++ ตำนาน อสูรมีปีก ++ - ++ ตำนาน อสูรมีปีก ++ นิยาย ++ ตำนาน อสูรมีปีก ++ : Dek-D.com - Writer

    ++ ตำนาน อสูรมีปีก ++

    ++ ตำนาน อสูรมีปีก ++

    ผู้เข้าชมรวม

    732

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    732

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ก.ย. 49 / 13:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                                           ++ ตำนาน อสูรมีปีก ++



             
      อสูรตนแรกที่โฉบออกมาพบกับคุณๆทั้งหลายนี้ สมควรเรียกว่า "สัตว์เลื้อยคลานบิน" จึงจะเหมาะสม เพราะว่าโดยรูปพรรณสัณฐานนั้น มันค่อนไปในทางงูประหลาดที่มีปีกบินได้มากกว่า แต่ก็นั่นแหละครับ "งูบิน" ตัวนี้เป็นไฮบริดหรือลูกผสมระหว่างสัตว์หลายชนิดเต็มที คือมีหน้าเหมือนตั๊กแตนยักษ์ มีปีกเหมือนนก มีขนแข็งเหมือนขนหมูป่า และมีลำตัวเป็นงู......ฟังแล้วเหลือเชื่อราวกับบินออกมาจากหนังสือนิยายโกหก แต่ก็มีหลักฐานครับผม
      หลักฐานที่ว่านี้ก็คือวารสารทางวิชาการเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ ชื่อ "เดอะ ซูโลจิสต์" (The Zoologist) ฉบับตีพิมพ์ประจำเดือนมิถุนายน 1868 รายงานข่าวการค้นพบอันน่าอัศจรรย์ของพยานหลายคนในเมืองโคปิอาโป ประเทศชิลี
      รายงานนั้นระบุว่า ในเวลาประมาณบ่าย 5 โมงเย็น คนงานในเหมืองโคปิอาโปกำลังเลิกงานเดินออกจากเหมือง ทันใดนั้น พวกเขาก็มองเห็นเงาดำเงาหนึ่งวูบลงมาจากเบื้องบน เงยขึ้นดูก็เห็นอะไรบางอย่างซึ่ง :-



      "เราคิดว่าเป็นเมฆสีดำก้อนใหญ่ที่แตกออกจากกลุ่มด้วยแรงลม และลอยรี่มาเหนือหัวพวกเรา ต่อเมื่อเพ่งมองต่อไปเราจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เมฆ แต่เป็นสิ่งมีชีวิต ทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าพิศวงและน่ากลัวอะไรยังงั้นก็ไม่รู้...!"

      จากปากคำของพยานคนเดียวกันนี้เอง สิ่งมีชีวิตที่ว่านั่นมีขนาดใหญ่โตมโฆฬารกว่านกอินทรีหรือแร้งขนาดใหญ่ที่เคยพบมา และเป็นส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด ปีกกว้างใหญ่ของมันปกคลุมด้วยขนหนาทึบ สีเทาเข้ม อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับดวงหน้าซึ่งไม่ผิดอะไรกับหน้าตั๊กแตนที่ขยายส่วนใหญ่ขึ้นนับร้อยเท่าตัว นัยน์ตาโปนถลนของมันแดงฉานเหมือนก้อนถ่านคุไฟ บนหัวและลำตัวยาวเฟื้อยเป็นตัวงูชัดๆนั่น ปกคลุมไปด้วยขนแข็งหนาเหมือนขนหมูป่า ในขณะที่ส่วนหางเหยียดยาวนั้นปกคลุมด้วยเกล็ดเหมือนเกล็ดงูชัดๆ .. มันบินถลาพร้อมกับทำเสียงหวีดแหลมเหมือนกับเสียงโลหะกระทบกัน ลับหายไปจากสายตา .....

