คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ทายาทสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์ 1 - 30 %
ตอนที่ 1 ทายาทสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์
คฤหาสน์ตระกูลวินสตัน-รอสส์ เหนือแม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1873
“การตายของดันแคนเป็นความหายนะแท้ๆ! คุณจะหาใครมาทำงานแทนตำแหน่งของเขาให้พวกคณะกรรมการบริหารในตลาดหุ้นยอมรับได้” เสียงที่ดังอย่างหงุดหงิดเป็นเสียงของเฮนรี เทรเวเลียน รองประธานกรรมการของฟรอสเตอร์พับลิกคอมพานีแห่งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(1)“ตลาดหุ้นแทบจะปิดมิปิดแหล่เพราะสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย(2)จนจะเกิดวิกฤติทางการเงินทั่วโลกแบบนี้ เรายังเดือดร้อนกันไม่พอเรอะ”
“ผมเองก็เครียดเหมือนคุณนั่นแหละ เฮนรี ตั้งแต่ดันแคนเสียแล้วมีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามพวกเราก็มีปัญหากันทุกคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก” เสียงเยือกเย็นต่อมาเป็นเสียงของชายวัยกลางคน
วิลเลียม วินสตัน-รอสส์เป็นชายวัยหกสิบปีที่ดูแก่กว่าอายุจริง เมื่อดันแคน ลูกชายคนโตที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญและเป็นประธานสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์จากไปด้วยวัยเพียงสามสิบหกปีขณะที่สำนักพิมพ์และธุรกิจในมือหลายอย่างที่เคยรุ่งเรืองเป็นอย่างมากกำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากเขาจึงดูเหมือนแก่ขึ้นสิบปีในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
“ผมขอเสนอให้แบรดลีย์ขึ้นมาเป็นผู้ช่วย” เทรเวเลียนเสนอด้วยน้ำเสียงค่อนข้างโอหังเช่นคนที่ติดกับขนบแบบเก่าหากคนฟังไม่ถือสา บรรพบุรุษตระกูลขุนนางอังกฤษของเฮนรีย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกรากในสหรัฐหลังตระกูลวินสตัน-รอสส์ย้ายเข้ามาก่อนเกือบสองชั่วอายุคน แต่สองครอบครัวเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกันเช่นเดียวกับความเป็นเพื่อนของทั้งคู่
“ลูกชายของคุณน่ะเรอะ เขาเพิ่งอายุยี่สิบเจ็ด ไม่เคยจับงานธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่เราเคยทำมาก่อน”
“ผมจะช่วยเขาเอง หรือคุณจะให้ใครมาทำแทนในเมื่อตัวเองก็เจ็บออดๆ แอดๆ ออกอย่างนี้” คนพูดมองวิล เลี่ยมอย่างปลงสังขาร นึกสมเพชเพื่อนเก่าแก่เป็นกำลัง
“ฌอนยังอยู่” ชื่อลูกชายคนเล็กหลุดออกมาจากปากพร้อมเสียงถอนใจซึ่งบ่งบอกว่าคนเสนอเองก็อาจจะยังไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดนัก
