คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1 ทายาทสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์ 61 - 100 %
“คุณคิดว่ายังไงล่ะฌอน มิสเตอร์ไดมอนด์เป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นนักธุรกิจที่ได้รับความเชื่อถือมากนะครับ”
คนฟังเกือบหลุดเสียงหัวเราะก๊ากกับสรรพคุณที่อีกฝ่ายยกมากล่าวอ้าง เลยรีบทำหน้าขรึม “ขอบคุณมากที่บอกผมเรื่องนี้ เทอร์เรนซ์”
“คุณตกลงจะขายหุ้นให้เราใช่ไหม อาจจะจ่ายครั้งเดียวทั้งหมดไม่ได้แต่ผมสัญญาว่า--”
“ผมคิดว่าผมขายหุ้นให้เอ็ดเวิร์ดเหมือนเดิมดีกว่า”
ลิลเบิร์นย่นหัวคิ้วเมื่อได้รับสายตาเห็นอกเห็นใจปนเสียใจจากอีกฝ่าย “เป็นเพราะคุณสนิทกับเขาเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมสามารถคุยกับมิสเตอร์ไดมอนด์แล้วเจรจาเรื่องราคาได้อีกนะครับผมเชื่อว่าเขาจะนำพาฟรอสเตอร์ให้รุ่งเรืองอย่างที่คุณพ่อของคุณต้องการได้ดีกว่า”
“เปล่า ผมแค่ไม่ชอบหน้าไดมอนด์”
“คุณมีเหตุผลอะไรที่ไม่ชอบเขาหรือครับ”
“เพราะเขาเคยแย่งอีตัวคนโปรดที่ผมหมายตาไว้ ประมูลเธอไปก่อนที่ผมจะทันได้สนุกกับเธอน่ะสิ” คนพูดเบ้ปากอย่างรังเกียจท่ามกลางสายตาตะลึงพรึงเพริดของลิลเบิร์นกับเหตุผลเหลือเชื่อที่ชายหนุ่มกำลังกล่าวอ้าง
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมแน่ใจว่ามิสเตอร์ไดมอนด์จะจัดการให้เรื่องนี้เป็นที่พอใจของคุณได้”
“ผมบอกเมื่อไหร่ว่าอยากให้เขาจัดการ อันที่จริงผมสนุกกับเธอจนเปรมแล้วหลังจากที่ไดมอนด์ยอมปล่อยเธอ แต่มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ผมทำใจไม่ได้ที่จะขายหุ้นให้เขา”
“ฌอน เรื่องนี้ไร้เหตุผลมาก”
“คุณคิดงั้นเรอะ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มากและอยากให้คุณเข้าใจ ผมคงต้องขอตัวล่ะเทอร์เรนซ์ ขอโทษที่รับข้อเสนอจากคุณไม่ได้แต่ผมดีใจที่ได้คุยกับคุณ”
“แต่ฌอน…”
“ไม่ต้องกลัวน่า ผมเป็นคนรักษาความลับได้ดีนะ ไม่มีใครรู้หรอกที่คุณบอกผมเรื่องไดมอนด์” หนุ่มหล่อยิ้มกว้างให้อย่างใจดีพร้อมขยิบตาและหันหลังเดินอาดๆ กลับเข้าไปในสโสมรโดยไม่เห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนแอบฟังทั้งคู่อยู่ในมุมมืดไม่ไกลจากนั้น และเดินเข้าไปหาลิลเบิร์นที่โมโหปึงปังทำท่าจะกลับเมื่องานไม่สำเร็จ
“มิสเตอร์ลิลเบิร์น”
“อ้าว มีอะไรกับผมหรือเปล่า” บรรณาธิการและหุ้นส่วนของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กทูเดย์หันมามองคนที่เรียกเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ยังไม่สงบนัก
“ผมคิดว่าเราน่าจะตกลงกันได้”
สำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์เปลี่ยนพนักงานระดับผู้บริหารหลายคนในเวลาสามเดือนต่อมา ความไม่มั่นใจในตัวประธานคนใหม่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อนจะถูกกลบด้วยการจัดตั้งบริษัทนายหน้าและจัดทำโฆษณาอย่างครบวงจร ประกอบการเสนอข่าวอย่างเข้มข้นทุกด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของอเมริกันกับฝั่งยุโรปซึ่งเจาะลึกไม่แพ้ข่าวสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียตั้งแต่นาวิกโยธินสหรัฐยกพลขึ้นบกที่ปานามาเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคนอเมริกันกระทั่งเมื่อสงครามเริ่มสงบและทหารเยอรมันเริ่มเดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศส
รวมไปถึงข่าวเรื่องการต่อสู้ของคนตั้งรกรากผิวขาว คนของรัฐบาลหรือทหารกับอินเดียนแดงที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาสงบลงในปีค.ศ. ๑๘๖๕ หลังปี ๑๘๗๐ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากผลของสงคราม รัฐบาลเริ่มมีเวลาจัดการกับชนพื้นเมืองมากขึ้นอินเดียนแดงที่เคยมีอยู่เกือบล้านคนทั่วประเทศลดจำนวนลงเหลือไม่ถึงสามแสนคนขณะที่คนขาวหลั่งไหลกันเข้ามาครอบครองดินแดนของอินเดียนแดงกว่าสามสิบล้านคน
ข่าวทั้งหมดถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องด้วยคอลัมนิสต์ใหม่ที่ถูกจ้างเข้ามาหลายคนซึ่งล้วนมีวาทศิลป์ หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาไม่เหมาะสมมาเป็นความสุภาพหากตรงไปตรงมาและเฉียบคมซึ่งที่เคยมีอยู่แล้วให้ยิ่งโดดเด่นขึ้น กลวิธีในการนำเสนอข่าวน่าตื่นเต้นชวนสนใจทั้งรายวัน รายสัปดาห์ทำให้ฟรอสเตอร์ได้รับความนิยมมากกว่าที่เคย มีหนังสือขายดีของนักเขียนที่มีชื่อตีพิมพ์ออกมาหลายเล่มทั้งนวนิยาย หนังสือวิทยาศาสตร์และยุคตื่นทอง
