คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 ทายาทสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์ 31 - 60 %
ชายหนุ่มไม่คิดสานสัมพันธ์เพราะเธอคือลูกสาวของสมาชิกพรรครีพับลิกันคนสำคัญที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฟรอสเตอร์ ครั้งแรกจึงผ่านไปอย่างไร้ความหมายแค่ต่างคนต่างได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน
แต่เธอเป็นพวกชอบเอาชนะ พวกเขาพบกันในงานสวมหน้ากากครั้งต่อมาเมื่อชายหนุ่มเข้าไปเดินเล่นในสวนซึ่งหนุ่มสาวที่มาร่วมงานบางคู่อาจจะแอบออกมาเดินเล่นคลอเคลียเพื่อพลอดรักหรือทำอะไรที่มากกว่านั้น
คืนนั้นเขาค่อนข้างเมาเลยออกไปเดินสูดอากาศสดชื่นในสวนหากได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายเสียงครางกระเส่าของชายหญิง กระนั้นก็ยังนั่งมึนอยู่นานจนเสียงเงียบหายไปเลยคิดจะกลับเข้าไปข้างในเพราะไม่อยากกวนใคร แต่อึดใจต่อมาก็เห็นเพื่อนของตัวเองเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ในสภาพไม่เรียบร้อย
‘ราล์ฟ’
‘ฌอน นายออกมาทำอะไรที่นี่’ ราล์ฟ แอสต์ลีย์ หนึ่งในเพื่อนเสเพลที่คุ้นเคยกันดีในกลุ่มรีบกลัดกระดุมเสื้อ ‘อย่าบอกนะว่าเธอเรียกนายมารอต่อคิว’
‘ต่อคิว?’ คิ้วเข้มย่นเข้าหากันอย่างงุนงงเพราะสติไม่ได้อยู่กับตัวเต็มร้อย แต่หัวเราะเมื่อเริ่มเข้าใจ ลดเสียงลงตามมารยาท ‘นายไม่เอาไหนจนเธอต้องเรียกคนอื่นมาต่อคิวเชียวเรอะ’
‘ฉันน่ะปกติ’ ราล์ฟลดเสียงลงเมื่อยื่นหน้าที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งเข้ามาใกล้ พลางกระซิบสีหน้าชื่นมื่น ‘แต่เธอน่ะร้อนแรงชะมัดผู้ชายคนเดียวไม่เคยพอ’
‘ฉันพอจะรู้จักเธอที่ว่าหรือเปล่า’
‘เดี๋ยวนายก็คงเห็นเอง เธอไม่รังเกียจที่จะให้นายต่อคิวแน่ ฉันต้องเข้าไปข้างในก่อนเดี๋ยวแมรีจะคอย ขอให้สนุกนะเพื่อน’ มือของราล์ฟตบลงบนบ่ากว้างหนักๆ แล้วเดินผิวปากกลับเข้าไปข้างในเพื่อสมทบกับแมรี ซึ่งแมรีที่ว่า ก็คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของราล์ฟเอง
นี่ไม่ใช่การนอกใจครั้งแรกแม้แมรี แอสต์ลีย์ จะเป็นกุลสตรีหน้าตางดงามและมีทายาทให้ราล์ฟแล้วหนึ่งคน
ชายหนุ่มสั่นหน้าให้อาการเมาสร่างลงเพื่อจะเดินกลับเข้าไปบ้างเพราะไม่นึกสนุกกับการต่อคิวใคร แต่สาวน้อยหลังพุ่มไม้โผล่ออกมาก่อน มีแสงไฟจากโคมตะเกียงบริเวณนั้นไม่มากหากคืนนั้นไม่ใช่คืนเดือนมืด เขาจึงเห็นว่าหญิงสาวที่ปรากฏตัวไม่ได้อยู่ในสภาพเรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็นเพราะมือของเธอยังขยุ้มคอเสื้อกว้างด้านบนเอาไว้เหนือทรวงอวบอิ่มที่ดันผลิพุ่งขึ้นมาด้วยคอร์เซ็ตรัดทรงเห็นเต้าขาวผ่องไปแล้วครึ่งหนึ่งกับเอวคอดและสะโพกเต็มตึงที่ถูกรัดเอาไว้แน่น
ร่างกายหนุ่มแน่นในยามนั้นตอบสนองต่อภาพที่เห็นเพราะเป็นช่วงที่ไม่ได้ผ่อนคลายมานานนับเดือน
จูเลีย แครวิตซ์ทำท่าชะงักเหนียมอายเพียงนิดเดียว แต่รีบถลาเข้ามาเมื่อเห็นเขาหันหลังจะกลับเข้าไปในบ้านด้วยการกอดเขาเอาไว้จากด้านหลังแบบที่เขาไม่นึกว่าหญิงสาวลูกผู้ดีมีเงินที่ถูกอบรมจากคอนแวนต์มาอย่างเธอจะทำได้พลางกระซิบบอกเสียงหวานพร่า
‘คุณจะรีบไปไหนคะ’
‘กลับบ้าน คุณไม่ควรกอดผู้ชายแปลกหน้าอย่างนี้นะ มิสแครวิตซ์’
‘ถ้าคุณเป็นคนอื่นฉันก็คงไม่กล้าทำ’
เชื่อสนิทใจเลยแหละ ว่าขี้อาย! ‘คุณเพิ่งมีความสัมพันธ์กับราล์ฟเพื่อนของผม คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเขาแต่งงานมีภรรยาแล้ว’ เสียงห้าวเอ่ยเป็นเชิงตำหนิ
