คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 3 การโจมตีของทหารและบ้านใหม่ของพันธมิตร (1 - 30 %)
ตอนที่ 3 การโจมตีของทหารและบ้านใหม่ของพันธมิตร
เธอโมโหเป็นบ้า แต่ไม่อยากเสี่ยงกับความเจ้าอารมณ์และนิสัยชั่วร้ายของฌอน วินสตัน-รอสส์ เพราะไม่รู้เลยว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริงหรือเปล่า หากเดิมพันที่เกี่ยวกับพี่น้องของเธอสูงเกินกว่าที่จะยอมเสี่ยงขัดใจเขา
ดาโกต้าปล่อยให้ม้าควบเต็มฝีเท้าด้วยความเชี่ยวชาญตามผู้นำทาง แต่สายตาของเธอยังสอดส่ายอย่างระมัดระวังไปตลอดเส้นทางซึ่งตนกับคนที่เหลือกำลังเดินทางไป
“ที่ที่เราจะไปสร้างหมู่บ้านใหม่จะปลอดภัยแน่หรือเปล่า”
“ท่านหัวหน้าเผ่าสั่งให้พวกเราสำรวจสถานที่เหมาะๆ เอาไว้สองสามแห่งถ้าพวกเราต้องอพยพหนีพวกทหาร” คนนำทางบอกเธอเมื่อหญิงสาวควบม้าเข้ามาใกล้ “ข้าคิดว่าหมู่บ้านใหม่คงปลอดภัย เราไม่เคยพบทหารเข้ามาถึง”
“ตอนนี้คนที่หมู่บ้านมีอยู่เท่าไหร่”
“ราวๆ สามร้อยคนนามิด มีเด็ก ผู้หญิงกับคนแก่ราวๆ ร้อยหกสิบคน ที่เหลือเป็นนักรบผู้ชาย พวกที่ออกมาจากเขตสงวนเป็นพวกที่แข็งแรงแล้วต้องการอยู่อย่างอิสระ คนแก่ๆ ส่วนมากหัวหน้าเผ่าคนเก่าที่รบไม่ไหวหรือคนที่ไม่อยากต่อสู้หรือหนีต้องอยู่ตามเขตสงวน เวลาที่อาหารขาดแคลนมากเราก็ส่งเสบียงกลับไปให้บ้าง”
“เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วยังมีอยู่เกือบห้าร้อยคน” หญิงสาวพูดเหมือนรำพึงกับตนเอง
“เราถูกทหารโจมตีครั้งหนึ่ง” ผู้นำทางบอกสั้น กระแสเสียงของเขาขมขื่น ดาโกต้าจึงหยุดถาม
ทุกคนขี่ม้าผ่านไปหลายชั่วโมงโดยหยุดพักเป็นเวลาสั้นๆ แค่ครั้งเดียวสาวน้อยเจ็บระบมไปทั้งบั้นท้ายเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน แต่เธอไม่สนใจและยืนกรานที่จะเดินทางต่อจนแสงสุดท้ายของวันหมดลงจึงยอมหยุดพัก
พวกเขาตั้งค่ายง่ายๆ ใกล้ลำธาร ผู้ชายตั้งกระโจม ผู้หญิงประกอบอาหาร
หญิงสาวเดินลัดเลาะตามทางเล็กๆ ออกจากกระโจมเมื่อรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จโดยมีหญิงอินเดียนแดงชื่อมินาที่คอยดูแลเดินตามมา แสงจันทร์ทำให้พอมองเห็นทางและสัญชาตญาณของเธอดีขึ้นเมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานที่ซึ่งเปรียบเหมือนบ้านอีกครั้ง
ดาโกต้าหยุดที่โขดหินในมุมหนึ่งถอดเสื้อผ้าวางลงบนพื้นหินแบนราบฝากเอาไว้กับพี่เลี้ยงจนเหลือแค่ชุดชั้นใน จึงลงไปแหวกว่ายในลำธารโดยมีอีกฝ่ายนั่งรอ
สาวอินเดียนแดงทำเพียงล้างหน้าล้างตาและทำความสะอาดตนเองอยู่บนโขดหินท่ามกลางสายลมกรูเกรียว
“ไม่อาบน้ำด้วยกันเหรอมินา”