ยอดขายของหนังสือพิมพ์และหนังสือไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่รายได้จากการทำโฆษณาเป็นรายได้ที่เสริมเข้ามาในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำขัดกับภาวะซบเซาหลังสงครามผู้คนกระหายข้อมูลข่าวสารและอยากรู้ความเป็นไปเกี่ยวกับอนาคตของคนอเมริกันและสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า เกิดภาวะเงินเฟ้อ ตลาดการเงินผันผวนและเริ่มมีคนตกงานมากขึ้น แต่กิจการของฟรอสเตอร์ค่อนข้างสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
“จำเป็นต้องเดินทางตอนนี้หรือฌอน” วิลเลียมถามหลังจากที่ลูกชายแจ้งข่าวในที่ประชุมคณะกรรมการ
“ผมส่งนักข่าวห้าคนล่วงหน้าไปแล้วแต่คิดว่าคงไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด พวกเขาจะไปที่นีบราสก้า ไวโอมิง อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน จนถึงบางส่วนของรัฐมอนทาน่ากับเซาต์ดาโกต้า ในเซาท์ดาโกต้าคือแบล็กฮิลล์ที่พวกตื่นทองกำลังรุกล้ำเข้าไปในเขตอิทธิพลของพวกลาโกต้า อีกไม่นานคงปะทุเดือด สงครามอินเดียนแดงจะกินเวลาหลายปีกว่าจะสิ้นสุด ถ้าเราจะเป็นสื่อที่ไม่ตกกระแสจะต้องเล่นข่าวนี้จนกว่าสงครามจะจบนั่นแหละ... ระหว่างนี้คงต้องฝากพ่อดูแลบริษัทอื่นๆ ของผมช่วยเอ็ดเวิร์ดด้วย”
ฌอนเอ่ยประโยคสุดท้ายเป็นการส่วนตัวเฉพาะกับบิดาและเพื่อนสนิทที่เข้ามาทำหน้าที่รองประธานกรรมการผู้บริหารและที่ปรึกษาบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฟรอสเตอร์แทนคนเดิมที่เขาไล่ออกเป็นคนแรกจนทำให้ เทรเวเลียนไม่พอใจเป็นอย่างมากมาจนถึงตอนนี้ แต่ชื่อของแคร์ริงตันปิดปากเขาไว้
ไม่มีใครไม่รู้จัก เอ็ดเวิร์ด แคร์ริงตัน ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงสังคมนิวยอร์ก ครอบครัวของแคร์ริงตันร่ำรวยมาแต่เดิม ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินอเมริกาเป็นกลุ่มแรกๆ ก่อนพวกวินสตัน-รอสส์ ลุงของเขาเป็นวุฒิสมาชิกในสภาคองเกรส มีญาติบางคนเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน เขามีบริษัทวิศวกรรมไฟฟ้า โรงงานผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้า รองเท้า สินค้าอุปโภคบริโภคหลายอย่างและเริ่มเปิดห้างสโตร์สินค้าขนาดใหญ่ขายสินค้าหลากหลายชนิดทั้งที่ผลิตในนิวยอร์ก เมืองใกล้เคียงและนำเข้ามาจากประเทศฝั่งยุโรป ต้อนรับลูกค้าทุกชนชั้นตั้งแต่พวกคนรวย ชั้นกลางและชั้นล่างอย่างเท่าเทียมกัน
สตรีทุกคนที่เป็นลูกค้าถูกเรียกอย่างให้เกียรติเท่าเทียมกันว่าเลดี้ หรือ ‘สุภาพสตรี’
การเข้ามาของเอ็ดเวิร์ดทำให้หลายคนที่เปิดปากจะคัดค้านในตอนแรกทำได้ไม่เต็มที่นักเมื่อฌอน วินสตัน-รอสส์ไล่คนเก่าหลายคนที่ทำงานมาหลายปีออกไปและจ้างคนหน้าใหม่หลายคนเข้ามาแทนทันที พร้อมกับเปิดบริษัทนายหน้าและรับทำโฆษณาเพิ่ม ยอดโฆษณาจำนวนมากที่มาจากกิจการของพวกแคร์ริงตันในตอนแรกรวมกับยอดขายหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนทำให้กรรมการบริษัทปิดปากเงียบกริบในที่สุดเมื่อหุ้นฟรอสเตอร์ในตลาดเพิ่มสูงขึ้น
ฐานอำนาจของฌอน วินสตัน-รอสส์มั่นคงอย่างรวดเร็วยังความไม่พอใจให้กับกลุ่มกรรมการเก่าของบริษัทที่เคยมีนอกมีในจำนวนหลายคนเมื่อลูกน้องที่เคยทำงานให้ต้องถูกลอยแพจนเหมือนคนทุพพลภาพ
“ถ้าคิดจะเล่นข่าวนี้จริงๆ เราต้องวางเส้นสายคนในพื้นที่กับผูกมิตรทุกฝ่ายไว้ให้มากในที่สุดผมคิดว่าพวกเขาจะช่วยเราทำข่าวเอง” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยเสียงขรึม
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราเป็นสื่ออิสระที่ไม่ได้อิงกับพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันชัดเจนเพราะฉะนั้น--”
“เราเคยอิงกับรีพับลิกันมานานถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระ ตอนนี้ยิ่งน่าจะต้องอิงมากขึ้นถ้าไม่เป็นเพราะเราปลดคนงานบางตำแหน่งออกไป” เทรเวเลียน เอ่ยขัดประธานในที่ประชุมพลางหันไปสบตากับเอ็ดเวิร์ดเพราะรู้ว่าญาติของรองประธานและที่ปรึกษาบรรณาธิการผู้นี้เป็นใคร
“ผมสนับสนุนเจตนารมณ์ของฌอน เราเป็นหนังสือพิมพ์อิสระที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์ก ถ้าเราเลือกข้างจะทำให้ความเชื่อถือของเราลดลง” รวมถึงอำนาจต่อรองในมือด้วย คนพูดละไว้เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะเอ่ยในที่นี้ กล่าวต่อนุ่มนวลไว้หน้าคนพูด “สื่อส่วนใหญ่เป็นของพวกพรรคการเมืองอยู่แล้ว เรายิ่งต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน”