‘ไม่นึกว่าคุณจะถือด้วย ก็ไหนราล์ฟบอกเองว่าคุณเป็นพวกไม่แคร์ศีลธรรม’
เขาไม่เห็นรู้เลยว่าตัวเองชั่วขนาดนั้น! ‘มันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง’
‘อย่ายกเว้นกับฉันเลยนะคะ ฉันไม่ได้สนใจราล์ฟเลย แค่คุยกับเขาเพราะอยากได้ข้อมูลของคุณ’ เธอบอกเสียงอ่อนหวานเหนียมอาย แทนการ ‘หลับนอน’ กับผู้ชายว่าเป็นการ ‘คุย’ ได้เนียน จนถ้าเขาไม่ได้เห็นกับตาอาจจะไม่เชื่อว่าเธอยอมเล่นชู้กับผู้ชายที่แต่งงานแล้วอย่างราล์ฟ
‘คุณต้องการอะไร มิสแครวิตซ์’
‘ผู้หญิงเราจะต้องการอะไรจากผู้ชายไม่แคร์ศีลธรรมล่ะคะ’
‘ผมยังไม่อยากมีเมีย ไม่สนใจจะแต่งงานในอีกห้าปีข้างหน้า ไม่ชอบให้ใครมาแสดงความเป็นเจ้าของเกลียดการผูกมัดผู้หญิงคนไหนที่รู้กฎดีแล้วยังอยากนอนกับผม แต่ใช้เล่ห์กระเท่ห์เพราะหวังอะไรมากกว่านั้นทีหลังล่ะก็... เตรียมตัวรับความซวยทุกรูปแบบเอาไว้ได้เลย’
จูเลียหน้าเหวออย่างตกใจในตอนแรก เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นชายชั่วที่ไม่สนใจจะใช้ความเป็นสุภาพบุรุษฉาบหน้าเอาไว้เหมือนชายโฉดส่วนใหญ่ที่เธอเคยรู้จัก แต่สายตาดิบเถื่อนแรงร้อนที่ดูร้ายเหลือกลับทำให้เธอตื่นเต้นในเวลาต่อมาจนแทบทนไม่ไหวที่จะให้เขามาอยู่ในตัวเธอ
‘โถ ฉันยังไม่ได้เรียกร้องซะหน่อย’ สาวน้อยหัวเราะคิกคัก ดึงมือของเขาให้เดินตามเธอเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ร่างใหญ่ไม่ขัดขืนเพราะรู้ว่าเธอจะเสียหายขนาดไหนและเขาจะตกที่นั่งซวยได้ถ้ามีคนเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยที่เธอไม่ได้อยู่ในสภาพเรียบร้อย จูเลียเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่โดยที่ยังกอดเอวเขาเอาไว้ ‘คุณตัวสูงจัง’
‘ที่บ้านพันธุ์ดีน่ะ ใครๆ ก็บอกงั้น’
‘ฉันชอบมากนะ คุณหล่อจนฉันนอนไม่หลับตอนที่เห็นคุณครั้งแรก’ คนพูดขบปากด้านล่าง จับมือของเขาไปวางเหนือเนินอกนวลเนียนของเธอ ปรือตาหยาดเยิ้มขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าเชิญชวนจนองคาพยพของชายชาตรีตื่นตัวมากกว่าเดิม เธอยังเลื่อนมือลูบสำรวจกายแกร่งด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ‘แสดงให้ฉันเห็นสิคะ ว่าคุณรักกับผู้หญิงยังไง’
‘คุณทำอย่างนี้ทำไม มิสแครวิตซ์’
‘เพราะฉันอยากทำ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับคุณหรอกพ่อซาตาน’
‘โอเค’ เมื่อจุดประสงค์ตรงกันก็ไม่มีอะไรต้องต่อรองอีก เวลาที่อยากปลดปล่อย ผู้หญิงคนไหนๆ ก็ใช้ได้เหมือนกันเกือบทั้งนั้น เขาช่วยเธอแกะเชือกร้อยคอร์เซ็ตอ่อนออกมาอย่างใจร้อน ดึงกระโปรงยาวกรอมเท้าของเธอขึ้นสูงถึงบั้นเอวโดยที่เธอช่วยแกะกระดุมกางเกงและปลดเข็มขัดให้อย่างรู้งาน
ครั้งแรกเป็นไปอย่างรุนแรงเร่าร้อนแทบไม่ต้องมีอารัมภบทเพราะเธอกระซิบว่าพร้อมแล้วและประกบปากจูบเขาก่อนอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากนั้นก็เป็นการเสพสังวาสตามราคะดิบๆ ด้วยความหื่นกระหายล้วนๆ โดยที่เธอตอบสนองอย่างถึงอกถึงใจและเรียกร้องเหมือนคนโลภจัดจนชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นปิดปากที่คอยแต่จะกรีดร้องของมิส แครวิตซ์เอาไว้เขารอจนเธอไปถึงก่อนถึงสองครั้งให้ร่างอวบอิ่มระทดระทวยแทบยืนไม่อยู่จึงกระชากตัวเองออกมาเพื่อปลดปล่อยเชื้อพันธุ์ด้านนอกท่ามกลางเสียงประท้วงขัดใจของเธอ
‘คุณทำแบบนี้ทำไม!’