“ข้านั่งรอดีกว่า เจ้าอาบตามสบายเถอะ” มินาซึ่งตามมาเฝ้าบอกและยิ้มให้ เธอเป็นชาวซูว์และเป็นญาติสนิทของฮันเตวี ลูกพี่ลูกน้องของเธออายุได้ยี่สิบห้าฤดูหนาวแล้ว ส่วนตัวเธอเองเกิดก่อนหน้านั้นหลายปี สาวน้อยคนนี้จึงเป็นเหมือนน้องสาวอีกคนในสายตาของมินา แม้วัยขนาดนามิดจะถือว่าช้าไปหน่อยสำหรับการมีคู่
ผู้หญิงอินเดียนแดงส่วนมากแต่งงานเมื่อมีประจำเดือนในปีแรกๆ หรือหลังจากนั้นได้ไม่นาน
“หมู่บ้านใหม่ที่ฮันเตวีไปสำรวจไว้ ใกล้แม่น้ำหรือเปล่า”
“พวกคนหนุ่มบอกข้าว่า ที่นั่นเป็นแอ่งอยู่บนเนินสูงมีทะเลสาบกว้างใหญ่พอสำหรับพวกเราทั้งหมดนามิด ไม่ไกลกันนักแต่ต้องลงจากเขาที่ตั้งหมู่บ้านก็เป็นแม่น้ำ เราคงอยู่ที่นั่นได้อย่างสบายเจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก”
“ดีจัง”คนชอบน้ำบอกอย่างร่าเริง
เธอเคยชินกับการอาบน้ำทุกวันและรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์หลังจากการได้หย่อนตัวลงในสายน้ำเย็นฉ่ำแม้อากาศปลายเดือนกันยายน หรือเดือนที่หญ้าเกือบแห้งสำหรับอินเดียนแดงอากาศจะเริ่มหนาวเหน็บและมีพายุลูกเห็บในบางครั้งแต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
สาวน้อยใช้สบู่อินเดียนแดงที่มีส่วนผสมของยัคคะสระผมและถูตัวสองหนอย่างละเอียดละออ เส้นไยจากใบของต้นยัคคะยังถูกชาวอะแพชีนำมาทำเป็นไหมขัดฟันและเชือกได้ด้วย แต่เธอแปรงฟัน สระผมจากของใช้ส่วนตัวที่เตรียมมาเองจากนิวยอร์ก
หญิงสาวใช้เวลาในน้ำราวยี่สิบนาทีจนพี่เลี้ยงเรียก จึงยอมว่ายกลับเข้าฝั่งอย่างอ้อยอิ่ง ร่างกายเบาหวิวและคลายความเมื่อยล้าลงบ้างหากพร้อมที่จะนอนหลับได้ในทันทีหลังจากเดินทางไกลมาทั้งวัน
“หนาวจะตาย เจ้าอาบน้ำเหมือนไม่ได้อาบมาแล้วสักอาทิตย์เชียวนะ”
“หนาวที่ไหนกันล่ะ แล้วมินาไม่อาบน้ำทุกวันหรือไง”
“ถ้าเราอยู่ใกล้น้ำก็อาบทุกวัน แต่เดินทางอย่างนี้ข้าเป็นห่วงเจ้า ขอเป็นคนเฝ้าดีกว่า ฮันเตวีสั่งเอาไว้”
“ข้าไม่ใช่ผู้หญิงของฮันเตวี” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนเมื่อขึ้นมาเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นำมาด้วย จัดการตากชุดชั้นในที่บิดจนแห้งไว้กับกิ่งไม้แถวนั้นและตั้งใจจะมาเก็บในตอนเช้าก่อนเดินทางตอนออกมาล้างหน้าล้างตา
“เมื่อไหร่เจ้าจะใจอ่อนเสียที ฮันเตวีรอคอยเจ้ามาหลายฤดูหนาวแล้วทั้งที่เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนของเราเมื่อไหร่ก็ได้”มินาไม่เอ่ยว่า สงสารหญิงสาวอีกคนในเผ่าที่ดูเหมือนจะแอบรักแอบเฝ้ารอมานาน หากสองคนลงเอยกัน อีกคนจะได้ตัดใจไปเสีย ความสัมพันธ์ของนามิดกับฮันเตวีเป็นความไม่แน่ชัดซึ่งไม่มีใครรู้เว้นแต่เจ้าตัวทั้งคู่