“และผมจะขอบคุณมากในครั้งหน้าถ้าคุณอารอให้ผมพูดจบก่อนจะแทรกขึ้นมา” น้ำเสียงห้าวท่านประธานนิ่งสนิทผิดกับนิสัยขี้เล่นในเวลาปกติทำให้คนฟังร้อนๆ หนาวๆ ไม่กล้าตอบโต้รุนแรงแม้จะหน้าแดงเพราะความโมโหรู้ว่าเวลาแค่สามสี่เดือนทำให้สายตาของพนักงานและผู้บริหารเดิมที่มองไอ้หนุ่มคนนี้เปลี่ยนไปมากขนาดไหน
มันรู้มากจนน่าโมโห และน่าโมโหมากขึ้นเมื่อดันรู้จริงไปเสียทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นความลับอันน่าละอายที่หลายคนอยากเก็บเอาไว้เป็นความลับตลอดไปหรือจนกว่าจะไม่จำเป็นอีก
ท่านประธานคนใหม่เอ่ยถึงสาเหตุที่ไล่แต่ละคนออกละเอียดยิบพร้อมหลักฐานความไม่ซื่อสัตย์ ไปจนถึงการประพฤติผิดศีลธรรม การรับสินบนและการนั่งเทียนเขียนข่าวตามที่ถูกว่าจ้างมาอย่างไม่ไว้หน้าใคร เขาอาจจะยังเป็นเพลย์บอยคนเดิมในสายตาของใครหลายคน แต่ความคิดที่ว่าไอ้หนุ่มเสเพลคนนี้ทำงานไม่เป็นตามที่เทรเวเลียนเคยฝังหัวคณะกรรมการทั้งหลายเอาไว้ถูกลบล้างออกไปจนเจ้าตัวเองแทบไม่เหลือเครดิต
“ผมไม่ได้คาดหวังการทำงานในแบบอุดมคติจนมีปัญหากับคนที่ไม่ควรมีถ้าไม่จำเป็น แต่ฟรอสเตอร์จะต้องพยายามเป็นหนังสือพิมพ์ที่บันทึกประวัติศาสตร์ของอเมริกาอย่างเที่ยงตรงที่สุดไม่ว่าด้านไหนเวลาที่ลูกหลานในอนาคตของเรามองย้อนกลับมาเห็นงานที่พวกเรากำลังทำ ผมจะไม่ยอมรับการเขียนข่าวขึ้นมาเองหรือการซื้อข่าวมาจากพวกสื่อหัวเล็กที่มีนายทุนหรือนักการเมืองอยู่ข้างหลังเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามเว้นแต่จะเป็นเรื่องจริงหรืออย่างน้อยก็ถูกบิดเบือนน้อยที่สุด ถ้ามีคณะกรรมการคนไหนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ผมยินดีซื้อหุ้นที่พวกคุณถืออยู่กลับมาเป็นของฟรอสเตอร์”
“ผมเองก็ยินดีรับซื้อเพราะฌอนแบ่งให้ไม่มาก” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยขึ้นขันๆ ทำให้หลายคนที่นั่งตัวแข็งกลอกตาไปมาเพราะแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ไม่อยากเสียหุ้นที่มีมูลค่าสูงขึ้นทุกทีออกไปเหมือนกัน ขณะหลายคนซึ่งมีมากกว่าและอยู่ข้างท่านประธานหัวเราะขลุกขลักในลำคอหรือกลั้นยิ้มเสมองภาพเขียนประดับฝาผนัง
“ระหว่างที่ผมไม่อยู่ เอ็ดเวิร์ดกับพ่อจะทำหน้าที่แทน นักข่าวที่ลงพื้นที่จะส่งโทรเลขข่าวกับกำหนดการของเขากลับมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วจะกลับมาประชุมทุกสามหรือสี่เดือนถ้าไม่ติดขัดอะไร…”
การประชุมดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเข้าประเด็นทั้งหมดที่จำเป็นอย่างฉับไวได้อรรถรสแม้จะเป็นการโต้เถียงเมื่อมีความเห็นที่ขัดแย้ง ต่างจากสมัยของดันแคนผู้สุขุมเยือกเย็นและนุ่มนวลกว่าหากนิสัยของคนเป็นพี่ยังรวมไปถึงความขี้เกรงใจของเขาทำให้การประชุมมักกินเวลาเนิ่นนานกว่าที่กำหนดเอาไว้ทุกครั้งและบ่อยครั้งต้องนำเรื่องเดิมขึ้นมาถกเถียงกันใหม่ไม่รู้จบ
ส่วนคนน้องประชุมเสร็จก่อนเวลาและได้งานมากกว่าเพราะเขาจะไม่เสียเวลากับคนที่อ้ำอึ้งโดยไม่มีข้อมูลที่หนักแน่นมาโต้แย้ง แต่จะเป็นคนตัดสินใจให้เองจนคนที่เคยเจอประสบการณ์นี้มาแล้วต้องเตรียมตัวมาอย่างดีในครั้งถัดมาเพราะไม่อยากเสียท่าท่านประธานหน้าตายอารมณ์ครื้นเครงที่พกนิสัยเด็ดขาดไม่เข้ากับลักษณะภายนอกติดตัวมาด้วย นิสัยส่วนตัวของเขาก่อให้เกิดความกระตือรือร้นเกินปกติในองค์กรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทุกคนออกจากห้องประชุมเหลือแต่ฌอนกับเอ็ดเวิร์ดโดยมีวิศวกรจากบริษัทที่ทั้งคู่ลงหุ้นกันนำเครื่องมือที่จำเป็นเข้ามาเพื่อให้นักข่าวกิตติมศักดิ์นำติดตัวไปทำงานในตะวันตก
“นายคิดว่าจะต้องลงไปนานขนาดไหน” เอ็ดเวิร์ดถามเมื่อทั้งคู่กำลังทดลองกล้องตัวใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่ากล้องโดยทั่วไปสามารถพกติดตัวได้โดยไม่ยุ่งยากมากและยังไม่มีขายในท้องตลาด กับอุปกรณ์พกพาทันสมัยอีกหลายอย่างที่จำเป็นซึ่งจะช่วยให้งานง่ายขึ้นโดยเฉพาะชุดติดตั้งเครื่องส่งโทรเลขไร้สายที่จะนำไปใช้ในสำนักงานที่นั่น เป็นเครื่องมือที่ยังไม่มีใครคิดค้นขึ้นมาในยุคสมัยนี้ซึ่งจะทำให้พวกเขานำหน้าคู่แข่งไปหลายก้าว
“ตามข่าวที่โจ เบรดีบอกมาฉันคิดว่าคงใช้เวลานาน อาจจะกินเวลาอย่างน้อยสองหรือสามปีกว่าเรื่องจะจบลงจริงๆ ซึ่งคงไม่ใช่แค่สองสามปีข้างหน้า”