และเป็นดังคาดเมื่อเฮนรีโวยวายทันที “ลูกชายเพลย์บอยของคุณน่ะเรอะ ผมยังสงสัยว่าเขาทำมาหากินอะไร จะเจอหน้ากันทีก็แค่ในงานเลี้ยงตอนที่เขามาลากผู้หญิงสักคนไปกก ครั้งสุดท้ายก็เป็นภรรยาของฮอร์ควูด รัฐมนตรีกระทรวงการสงครามจนจะมีเรื่องยิงกันตายไม่ใช่รึ คนแบบนี้จะมาเป็นผู้บริหารได้ยังไง”
วิลเลี่ยมมองหน้าคนพูด เก็บปากเก็บคำตามนิสัยแม้จะคิดในใจว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์ สื่อหัวใหญ่ที่สุดหัวหนึ่งในนิวยอร์กและสหรัฐคือตระกูลวินสตัน-รอสส์ ในขณะที่เทรเวเลียนถือหุ้นน้อยกว่าเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์เพราะเขาตัดสินใจแบ่งขายให้แลกกับการเข้าไปถือหุ้นจำนวนหนึ่งในอุตสาหกรรมเหมืองทองที่วินสตัน-รอสส์ถืออยู่แล้วก่อนหน้า แม้สิบปีต่อมาเหมืองทองจะปิดตัวลงแต่เฮนรีก็ไม่ได้มีหุ้นในฟรอสเตอร์เพิ่ม
“ฌอนทำงานของเขาเอง เลยไม่ค่อยได้มาช่วยดันแคน”
“ไม่มาช่วยเลยต่างหาก ผมคิดว่าแบรดลีย์เหมาะสมกว่า เขาเป็นคนเอางานเอาการ มีเส้นสายรู้จักทั้งนักการเมืองกับพวกทหารดี” สีหน้าของคนพูดภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนเดียวที่จบมาจากฮาร์วาร์ด “เขายังรักอยู่กับลูกสาวของจอห์น แครวิตซ์ คุณรู้จักแครวิตซ์ใช่ไหม”
“สมาชิกคนสำคัญในพรรครีพับลิกันของท่านประธานาธิบดีแกรนท์ ผมพอทราบว่าเขาสนิทสนมกับแบ็บค็อค เลขานุการส่วนตัวของท่านด้วย เพิ่งรู้ว่าแบรดรักอยู่กับจูเลีย”
เทรเวเลียนชะงักไปนิดที่อีกฝ่ายดูจะรู้ดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เลยกระแอมในลำคอ “แบรดชอบแม่สาวน้อยคนนั้นมาก เขายี่สิบเจ็ดปีนี้ ถึงเวลาจะมีครอบครัวได้เสียที ถ้าไม่มีอะไรติดขัดผมจะคุยกับแครวิตซ์เรื่องแต่งงาน ผมบอกคุณเป็นคนแรกนะวิลเลี่ยม”
“ยินดีด้วย” สีหน้าของคนตอบครุ่นคำนึงถึงบางสิ่ง
“ดังนั้น ผมเลยคิดว่าเขาเหมาะสมที่จะเข้ามาทำงานเพื่อฝึกงานในตำแหน่งที่ใหญ่กว่า” คนพูดละไว้เสียว่า ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านั้นคงไม่พ้นตำแหน่งท่านประธานที่ดันแคนเคยทำขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ “ถ้าแบรดแต่งงานแล้วก็คงอยากลงหลักปักฐานตั้งใจทำงานขึ้น เพราะนิสัยของเขาเอางานเอาการอยู่แล้ว”
“ฌอนเองก็ต้องทำงานของครอบครัวด้วยเหมือนกัน เราเคยคุยกันเอาไว้แล้วตั้งแต่ดันแคนจากไป”
“บางครั้งผมได้ข่าวเขาหมกตัวอยู่ที่สโมสรแคร์ริงตัน ทั้งดื่มทั้งเล่นการพนันกับพวกเสเพลด้วยกันเป็นอาทิตย์ คุณคิดยังไงถึงจะให้เขามาทำงานแทนดันแคนในเมื่อลูกชายคนเล็กของคุณนิสัยแตกต่างกับคนโตอย่างฟ้ากับเหว”
“ดูเหมือนอาเฮนรีจะรู้จักผมดีกว่าพ่อผมเองอีกนะเนี่ย!”