“เราเป็นเพื่อนกัน” หญิงสาวเก็บข้าวของใส่ถุงย่ามที่เตรียมมาเดินนำกลับเข้าไปยังที่พัก แต่ต้องหยุดชะงักระหว่างทางเมื่ออยู่ๆเส้นขนอ่อนๆ บนต้นคอและหลังใบหูก็ลุกจนต้องรีบหันมาปิดปากมินา “ชู่ว”
บริเวณนั้นเป็นราวป่าและมีโขดหินจำนวนมาก เวลากลางคืนเป็นอุปสรรคกับการมองเห็นแต่แสงไฟในกระโจมซึ่งเปิดกว้างและหันหน้ามาทางที่เธอกำลังจะกลับเข้าไปทำให้มองเห็นค่อนข้างชัด หญิงสาวย่อตัวลงลูบมือตามต้นขาขึ้นมาหาสะโพกจับกุมด้ามปืนเย็นเฉียบเอาไว้เมื่อกวาดสายตาสำรวจอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือเปล่า” มินาผู้ย่องตะคุ่มอยู่ด้านหลังถามด้วยการขยับปากเกือบไม่ได้ยินแต่ทันเห็นซองเก็บปืนตรงต้นขาของดาโกต้าและเห็นว่ามือของสาวผมแดงอยู่ที่ไหนเลยเบิกตาโตนามิดหันมาดึงข้อมือเธอไว้ ดันให้เข้าไปหลบหลังโขดหินบริเวณนั้น“นามิด”
“เราต้องช่วยกัน”
ดาโกต้าทรุดตัวลงใกล้ๆ ดึงปืนพกลูกโม่อีกกระบอกใส่มือมินาบีบมืออินเดียนแดงสาวเหมือนจะถ่ายทอดกำลังใจให้และสอนวิธีใช้โดยไม่มีเสียงอย่างรวดเร็ว “พวกมันมีสามคน จับคนของเรามัดเอาไว้แล้วด้วย”
“แต่เจ้าแค่คนเดียว”
“สองคน มีเจ้าด้วยไงล่ะข้าจะจัดการเจ้าสองคนโน้น มินายิงปืนได้ จัดการทหารคนที่อยู่ใกล้ราวป่าตอนที่เขากำลังตกใจนะ”เธอชี้มือให้มินาดูช้าๆ แล้วกุมมือเย็นของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ “เจ้าทำได้ ชีวิตของพวกเราขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ”
“อย่านะ นามิด!”
เสียงเรียกเบาหวิวของมินาไร้ความหมาย เมื่อร่างโปร่งเพรียวของหญิงสาวเคลื่อนกายไปข้างหน้ารวดเร็วเหมือนเงา รองเท้าบูทหนังกวางคุณภาพสูงที่กระชับพอดีเป๊ะช่วยให้เธอย่างเท้าเบาเหมือนรองเท้าม็อคคาซินที่ทำจากหนังควายป่า
สัญชาตญาณเอาตัวรอดตื่นตัวเต็มที่เมื่อใช้ความมืดให้เป็นประโยชน์ในการแฝงตัวไปใกล้กระโจมซึ่งมีผู้คุมสองคนยืนอยู่ด้านหลัง ขณะที่อีกคนเฝ้าด้านหน้าบริเวณที่อยู่ในระยะยิงของมินา
แม้จะไม่มีแสงสว่างมากนัก หากเธอยังเห็นว่าชายสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ในชุดเสื้อคลุมรุ่มร่ามแบบอินเดียนแดง แต่รับรองว่าไม่ใช่คนที่หวังดีแน่ อาจจะเป็นแค่แมวมองหรือเผ่าอื่นและกำลังรอพรรคพวกที่เหลือก็ได้ ดังนั้น เธอต้องลงมือให้ไวก่อนจะเดือดร้อนกันหมด โชคดีที่พวกนี้ยังไม่ยิงนักรบสองคนที่มากับเธอด้วย พวกที่มาจะต้องรู้ว่าในกลุ่มมีคนมากกว่านี้เพราะจำนวนม้าและล่อที่ถูกผูกเอาไว้
หญิงสาวย่องเข้าไปอยู่ในทำเลซึ่งมีโขดหินกำบัง จากนั้นจึงก้มลงหยิบหินบริเวณนั้นขว้างไปบริเวณที่เธอต้องการแล้วซุ่มตัวเงียบเงี่ยหูฟัง หนึ่งในสองของฝ่ายตรงข้ามหันไปส่งภาษากันเบาๆ และแล้วคนหนึ่งก็เดินออกมายังบริเวณที่เธอต้องการ
เปรี้ยง!