“นายแน่ใจหรือว่าจะลงพื้นที่ไปกับมิลตัน(5)ไอ้หนุ่มครึ่งชาติคนนั้นแค่สองคนน่ะ”
เอ็ดเวิร์ดเอยชื่อรอย มิลตันชายครึ่งชาติที่มีแม่เป็นอินเดียนแดงเผ่าไชย์แอนน์เหนือและมีพ่อเป็นคนขาว ครอบครัวของพวกเขาถูกฆ่าตายหมดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ลำน้ำแซนด์ครีกในปี ๑๘๖๔ ซึ่งชาวอินเดียนแดงที่เป็นเด็กและผู้หญิง ๑๐๕ คนและผู้ชาย ๒๘ คนถูกสังหาร มิลตันหนีรอดออกมาได้เมื่ออินเดียนแดงเผ่าไชย์แอนน์และอะราปาโฮถูกขับไล่ออกจากดินแดนโคโลราโดโดยทหารและผู้ตั้งรกรากผิวขาวในครั้งนั้น
“สองคนไม่ยุ่งยาก มิลตันเป็นนักแกะรอยที่เก่งมาก เขาพูดภาษาอินเดียนแดงได้หลายเผ่าโดยเฉพาะเผ่าซูบางสาขา พูดภาษาอังกฤษได้ดี เป็นล่ามให้ฉันได้ตอนที่ต้องเข้าไปพบพวกอินเดียนแดงกับผู้นำเผ่า”
“ฉันกลัวนายจะมีอันตรายนะสิ พวกนั้นอาจจะฆ่านายตั้งแต่เห็นว่าเป็นคนผิวขาว นายคงไม่ได้ตัวติดกับมิลตันยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่”
“ฉันไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอกน่า รอยสอนให้ฉันพูดภาษาอินเดียนแดงได้หลายคำแล้ว”
“นายแน่ใจหรือว่าอยากทำอย่างนี้ ฟรอสเตอร์จะมีศัตรูมากขึ้นโดยเฉพาะนักการเมืองกับนายทุนถ้าเราเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่เข้าข้างพวกนั้นอย่างที่คนเชื่อไปแล้วว่าอินเดียนแดงโหดเหี้ยมเป็นศัตรูกับคนขาว การขัดเส้นทางของผลประโยชน์ระดับนี้มีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี” เอ็ดเวิร์ดถามเพราะเคยพบและได้ฟังโศกนาฏกรรมเรื่องของอินเดียนแดงจากโจ เบรดี อดีตนายทหารคนสนิทของพันตรีวินคูป หรือที่พวกอินเดียนแดงเรียกว่า ‘หัวหน้าร่างสูง’ ผู้เคยดูแลป้อมลีออนและมีความเห็นอกเห็นใจอินเดียนแดงจนถูกสั่งย้ายเพราะทำให้นายทหารระดับสูงที่มีผลประโยชน์ร่วมกับนายทุนไม่พอใจรวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับชะตากรรมร้ายแรงที่อินเดียนแดงต้องประสบจากมิลตัน
รอย มิลตัน ใช้ชีวิตก้ำกึ่งอยู่ระหว่างคนขาวและอินเดียนแดงในปัจจุบันเขาเป็นชาวไร่ปศุสัตว์เหมือนบิดาคนขาวซึ่งยังมีชีวิตอยู่และเป็นพรานล่าสัตว์ด้วย ชายหนุ่มแวะเวียนไปเยี่ยมญาติพี่น้องชาวไชย์แอนน์และถามหาข่าวอยู่เสมอคอยเป็นล่ามช่วยเหลือคนที่รอดชีวิตหลังจากสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปจากเหตุการณ์สังหารหมู่
“นายเกิดกลัวขึ้นมาหรือไง”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้กลัวแบบนั้น” เอ็ดเวิร์ดทำหน้าปั้นยากเพราะเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว “แต่พวกเราเป็นนักธุรกิจอาชีพอย่างเราต้องมองหาผลกำไรไม่ใช่สร้างศัตรู”
“ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไง ขายข่าวที่กำลังเป็นข่าวฮอตแห่งปีที่คงไม่จบลงง่ายๆ พอเศรษฐกิจซบเซาเพราะคู้ค ล้มละลายนายก็เล่นข่าวทางนี้ นายเดาไม่ได้แน่ว่าเราจะได้ข่าวอะไรอีกมากจากการลงพื้นที่ไปหาเจ้าถิ่น เราจะขยายสาขาของฟรอสเตอร์ไปยังจุดยุทธศาสตร์ของเมืองที่ฉันเดินทางไป แถมยังมีคนช่วยทำงานทั้งสองทางอีกต่างหาก”
“ฉันไม่เข้าใจ” คนที่ใครต่อใครคิดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของท่านประธานและธุรกิจมหาศาลของแคร์ริงตันขมวดคิ้วมุ่น “เราจะขยายสาขาฟรอสเตอร์ได้ยังไงโดยไม่ซื้อเครื่องพิมพ์กับจ้างคนที่มีความชำนาญถ้าทำแบบนั้นก็ต้นทุนสูงไม่ใช่เล่น แล้วใครจะมาช่วยเราทำงาน ฉันมองเห็นแต่คนที่จะมาสร้างปัญหา”
“จำไม่ได้หรือไงว่าเราเพิ่งได้นักข่าวที่น่าจะเป็นบรรณาธิการรุ่นใหม่ไฟแรงมาด้วยสามคน”
“ก็ใช่” เอ็ดเวิร์ดเบ้หน้า เขาเป็นคนสัมภาษณ์พวกนั้นกับฌอนด้วยตัวเอง และจ้างเข้ามาทำงานได้เกือบจะครบสามเดือนแล้ว “พวกนั้นเพิ่งเรียนจบได้ไม่นานแต่เคยผ่านงานมาสองสามปี นายให้คัดเลือกคนมีอุดมการณ์ที่น่าจะไว้ใจได้ มีโอกาสน้อยที่จะขายวิญญาณให้พวกนายทุนหรือนักการเมือง แถมยังฉลาดมากพอ เทรเวเลียนแอบไปบ่นกับคณะกรรมการบริษัทว่าเรามีคนเยอะเกินตำแหน่งงาน อาเฮนรีของนายกลัวว่านายจะไล่คนของเขาที่เหลือออกหมด”
“ฉันไล่คนที่คิดว่าจำเป็นต้องไล่ออกหมดแล้ว สามคนนี้จะต้องเดินทางไปทำงานที่ตะวันตกพรุ่งนี้พร้อมวิศวกรของเรา พวกเขาจะประจำอยู่ที่สำนักงานเพื่อเขียนข่าวกับหาข่าวในเมืองเพราะฉันให้มาร์ตินเดินทางล่วงหน้าลงไปติดต่อสำนักพิมพ์เล็กในเมืองที่จะเดินทางไปถึงเอาไว้แล้วสามที่ อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ที่ฉันจะลงไปทำข่าวได้เกือบทั้งหมด” ฌอนเอ่ยชื่อมาร์ติน สมิธทนายความมือฉกาจและผู้ดูแลผลประโยชน์ของฟรอสเตอร์และแคร์ริงตันในแผนกกฎหมายซึ่งเขาเป็นหัวหน้าและมีลูกน้องอีกหลายคน