      แปลกไหมครับ ! ถ้าท่านคิดว่าเป็นเรื่องของการเบิกเนตรแหกตากันละก็ มาฟังรายงานอีกเรื่องหนึ่งที่ชิลีน่ะแหละ ทว่า เหตุเกิดเมื่อปี 1948 หลังจากการพบอสูรครั้งแรกถึง 80 ปี คนงานในไร่ยืนยันตรงกันเป็นเสียงเดียวว่า ได้เห็นนกยักษ์ที่มีลำตัวยาวเหมือนงู หางยาวดำเมื่อมของมันกระดิกอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ปีกใหญ่เต็มไปด้วยขนแข็งหนาโบกตัดลมอย่างรวดเร็ว มันบินเร็วมากจนชาวไร่ไม่ทันเห็นหน้าตาชัด รู้แต่ว่านัยน์ตาของมันแดงฉานเหมือนรายแรกเช่นเดียวกัน
      และในปีเดียวกันนี่เองครับ คนในรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐก็พบเจออสูรกึ่งงูกึ่งนกที่มีขนาดใหญ่เท่าเครื่องบิน แต่มันบินเร็วจนพวกเขาไม่เห็นรายละเอียดอย่างอื่น นอกจากปีกที่มีขนเต็มเหมือนปีกนก และลำตัวยาวเหยียดปกคลุมไปด้วยเกล็ดมันเลื่อมสะท้อนแสงแดดวาววับเหมือนเกล็ดงูไม่มีผิด นี่แสดงว่า "สัตว์เลื้อยคลานบิน"มีตัวตนจริงใช่หรือไม่ครับผม?
      มากกว่านี้ยังมีอีกครับ...... ที่ว่ามานี่เป็นอสูรครึ่งนกครึ่งงู.... ที่จริงยังมีอสูรครึ่งนกครึ่งจระเข้ อีกด้วยซ้ำ มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์เกรียวกราวมาแล้วเมื่อเกือบร้อบปีก่อนว่ายังงี้..... เหตุเกิดที่เมืองทูมสโตน รัฐอริโซน่าของสหรัฐอเมริกา หนังสือพิมพ์ "ทูมสโตนเอปิแท็ฟ" (Tombstone Epitaph) ฉบับประจำวันที่ 26 เมษายน 1890 ระบุว่า ชาวไร่ปศุสัตว์ 2 คนชื่อเอ็ดกับทอม ขี่ม้าไปในทะเลทรายและจู่ๆก็มีสิ่งบินยักษ์บินไล่ตามมา เมื่อหันไปดูก็ตกใจแทบสิ้นสติที่พบว่าสิ่งนั้นมันน่าอัศจรรย์และน่าเกลียดน่ากลัวสิ้นดี เหมือนจระเข้ชัดๆเลยครับ ขนาดก็ไล่เลี่ยกับจระเข้วัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นฟันแหลมคมในปากที่ยื่นยาว กระบอกตา หัว ลำตัวและขาหน้าเหมือนจระเข้ทุกอย่าง จะต่างออกไปก็ตรงที่ว่ามันมีหางยาวเหมือนงู และมีปีกเป็นแผ่นหนังเหมือนปีกค้างคาวขนากมหึมา เฉพาะความกว้างของปีกวัดได้ 160 ฟุต หรือ 49 เมตร ส่วนความยาวของลำตัววัดได้ 92 ฟุตหรือ 28 เมตรทีเดียว.... หลับตาคิดดูซิครับว่ามันใหญ่โตมหึมาขนาดไหน ชาวไร่สองคนยังมีสติดีพอที่จะประทับปืนยาวประจำตัวยิงเข้าใส่พร้อมกันทั้งสองกระบอก ถูกอสูรเข้าอย่างจัง มันร่วงจากเบื้องบนตกลงมาตายสนิทบนพื้น ทำให้คนทั้งสองมีโอกาสวัดขนาดความยาวของมันได้ดังกล่าวแล้ว
      เป็นที่น่าเสียดายว่า มีผู้ถ่ายรูปอสูรมีปีกนี้ไว้ได้ แต่ต่อมารูปถ่ายนั้นได้หายไป แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่าก็คือเมื่อเอ็ดกับทอมพาสื่อมวลชนเดินทางไปยังจุดที่เขายิงอสูรทิ้งไว้ ก็ไม่พบพานแม้แต่เงาของมัน เว้นเสียแต่ร่องรอยขยุกขยิกบนพื้นทรายเท่านั้นเอง เรื่องราวของชาวไร่สองเกลอจึงขาดน้ำหนักที่จะทำให้ใครเชื่อถือได้สนิทใจ แต่ก็เป็นข่าวใหญ่ที่ฮือฮาในยุคนั้นแหละครับ


      อสูรมีปีกหน้าเหมือนจระเข้ หางเหมือนงู ซึ่งสองเกลอโคบาลแห่งเมืองทูมสโตนพบเจอในปี 1890 และยิงร่วงด้วยปืนยาว 2 กระบอก


