประตูให้คนรักของตนก่อนจะนำพาคนรักของตนตรงไปเข้าไปยังสถานที่ที่ตนได้จัดเตรียมเอาไว้

    “เอาล่ะ ยูริ ลืมตาได้แล้วนะ” เขาค่อยๆแกะผ้าปิดตาของคนตัวเองออกก่อนจะบอกให้อีกคนลืมตาของตัวเองขึ้นมา

    “คะ ครับ” ด้วยความกลัวหรืออะไรไม่รู้ เสียงสั่นๆเอ่ยขึ้นก่อนจะค่อยๆลืมตาของตัวเองขึ้นพร้อมกับความกลัวเล็กๆว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่?  แต่เหมือนลืมตาเห็นสถานที่ที่เขากำลังยืนอยู่ก็ต้องอึ้งไปเลยทีเดียว ...

         
         ที่ที่เขาอยู่ ณ ตอนนี้คือ โบส์ถสีขาวโพลน  มีการประดับตกแต่งรอบๆโบสถ์อย่างสวยงามราวกับเป็นงานแต่งงานของใครสักคน  ซึ่งเขาเองจะไม่รู้เลยว่าเป็นงานแต่งงานของใครถ้าเกิดเขาไม่ได้เห็นว่าตอนนี้คนรักของเขาอยู่ในชุดสูทสีขาวที่เข้ากับบรรยากาศโบสถ์เสียเหลือเกิน ประกอบกับการที่รอบข้างเขามีแต่เหล่าสาวใช้ และแม่บ้าน พร้อมคุณทานากะกับคุณพ่อและคุณแม่ของคนรักของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว  มันทำให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจาก ...


    “หยะ ยูยะคุง”  นอกจากสิ่งที่เขาเห็นจะทำให้เขาแน่ใจแล้ว  ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั่นไม่ผิดเลยจริงก็คือ ตอนนี้ ตรงหน้าเขาวันนี้ ที่นี่ คนที่เขารักที่สุดกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเขาเอง  พร้อมกับยื่นมือของตนมาจับที่มือน้อยของเขา

    “ยูริ  แต่งงานกับฉันนะ  ถึงแม้คุณพ่อกับคุณแม่จะยอมรับยูริแล้วก็จริง  แต่ฉันก็อยากจะทำให้มันถูกต้อง  ฉันอยากจะแต่งงานกับยูริจริงๆ  นะ?” คำพูดทุกคำที่เอ่ยออกมา เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย? เขากำลังจะได้แต่งงานกับคนที่เขารักที่สุด รักอย่างหมดหัวใจ  รักจนไม่มีใครสามารถมาแย่งพื้นที่ในหัวใจของเขาไปจากคนคนนี้ได้อีกแล้ว  เขากำลังจะได้มีคุณพ่อ คุณแม่ที่ไม่ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว เขาไม่ได้ฝันปสินะ?

     

    ยูยะคุง บอกผมสิครับ...

    ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย??

    ผมกำลังจะได้แต่งงานกับยูยะคุงจริงๆใช่มั้ยครับ??

     

    “คะ ครับ  ผม ฮึก จะแต่งงานกับ ฮึก ยูยะคุง นะครับ”  น้ำตาที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่ให้มันไหลออกมาในวันดีๆแบบนี้แต่สุดท้ายเขาก็กลั้นความดีใจไว้ไม่ไหวจริงๆ

     

    ขอบคุณคุณโจรในวันนั้นมากนะครับ

    ที่ทำให้ผมได้มาเจอกับยูยะคุง ได้มารักยูยะคุง ขอบคุณจริงๆนะครับ

     

    “จริงๆนะ ยูริยอมแต่งงานกับฉันแล้วใช่มั้ย? ขอบคุณนะยูริ ขอบคุณ”  ด้วยความดีใจที่ตนกำลังจะได้แต่งงานกับคนตัวเล็กที่รักหมดหัวใจ  ร่างสูงยืดตัวขึ้นพร้อมกับโถมตัวเข้ากอดคนตัวเล็กอย่างแนบแน่นด้วยความขอบคุณร่างตรงหน้า 

     

    ขอบคุณจริงๆยูริ

    ขอบคุณ ที่เข้ามาในชีวิตฉัน

    ขอบคุณ ที่เข้ามาทำลายความเหงาที่ฉันเคยมี

    ขอบคุณ ที่เข้ามาเติมเต็ความรักจนล้นหัวใจของฉันตอนนี้

    ขอบคุณ ที่มาทำให้คนคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าสำหรับใครๆมีค่าขึ้นมา

    ขอบคุณ จริงๆ

     

    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง และอยากตอบแทนหัวใจ
    ที่เธอให้มาจากคนตัวเล็กๆ ที่บังเอิญเธอถ่อมตัวมาสนใจ

     

    “ไม่เอา ไม่ร้องนะ ขี้แยอีกแล้ว วันนี้วันดีของเรานะ”

    “ฮึก ครับ” แหวนเกลี้ยงทองคำขาวที่ถูกใช้เป็นแหวนแต่งงานถูกบรรจงสวมใส่เข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายอันเรียวงามของยูริ  เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นเจ้าของของยูยะที่มีต่อยูริได้เป็นอย่างดี

     