ฝีมือการเจรจาว่าความและทำสัญญาของเขาเป็นที่เลื่องลือจนมีแต่คนอยากได้ตัวไปร่วมงานด้วย แต่มาร์ตินเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของฌอนกับเอ็ดเวิร์ดอยู่ในกลุ่มเดียวและสนิทสนมถูกคอกันเกินกว่าจะยอมไปทำงานให้คนอื่น แน่ละว่าค่าจ้างของแคร์ริงตันกับฟรอสเตอร์ที่เขาได้รับก็เย้ายวนใจไม่แพ้กัน
“นายยังไม่ได้บอกฉันเรื่องนี้เลยนะ” คนฟังเดาเรื่องที่เหลือได้เกือบหมด เริ่มคลายคิ้วที่ขมวดเอาไว้
“ก็กำลังจะบอก แต่เขายังเจรจาไม่เสร็จ เพิ่งโทรเลขส่งข่าวมาให้ฉันเมื่อวานนี้เอง เราขอร่วมทุนกับสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่ต้องการได้ทั้งหมด มีอยู่ที่หนึ่งต้องการซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่พอดีพวกนั้นดีใจจะตายที่จะมีคนช่วยแชร์ค่าเครื่องพิมพ์แล้วมีคนลงไปหาข่าวในพื้นที่ ฟรอสเตอร์ใช้เครื่องพิมพ์ไซเรนเดอร์ของริชาร์ด มาร์ช พิมพ์ได้เเปดพันเเผ่น ต่อชั่วโมงเพราะยอดขายที่นี่สูง เเต่ที่เมืองเล็กเราใช้เเค่เครื่องไฮสปีดขนาดเล็กอย่างโฮเพรสแบบต้นทุนต่ำก็พอ”
“หวังว่ากำไรจากค่าโฆษณาจะพอกับเงินลงทุนนะว่าแต่ใครจะช่วยเราทำงาน”
“เราใช้แรงงานคนกับเครื่องพิมพ์ของสำนักพิมพ์พวกนั้นเป็นหลัก นักข่าวห้าคนลงไปในพื้นที่ที่กำลังมีปัญหาเดินทางไปกับล่ามที่เป็นคนครึ่งชาติ มีม้าเร็วคอยส่งข่าวไปให้โรงพิมพ์ส่วนในโรงพิมพ์จะมีคนของเราสามคนเดินทางไปพรุ่งนี้อย่างที่ฉันบอกเข้าไปประจำแค่โรงพิมพ์ละคนในฐานะผู้จัดการดูแลผลประโยชน์ของฟรอสเตอร์กับบรรณาธิการ รวมถึงส่งข่าวขึ้นมาที่นิวยอร์ก ถ้าไม่พอค่อยจ้างคนเพิ่ม”
“มิน่านายถึงให้เตรียมของพวกนี้ไว้สามเครื่อง”
“ใช่ วิศวกรสามคนจะลงไปพร้อมผู้จัดการสาขา ติดตั้งเครื่องโทรเลขไร้สายในแต่ละที่เพื่อส่งข่าวขึ้นมานิวยอร์กทุกวันมาร์ตินประเมินแล้วว่าข่าวที่เราจะขายได้เพิ่มขึ้นในเมืองเล็กๆ มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายกับเงินเดือนของทุกคนรวมกันได้สบายส่วนที่เกินไปเพราะการลงทุนอย่างอื่นคงคืนทุนได้ไม่เกินหนึ่งปี หลังจากนั้นก็เป็นกำไร ถ้ามีลู่ทางมากกว่านั้นเราก็จะขยายกิจการอีก” คนเล่าอธิบายเรื่องการพยายามควบรวมกิจการขนาดเล็กอย่างง่ายๆ
การลงพื้นที่ไม่ใช่แค่ไปหาข่าว แต่สำนักงานของฟรอสเตอร์ต้องขยายสาขาออกไปจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อวางรากฐานให้มั่นคงและสร้างอำนาจต่อรองใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต วิธีที่ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องลงทุนมากและเจ็บตัวน้อยที่สุดก็คือการควบรวมกิจการหรือการเข้าไปมีหุ้นส่วนในสำนักพิมพ์เล็กๆ เหล่านั้นฌอนรู้ว่ายุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่กำลังเกิดขึ้นจะนำความเปลี่ยนแปลงมาอีกมากมาย
เขาไม่รีรอที่จะเข้าจับจองและมีเอี่ยวในกิจการที่ประเมินว่าจะสร้างผลกำไรในอนาคตโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับสื่อและบันเทิงที่จะมีอิทธิพลกับคนหมู่มากโดยที่คนเสพแทบไม่รู้ตัว ข้อได้เปรียบของการที่เขาชอบธุรกิจสื่อก็เพราะงานชนิดที่พวกเขาทำ สามารถมองเห็นอนาคตและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนใคร
“แล้วถ้ามีคนพยายามขัดขวางล่ะ คนที่เสียผลประโยชน์จากการเปิดโปงเรื่องอินเดียนแดง” เอ็ดเวิร์ดยังตั้งข้อกังขา
“พวกนั้นจะเข้ามาหาเราเองต่างหาก”
“นายมั่นใจถึงอย่างนั้นเชียวเรอะ”
“ยิ่งกว่ามั่นใจ ฉันรู้ต่างหาก”
“ฉันกลัวนายจะได้รับอันตรายด้วย วิลเลี่ยมเหลือนายคนเดียวนะ”
“ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า ดีเจก็ยังอยู่ทั้งคน ฝากนายเป็นหูเป็นตาดูแลหลานชายกับพ่อของฉันด้วยก็แล้วกัน”
“ฉันต้องช่วยอยู่แล้ว แต่พี่สะใภ้นายก็อยู่นี่หรือเธอคิดจะแต่งงานใหม่”
ฌอนเหลือบมองคนถามด้วยสายตาที่ทำให้คนถูกมองโหนกแก้มเป็นสีจัด “ดันแคนเพิ่งตายได้ไม่นาน เจนเองก็รู้ว่านายมีเจสสิกาเป็นคู่ขาอยู่ทั้งคน”
“เฮ้ย! ฉันไม่ได้คิดอะไรไม่ดีทำนองนั้น!” รีบเอ่ยแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่หน้าแดงมากขึ้นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นกับมหาเศรษฐีเพลย์บอยอย่างเอ็ดเวิร์ด แคร์ริงตัน ที่มีผู้หญิงอยากแต่งงานกับเขามากมาย แต่ฌอนรู้... แม้ทั้งคู่จะไม่เคยเปิดอกคุยกันถึงเรื่องนี้ว่า ไอ้หมอนี่มันแอบชอบพี่สะใภ้ของเขาอยู่