เสียงปืนทะลุเข้าไปในบ่าด้านที่ถือปืนของคนที่เดินออกมาอย่างเหมาะเหม็ง ทำให้อาวุธของเขาหลุดจากมือพร้อมเสียงร้องลั่นดาโกต้าจึงรีบลุกคลานเข้าไปใกล้และใช้ปืนโคลท์จ่อศีรษะของมัน กระชากชายร่างสันทัดสูงพอๆ กับเธอให้เดินออกไปข้างหน้าเป็นตัวประกันเมื่อได้ยินเสียงปืนอีกนัด แต่แล้วสูดหายใจติดขัดเมื่อเห็นชายอีกคนถลันมาอีกฝั่งของกระโจมซึ่งบอกว่ามินายิงพลาด
“อย่าขยับ ไม่งั้นฉันจะยิงเพื่อนของแกทิ้งเดี๋ยวนี้!”
สายตาสองคู่ของผู้ชายซึ่งยืนอยู่ข้างกระโจมดูอัศจรรย์ใจล้นเหลือเมื่อเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง และยังแต่งกายแบบคนขาว แต่กลับพูดภาษาอินเดียนแดงได้ เป็นภาษาซูว์ซะด้วยซึ่งพวกเขาฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
“เจ้าเป็นใคร”หนึ่งในสองถามเป็นภาษาอังกฤษ
“ฉันมีเพื่อนที่ซุ่มดูพวกแกอยู่พร้อมปืนอีกสองกระบอก” เธอโม้เกทับด้วยสีหน้าเยือกเย็น“ดังนั้น ฉันต่างหากที่ต้องถามว่า พวกแกเป็นใคร มาจับคนนำทางของฉันไว้ทำไม”
“เรามาอย่างมิตร”ตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันกระท่อนกระแท่น
น่าเชื่อตายเลย “ถ้าอย่างนั้นก็โยนปืนออกไปห่างๆ ตัว”
“พวกข้าไม่คาดคิดว่าจะมีคนขาวอยู่ที่นี่ แม’ม”หนึ่งในนั้นตอบกลับมาเป็นภาษาที่เธอใช้ด้วยสำเนียงแปร่งหู แต่เขารู้คำศัพท์มากพอที่จะพูดมันออกมาได้ “พวกข้าเป็นหน่วยสอดแนมของทหาร”
“แกเป็นอินเดียนแดงจากเผ่าไหน” คำถามของเธอทำให้ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันเอง ดาโกต้าเองก็เกร็งไปหมดจนเหงื่อซึมเพราะต้องระวังทั้งคนที่คุมอยู่ ผู้ชายที่เหลือรวมเป็นสามคนไม่รู้ว่ามินาจะทำอะไรมากกว่านี้ได้หรือเปล่า
“เผ่าพอว์นี”
“มีกันทั้งหมดกี่คน”
คำถามของเธอทำให้ทั้งคู่มองหน้ากันอีกหน ก่อนจะหันมามองเธออย่างประเมิน “พวกเรามีกันเท่านี้”
“โกหก พวกแมวมองต้องมีเป็นหน่วย แบ่งกันลาดตระเวนทุกทิศ มีทหารคนขาวเป็นหัวหน้าหน่วย ถ้าคำตอบต่อไปยังไม่เป็นที่พอใจฉันจะยิงเพื่อนของแกทิ้งซะ”
“มีห้าสิบคนเป็นคนขาวสี่คน คนครึ่งชาติอีกสองคนนอกนั้นเป็นชาวพอว์นี” คราวนี้รายละเอียดมาครบแบบไม่ต้องให้ถามซ้ำ
จำนวนที่ได้รับทราบทำให้ดาโกต้าตัวเย็นเยียบหวั่นวิตกว่าคณะเดินทางของฮันเตวีกับฌอนอาจเจอกับหน่วยสอดแนมของทหารกลุ่มนี้ก็ได้ เธอไม่น่าแยกจากพวกเขามาเพราะเชื่อฟังคำสั่งของเขาเลย “โยนปืนออกมาข้างหน้า”
“เราเป็นมิตรแม’ม คุณเป็นคนผิวขาว พวกเราไม่ทำร้ายคุณ”
“ในป่าน่ะ ฉันไม่ไว้ใจทั้งไอ้พวกผิวขาวหรือผิวแดงทั้งนั้นแหละ” หญิงสาวว่าเสียงเย็น ดันหลังตัวประกันให้เดินหน้าไปอีกก้าวพร้อมกดปากกระบอกปืนใส่หัวเขาสีหน้าเย็นชา ความกังวลใจทำให้เธอไม่เห็นเหมือนที่แมวมองชาวพอว์นีเห็นว่าคนถูกยิงกำลังใช้มือด้านที่ไม่เจ็บสอดเข้าไปในเสื้อคลุมช้าๆ “ฉันสั่งให้โยนได้ยินไหม”
“คุณมาทำอะไรที่นี่แม’ม” หนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่ถามและย่อตัวลงเหมือนจะวางอาวุธลงบนพื้นหากสายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าเธอดาโกต้าเลยมองตามและเห็นเงาสีเงินสะท้อนแสงจันทร์
เปรี้ยงๆ!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเมื่อตัวประกันของเธอกำมีดเป็นเงาวับไว้ในมือ เธอลั่นไกโดยอัตโนมัติและม้วนตัวลงบนพื้น เบี่ยงปืนลั่นไกนัดต่อมาใส่ชาวพอว์นีอีกคนที่ยืนถืออาวุธและหันมาทางตน เปิดโอกาสให้อินเดียนแดงอีกคนที่ยังไม่ได้วางปืน ยกอาวุธขึ้นมาในเวลาเดียวกันและเธอคงไม่รอด
เปรี้ยง!
