ปลายทางโพคารา 6 - ปลายทางโพคารา 6 นิยาย ปลายทางโพคารา 6 : Dek-D.com - Writer

    ปลายทางโพคารา 6

    ปลายทางโพคารา ตอนที่ 6

    ผู้เข้าชมรวม

    379

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    379

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ส.ค. 49 / 18:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


                                                                            ปลายทางโพคารา ตอนที่ 6
           
           เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ  ก็จะสอบไล่ภาคเรียนที่ 1  แล้ว  ผมเริ่มปรับตัวกับชีวิตชาวหอได้มากขึ้น  อาการคิดถึงพ่อกับแม่ไม่มีให้เห็น  แต่พี่กฤษสิ  ผมไม่ได้เจอหน้าพี่กฤษมาเดือนกว่า ๆ  แล้วเช่นกันตั้งแต่ก่อนที่พ่อกับแม่จะย้ายไปเชียงรายเสียอีก  ที่อยู่ใหม่ของผม  ทำให้ผมต้องรู้จักการช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น  บอยก็เป็นเพื่อนที่ดี  และผมออกจะเหงาบางครั้ง  ในวันศุกร์ตอนเย็นที่บอยกลับไปบ้านต่างอำเภอ  แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน  ผมก็รู้จักเพื่อนที่ห้องฝั่งตรงข้ามเยื้องกันสองห้องเช่นกัน  “แหวน”   สาวน้อยจากเกาะสมุยที่มาเรียนต่อระดับอาชีวะในตัวจังหวัด  หล่อนค่อนข้างจะสนิทกับ “บอย”  และเมื่อผมมาอยู่ด้วยเลยสนิทกันอีก