เจน วินสตัน-รอสส์ แต่งงานกับดันแคนตั้งแต่อายุยี่สิบปีซึ่งถือว่าอายุมากแล้วสำหรับหญิงสาวในยุคเดียวกัน เธอให้กำเนิดดันแคน จูเนียร์ในปีแรก ปัจจุบันเจนอายุยี่สิบเก้าแต่ยังสวยไม่ต่างจากสมัยยังเป็นสาวน้อยหรืออาจจะสวยยิ่งกว่า เธอเป็นผู้หญิงฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมาหัวแข็งพอๆ กับทันสมัยและเกลียดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เป็นกุลสตรีที่รักครอบครัว มาลงเอยกับดันแคนได้เพราะพี่ชายของเขาเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนที่พร้อมจะเข้าใจเธอเสมอ สองหนุ่มสาวมีนิสัยหลายอย่างที่เข้ากันได้ นั่นหมายความว่าผู้ชายเสเพลที่ชอบใช้ชีวิตในสโมสรทุกวันเสาร์ ทั้งดื่มกินและมีเซ็กซ์แบบไม่บันยะบันยังทุกอาทิตย์อย่างเอ็ดเวิร์ดจะทำให้เธอพรั่นพรึงขนาดไหน
เจนเข้ามาช่วยดันแคนทำงานที่ฟรอสเตอร์อาทิตย์ละหลายวันเมื่อดีเจเริ่มโตขึ้นมีพี่เลี้ยงคอยดูแลโดยให้เหตุผลว่าเหงา แต่ฌอนรู้ดีว่าพี่สะใภ้ของเขาเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่อยากทำงานเหมือนผู้ชายเพราะสนใจข่าวสารรอบตัวเดวิด ฟินเชอร์บิดาของเธอเป็นวุฒิสมาชิกในสภาคองเกรสและสนิทสนมกับลูกสาวคนเดียวของตนเพราะภรรยาของเขาจากไปตั้งแต่เจนย่างเข้าสู่วัยรุ่น หญิงสาวจึงได้รับนิสัยของเดวิดมาอย่างครบถ้วน
เธอเข้ามาฝึกงานกับสามีจนได้เป็นบรรณาธิการหัวสังคมและวัฒนธรรมยุโรป-อเมริกัน แต่เขารู้ว่าเธอยังรู้ลึกเรื่องการเมืองและบรรดาสมาชิกพรรคเพราะได้พูดคุยกับบิดาอยู่เสมอ เธอเป็นที่ปรึกษาที่ดี เป็นเพื่อนสนทนาที่ยอดเยี่ยมและเฉลียวฉลาด เสน่ห์ของเจนเป็นธรรมชาติเสียจนมันเปล่งประกายเจิดจรัสโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ทว่าเธอไม่ชอบเล่นหูเล่นตากับชายอื่นและซื่อสัตย์กับดันแคนยิ่งชีพแม้จะรู้ว่าตนเป็นที่สนใจของผู้ชายมากมายทั้งที่เป็นโสดและแต่งงานแล้วซึ่งทำให้เขารู้ว่าเหตุใดเอ็ดเวิร์ดจึงหลงชอบเธออยู่ได้ตั้งหลายปีทั้งที่เพื่อนคนนี้ควรแต่งงานไปนานแล้ว
หลายคนแปลกใจด้วยซ้ำที่เจนเลือกแต่งงานกับดันแคนทั้งที่มีอายุใกล้เคียงกับฌอนและดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมเพียงไม่กี่คนที่ดูจะปราบเขาได้เพราะชายหนุ่มให้ความนับถือเธออย่างแท้จริงซึ่งความแปลกใจนั้นไม่ห่างไกลจากความจริงเท่าใดนัก หากคนที่รู้ดีที่สุดคือหนุ่มสาวทั้งคู่
“ถ้านายไม่ได้คิดไม่ดีก็แล้วไป จำไว้ก็แล้วกันว่านายไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เจนชอบหรอก”
“ผู้ชายอย่างฉันมีอะไรเสียหายตรงไหน เทียบกับดันแคนแล้วเราแทบไม่ต่างกันเลยแล้วอย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ที่ถามนี่เพราะนายมากันท่าฉันเท่านั้นหรอกนะ”
“นายน่ะเรอะ เหมือนดันแคน” ฌอนหัวเราะก๊ากจนหน้าแดง
“ฉันหล่อ รวย อายุก็พอๆ กับพี่ชายของนาย มีอะไรที่สู้เขาไม่ได้” เอ็ดเวิร์ดเถียงหน้าดำหน้าแดง
“ทำไมไม่ลองถามเจนดูล่ะแต่นายบอกเองนะ ว่าไม่ได้คิดไม่ดี”
“เออน่า!” เอ็ดเวิร์ดถอนใจ มองคนที่กำลังนั่งเก็บกล้องส่องทางไกลแบบสองตาที่วิศวกรในบริษัทคนหนึ่งผลิตขึ้นมาแต่ยังไม่มีการจดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการเพราะไม่ใช่ธุรกิจที่พวกเขาสนใจฌอนมองว่าไม่ใช่สินค้าจำเป็นและไม่คุ้มที่จะผลิตออกมาในลักษณะแมสโพรดักส์หรือเป็นปริมาณมากเพื่อขายเหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีกลุ่มลูกค้าสูงกว่ามาก เขาจะรอจังหวะที่ดีที่สุดเพื่อเริ่มต้นธุรกิจซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกเสมอไป แต่รอให้แน่ใจว่าทุกธุรกิจที่ลงมือทำจะต้องประสบความสำเร็จและคุ้มทุนในเวลาอันรวดเร็ว
คุณภาพของกล้องสองตายังไม่สมบูรณ์แต่ใช้งานได้ดีพอแม้จะยังมีปัญหาเรื่องของการปรับกำลังขยายและแสง แต่สามารถขยายได้หลายเท่ากว่ากล้องส่องทางไกลที่เคยผลิตมาเลนส์กล้องใช้รู้ฟปริซึ่มซึ่งมีขนาดกะทัดรัดกว่าเพอร์โรปริซึมตัวกล้องมีลักษณะเป็นทรงกระบอกตรงๆ มีขบวนการทำที่ซับซ้อนยุ่งยากกว่าแบบหลังที่ตัวกล้องจะเป็นหยักคล้ายตัวเอ็น ใช้เนื้อปริซึมเป็นบอโรซิลิเกตขนาดเล็กพอที่จะไม่สร้างความลำบากในการพกพา
ลูกชายคนเล็กของตระกูลวินสตัน-รอสส์เป็นพวกบ้าอุปกรณ์ทันสมัยและอยากเป็นคนเปิดซิงทุกอย่าง
แน่ล่ะว่า...ยกเว้นการเปิดซิงผู้หญิง!