เสียงปืนสะท้อนราวป่านัดนั้นทำให้ดาโกต้านอนอยู่บนพื้นตัวแข็ง ตาจ้องอินเดียนแดงซึ่งจะยิงเธอยืนโงนเงน ก่อนจะล้มลงมาด้านหน้าทั้งที่ยังมีปืนอยู่ในมือ แล้วร่างของมินาก็วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“นามิด เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ม... ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร” หญิงสาววางปืนในมือที่กำลังสั่งระริกลงบนพื้นหญ้า เพื่อยกมือขึ้นลูบหน้าเมื่อมินารวบร่างของเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้ “ข้าไม่เคยต้องฆ่าใครมาก่อน”
“ข้าก็เหมือนกันมินา แต่ถ้าไม่พวกเราคงตายกันหมดแล้ว”
สองสาวกอดกันแน่นด้วยหัวใจเต้นแรงตึกตักทั้งคู่ โดยที่เธอไม่อาจละสายตาจากชายสามคนซึ่งนอนอยู่บนพื้นเบื้องหน้าได้กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากนักรบสองคนด้านใน ดาโกต้าตบหลังมินาและสูดหายใจลึกเพื่อเรียกพลังใจให้ตัวเองอยู่ชั่วครู่จึงกระซิบให้ฝ่ายนั้นไปช่วยคนข้างในแล้วปล่อยอ้อมแขน
เธอลุกเดินไปเก็บปืนยาวทั้งสามกระบอกจากแมวมองชาวพอว์นีไปวางรวมกันไว้หน้ากระโจม
“ข้าขอโทษนามิด พวกข้ารู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงที่ต้องให้เจ้าดูแล”หนึ่งในสองของนักโทษรีบออกมาหาเธอหลังถูกแก้มัด สีหน้าของเขาละอายใจ
“พวกเจ้าคงไม่ทันได้ตั้งตัว ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเจ้าล่ะ”
“พวกมันบอกว่าจะจับตัวเราไปสอบสอนที่ป้อมทหารเค้นเอาคำตอบว่าหมู่บ้านของเราอยู่ที่ไหน ความจริงพวกมันมีสี่คน อีกคนขี่ม้ากลับออกไปก่อนที่เจ้ากับมินาจะกลับมาได้ครู่เดียว”
คำตอบนั้นทำให้ดาโกต้าเกือบหยุดหายใจ ใช้สติเพื่อหาทางแก้ปัญหาชั่วครู่จึงออกคำสั่ง
“รีบรื้อกระโจมดีกว่า เราเดินทางต่อไปให้ไกลอีกสักหน่อยไม่ให้พวกที่กลับมารู้แล้ว คืนนี้คงต้องนอนข้างลำธารไม่ต้องก่อไฟตั้งกระโจม”
หญิงสาวสั่งและชะงักเมื่อเห็นนักรบเผ่าซูว์มองหน้ากัน แม้สิทธิของผู้ชายกับผู้หญิงของอินเดียนแดงจะเกือบเท่าเทียมกันแต่พวกนักรบรู้สึกว่าพวกเขาต้องเป็นคนหาเลี้ยงและปกป้องครอบครัว คงไม่ชอบที่ผู้หญิงออกคำสั่งแม้เธอจะเป็น ‘ผู้นิมิต’ ซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษา ที่พึ่งทางใจหรือจิตแพทย์ประจำเผ่าหญิงสาวจึงเอ่ยเสริมด้วยสีหน้าเป็นทำนองหารือ
“พวกเจ้าคิดว่ายังไงถ้าเราพักตรงนี้คงอันตราย”
“เจ้าพูดถูกนามิด ต่อให้เป็นผู้หญิงแต่เจ้ากับมินาช่วยชีวิตพวกเรา เราเป็นหนี้เจ้า”