         “สวัสดีครับ”  ผมกรอกเสียงไปตามสายเมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา 
         “บอยอยู่มั้ยค่ะ”  เสียงคุ้นหูดังมาตามสาย
         “กลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ  แหวนเหรอ  มีไรหรือปล่าว  โทษทีที่รับสายช้าพอดีนัทอาบน้ำอยู่” 
         “ไม่เป็นไร  ว่าแต่นัทเห็นหนังสือคอมบ้างมั้ยล่ะ  บอยยืมแหวนไปหลายวันแล้วพอดีแหวนต้องทำรายงานส่งอาจารย์ด้วยน่ะ”
         “เดี๋ยวนัทดูให้นะ  ถ้าเจอแล้วนัทเอาไปให้แล้วกัน  มีไรอีกมั้ยแหวน  แชมพูเต็มหัวนัทเลย”  ผมพูดพลางเอามือปาดแชมพูที่เริ่มไหลลงมาเข้าตา
         “อุ้ย  แล้วไม่บอก  งั้นนัททำธุระให้เสร็จเหอะ  ถ้าเจอไม่เจอยังไงโทรบอกแหวนด้วยนะ”
         หล่อนวางสายไปแล้ว  หากแต่ผมขยับผ้าขนหนูขึ้นมาอีก  เพราะมันไกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ   ผมเดินเข้าไปอาบน้ำต่อ 
         ราวครึ่งชั่วโมง  หนังสือเล่มที่ว่าก็มาอยู่ในมือผม  ไอ้บอยเล่นเอากองไว้ ทำเอาผมหาเสียพักใหญ่   ผมเหลือบเวลาเกือบเที่ยง  เลยคิดว่าออกไปหาข้าวกินกับไอ้มดที่บ้าน   แล้วหยิบหนังสือพร้อม เป้ที่บรรจุหนังสือสองสามเล่ม   ก่อนที่จะล๊อคห้องแล้วเดินมายังห้องจุดหมาย
         ก๊อก....ก๊อก...ผมยื่นมือเคาะประตูเป็นสัญญาณเรียกคนภายใน
         หากแต่......เงียบ
         ผมลองเคาะใหม่  แล้วรออีกอึดใจกะว่าถ้าไม่มีใครมาก็จะเอาหนังสือลงติดไปด้วย  แล้วโทษตัวเอง  “ทำไมไม่โทรมาก่อนว่ะ”
         “แปบนึงค่ะ...”  เสียงแว่ว ๆ  จากในห้องดังออกมา  ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย  เพราะอย่างน้อยก็มีคนอยู่
         เอี๊ยด......เสียงประตูห้องเปิด หากแต่บานพับที่ไร้การดูแลมันส่งเสียงฟ้อง  หญิงสาวที่ชินตาโผล่หน้ามาในชุดที่เห็นชัดว่าเพิ่งออกจากห้องน้ำ เพราะหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามตัว  แต่หล่อนก็เปิดประตูกว้างจนมองเห็นไปทั่วห้อง
         “โทษทีแหวน  นัทไม่ได้โทรมาบอกก่อนพอดีเจอหนังสือ  แล้วจะไปกินข้าวเลยรีบ”  ผมรีบขอโ ทษเพราะเห็นว่าหล่อนเปิดประตูมารับแขกด้วยชุดที่ไม่พร้อมจะรับแขกเท่าไหร่มั้ง
         “ใครมาล่ะแหวน”  เสียงจากในห้องน้ำคุ้นหูผม 
         “เพื่อนนะ  เอาหนังสือมาให้”  แหวนหันหลังไปตอบ  พลางหันมาทางผม  “..พอดีแฟนมาค้างด้วยนะนัท  เลย...”  หล่อนตอบค้าง ๆ  ไว้ทำท่าอาย ๆ 
         ผมยิ้มให้หล่อนเพราะเข้าใจดี  เนื่องจากภาพมันฟ้องอยู่แล้ว
         “งั้นนัทไม่กวนแล้ว”  ผมบอก  แต่สายตาดันมองไปเห็นคนที่ออกมาจากห้องน้ำ
         “เดี๋ยวสินัท  รู้จักแฟนแหวนก่อน  ออกมาพอดีเลย”  หล่อนบอกพลางเอี้ยวตัวไปยังคนที่ออกมาจากห้องน้ำ
         ภาพชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของแหวน  ทำเอาผมถึงกับก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว  เหมือนเข็มนับพันเล่มพุ่งตรงเข้ามาในหัวใจ  แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บ เพียงแต่มันชา....สายตาที่ประสานกัน  ผมมองออกว่าอีกฝ่ายงุนงง  แต่สำหรับผมแล้ว  คิ้วขมวดกันเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย  แต่เพียงไม่นานผมก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ
         “นี่พี่กฤษ  แฟนแหวนเอง  เราคบกันมาตั้งแต่ม.1 แน่ะ  พี่กฤษนี่นัท  เพื่อนใหม่แหวนเอง  เขามาอยู่ห้องเดียวกับบอย  ห้องถัดไปนี่เอง  เอ  แต่ว่านัทก็เรียนเทคนิคเหมือนพี่กฤษนี่นา  คงเคยเห็นกันแล้วล่ะ”  แหวนยังคงแนะนำ  เสียงของหล่อนก้องไปในทุกส่วนประสาทของผมเลยทีเดียว
         แหวนหันไปยืนไกล้ ๆ   พี่กฤษ  แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่  หากพี่กฤษกลับมีสีหน้าเลี่ยน ๆ  เหมือนกินนมบูดเข้าไป  ผมยังต้องแข็งใจสั่งตัวเองเอาไว้
         “ยิ้มเอาไว้สิวะ!  ยิ้มสู้เข้าไว้”
         น่า..ไม่ต้องขู่ตัวเองขนาดนั้นหรอก...มันยิ้มเสมอ   ผมตอบตัวเอง  ช่างน่าแปลกที่ผมมองผู้หญิงของเขาได้อย่างเต็มตา  แต่..เชื่อไหม...ผมมองผู้ชายของผู้หญิงคนนี้ไม่เต็มตา...ก็ไม่ต้องมองใจมันสั่ง 
         สวัสดีครับ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ.....”  ผมจำเป็นต้องหันไปทักทายกับคนที่ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดี    “......เคยเห็นสิแหวน  เทคนิคไม่ได้กว้างขนาดรู้จักกันไม่ทั่วหรอก  อีกอย่างบางคนเคยเห็นแต่ไม่เคยคุย  แต่ก็รู้ว่าเรียนที่เดียวกัน   ไม่เคยได้ยินหรือรู้หน้าไม่รู้ใจ”  คำสุดท้ายผมทอดสายตาไปยังอีกคนที่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสู้หน้า
         .........รู้หน้าไม่รู้ใจ........ใครหนอคิดคำนี้เอาไว้  มันช่างปวดร้าวอยู่ลึก ๆ  ในใจเลยทีเดียว  ผมเริ่มเก็บอาการตัวเองไม่ไหวแล้วขืนยืนอยู่ตรงนี้อีกเพียงเสี้ยวนาที  น้ำตามันพุ่งออกมาแน่
         “นัทไปก่อนนะ  พอดีนัดพวก  นกกับมดเอาไว้นะ มีทำรายงานกัน  แล้วกะว่าค่ำ ๆ  จะเที่ยวกันต่อ  เสียดายไอ้บอยกลับไปบ้านไม่งั้นคืนนี้ครบเซ็ทอีก”  ผมหันไปบอกยิ้ม ๆ 
         ผมหันหลังให้ภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเลยในชีวิต ทันทีที่แน่ใจว่าสายตาแหวนไม่มองแล้ว  น้ำตามันก็พุ่งออกมาเป็นทางยาว  ความตั้งใจจะไปหาเพื่อนกลับหายไป  สมองมึนไปหมดหากแต่ขากลับแข็งแรงกว่า  แล้วร่างกายที่คล้ายซากเดินได้ก็ก็มาทิ้งตัวลงบนที่นอน  ทุกอย่างเคว้งคว้างไปหมด    น่าแปลกที่ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น  หากแต่น้ำตามันกลับไม่ยอมหยุด  ผมปล่อยให้น้ำตามันล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา
         “ไอ้นัท..”  มันเรียกตัวเอง....อ่อนโยน....ปลอบตัวเอง  ก็มันไม่มีใคร  ใครเล่าจะปลอบใจได้ดีกว่าตัวมันเอง    “เอ็งต้องอดทนทนอีกนิดนะ  เอ็งทำได้  ข้ารู้..เอ็งต้องทำได้  ทำได้ซิโว้ยเอ็งต้องทำให้ได้!”
         “การให้อภัยคนอื่นเป็นความเมตตาสูงสุด  แต่...การให้อภัยตัวเองเรื่อย ๆ  จะทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว”  คำสอนใครไม่รู้ก้องในหัว
         ควรยินดีมิใช่หรือถึงอย่างไรเราก็ควรมีเวลาอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง  ใช่..น่ายินดีนะ...สมองมันกลวง ๆ  ไร้ความทรงจำ หัวใจมันฝังเสียแล้ว
         “มันไม่มีอะไรจะต้องเสียอีก?”