‘เพราะผมอยากทำ แล้วผมก็ไม่ได้อยากมีลูกกับผู้หญิงคนไหน’
‘สมมุติว่าถ้าฉันไม่ได้นอนกับเพื่อนของคุณล่ะ’
มือใหญ่ตบลงบนแก้มของเธอเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ เปิดรอยยิ้มกว้างหลังจัดเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย ‘ผมไม่ออกความเห็นกับสมมุติเรื่องที่รู้ว่าไม่มีวันเป็นจริง อย่าบอกนะว่าคุณติดใจตั้งแต่ครั้งแรกจนคิดอยากจะจับผมโดยไม่สนคำเตือนมิสแครวิตซ์’
‘คุณมันเลวอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ’ เธอต่อว่าคล้ายไม่พอใจ แต่กลับมองใบหน้าคมเข้มอย่างหลงใหล
‘ท่าทางคุณไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เราเพิ่งทำไปเลยนี่’
‘ฉันมีความสุขมากกว่าทุกครั้ง คุณยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ มิสเตอร์วินสตัน-รอสส์ขอบคุณที่อยู่กับฉันนะคะ’
‘เช่นกัน มิสแครวิตซ์’
คืนนั้นหนุ่มสาวกลับเข้าไปในงานโดยที่เขาให้เธอเข้าไปก่อนตัวเองยืนสูดอากาศสดชื่นยามค่ำคืนอยู่ตรงนั้นอีกนานจึงตามเข้าไปบ้าง ตลอดค่ำคืนที่เหลือเขาไม่ได้หันไปมองเธอแม้แต่ครั้งเดียวแม้จะรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าถูกแอบมองตลอดเวลา เมื่อมีเหตุให้ทั้งคู่ได้คุยกันก็ปฏิบัติอย่างสุภาพเป็นงานเป็นการ จูเลียเองก็วางตัวเหมือนสุภาพสตรีไร้เดียงสาที่เอียงอายจนคนที่เคยเห็นอีกด้านของเธอมาแล้วเกือบหลุดเสียงหัวเราะขัน
เธอมันนักแสดงผู้เข้าถึงบทบาทที่สุดคนหนึ่งซึ่งเขาเคยรู้จัก รับรองว่าเขาจะต้องเชิญเธอมาเล่นในภาพยนตร์ของเขาแน่ถ้าเทคโนโลยีหลายอย่างที่บริษัทกำลังค้นคว้าประสบความสำเร็จ... หนึ่งในความฝันอีกอย่างของเขา
ฌอนรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงสามารถมีจริตมารยาแพรวพราวได้มากขนาดไหนแต่ไม่นึกว่าจะเห็นมันจากสาวน้อยอายุเท่าเธอซึ่งยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ ความจริงวัยของจูเลียสมควรต้องออกเรือนได้แล้ว เขาไม่รู้และไม่เคยรู้สาเหตุที่เธอยังเป็นโสด แต่รู้ว่าเธอเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากหน้าหลายตา
เมื่อมีครั้งแรกก็มีครั้งต่อมาได้ไม่ยาก เขาพบกับเธอในงานเลี้ยงอีกหลายครั้งทุกครั้งทั้งคู่จะหายเข้าไปในสวน มีเซ็กซ์กันอย่างรวดเร็วและกลับเข้ามาในงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฌอนเคยแอบเข้าไปหาเธอที่บ้านโดยมีมอร์ริสนั่งรออยู่ในรถม้าอย่างอดทนและปิดปากเงียบเนื่องจากคุ้นเคยกับพฤติกรรมของเจ้านายดี
ชื่อเสียงของมิสแครวิตซ์ดีเกือบเท่าเดิมจนชายหนุ่มนึกทึ่งเพราะเขาไม่ได้ยินข่าวลือเรื่องของเธอจากใครแม้เรื่องคาวๆ ทำนองนี้จะไม่มีความลับในกลุ่มของหนุ่มเสเพลที่ชื่นชอบเรื่องทำนองเดียวกันที่สโมสรแคร์ริงตัน มีเพียงบางครั้งที่เขามองตาราล์ฟ แอสต์ลีย์อย่างรู้ทันกันในบางครั้งและรู้ว่าจูเลียปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับราล์ฟอีก
รถม้าแล่นไปตามถนนหินปูนค่อนข้างกว้างมีแสงไฟจากโคมไฟขอบถนนซึ่งใช้แก๊สถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ตรงไปสู่สโมสรที่ให้ความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ที่จำกัดไว้สำหรับเฉพาะสมาชิกที่เป็นสุภาพบุรุษในวงแคบใกล้ตลาดหลักทรัพย์ย่านแมนแฮตตันมีแคร์ริงตันเป็นประธานลงขันกับเพื่อนๆ ในวงการธุรกิจ
ฌอนเป็นผู้ริเริ่มออกแนวคิดโดยมีเพื่อนสนิทเป็นหัวหอก แม้ไม่ใช่สถานที่มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดและเคร่งศีลธรรมแบบเก่าอย่างสโมสรยูเนี่ยนหรือเดอะนิก แต่ชายหนุ่มในวงสังคม นายทหารระดับสูงและนักการเมืองของนิวยอร์กที่ต้องการแสวงหาความสำราญผู้ยินดีจ่ายทั้งค่าบริการและค่าธรรมเนียมคลับต่างรู้จักสถานที่แห่งนี้ดี
สโมสรแคร์ริงตันมีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการทั้งสถานที่พักผ่อนพิเศษเฉพาะแขกสำคัญๆซึ่งโดยมากจะเป็นชนชั้นสูงที่เรียกว่ากลุ่มเอลิท อาหารว่าง แอลกอฮอล์ การพนัน เกมบิลเลียด โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีศิลปะในการเอาอกเอาใจอย่างสูงแม้สมาชิกจำนวนมากที่เป็นแขกจะมีครอบครัวแล้ว
ฌอนกระโดดลงจากรถม้าหน้าสโมสรให้พนักงานต้อนรับที่คุ้นหน้ากันดีเข้ามานำรถม้าไปเก็บ
“มิสเตอร์วินสตัน-รอสส์” เด็กหนุ่มเข้ามาโค้งรับสายบังเหียนไปจากมือ
“โทนี เอ็ดเวิร์ดมาหรือยัง”
“มิสเตอร์แคร์ริงตันน่าจะอยู่ชั้นบนกับมิสไบรท์แมนครับ”