เสียงห้าวยียวนที่ดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าที่คนเดินคงตั้งใจจะลงส้นมากกว่าปกติ ทำให้เทรเวเลียนเกือบสะดุ้ง แต่ยังรักษาอาการเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการได้ดีเมื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้บุนวมรับแขกที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจ้าของบ้าน
ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงสูงเลยหกฟุตสองนิ้ว รูปร่างกำยำอยู่ในชุดกางเกงขายาวทับด้วยรองเท้าบูตหนัง เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ไม่ได้ใส่คอปกแข็งสูงปลดกระดุมด้านบนไว้สองสามเม็ดสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาเดินมาทิ้งตัวอย่างอ้อยอิ่งลงบนเก้าอี้นวมตรงกันข้ามด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีบนใบหน้า สบตากับเฮนรี เทรเวเลียนอย่างเห็นขัน และลดตัวลงดึงซิการ์ในกล่องของผู้เป็นบิดาออกมาจุดสูบด้วยมาดของหนุ่มเชี่ยวสังคมโดยแท้
ไม่ใช่การแต่งกายเรียบร้อยเหมาะสม และไม่ใช่กิริยาที่สุภาพบุรุษพึงกระทำต่อหน้าผู้อาวุโส แต่เทรเวเลียนรู้อยู่แล้วว่าทายาทคนเล็กของพวกวินสตัน-รอสส์ ไม่เคยทำตัวถูกต้องเหมาะสมตามหลักการใดๆ
ใบหน้าคมเข้มของไอ้หนุ่มคนนี้อยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาจนขึ้นชื่อในหมู่สังคมชั้นสูงของนครนิวยอร์ก ผมสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างยาวถูกรัดด้วยเส้นหนังสีเดียวกันไว้ที่ท้ายทอยกระนั้นยังเห็นว่าเป็นลอนหยักศกสวยส่งภาพลักษณ์ของหนุ่มเสเพลฐานะทายาทที่มีเพียงหนึ่งในสองของตระกูลวินสตัน-รอสส์เต็มอัตราดึงดูดบรรดาผู้หญิงทั้งโสดและไม่โสดให้พากันติดใจใบหน้าคมคายและร่างกายใหญ่ล่ำของเขาเป็นแถบๆ
แต่ข่าวที่เทรเวเลียนได้ยินมักเป็นข่าวของฌอนกับพวกโสเภณีหรือผู้หญิงที่มักออกเรือนไปแล้วทั้งนั้น
นอกจากจะไม่เอาไหนเรื่องงานการที่ไม่เห็นจะเคยช่วยครอบครัวแล้วมันยังเลวเข้าขั้น จริยธรรมเสื่อมทรามอย่างถึงขนาด ถ้าวิลเลี่ยมปล่อยให้ลูกชายคนนี้มาทำงานแทนดันแคนจริงๆ มีหวังสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์คงจะถึงกาลล่มสลายไปพร้อมๆ กับวิกฤติการณ์ทางการเงินที่กำลังเล่นงานพวกเขาอยู่ก่อนหน้า
“ใครๆ ก็รู้นิสัยของเธอกันทั้งนั้น”
นัยน์ตาสีเฮเซลหรี่มองคนพูดผ่านควันของซิการ์ที่ลอยสูงโดยคนสูบเอนกายพิงพนักพ่นควันโขมงออกมาด้วยสีหน้าผาสุกเหลือล้นราวกับชีวิตนี้ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนแล้วยิ้มในหน้าให้เทรเวเลียนก่อนจะหันไปมองบิดา “แปลกจังที่ใครๆ รู้จักผมดีไปซะหมด แต่พ่อกลับบอกว่าไม่ค่อยรู้จักผมเลย”
วิลเลี่ยมกระแอมในลำคอเพื่อปรามบุตรชายคนเล็ก ทายาทเพียงคนเดียวที่ตระกูลวินสตัน-รอสส์หลงเหลืออยู่ ถ้าไม่นับดันแคนจูเนียร์หลานชายวัยแปดขวบอีกคน “นึกว่าแกจะไม่กลับเข้ามาวันนี้ พ่อเลยนัดเฮนรีมาคุยเรื่องการตั้งประธานคนใหม่ของฟรอสเตอร์”
“พ่อบอกผมแล้วนี่ ว่าอยากให้ผมเข้าไปทำงานแทนดันแคน”
“หมายความว่าแกตกลงแล้วเรอะ” สีหน้าของคนเป็นพ่อดูยินดีจนเทรเวเลียนพยายามเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้คงเหลือแต่สีหน้าเครียดขรึมแม้ภายในจะร้อนรุ่ม