         ผมลงมาจากหอโดยมีเป้กับหนังสือมาด้วยเล็กน้อย  มีป้ายสำหรับคอยรถประจำทาง  ทว่าผมไม่ต้องคอย  เนื่องจากรถเมล์เข้ามาจอดพอดี  ขามันก้าวขึ้นไปโดยไม่ต้องคิด  ไปไหนก็ไปกัน  ไม่ต้องกลัวการหลงทาง  มัน “หลง”  ถนนชีวิตมาพักใหญ่แล้ว  การจะหลงอะไรอีกไม่แปลก 
         ผมกอดเป้  “ยึด”  ว่าเป็นสิ่งเดียวที่มี  มองภาพข้าง ๆ  ทางไปเรื่อย ๆ  เห็น..ก็สักแต่ว่าเห็น  ไร้ความรู้สึกไร้ความทรงจำ  ผมรู้  ผมอยู่ที่หอไม่ได้  การอยู่นิ่ง ๆ  กับที่จะทำให้ มันกระวนกระวาย  การได้ไปเรื่อย ๆ  ตามผู้คนตามถนนสายชีวิต  จะทำให้ความกระวนกระวายบรรเทาลง
         หัวใจมันสั่ง...ไป   ไป  ไป..แต่ทว่า...ไร้จุดหมาย
         มันมีชีวิต  แต่ทว่าไร้ชีวิต
         โลกยังหมุน  แต่ชีวิตดำเนินไป  ทว่าทุกอย่างจบแล้ว
         ผมลงที่ทางขึ้นเขาลูกเล็ก ๆ  ที่ไกล้ ๆ  กับวิทยาลัยครูประจำจังหวัด แล้วเดินเล่นขึ้นไปเรื่อย ๆ   จนถึงจุดหมาย  ยอดเขาที่ตั้งของ “พระธาตุศรีสุราษฏร์”  แล้วเดินไปนั่งที่ริมผาซึ่งเป็นจุดชมวิว  กระรอกลงมาขอขนมปังที่ผมติดมา  แต่ทว่ากลับกลืนแทบไม่ลงคอทั้ง ๆ  ที่หิวแทบขาดใจ  มันพยายามกินเพื่ออยู่...ไร้รส  ไร้โอชา  จากนั้นก็เดินเที่ยวเล่น  การอยู่ในโลกคนเดียวดีเสียกว่า  เพราะขี้เกียจกลับไปใส่หน้ากากแปะยิ้ม  ผมไม่อยากได้ยินเสียงพี่กฤษ  ผมเดินอย่างไร้ทิศในป่าแห่งเดียวไกล้ ๆ  ตัวเมือง  จนเย็นย่ำ แล้วค่อย ๆ  เดินกลับ  ถนนมีสายเดียว  เดินคนเดียว  เหมือนถนนสายหัวใจของมัน  ถนนบนภูเขามีทางเดินขึ้นเดินลง
         ....เหมือนถนนสายชีวิตนั่นแหละ....
         ตอนเดินขึ้นเหน็ดเหนื่อย.....สาหัส
         ตอนเดินลง......ละลิ่วหัวทิ่ม
         กว่าจะถึงอพาร์ตเม้นท์ก็มืด    ขอบคุณที่พระเจ้าสั่งให้ผมคำนวนถูก  ความมืดซ่อนรอยบางอย่างบนใบหน้าได้ดี
         “โธ่โว้ย!  หายไปไหนมา  ไปหาที่บ้านไอ้มดกับบ้านไอ้นกก็ไม่มี  ไหนบอกไปทำรายงานไงวะ!”
         พี่กฤษตะคอก  ผมหัวเราะ  “ไปเที่ยวเขาท่าเพชรมา ตกรถ”
         เห็นไหม  ผมไม่ได้โกหก    คนคอยคว้าข้อมือผม  กำมันแน่น
         “นัท...”  เสียงเรียกชื่อปนสะอึก  “การคอยโดยไม่รู้อะไรเป็นความทรมาน”
         หากแต่ผม  “ไม่ยอมแปล”  ว่าคนพูดจะหมายความว่าอย่างไร
         “ไปกินอะไรกัน  ร้านเดิมนะ”    พี่กฤษพูดพลางกึ่งลากจะไปที่รถ
         “เหนื่อยกินมันแถวนี้แหละ  จะได้นั่งพัก  เดี๋ยวจะได้ทำงานอีก  การบ้านเต็มไปหมด” 
         “น่า  ร้านเดินอร่อยกว่า”
         อะไรจะอร่อยหรือไม่อร่อยผมรู้รสที่ไหนเล่า  ผมแข็งตัวพลางเดินไปร้านอาหารตามสั่งไกล้ ๆ  อพาร์ตเม้นท์     ร้านอาหารตามสั่งริมถนนมีโต๊ะ 5-6 โต๊ะ  ผมเลิกสนใจว่าร้านจะเป็นอย่างไร  นัยน์ตามันมองอะไรว่างปล่าวไปหมด  พี่กฤษทรุดลงนั่งตรงกันข้าม  หน้าตาทรุด โทรมมีแววกังกล
         “หิว”    ผมเปรยออกมา
         “จะกินไรดี”
         “สั่งมาเหอะอะไรก็ได้”  แน่นอนผมกินไม่ลงหรอก  แต่แกล้งฝืนพูดให้เป็นปกติที่สุด  เด็กเอาเครื่องดื่มมาวาง  พลางรินเบียร์มาสองแก้ว
         “คืนนี้พี่ไปนอนด้วยนะ”
         “อย่า...อย่า...”  ผมทำท่าปางพระห้าม...ห้ามทั้งญาติทั้งมหาสมุทรเลยล่ะ
         “มีการบ้าน  อีกอย่าง  ถ้าบอยกลับมาไม่ดี”  ผมพยายามกระเดือกข้าว  เพราะมันต้อง  “แสดง”  ละครฉากนี้ให้เห็น  มันปกติยิ่ง  สุข  สนุกสนานยิ่งนัก
         “วะพอหนังท้องตึงหนังตาชักจะหย่อน  คงจะเดินเสียเหนื่อย”
         “ออกไปขี่รถเล่นไหม?”  คำถามกึ่งอ้อนวอน
         “อย่าเล้ย!”  ผมทำคอย่น  การบ้านเยอะ
         ผู้ชายตรงหน้าผม  “ไม่รู้จัก”  ผมจริง ๆ  แหละ  ไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นตัวตนจริง ๆ  และ...ตอนไหนเป็นการแสดง..
         “กลับแล้วนะ  การบ้านเยอะ  จ่ายทรัพย์เลี้ยงด้วยนะ”  ผมพรวดพราดคว้าเป้  เพราะเริ่มจะทนไม่ไหวกับการตีสีหน้าที่ใจแตกสลาย
         “เดี๋ยว...”  พี่กฤษไม่ทันตั้งตัว
         แต่ผมก็เดินละลิ่วมาถึงอพาร์ตเม้นท์เรียบร้อย  พอ ๆ  กับที่พี่กฤษกระหืดกระหอบมาถึงเช่นเดียวกัน  แล้วจับข้อมือผมไว้อีก
         “นัท  เรื่องแหวนพี่อะบายได้นะ”
         ผมแกะมือพี่กฤษนุ่ม ๆ  พลางยิ้มแบบเคย  หากแต่หัวใจรวดร้าวสิ้นดี
         “ทำใจให้สบายเถอะพี่ผมเข้าใจ ...ลาก่อนนะ..พี่ชาย”   เลียงตอนท้ายผมข่มใจแทบตายกว่าจะลอดออกมา  ไม่วายหันกลับไปลาก่อนที่จะเดินตรงดิ่งมายังห้อง  แล้วอยู่กับตัวเองอีกครั้ง
         “ลาก่อนนะ”  เขาจะรู้ไหม  คำสั้น ๆ  แต่ความหมายยืดยาว
         ลาก่อน...คือกัลปาวสาน
         ลาก่อน...ไม่ผ่านมาอีก
         ลาก่อน...แยกส่วนเป็นสองซีก
         ลาก่อน...คือหลีกเร้นไกล

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×