ฌอนพยักหน้ารับ เจสสิกา ไบรท์แมน เป็นแม่หม้ายวัยต้นสามสิบที่พาสาวๆ มาทำงานให้พวกเขาจนกลายเป็นพนักงานประจำไปหลายคน เธอยังเป็นหญิงงามเบอร์ต้นของสโมสรแคร์ริงตัน เป็นคู่ขาประจำของเอ็ดเวิร์ดเพราะเพื่อนสนิทของเขาประทับใจกับการดูแลเอาใจใส่และความเชี่ยวชาญที่เธอมอบให้ แต่เจสสิกายังดูแลชายหนุ่มสองสามคนที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษและยอมทุ่มเทให้เธอมากพอ หรือใครสักคนที่เอ็ดเวิร์ดขอร้องในบางโอกาส
มีชายหนุ่มคุ้นหน้ากำลังรับบริการในสโมสรแล้วหลายสิบคนซึ่งเขารู้จักดี ราล์ฟ แอสต์ลีย์นั่งอยู่โต๊ะที่กำลังเล่นไพ่ คาบซิการ์ไว้ในปากและมีแก้วไวน์อยู่ด้านข้างกับสุภาพบุรุษที่มีไพ่อยู่ในมืออีกสามคน สีหน้าเคร่งเครียดกับเกมซึ่งดำเนินไปจนไม่เห็นว่าเขาเข้ามาที่นี่แล้ว
“ฌอน”
“แบรด ไม่นึกว่าจะเห็นนายที่นี่ด้วย” ชายหนุ่มหันไปสบตากับคนที่เอ่ยทักเขาจากด้านหลัง
แบรดลีย์ เทรเวเลียนเป็นชายหนุ่มร่างผอมสูงหน้าตาดีวัยยี่สิบเจ็ดปี อ่อนกว่าเขาเกือบสามปี แต่ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของครอบครัวเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนของฟรอสเตอร์
“ฉันแค่อยากมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ บ้าง”
“แล้วนายได้ประสบการณ์ที่ว่าหรือยังล่ะ” ถามอย่างขบขันเพราะรู้ว่าน่าจะเป็นครั้งแรกที่แบรดลีย์มาที่นี่ตั้งแต่สโมสรแคร์ริงตันเปิดตัวมาได้เกือบสองปี แต่ชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเคยไปเที่ยวยังสถานที่หาความสำราญสำหรับผู้ชายเป็นประจำโดยที่เขาเป็นคนอาสาพาไปเองในครั้งแรก
“คนที่ฉันหมายตาไว้ถูกเอ็ดเวิร์ดหิ้วขึ้นไปแล้ว”
“นายคงหมายถึงเจสสิกา”
“ฉันมาที่นี่เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของเธอจากเพื่อนๆ ว่าเธอสวยมาก แถมยังรู้วิธีเอาใจหนุ่มๆ อย่างพวกเราเป็นพิเศษจริงหรือเปล่า”
“คงอย่างนั้น อยากเล่นไพ่กับฉันหรือเปล่า” ร่างสูงใหญ่เป็นฝ่ายเดินนำไปยังโต๊ะรับรองแขกพิเศษที่ยังไม่เต็มอีกโต๊ะหนึ่งที่มีคนเล่นอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนเงยหน้าทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฌอน ผมหวังอยู่ว่าอาจจะเห็นคุณที่นี่” ชายหนุ่มวัยเกือบสี่สิบปีคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมโต๊ะเห็นเขาก่อนพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง “กำลังอยากพบคุณอยู่ทีเดียว”
“เทอร์เรนซ์ อาเธอร์...” ฌอนนั่งลง ทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสามคนและแนะนำแบรดลีย์ให้ทุกคนรู้จักก่อนจะหันมาหาคนที่อยากเจอเขาซึ่งนั่งอยู่ติดกันเทอร์เรนซ์ ลิลเบิร์นเป็นบรรณาธิการหัวการเมืองและผู้บริหารของสำนักพิมพ์นิวยอร์กทูเดย์ฉบับสำคัญของนิวยอร์กที่อิงพรรครีพับลิกัน “มีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ผมยังไม่ได้แสดงความเสียใจกับคุณเรื่องที่ดันแคนจากไปเป็นการส่วนตัวเลย”
นัยน์ตาสีเฮเซลของคนฟังหมองไปในทันทีเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงพี่ชายที่จากไปยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเพราะโรคร้าย“ขอบคุณ” ตอบเสียงขรึม หันไปสั่งเครื่องดื่มและบอกจำนวนเงินที่ต้องการแลกชิปกับพนักงานสาวประจำโต๊ะที่เข้ามาก้มลงถามอย่างนอบน้อม
“คงไม่เสียมารยาทใช่ไหมที่จะคุยเรื่องธุรกิจตอนนี้” ลิลเบิร์นเอ่ย แต่สายตาเหลือบมองแบรดลีย์อย่างสนใจ
“ตามสบาย คุณอยากคุยเรื่องอะไรล่ะ”
“ดันแคนจากไปแล้ว ผมพอรู้มาว่าพ่อของคุณสุขภาพไม่ค่อยดีความเชื่อมั่นของฟรอสเตอร์สั่นคลอนไปมาก”
“พ่อคงยังไม่ตายง่ายๆ อาจจะทำงานหนักมากไม่ได้เท่านั้นเองผมไม่เคยได้ยินข่าวว่าฟรอสเตอร์สั่นคลอนคุณไปเอาข่าวลือพวกนั้นมาจากไหน” ชายหนุ่มตอบเสียงเอื่อย กดรอยยิ้มมุมปากอย่างไม่เดือดร้อนมองลิลเบิร์นด้วยสายตาคมปลาบเป็นประกายเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็ว
“ความเชื่อมั่นจะกลับมาเพราะมิสเตอร์เทรเวเลียนคนนี้จะขึ้นมาเป็นประธานแทนหรือเปล่าผมทราบมาว่าคุณเป็นลูกชายของเฮนรี เทรเวเลียนหุ้นส่วนที่ใหญ่รองลงมาจากพวกวินสตัน-รอสส์”
คนที่ถูกพาดพิงชะงัก เงยหน้าขึ้นมองลิลเบิร์นและหันกลับมามองฌอนด้วยสีหน้าไม่สบายใจเพียงนิดเดียวก่อนจะกระแอมกลบเกลื่อน ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องความคาดหวังของพ่อที่เป็นตัวตั้งตัวตีหวังให้เขาเข้ารับตำแหน่งประธานผู้บริหารของฟรอสเตอร์ “พ่อบอกว่าต้องเอาเรื่องเข้าที่ประชุมพรุ่งนี้เช้าก่อนน่ะครับ นายจะไปด้วยใช่ไหมฌอน”