      นอกจากงูมีปีกและจระเข้บินได้แล้ว ยังมีข่าวของสัตว์เลื้อยคลานอื่นที่มีปีกอีกนะครับ ที่รัฐเท็กซัส มีพยานเห็นเพียบตามเคย ที่เมืองฮาลิงเก้น เท็คซัส วันขึ้นปีใหม่ของปี 1976 เด็กหนุ่มสองคนคือ แจ็คกี้ เดวิส กับ เทรซี่ ลอสัน ออกไปเดินเล่นริมทางสายเปลี่ยว พลันเขาก็เห็นนกยักษ์ตัวหนึ่งถลาลงเกาะกิ่งไม้ใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองตกตะลึงจังงังเมื่อเห็นชัดเจนว่ามันไม่ใช่นกเสียแล้ว..... อย่างน้อยหน้าตาหัวหูของมันก็ไม่ใช่หน้านกครับ กลายเป็นคล้ายลิงกอริลล่า ! นัยน์ตาโตแดงก่ำ เนื้อตัวอันกำยำล่ำสันนั้นสูงขนาด 5 ฟุต ไม่ใช่ร่ายกายของนกหรือสัตว์ แต่เหมือนสัตว์เลื้อยคลานที่มีตีนเหมือนนก และเล็บยาวคม ปีกดำเมื่อมของมันไร้ขน มีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว ้ออ มีส่วนเหมือนนกก็ตรงจงอยปากแหละครับ ซึ่งเป็นกระดูกแข็งหนา ยาวราว 6 นิ้ว อีกสัปดาห์ต่อมา คือวันที่ 7 มกราคม ชายหนุ่มชื่อกัวจาร์ โด (Alverio Guajardo) ก็พบเจออสูรมีปีกตัวนี้เข้าที่บ้านของเขาในเมืองบราวส์วิลล์ เท็คซัสเช่นกัน กัวจาร์โด เป็นชาวไร่ ให้นึกพิศวงมาหลายวันแล้วว่า มีร่องรอยอะไรบางอย่างบนพื้นไร่ของเขา ทำให้พื้นไร่ตรงนั้นล้มระเนระนาด เขาจึงคอยตรวจตราดู จนกระทั้งจ๊ะเอ๋เข้าให้กับเจ้าของรอยในวันที่ 7 ดังกล่าว คำบรรยายของเขาตรงกับสองหนุ่มแห่งเมืองฮาลิงเกนทุกประการ ....เขาพบมันในขณะขับรถสเตชั่นแวกอนออกตรวจไร่ในยามค่ำ แสงไฟหน้ารถส่องจับภาพสัตว์ประหลาดชัดเจนที่สุด ปรากฏว่าเจ้าตัวนี้มันกลัวแสงไฟครับ ส่งเสียงร้องแหลมก้อง และโผบินขึ้นทันที กัวจาร์โดมองเห็นปีกเหมือนค้างคาวของมันถนัดถนี่ ทำให้เขาตกใจจนเหยียบเบรคกะทันหัน เคราะห์ดีที่รถไม่ปัดหรือแฉลบไปกระทบอะไรให้...... วันรุ่งขึ้นนักหนังสือพิมพ์ไปกันเต็มไร่กัวจาร์โด พบว่าเจ้าของประสบการณ์เขย่าขวัญยังไม่หายตกใจเลยครับ ได้แต่พาไปชี้ดูร่องรอยในไร่ ซึ่งเป็นรอยตีนนกขนาดมหึมาจิกลึกลงไปในดิน เห็นถนัดว่าไม่มีตีนนกตัวไหนใหญ่เท่า .....


      อสูรมีปีกตัวนี้หน้าเหมือนลิงกอริลล่า ปากเหมือนนกใหญ่ พบเห็นที่เท็กซัสในปี 1976

      เสียดายอย่างสุดซึ้งที่แต่ละพยานไม่มีใครถ่ายรูปอสูรมีปีกมายืนยันได้สักราย จึงมีแต่รูปเขียนตามคำบรรยายของพวกเขาเท่านั้น ซึ่งแน่ละ น่ำหนักของเรื่องราวจึงเบาลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่นั่นละครับ หากเรามองให้ลึกซึ้งเข้าไปในโ,ฏฉฆ่งอดีตกาล เราอาจพบเงื่อนงำอันน่าคิดบางประการเข้าให้ นั่นคือแง่คิดที่ว่า อสูรมีปีกไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย นักชีววิทยาบางคนในสตวรรษที่ 20 มีความเห็นว่างูนั้นในอดีตกาลสมัยโลกล้านปี มันเคยมีปีกให้บินไปบินมาได้ เช่นเดียวกับสัตว์ปีกในยุคนี้ แต่ต่อมาเนื่องจากมันลงมาเลื้อยคลานหากินบนดินมากกว่าบินบนอากาศ ปีกจึงไม่ได้ใช้งาน นานเข้าก็หดหายไป จนกระทั้งกลายเป็นงูธรรมดาที่ไร้ปีกดังเช่นทุกวันนี้เอง........


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×