“ไม่มีหนี้อะไรทั้งนั้น พวกเจ้าเป็นพี่น้องของข้า” หญิงสาวปรายตาไปมองคนตายด้วยสายตาหวาดหวั่นแต่สีหน้ายังเป็นปกติเมื่อขอร้องให้นักรบทั้งคู่ช่วยลากศพของพวกเขาออกไปซ่อนไว้ ขณะที่เธอกับมินาช่วยกันรื้อถอนกระโจมและเก็บข้าวของอย่างเร่งรีบ ทั้งหมดรีบเดินทางอย่างทุลักทุเลหลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเพราะความมืด แต่ยังพอไปได้ด้วยไต้ไฟที่นักรบทั้งคู่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ และถือนำทางไปบนหลังม้า
คณะเดินทางราวสองชั่วโมงจึงยอมหยุดพักอีกครั้งไม่มีใครกล้าก่อกองไฟเพราะกลัวว่าทหารของหน่วยสอดแนมจะมองเห็น ดาโกต้าเลยใช้น้ำมันผสมเองซึ่งติดตัวมาแบ่งให้ทุกคนน้ำมันมีส่วนผสมหลายอย่างเช่นใบและต้นของดอกยาร์โรว์ทาไล่ยุงเพราะไม่อยากป่วยไข้ระหว่างการเดินทาง
การทำหน้าที่เป็นผู้นิมิตแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในแต่ละปีทำให้หญิงสาวมีความรู้เรื่องพิธีกรรมและสมุนไพรค่อนข้างดี คืนนั้นเธอหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลียจนรุ่งสางจึงสะดุ้งตื่นเพราะภาพนิมิตอันน่ากลัว
“นามิดๆ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ” มินาเข้ามาเขย่าตัวเธอเพื่อปลุกให้ตื่น มองดวงตาดำสนิทที่ลืมโพลงขึ้นอย่างตื่นตระหนกก่อนที่จุดรวมสายตานั้นจะเลื่อนมาหยุดที่ใบหน้าของตน
“มินา เช้าแล้วเหรอ”
“อีกไม่นานก็คงสว่าง พวกเราเลยตกลงกันว่าจะเดินทางในตอนนี้เลย เจ้าไหวหรือเปล่า”
“ไหวสิ” หญิงสาวรีบขยับตัวและเก็บที่นอนของตนเองโดยมีมินาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
“เจ้าฝันร้ายหรือนามิด”
ความฝันของผู้นิมิตนั้นมีความหมายกว่าคนทั่วไปมาก และท่าทางหวาดหวั่นแม้จะตื่นขึ้นมาแล้วของสาวน้อยก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของมินาได้ อินเดียนแดงสาวเลยพลอยไม่สบายใจไปด้วย
หากดาโกต้าสั่นหน้าดิก “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกไม่ดีเพราะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน” เธอแก้ตัวเสียงเบา
“เจ้าแค่ปกป้องตัวเองกับพวกเราทั้งหมด โธ่ นามิด”
“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าช่วยเก็บของระหว่างที่ข้าไปทำธุระสักครู่ได้ไหม”
“ข้าจะไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไร ข้าไปไม่นานหรอกมินา” หญิงสาวจับต้นแขนยิ้มให้อีกฝ่ายและเดินออกมา ลัดเลาะไปริมฝั่งแม่น้ำซึ่งพวกเขาพักค้างคืน จัดการล้างหน้าล้างตาและทำธุระส่วนตัวไม่นานก็กลับไปสมทบกับคนที่เหลือ