คนถูกถามรับคำในลำคอ ดึงซิการ์ขึ้นมาจุดสูบเมื่อเจ้ามือที่อยู่หัวโต๊ะเริ่มแจกไพ่ในเกมใหม่เหมือนมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจยิ่งกว่า แต่ยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นตอบหลังจากที่จุดไฟติดและได้รับไพ่ของตัวเองมาเปิดดู “ก็อย่างที่แบรดบอกนั่นแหละเทอร์เรนซ์เดี๋ยวเราก็เลือกตั้งประธานคนใหม่ แต่งานตอนนี้ยังทำต่อไปตามปกติ”
“ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวข้างนอกได้ไหม”
“รอให้ตานี้จบก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตอบรับ หลุบเปลือกตาลงมองไพ่ที่ได้รับด้วยสีหน้าสดใส อมยิ้มมุมปากนิดๆ เหมือนคนไม่มีความทุกข์เมื่อชวนเพื่อนร่วมโต๊ะคุยเรื่องอื่นอย่างออกรสระหว่างที่เกมดำเนินไป
แต่ถึงจะจบเกมนั้นโดยที่คนชวนคุยเป็นคนชนะ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมลุกออกจากโต๊ะและเล่นต่อในเกมที่สองและสามโดยกินเรียบทุกตาราวกับไม่สนใจคุยแม้ลิลเบิร์นจะเริ่มมองมาด้วยสีหน้าเหมือนคนที่กำลังใช้ความอดทนหากยังปิดปากนิ่ง พอเริ่มแจกไพ่เกมที่สี่สีหน้าของเขาก็เริ่มควบคุมไม่อยู่
ฌอนสั่งเหล้าใหม่เป็นครั้งที่สอง ส่งเสียงหัวเราะกับโจ๊ กแนวเสียดสีที่อาเธอร์นายธนาคารซึ่งทำหน้าที่เจ้ามือด้วยเป็นคนเล่า โดยมีเขาและไซมอน แคลนซี นักการเมืองวัยกว่าสี่สิบปีในพรรคเดโมแครตเป็นคนรับมุกอย่างเฮฮา
“คุณตั้งใจจะทำให้ผมเสียสมาธิใช่ไหมเนี่ยฌอน เดือนก่อนตอนคุณมาผมก็เสียตั้งมาก” อาเธอร์บ่นเมื่อเริ่มแจกไพ่ หากสีหน้าไม่ได้เดือดร้อนใจเหมือนที่พูด
“คนรวยขนาดคุณ แบ่งๆ ให้คนอื่นใช้มั่งก็ได้น่า”
“เป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดี แต่นี่เศรษฐกิจแย่ เงินเฟ้อไปหมดเพราะสงคราม ยิ่งเยอรมันรบชนะแบบนี้...” อาเธอร์เงียบไปแล้วถอนใจยาว เปลี่ยนเรื่องกะทันหันเพราะไม่อยากเครียด “คุณมานั่งทีไรทำผมดวงตกทุกที นี่ถ้าผมไม่ได้ชอบคุณมากขนาดนี้คงย้ายโต๊ะหนีไปแล้ว”
“คุณไม่ใจเสาะขนาดนั้นหรอกน่าตกลงว่ามาตราทองจะมีผลใช้เมื่อไหร่”
“เร็วๆ นี้ จักรวรรดิเยอรมันจะใช้สกุลเงินมาร์ก ส่วนของเราจะออกเหรียญทองกษาปณ์เรียกว่าอีเกิ้ล แต่มีข่าวไม่ดีมากเรื่องธนาคารของเจย์ คู้ค แอนด์ คอมปานีพวกนี้เป็นโบรกเกอร์ระดมทุนทำสินเชื่อ ขายพันธบัตรรัฐบาลรายใหญ่ที่สุดตั้งแต่ช่วงหาเงินสนับสนุนการทำสงครามมีการจ้างพนักงานหลายพันตำแหน่ง ใช้ตัวแทนออกไปขยายสินเชื่อหลายกลุ่มอย่างธนาคารขนาดเล็ก บริษัทประกันภัยพวกค้าอสังหาริมทรัพย์ คู้คเพิ่มเงินลงทุนไปมากตั้งแต่ปี ๑๘๗๐เพราะเอาไปลงทุนทำทางรถไฟแปซิฟิกสายเหนือ”
“ตอนนี้ทางรถไฟขยายตัวเป็นสองเท่าจากปี ๑๘๖๐ คู้คคงเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ดี” ฌอนให้ความเห็นเสียงเอื่อย ตามองไพ่ในมือแล้วตัดสินใจเรียกเพิ่ม
“แต่มันดันขายแทบไม่ได้น่ะสิ พอนักลงทุนกับหุ้นส่วนรายเล็กรู้ก็พากันถอนเงินออกไปหมด ทิ้งให้คู้คแบกรับหนี้สินจนหลังอาน” อาเธอร์ส่ายหน้า
“ปัญหาก็คือพวกกลุ่มนายทุนที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเป็นเจ้าของกิจการรถไฟแบบกึ่งผูกขาดให้พัฒนาระบบคมนาคมกับการสื่อสารของประเทศวางระบบโทรเลขคู่ไปกับรางรถไฟโหมโฆษณาเกินจริงว่าตะวันตกเป็นแดนสวรรค์เพราะอยากทำกำไร คนเลยแห่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพราะอยากไปมีชีวิตใหม่ที่นั่น ขายดีพอๆ กับหุ้นจนราคาสูงเกินจริง คนใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อเกินตัวทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ” ไซมอน นักการเมืองจากพรรคเดโมแครตวัยกว่า 40 ปีบอก มองหนุ่มหล่อว่าที่เจ้าพ่อสื่อคนใหม่ด้วยสายตาแปลกไป เขามีเส้นสายมากและรู้เบื้องหลังของฌอน วินสตัน-รอสส์ค่อนข้างดีเพราะอยู่ในสโมสรมานาน และสนิทสนมกับแคร์ริงตันจนพอรู้ว่าใครจะมาเป็นผู้บริหารคนใหม่ของฟรอสเตอร์“ที่เป็นแบบนี้คุณคงรู้สาเหตุ อย่างเช่นเรื่องที่สภาคองเกรสกำลังสอบสวนผมคิดว่านี่คงจะเป็นสมัยสุดท้ายของรีพับลิกันถ้าวาระของท่านประธานาธิบดีแกรนท์สิ้นสุดลง”
คำพูดนั้นทำให้เทอร์เรนซ์ ลิลเบิร์น ไม่พอใจเพราะถือหางอีกฝ่ายแต่เก็บอาการเอาไว้ภายใต้สีหน้าเป็นมิตร