เขามักสนใจอยากรู้ว่ามีการทดลองและค้นพบอะไรใหม่ๆ บ้าง คอยติดตามข่าวคราวพวกนี้เสมอทั้งฝั่งยุโรปและอเมริกา การมีครอบครัวเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์ช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก เมื่อรู้และอยากได้อะไรที่ตนสนใจ ฌอนก็จะให้คนไปขอให้วิศวกรหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบสิ่งนั้นออกแบบอุปกรณ์ที่เขาต้องการมาให้เป็นพิเศษแม้จะอยู่ห่างไกลถึงโพ้นทะเล เรือหลายลำที่พวกเขาใช้ขนสินค้ามาจากฝั่งยุโรปเพื่อนำมาขายในห้างสรรพสินค้าที่นิวยอร์กเคยนำอุปกรณ์หลายอย่างที่ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกมาให้เจ้าของกิจการแล้วหลายครั้ง
“นายจะออกเดินทางเมื่อไหร่แน่ จองรถไฟแล้วใช่ไหม”
“อีกสามวัน ของต้องเอาไปมากหน่อย ฉันให้มอร์ริสจัดการให้แล้ว นายได้ปืนสเปนเซอร์คาร์ไบน์กับปืนพกลูกโม่โคลท์ที่ฉันสั่งไว้ล่วงหน้ามาแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อปืนสเปนเซอร์ ซึ่งเป็นปืนบรรจุกระสุนด้านท้ายมีแม็กหลอดเจ็ดนัดยิงซ้ำได้รุ่นแรกเพื่อใช้ในสงครามกลางเมืองของสหรัฐแทนปืนบรรจุทีละนัดแบบแทร็ปดอร์สปริงฟิลด์ แต่เพราะกองทัพบกสหรัฐต้องการประหยัดงบจากเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามกลางเมืองปืนส่วนใหญ่ที่ทหารใช้จึงยังเป็นอย่างหลัง ส่วนปืนลูกโม่โคลท์เป็นปืนสั้นที่ง่ายกับการพกติดตัว
นอกจากอาวุธร้ายแรงที่ว่ายังมีซิการ์ กาแฟอย่างดี ยารักษาโรค สบู่หอมและสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอีกหลายอย่าง แม้ของหลายอย่างที่ว่าจะมีปริมาณมากเหมือนจะเตรียมไปให้คนสักร้อยคนอยู่เป็นเดือนๆ จนต้องเหมาตู้รถไฟทั้งตู้แทนที่จะเป็นการนำไปใช้ส่วนตัวกับพวกนักข่าวที่เดินทางลงพื้นที่ล่วงหน้าไปก่อน
“ของมาส่งแล้ว นายจะเอาไปทำอะไรตั้งหลายสิบกระบอกเจมส์ต้องยัดเงินขนส่งเหมาตู้รถไฟเพราะเราเป็นแค่พลเรือน ไม่งั้นพวกนั้นคงไม่ยอมให้ขนไปง่ายๆ”
คนฟังยิ้มกริ่มสีหน้าชื่นมื่น “เอาไปเป็นของขวัญถ้าไม่มีปัญหาก็อย่าบ่นเลยน่า เดี๋ยวฉันต้องการเพิ่มเมื่อไหร่จะแจ้งขึ้นมา”
“ยังจะมีเพิ่มอีกเรอะ!” เอ็ดเวิร์ดทำหน้าตกใจ
“น่าจะเป็นอย่างนั้น เราสั่งมาเป็นตัวแทนขายอยู่แล้วนี่ ถ้านายกลัวหาไม่ทันจะซื้อมาเก็บสำรองเอาไว้เลยก็ได้สั่งมาอย่างละสิบกระบอกทั้งปืนแบบชาร์ปส์ เรมิงตัน โรลลิ่งบล็อควินเชสเตอร์ 1866 สมิธ แล้วก็บัลลาร์ดด้วย” อีกฝ่ายร่ายยาวถึงรุ่นปืนสมัยใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมในท้องตลาด และมีงานอดิเรกคือการยิงปืน
ฌอนเคยลงไปตะวันตกเมื่อหลายปีก่อนกับรอย มิลตันเพื่อตระเวนไปทั่วท้องทุ่งกับพวกอินเดียนแดง ใช้ชีวิตและล่าสัตว์กับพวกนั้นเป็นเวลาสองเดือนครั้งหนึ่ง และหนึ่งเดือนอีกครั้ง ซึ่งเอ็ดเวิร์ดคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการที่เพื่อนรักของเขาอยากลงไปทำข่าวคนพื้นเมืองสู้กับทหารคนขาว
“นายจะลงไปทำข่าวหรือไปทำสงครามกันแน่”
“ก็บอกแล้วว่าจะเอาไปเป็นของขวัญ” ตอบอย่างไม่ยี่หระ สั่งให้คนบรรจุของใส่กระเป๋าสะพายหลังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ มีช่องเก็บหลายช่องให้ง่ายกับการเดินทางที่ต้องการพกพาเฉพาะข้าวของจำเป็นเมื่อต้องลงไปในพื้นที่ด้วยการใช้ม้าเป็นพาหนะหรือเดินเท้าเมื่อจำเป็น
ชายหนุ่มกลับถึงบ้านก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะมีงานเลี้ยงที่เขาต้องไปกับเจนที่บ้านพ่อของเธอ วุฒิสมาชิกเดวิด ฟินเชอร์ ฌอนอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดเดรส โค้ท คือสูทหางยาวสีดำเช่นเดียวกับสีเสื้อกั๊กด้านใน ผูกโบสีขาวสีเดียวกับเสื้อเชิ้ตสำหรับตอนค่ำ เดินทางโดยใช้รถม้าร่วมกับเจนผู้แต่งชุดราตรีสีม่วงมีคนขับทำหน้าที่แทนเพราะต้องนั่งเป็นเพื่อนคุยกับพี่สะใภ้ของตนเอง