ทุกคนกินเนื้อตากแห้งเพ็มมิกันเป็นอาหารเช้าบนหลังม้า หยุดพักกลางวันเพื่อพักม้าให้มันเล็มหญ้าแถวนั้นขณะที่กินกลางวันและงีบพอเอาแรงหายเหนื่อยจึงเดินทางอย่างเร่งรีบต่อไปจนพลบค่ำ เลือกทำเลและตั้งกระโจมที่พัก แบ่งหน้าที่ให้นักรบสองคนซึ่งตกลงเป็นเวรยามสล้บกันคนละครึ่งคืนและออกไปล่าสัตว์เป็นอาหารค่ำ ขณะที่ผู้หญิงทำหน้าที่ประกอบอาหารและก่อกระโจมที่พัก คืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใช้เวลาเดินทางอีกสี่วันเต็มๆ ทั้งหมดจึงไปถึงสถานที่แห่งใหม่ซึ่งเป็นเวิ้งหุบเขาบนเนินสูงบริเวณหนึ่งไม่ห่างจากแม่น้ำพาวเดอร์นัก เป็นที่ตั้งในทำเลที่ดีคือเป็นแอ่งที่ราบแห่งหนึ่งบนหุบเขาซึ่งสูงกว่าปกติ ถือเป็นป้อมปราการชั้นดีสามารถมองเห็นผู้บุกรุกก่อนที่จะมาถึงตัว มีทะเลสาบธรรมชาติขนาดเล็กแต่น่าจะเพียงพอกับจำนวนของชาวเผ่าที่กำลังจะเดินทางตามมา ทุกคนแบ่งหน้าที่กันเช่นเดิมและเฝ้ารออยู่ที่นั่น
สองสามวันแรกผ่านไปโดยที่ไม่มีใครเป็นห่วงมากนักเพราะรู้ว่าการเดินทางมาเป็นขบวนใหญ่ซึ่งต้องมีการขนย้าย มีเด็ก ผู้หญิงและคนชราประกอบกับสัมภาระจำนวนมากทำให้กินเวลามากกว่านักเดินทางปกติอาจจะเกือบถึงสองเท่า ทั้งทำเลใหม่ยังไกลกว่าที่เดิมหลายวันตามที่มินาเล่าให้เธอฟัง
“ข้าคิดว่าเราน่าจะไปรับพวกนั้น”
หญิงสาวเสนออย่างกระวนกระวายใจเมื่อวันที่สองสิ้นสุดลง นิมิตซึ่งเธอเห็นยังชัดเจนในความทรงจำและดาโกต้ารู้จากประสบการณ์ว่าสิ่งที่เธอเห็นจะต้องเกิดขึ้น แค่จะใช้เวลามากหรือน้อยเท่านั้นเธอไม่อยากยอมรับว่าความเป็นห่วงที่มีต่อคนขาวคนหนึ่งในนั้นสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเธอ
“ข้าว่า รออีกสักสองสามวันดีกว่า” นักรบที่ชื่อเยลโล่แฮนด์บอกแม้เขาจะกังวลใจเหมือนทุกคน แต่ตนได้รับคำสั่งว่าหน้าที่สำคัญอย่างเดียวของพวกเขาตอนนี้คือการปกป้องผู้นิมิต
“เราไม่มีวิธีที่จะรู้ข่าวเลยหรือไง”
“อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ เราใช้ควันไฟกับผ้าห่มในการส่งสัญญาณ ใช้หญ้าชื้นเป็นเชื้อเพลิงเพราะจะเกิดควันมากขึ้น อินเดียนแดงส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ทั้งนั้น” เพราะพวกเขาส่วนมากไม่มีภาษาเขียนนอกจากใช้ม้าเร็วแจ้งข่าวระหว่างกันไปทั่วทุ่งราบ
“แต่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องอยู่ในระยะสายตามองเห็นกันอย่างเช่นคนรับหรือคนส่งอยู่บนเนินเขาแบบที่เราอยู่ตอนนี้ แต่ถ้าพวกนั้นยังมาไม่ใกล้พอก็คงมองไม่เห็นอยู่ดี เราน่าจะเป็นฝ่ายเห็นพวกเขาก่อนด้วยซ้ำ”
“ถ้าวันนี้ยังไม่มีวี่แวว ข้าจะออกไปคอยรับพวกเขาเอง”
“ฮันเตวีสั่งให้เจ้าอยู่ที่นี่”เยลโล่แฮนด์ทำหน้าลำบากใจ
“ถ้าข้าเต็มใจที่จะอยู่ ซึ่งตอนนี้มันพ้นเวลานั้นมาแล้ว”
หญิงสาวหันไปมองนักรบทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย รู้โดยไม่ต้องถกเถียงกันว่าพวกเขาบังคับเธอไม่ได้ถ้าเธอไม่ต้องการคอย