“ยังเหลือเวลาอีกเกือบสามปีนี่ครับ ระหว่างนี้อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้” ฌอนเงยหน้าขึ้นสบตาคนมองด้วยรอยยิ้มสว่างไสว “แต่ผมคิดว่าเดโมแครตเองมีโอกาสสูงเหมือนกัน”
“คุณพูดถูก”
“คุณเองก็มีโอกาสสูงด้วยไซมอน”
คนถูกชมหัวเราะอย่างชอบใจ “ผมดีใจที่ได้ยิน การมีเพื่อนฝูงดีๆ อย่างคุณช่วยได้มาก”
“ว่าแต่เรามีเวลาถึงเมื่อไหร่” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มรับนัยที่ส่งมาถึง และหันไปถามอาเธอร์ที่สนิทกันมากกว่าด้วยท่าทางผ่อนคลายเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสภาวะตึงเครียดที่ทุกคนกำลังประสบอยู่
“คงไม่เกินเดือนกันยายน”
“ถึงตอนนั้นผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ผมไม่อยากให้คุณเดินทางช่วงนี้เลยฌอน แต่จะส่งข่าวให้ถ้าคุณต้องการอะไร”
“คุณเป็นเพื่อนรักของผมเสมอ ขอบใจมาก อาเธอร์”
“ยินดีเพื่อน คุณก็เหมือนกัน” อาเธอร์หัวเราะ แต่เพียงอึดใจเดียวก็ต้องร้องสบถเมื่อทุกคนเปิดไพ่ออกและเพื่อนรักของเขาที่กำลังยิ้มกริ่มเป็นฝ่ายชนะตามเคย “ดวงอย่างคุณนี่น่าจะไปเปิดซาลูนนะ”
ฌอนกำลังจะสั่งเครื่องดื่มแก้วใหม่ แต่รู้สึกถึงการสะกิดจากใต้โต๊ะเลยหันไปมองแบรดลีย์ อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแต่กลอกตาไปทางลิลเบิร์นเหมือนจะบอกว่าเขารอนานมากแล้ว ชายหนุ่มไม่พูดอะไรแต่สั่งรินไวน์เพิ่มแล้วหันมาขอตัวกับเพื่อนร่วมโต๊ะ “ผมขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย พวกคุณจะได้ชนะบ้าง”
“รอให้ผมกินสักสองสามเกมก่อนค่อยกลับมาล่ะ” อาเธอร์แกล้งประชดไล่หลังเมื่อร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนพร้อมซิการ์ในมือและพยักหน้าให้ลิลเบิร์นที่แอบถอนใจเดินตามออกมา
ชายหนุ่มทั้งคู่เดินออกมาข้างนอกสิ่งก่อสร้างสี่ชั้นของสโมสรแคร์ริงตัน ฌอนเดินนำไปนั่งบนท่อนซุงซึ่งทำเป็นเก้าอี้ในสวนด้านหนึ่งที่จัดเอาไว้ให้ สบตากับชายที่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ กันและรอให้ลิลเบิร์นพูดก่อน
“คุณสนใจธุรกิจของดันแคนหรือเปล่า”
“ผมไม่เคยทำจริงๆ จังๆ มาก่อน”
“ที่ผมถามเพราะคิดว่าบางทีคุณกับคุณพ่อของคุณอาจจะอยากวางมือจากธุรกิจนี้” ลิลเบิร์นลองเชิง
“คุณอยากซื้อหุ้นของพวกเรารึไง”
“ถ้าคุณยอมขาย ผมมีนายทุนที่อยากลงทุนด้านนี้อยู่แล้วสำนักพิมพ์ของเรามีความพร้อมที่จะขยายออกไปอีกหลังการควบรวมกิจการเพราะผู้คนกำลังกระหายที่จะรับรู้ข่าวสารมากขึ้น เราประชุมกันแล้วว่าฟรอสเตอร์น่าจะมีศักยภาพเพียงพอกับความต้องการนี้ ราคาต่อรองกันได้นะครับ”
ริมฝีปากของคนฟังเบ้ขึ้นมานิดเมื่อฟังประโยคเชิงข่มในตอนท้ายแล้วดูดควันของซิการ์เข้าไป เงยหน้ามองท้องฟ้าในคืนเดือนหงายด้วยสีหน้าครุ่นคิด “พอจะบอกได้ไหมว่านักการเมืองของคุณคนไหนอยากซื้อฟรอสเตอร์”
ที่ถามก็เพราะหนังสือพิมพ์เกือบทั้งหมดเป็นพันธมิตรทางการเมืองของรีพับลิกันหรือเดโมแครตพรรคใดพรรคหนึ่งเสมอบางฉบับมีสังกัดอย่างชัดเจนกับคนสำคัญของพรรคการเมืองนั้นๆ หรือได้รับการสนับสนุนทางอ้อมจากพรรคผ่านการอุปถัมป์ค่าบริการไปรษณีย์อัตราต่ำสัญญาการพิมพ์จากพรรคการเมือง แม้กระทั่งเงินอุดหนุน
ฟรอสเตอร์ไม่มีสังกัดแต่เชียร์พรรคที่อยากเชียร์บ้างเป็นครั้งคราวสลับกันไป ข่าวส่วนใหญ่เสนออย่างเป็นกลางด้วยข้อเท็จจริงและสำนวนการเขียนที่เฉียบคมตรงไปตรงมาหากมีอิทธิพลกับคนอ่านโดยส่วนใหญ่ ผลก็คือธุรกิจสื่อของเขาได้รับการยอมรับนับถือ และการอุปถัมภ์จากทางโน้นบ้างทางนี้บ้างเพราะใครๆ ก็อยากได้ไว้เป็นพวก
“คุณจะรู้ก็ต่อเมื่อตกลงใจที่จะขายกิจการให้พวกเรา”
“แล้วคนของฟรอสเตอร์ที่ทำงานมาก่อนล่ะ”
“เราจะยังเก็บคนที่มีผลงานโดดเด่นเอาไว้ แต่คุณคงเข้าใจถ้าเราต้องเปลี่ยนคนใหม่บ้าง”
“ผมเข้าใจ แล้วคุณคิดจะซื้อฟรอสเตอร์ทั้งหมดหรือเฉพาะหุ้นส่วนที่ครอบครัวของผมถืออยู่”
“ตระกูลวินสตัน-รอสส์ถือหุ้นอยู่ตั้งหกสิบเปอร์เซ็นต์ผมคิดว่าแค่นั้นคงพอสำหรับตอนนี้ ส่วนที่เหลือเราค่อยพิจารณาซื้อในภายหลัง เพราะอย่างนี้ผมเลยอยากคุยกับคุณก่อนเป็นคนแรกเพราะคิดว่าคุณคงมีส่วนตัดสินใจพอๆ กับมิสเตอร์วินสตัน-รอสส์ คุณพ่อของคุณ หลายปีมานี้สุขภาพของเขาแย่ลงมากยังไงก็คงให้คุณตัดสินใจอยู่ดี”