    ขอบคุณยูยะคุงจริงๆนะครับ

    ขอบคุณ ที่วันนั้นเข้ามาช่วยผมจากพวกโจร

    ขอบคุณ ที่หลังจากวันนั้นมาอยู่เป็นเพื่อนผมที่ร้านตลอด

    ขอบคุณ ทุกๆความห่วงใยที่มีให้ผม คอยปกป้องผมจากเรื่องเลวร้าย

    ขอบคุณ ความรักที่มีให้ผม ที่เข้ามาแทนที่ความเหงาในหัวใจไปจนหมดจนล้นหัวใจ

    ขอบคุณ ที่รักผมจริงๆนะครับ

     

    อยากขอบคุณเธอสักครั้ง แม้อาจจะเป็นถ่อยคำที่ดูน้อยไป
    ไม่เพียงพอกับใจที่ฉันต้องการบอกเธอ

     

    ทาคาคิ ยูยะ จะยอมรับจิเนน ยูริเป็นภรรยาไม่ว่าจะยามสุข หรือทุกข์ จะพร้อมที่จะอยู่ข้างกาย พร้อมที่จะรักและดูแล จนกว่าจะตายจากกันหรือไม่?”

    “รับครับ” คำกล่าวปฏิญาณของบาทหลวงถูกกล่าวขึ้นพร้อมคำตอบรับของเจ้าบ่าวผู้ที่เหมือนจะดูดีที่สุดในโบสถ์แห่งนี้

    จิเนน ยูริ จะยอมรับทาคาคิ ยูยะเป็นสามีไม่ว่าจะยามสุข หรือทุกข์ จะพร้อมที่จะอยู่ข้างกาย พร้อมที่จะรักและดูแล จนกว่าจะตายจากกันหรือไม่?”

    “รับครับ” คำกล่าวปฏิญาณของบาทหลวงถูกกล่าวขึ้นอีกครั้งพร้อมคำตอบรับของเจ้าสาวผู้ที่งดงามที่สุดในโบสถ์แห่งนี้เลยก็ว่าได้

    ต่อไปเป็นพิธีจูบสาบาน ขอให้คู่บ่าวสาวจูบสาบานต่อกัน ณ บัดนี้

    มือแกร่งค่อยๆจับดวงหน้าหวานหันมาทางตนอย่างทะนุถนอม  จากนั้นก็เคลื่อนใบหน้าของตนเขาใกล้ดวงหน้าหวานนั้น ก่อนจะบรรจงประทับจูบลงบนริมฝีปากบางของคนตัวเล็กที่หลับตาพริ้มรอรับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของอีกฝ่าย  จูบนี้ไม่ใช่จูบที่ร้อนแรงใดๆ เป็นเพียงจูบที่แสนอ่อนโยน  จูบที่จะส่งผ่านความรักของเขาสองคนให้กันและกัน และเป็นจูบที่แทนคำมั่นสัญญาว่าเขาสองคนจะรักกันไม่มีทางแยกจากกันอย่างแน่นอน...

     


         ผมสัญญาว่าต่อจากนี้ไปผมจะเป็นภรรยาที่ดีของยูยะคุง จะไม่ทำใหเขาผิดหวังถึงแม้ว่าเราจะเกิดมาอยู่คนละสถานะคนละสังคมกัน  แต่ผมก็สัญญาว่าจะทำตัวให้ดี  ให้เหมาะสมกับยูยะคุงที่สุขเท่าที่ผมจะทำได้ ผมสัญญา



         ผมสัญญาว่าต่อจากนี้ไปผมจะเป็นสามีที่ดีของยูริ ผมจะรักและจะปกป้องเขาให้มากที่สุดยิ่งกว่าชีวิตของผมเอง    จะดูแลเขาให้มากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้  ผมสัญญา

     

    บอกเธอ

     

    เอาล่ะ...

    พอจบพีแต่งงานต้องมีการเข้าหอสินะ??

    เอ...งั้นทุกคนครับ คิดกันเอาเองเลยแล้วกันนะครับ ผมไปก่อนล่ะนะ ^^

     

    อย่าลืมนะครับ  ทุกคนบนโลกนี้มีค่าในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

    ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำตัวเองให้มีค่ามากแค่ไหน

    และทุกคนบนโลกนี้ก็มีคนรักด้วยกันทั้งนั้น

    เราอาจคิดว่าเราถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว

    แต่อย่าลืมมองรอบๆตัวนะครับ

    ไม่แน่คนที่รักคุณและคนที่คุณรักอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ก็ได้

    เพราะแบบนี้พระเจ้าถึงได้สร้างความเหงามา

    เพื่อให้ความรักมาชะล้างความเหงาออกจากใจของเราไงครับ

    อย่าลืมนะครับ

    ไม่แน่บางที คุณอาจจะโชคดีเจอเรื่องแบบผมก็ได้

    ไปล่ะครับ !

     

    Fin.

    --------------------------------------------------------------------------

    Writer Talk
    ในที่สุดก้เสร็จสักที ทุเรศจริงๆเสร็จวันเกิดเม่นเนี่ย = =
    เม่นจ้า รอก่อนนะ เดี๋ยวจะรีบปั่นฟิคเม่นนะ แต่ไม่เสร็จวันนี้แน่เพราะจะลงวินโดว์ใหม่ล้างเครื่อง
    ซึ่งคนที่จะลงให้ไม่อยู่บ้าน ณ ตอนนี้ กลับเมื่อไหร่ไม่รู้ = =
    ทั้งหมดใช้ไป 37 หน้าเอสี่่ ไม่น่าเชื่อตัวองจะขยันพิมพ์ได้ขนาดนี้ ปกติ แค่ 3-4 ขี้เกียจก่อน เหอะๆ
    เอาล่ะ ฟิตจดรอแต่งฟิคเม่นต่อเลย ~!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×