อันที่จริงพวกเขาก็อยากลงไปดูคนอื่นๆ เพราะความเป็นห่วงเหมือนกับเธอนั่นแหละ
ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยมาอยู่กับพวกอินเดียนแดงผ่านมานานแล้ว
ฌอนแทบจะได้กลิ่นของชีวิตและอิสระเสรีจากคนทั้งหมู่บ้านของฮันเตวี พวกนี้ออกจากที่ตั้งค่ายเดิมมาแล้วไม่ไกลเมื่อลูกชายของหัวหน้าเผ่ามาถึงพร้อมเขาซึ่งเป็นคนแปลกหน้า สายตาของอินเดียนแดงทุกคู่มองมาที่เขาตาไม่กระพริบด้วยความสงสัย ระมัดระวังและส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจ
ฌอนยิ้มกว้างให้กับทุกสายตาเมื่อตามฮันเตวีเข้าไปทำความรู้จักกับพ่อของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่า ซึ่งเขารู้ว่ากลุ่มนี้แยกออกมาจากเผ่าเดิมซึ่งอาศัยอยู่ในเขตสงวนชายหนุ่มก้มลงถามเสียงเบาก่อนจะเดินไปถึงตัวชายวัยกลางคนที่ดูสูงอายุพอประมาณ ใบหน้าเรียบเฉยดูหยิ่งทะนง
“พ่อนายอายุเท่าไหร่”
“สี่สิบสามฤดูหนาวแล้ว”
“อะไรนะ”
“จะเรียกว่าสี่สิบสามหิมะก็ได้” ฮันเตวีไหลไหล่นิดๆ เป็นนิสัยที่ติดมาจากคนขาวซึ่งเป็นอาคันตุกะของตนได้ไม่กี่วัน อดนึกอิจฉาไม่ได้ที่มันทำอะไรก็ดูดีไปทุกท่วงท่า ทั้งยังมีผิวสีน้ำตาลคร้ามแดดเนียนสวยดูแข็งแรงเหมือนนักรบ ไม่ขาวซีดเหมือนผิวคนอเมริกันที่เขาเคยรู้จักส่วนมาก “ส่วนข้าจะยี่สิบห้าฤดูหนาวปีนี้ ข้าเกิดก่อนนามิดหกปี”
ประธานฟรอสเตอร์พยักหน้ารับพลางยิ้มในใจ สายตาพราวพราย
ที่แท้ก็ใบหน้านำอายุกันทั้งครอบครัว
คงเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตกลางแจ้งท่ามกลางสายลม แสงแดดในทุ่งราบตะวันตกนั่นเอง แต่สาวลูกครึ่งผมแดงของเขากลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนสาวรุ่นยิ่งกว่าผู้หญิงอเมริกันแท้เสียอีก
เธอผมสีน้ำตาลแดงเป็นลอนซึ่งกลายเป็นสีแดงอมส้มยามสะท้อนแสงแดดดูเร่าร้อนเซ็กซี่สุดๆ ตามแบบที่เขาปลื้ม มีหุ่นเอวบางร่างน้อยแต่กลับมีท่อนขายาวเพรียวชวนฝัน สะโพกชวนใจสั่นและทรวงอกสุดยอด
“พ่อข้าชื่อบลูคอร์นมูน” ฮันเตวีบอกชื่อที่คนขาวใช้เรียกพ่อของเขาดึงจินตนาการลามกของฌอนกลับมา
ฮันเตวีอธิบายให้บิดาฟังว่าชายหนุ่มเป็นใครโดยไม่ลืมอวดของฝากประสิทธิภาพสูงที่เขานำมาให้ด้วยในภาษาของตนเอง สายตาของหัวหน้าเผ่าซูว์มองฌอนอย่างพิจารณามากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขารู้จักกับ ‘ผู้นิมิต’ ของเผ่าซึ่งจะกลับมาเยือนพี่น้องของเธอเพียงปีละครั้ง
“ชาวไชย์แอนน์เผ่าของนามิดแยกตัวจากพวกเดิมตามพ่อข้ามาเพราะไม่อยากอยู่ในเขตสงวน เราเลยมีหัวหน้าเผ่าแค่คนเดียว แต่พวกนั้นมี Shaman…ชามาน หมอผีประจำเผ่าของตัวเองชื่อเยลโลว์วูล์ฟติดตามมากับเราด้วย ลูกสาวของเขาเป็นหมอยา”
ความคิดเห็น