และลิลเบิร์นไม่คิดว่าหนุ่มเสเพลอย่างฌอนจะชื่นชอบภาระที่พี่ชายทิ้งเอาไว้ให้ กระหยิ่มใจมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของอีกฝ่ายในอาการไม่เอาจริงเอาจังนัก เขาไม่ได้มาที่สโมสรบ่อยเหมือนคนอื่นเพราะมีครอบครัวแล้วและไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษนอกจากนักการเมืองอย่างจอห์น แครวิตซ์ และพรรคพวกอีกสองสามคน แต่รู้ว่าทุกครั้งที่มาก็ไม่เคยเห็นท่าทางเป็นงานเป็นการหรือเอาจริงเอาจังกับสิ่งใดจากบุตรชายคนเล็กของพวกวินสตัน-รอสส์
แต่แรกยังคิดว่าไอ้หนุ่มเสเพลคนนี้ไม่ได้ทำงานด้วยซ้ำเหมือนลูกคนรวยบางคน กระทั่งรู้โดยบังเอิญว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่กับแคร์ริงตัน เพื่อนสนิทที่เป็นเพลย์บอยเนื้อหอมของนิวยอร์ก ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงธุรกิจมากมายและมีอิทธิพลแทรกซึมอยู่ในวงการต่างๆ อย่างน่ากลัว เขาจึงรีบรุดมาที่นี่เพราะกลัวแคร์ริงตันจะเสนอตัวเข้าฮุบกิจการของ ฟรอสเตอร์เอาไว้เองหลังจากได้รับการอนุมัติเงินทุนจากต้นสังกัด
“คุณคิดจะให้ราคาเรายังไง”
“ราคาหุ้นของฟรอสเตอร์ค่อนข้างสูงเพราะผลประกอบการดีมาตลอด ผมต้องยอมรับว่าพวกคุณสร้างชื่อเสียงเอาไว้มาก” ซ้ำยังเป็นรายเดียวที่ไม่ยอมอิงกับพรรคการเมืองใดจริงๆ เหมือนสื่ออื่นที่ยังเอนเอียงแม้จะประกาศตัวว่าเป็นสื่ออิสระ “แต่หุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นจำนวนเงินมหาศาล”
“ผมไม่คิดจะขายต่ำกว่าราคาตลาดหรอกนะ บอกไว้ซะก่อน ที่จริงมีคนเสนอราคามาแล้วด้วย” หนุ่มหล่อทำหน้าเขี้ยวคม
นั่นไงล่ะ! ผิดจากที่เขาคิดเอาไว้ที่ไหน “เพื่อนสนิทของคุณหรือเปล่าครับ”
“ช่าย” เขาต้องแบ่งหุ้นให้เอ็ดเวิร์ดตั้งห้าเปอร์เซ็นต์แลกกับการที่มันมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในฐานะบรรณาธิการใหญ่ที่ดูแลทุกหัวชั่วคราวระหว่างที่เขาต้องออกเดินทาง “เขาให้ราคาดีกว่าราคาตลาดซะอีก คุณจะสู้หรือเปล่าล่ะ”
ลิลเบิร์นกัดฟันอย่างหัวเสีย ถ้าต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดคงไม่มีใครกล้าลงทุนเพราะเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่แม้แต่มหาเศรษฐีเองยังต้องคิดหนักมาก ที่จริงเขาตั้งใจจะเสนอต่ำกว่าราคาตลาดสักหน่อยและแบ่งจ่ายด้วยซ้ำ ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้มีใครบ้างอยากหว่านเม็ดเงินก้อนมหึมาออกไปมากหลังจากที่จะได้เห็นหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับธนาคารเจย์ คู้ค แอนด์ คอมปานี
“แคร์ริงตันไม่มีประสบการณ์นะครับ เราเป็นทีมที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับธุรกิจชนิดนี้ถ้าคุณอยากขายเพื่อเงินผมก็เข้าใจที่จะให้แคร์ริงตันได้ไปแต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของฟรอสเตอร์อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
“คนงานเดิมของฟรอสเตอร์ก็ยังทำงานกันได้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่คุณน่าจะรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดไม่ใช่พวกมือสมัครเล่นนี่ไม่ใช่การควบรวมกิจการครั้งแรกของเขา อีกอย่าง...” ฌอนหัวเราะเบาๆ อัดควันซิการ์เข้าไปและปล่อยทิ้งอย่างอ้อยอิ่งให้อีกฝ่ายรออย่างอดทนอยู่อีกนานจึงยอมพูดต่อ “ถ้าผมคิดจะขายจริงๆ ผมก็ต้องขายเพื่อเงิน จะสนใจทำไมกับอนาคตของฟรอสเตอร์”
“มิสเตอร์วินสตัน-รอสส์ คุณพ่อของคุณคงไม่คิดอย่างนั้น ผมรู้มาว่าเขารักหนังสือพิมพ์ของเขามาก”
“ก็จริงของคุณ” ชายหนุ่มยอมเห็นด้วยง่ายๆ
“เราจะยอมซื้อในราคาตลาด แล้วสัญญาว่าจะบริหารกิจการของฟรอสเตอร์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมทุกอย่างของคุณพ่อของคุณตกลงไหมครับ”
“ผมจะรู้ได้ยังไงว่าฟรอสเตอร์จะเป็นเหมือนเดิมโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นนายทุนของคุณ”
ลิลเบิร์นขบฟันแน่นเมื่อถูกยอกย้อนกลับมายังมุมที่เขาไม่ต้องการถูกต้อนเข้ามาในตอนแรก “ผมยืนยันกับคุณได้ด้วยเกียรติของตัวเอง”
“รู้ไหมว่าชื่อเสียงของคุณเรื่องไหนที่เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว”
“คุณจะช่วยกรุณาบอกผมหน่อยได้ไหมครับ”
“คุณเป็นบรรณาธิการบทความดังๆ หลายหัวข้อ เก่งจนกระทั่งมีความชำนาญเรื่องการบิดเบือนความจริงหรือการเปลี่ยนขาวให้เป็นดำได้น่าเชื่อถือไงล่ะ” ฌอนแปลงคำพูดของนิสัยปลิ้นปล้อนหลอกลวง กลับดีเป็นชั่วให้สวยหรูขึ้นมาหน่อยแม้จะรำคาญเต็มทีเพราะอยากกลับไปเล่นไพ่ต่อ “นอกจากนี้คุณยังจงใจปกปิดนายทุนที่ต้องการซื้อฟรอส เตอร์กับผม แบบนี้แล้วคุณยังจะหวังความเชื่อใจจากผมได้ยังไง”