“พ่อเป็นห่วงมากตอนที่รู้ว่าคุณจะเดินทางไปทำข่าวในตะวันตก” เจนชวนคุย
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”
“มีข่าวลือหนาหูจากพวกตั้งรกรากน่ะสิคะ ว่ามีทองในแบล็คฮิลล์มากมาย นักขุดทองเริ่มเดินทางไปที่นั่นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนายทุนเองกำลังหาทางให้รัฐบาลส่งทหารเข้าไปอำนวยความสะดวกกับคุ้มครองพวกเขาอีกไม่นานอาจจะกระทบกระทั่งกับเจ้าถิ่นยิ่งกว่านี้”
“ผมได้ยินเรื่องนั้นมาแล้วเจน”
“ฉันคิดว่าคุณรู้อยู่แล้ว แต่พ่อเกรงว่าคุณจะมีอันตราย เราเพิ่งเสียดันแคนไป” เสียงของเธอเศร้าสร้อยลงเมื่อพูดถึงสามีผู้ล่วงลับ “คุณไม่ลงไปที่นั่นไม่ได้เหรอคะ ฌอน”
“ผมตัดสินใจที่จะเป็นนักข่าวเพราะดันแคนรักฟรอสเตอร์มาก ข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่เราได้รับเกี่ยวกับชนพื้นเมืองแทบไม่มีความจริงหลงเหลืออยู่เลย”
“เรื่องนี้สำคัญกับคุณมากหรือคะ”
“รอยเคยสอนให้ผมล่าสัตว์ ผมเคยใช้ชีวิตอยู่กับคนพวกนั้น รับฟังความเชื่อของพวกเขา สำหรับผมแล้วอินเดียนแดงเป็นกลุ่มชนที่งดงามและศิวิไลซ์ยิ่งกว่าคนขาวที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีอารยธรรมสูงกว่า ผมไม่อยากต้องทนมองพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์โดยไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ทั้งที่รู้ว่าผมพอจะทำอะไรได้บ้าง”
“บางทีเรื่องอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คุณคิดก็ได้นะคะฌอน”
“กลัวแต่ว่า เรื่องจะเลวร้ายยิ่งกว่าที่ผมคิดนะสิ เจน”
“แล้วคุณจะทำอะไรให้พวกเขาได้ล่ะคะ คุณอาจจะร่ำรวยมาก แต่คุณสู้กับกองทัพแล้วก็พวกนายทุนที่อยากริบผืนดินของอินเดียนแดงไม่ไหวพวกนั้นโลภมากขนาดไหนคุณก็รู้”
“ผมรู้ ก็แค่ทำสิ่งที่เราทำได้”
เจนเงียบไป มองน้องชายของสามีที่เป็นเหมือนเพื่อนรักของเธอด้วยสีหน้าไม่เป็นสุขนัก
คนทั่วไปมองว่าคันแคนเป็นด้านสว่างของครอบครัววินสตัน-รอสส์และมองฌอนเป็นด้านมืดซึ่งมุมหนึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงนักน้องชายคนเดียวของสามีเป็นผู้ชายบ้าระห่ำไม่เหมือนพี่ชาย เขาไม่แคร์กฎเกณฑ์ใดๆและรู้วิธีที่จะทำให้ตนเองรอดพ้นจากความผิดได้ในทุกกรณี เขาเป็นผู้ชายที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เธอรู้จักมา
ฌอนเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ทั้งยังประพฤติตนได้ไม่ต่างจากซาตานกับคนที่พยายามทำร้ายหรือเบียดบังผลประโยชน์ของเขา แต่เธอรู้ว่าเขาสามารถเป็นคนดีที่สุดได้ในอีกด้านเช่นเดียวกันและไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาก็เป็นครอบครัวของเธอ
“ฉันห้ามคุณไม่ได้ใช่ไหม”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง อย่าห่วงผมเลยเจน คุณมีหน้าที่ดูแลดีเจ แต่ช่วงนี้ผมต้องฝากพ่อกับบริษัทให้คุณช่วยดูแลด้วย มีอะไรคุณก็ปรึกษากับเอ็ดเวิร์ดได้ เขาจะตัดสินใจทำสิ่งที่ดีที่สุดแทนผมได้ทุกอย่าง”
“เพื่อนของคุณคนนั้นน่ะเหรอ” สีหน้าของเจนไม่สบอารมณ์นัก ทำให้ฌอนต้องหัวเราะ
“เขาเป็นคนดี ถึงคุณจะเห็นว่าเขาเสเพลแค่ไหนก็เถอะ”
“ถ้าคุณเชื่อใจเขา ฉันก็จะเชื่ออย่างนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ฉันไม่คิดว่าจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องอะไรกับเขาหรอกนะฉันเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ช่วยสามีดูแลงานของเขามาตั้งนาน”
“คุณไม่มีวันรู้หรอกน่า ปีนี้พ่อแก่ลงมาก ผมเองก็คงไม่ได้กลับบ้านบ่อยๆ คราวนี้คุณก็จะได้ทำงานเต็มตัวอย่างที่เคยหวังไงล่ะ”
“ฉันไม่อยากให้คุณไปเลย” เจนยังคงโอดครวญแม้จะรู้ว่าไม่มีผลกับคนฟังถึงเขาจะยิ้มรับด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจขนาดไหนก็ตาม
ความคิดเห็น