“คุณไม่ควรเชื่อข่าวลือพวกนั้นอย่างที่ไซมอนปล่อยข่าวเพราะหวังดิสเครดิตคนอื่นดูก็รู้ว่าเขาอยากหลอกใช้คุณ การไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่อันตรายนะครับ” ลิลเบิร์นให้ความเห็นอย่างคนที่คว่ำหวอดในแวดวงธุรกิจที่ไม่โปร่งใสกับคนที่เขาคิดว่าอ่อนประสบการณ์กว่า
“ถ้าคุณไม่มีคำตอบให้ผมตัดสินใจที่ดีกว่านี้ ผมคงต้องขอตัวกลับเข้าไปข้างในเสียที”
“คุณจะไม่ลองกลับไปคิดดูก่อนหรือครับ”
“ผมจะคิดโดยไม่มีข้อมูลให้วิเคราะห์ได้ยังไงเทอร์เรนซ์”
“เขาไม่อยากเปิดเผยตัว ผมต้องขอคุยกับเขาดูก่อน”
“ตามสบาย เราต้องเลือกตั้งประธานคนใหม่พรุ่งนี้ ผมต้องให้คำตอบเอ็ดเวิร์ดด้วยเหมือนกันเพราะเขาจะเข้าไปที่นั่นด้วยเพื่อประเมินถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ คุณมีเวลาคิดถึงคืนนี้”
“คุณให้เวลาเราน้อยเหลือเกินนะครับ”
“ดันแคนจากไปเกือบหนึ่งเดือนเต็มแล้วเทอร์เรนซ์ เราไม่มีเวลาโอ้เอ้ขาดผู้นำนานนัก ผมปรึกษากับเอ็ดเวิร์ดมานานแล้วเรื่องหุ้น หวังว่าคุณคงเข้าใจความลำบากใจของผม” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเป็นครั้งแรก ผงกศีรษะนิดๆ เป็นเชิงลาและหันหลังกลับจะเข้าไปเล่นในสโมสรต่อ
“เดี๋ยวก่อน ถ้าผมบอก... คุณสัญญาได้ไหมว่าจะไม่บอกใครเรื่องนายทุนของเรา”
“ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มยอมหันกลับมามองท่าทางไม่เต็มใจของอีกฝ่าย
“มิสเตอร์ไดมอนด์ นีล ไดมอนด์”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นนายทุนใหญ่ หนึ่งในคณะกรรมการผู้ถือหุ้นหลักของเครดิตโมบิเลียร์ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ๑๘๕๙ ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อและสัญญารับเหมาก่อสร้าง ถูกเลือกให้เข้ามารับเหมาโครงการรถไฟสายยูเนียนแปซิปิกเพื่อทำการก่อสร้างทางรถไฟและอาคารส่วนแรกของทางรถไฟข้ามทวีปจากฝั่งตะวันออกที่อ่าวซานฟรานซิสโกที่มีอยู่แต่เดิมมาทางฝั่งตะวันตก
ย้อนกลับไปเมื่อรัฐบาลอนุมัติงบประมาณก่อสร้างโครงการทางรถไฟสายยูเนียนแปซิฟิกในปี ๑๖๖๔ – ๑๖๖๘เป็นระยะทาง 1750 ไมล์จากฝั่งตะวันตกของเเม่น้ำมิสซูรีไปจนถึงชายฝั่งแปซิฟิก ข้อเสนอนี้ไม่ค่อยเป็นที่ดึงดูดใจต่อนักลงทุนนักเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงมากสำหรับค่าขนส่งผ่านทะเลทรายเเละภูเขา ทั้งยังมีเเนวโน้มที่จะเกิดความขัดเเย้งกับเจ้าถิ่นเดิมที่เป็นอินเดียนแดงรวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าปันผลในช่วงเเรก
เมื่อบริษัทเครดิตโมบีเลียร์เข้ามารับงานจึงเกิดการทุจริตอย่างกว้างขวางหลังจากนั้นทั้งการขูดรีดค่าธรรมเนียมจากรัฐบาลด้วยค่าใช้จ่ายเกินจริงรับเงินส่วนเกินเข้ากระเป๋า มีการบิดเบือนข้อมูลทางการเงินและเอกสารที่เสนอต่อรัฐบาลบริษัทซื้อหุ้นและพันธบัตรของโครงการในราคาพาร์ด้วยเช็คค่าจ้างที่ได้จากรัฐบาลในการทำสัญญาและนำออกขายในตลาดหลักทรัพย์เปิดทำกำไรมหาศาลจากการสร้างเรื่องหลอกลวงประชาชนทั่วไปเพื่อปั่นหุ้นจนมีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงทำกำไรให้ตัวเองระหว่างการก่อสร้างแต่ปิดบังผลกำไรที่แท้จริงเอาไว้
เรื่องเเดงขึ้นมาระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนที่ประธานาธิบดียูลิสซิส ซิมป์สันแกรนท์ จะถูกเลือกเข้ามาเป็นสมัยที่สองในปี ๑๘๗๒ ว่าบริษัทมีเจตนาทุจริตทั้งต่อรัฐบาลเเละประชาชนทั่วไป
มีทั้งการเสนอหุ้นและพันธบัตรในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ในสภาคองเกรสบางคนเพื่อสนับสนุนและผลักดันงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับโครงการก่อสร้าง เป็นการทุจริตในองค์กรที่มีความซับซ้อนและกระทำอย่างถูกกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนโดยสภาคองเกรส
หนังสือพิมพ์เดอะซันและฟรอสเตอร์เป็นผู้เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวและฌอนรู้ดียิ่งกว่าใครเพราะเป็นคนช่วยหาข่าวให้ดันแคนในระหว่างนั้น แค่รู้ว่าใครอยากได้ฟรอสเตอร์ชายหนุ่มก็ไม่สงสัยเจตนาเบื้องหลังในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ยูเนียนแปซิฟิกและนักลงทุนที่ถูกทิ้งเอาไว้เกือบล้มละลายหลังจากข่าวถูกเปิดเผยออกมา แต่พวกนายทุนพุงกางเพราะได้ผลกำไรเพียบแปล้
ความคิดเห็น