“พ่อไม่เคยขอร้องผมซะที ถ้าพ่ออุตส่าห์ขอร้องผมก็ต้องทำให้อยู่แล้ว”
“แต่เธอแทบจะไม่เคยจับธุรกิจสิ่งพิมพ์มาก่อน อยู่ๆ จะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ประธานบริษัทได้ยังไง” เฮนรีแย้งด้วยเหตุผลเดียวกับที่วิลเลี่ยมใช้กับลูกชายของเขาก่อนหน้า
“ผมเป็นคนเรียนรู้เร็ว”
“เหมือนที่เธอเรียนรู้การเข้าหาผู้หญิงตั้งแต่อายุสิบสี่น่ะเรอะ”
ฌอน วินสตัน-รอสส์ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ตามด้วยการขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างขี้เล่น “ข่าวคุณอาไม่สมกับที่เป็นสื่อเลย ความจริงตอนที่ผมอายุสิบสองปีต่างหาก แต่แบรดเพิ่งจะเริ่มนอนกับผู้หญิงตอนอายุยี่สิบสอง ช้ากว่าผมไปสิบปีเลยไม่ค่อยทันผู้หญิงเท่าไหร่”
“การที่แบรดไม่ได้เสเพลแบบเธอ ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหน”
“ผมคิดว่าเขาเป็นคนเอาไหนก็ตอนนี้เอง ส่วนเรื่องไม่ทันผู้หญิงผมยืนยันคำเดิม” อีกฝ่ายโต้กลับอย่างเห็นขัน
“การเลือกตั้งประธานกรรมการ จะต้องเอาเข้าที่ประชุม” เทรเวเลียนเปลี่ยนเรื่อง เพราะหัวเสียที่ลูกชายถูกไอ้หนุ่มไม่เอาไหนคนนี้ดูหมิ่น
“พ่อบอกว่ามีประชุมพรุ่งนี้ตอนสิบโมงเช้า ผมเลยกลับมาเตรียมตัว” ชายหนุ่มดีดนิ้วดังเป๊าะ แล้วผิวปากเลียนเสียงนกชนิดหนึ่งได้เหมือนเป๊ะ ทำให้สาวรับใช้ที่ยืนลับๆ ล่อๆ อย่างเอียงอายอยู่ตรงประตูรีบค้อมตัวเดินเข้ามาอย่างประหม่า หน้าแดง และแดงยิ่งขึ้นเมื่อลูกชายคนเล็ก ซึ่งยามนี้คือลูกชายคนเดียวของตระกูลวินสตัน-รอสส์ยิ้มให้ “เตรียมน้ำอุ่นให้ฉันด้วย อีกสิบห้านาทีฉันจะเข้าไปอาบน้ำ”
สาวใช้รับคำแล้วรีบถอยกลับออกไปโดยอาการของเธอไม่รอดพ้นจากสายตาของแขกที่มาเยือนในยามเย็น “เธอไม่ควรมีอะไรกับเด็กในบ้านให้เสียการปกครอง”
ชายหนุ่มที่สูบซิการ์เกือบสำลักควัน เพราะกลั้นหัวเราะจนตาแดง ฌอนดึงมวนยาสูบออกจากปากมองเฮนรีตาพราว “ผมไม่ทำให้มีปัญหาเหมือนที่แบรดทำสาวใช้ในบ้านท้องหรอกน่า”
คนที่ไม่นึกว่าคนนอกจะรู้เรื่องนี้เพราะมีการปิดเงียบเนื่องจากกลัวลูกชายจะเสียชื่อเสียงโหนกแก้มแดงด้วยความโมโห ไม่รู้ว่ามันเอาความลับเกี่ยวกับลูกชายของเขามาจากใครเนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากปากของแบรดลีย์เพราะทั้งคู่ไม่ได้สนิทกันมาก แบรดยังถูกเขาสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้พูดถึงความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นกับคนอื่น “เธอคงจะเข้าใจผิดเรื่องแบรด”
“เรื่องนี้คนเขารู้กันทั้งนิวยอร์ก คุณอาทำให้ผมผิดหวังนะเนี่ย”
“แบรดไม่ได้ทำเด็กรับใช้คนไหนท้อง เด็กนั่นมันไปหลับนอนกับคนใช้ด้วยกันเองตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันแล้วเธอคงได้ฟังข่าวลือผิดๆ มานะสิ”
“น่าสงสาร” ประโยคนั้นไม่ได้บอกว่าสงสารใคร หากนัยน์ตาพราวระยับของคนพูดบอกแววขบขันอันปิดไม่มิดเจือด้วยบางสิ่งคล้ายการเหยียดหยันที่ทำให้คนถูกมองหน้าตึง “ถ้าคุณอาจะยืนยันว่าอย่างนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะเถียง”
“ทำไมเธอคิดว่าตัวเองจะทำหน้าที่แทนดันแคนได้ ในเมื่อไม่เคยทำงานมาก่อน”
“เพราะพ่อผมเป็นเจ้าของบริษัทฟรอสเตอร์ครอบครัวของเราถือหุ้นใหญ่ที่สุด แล้วคุณอาก็เข้าใจผิดตามเคยเรื่องที่ว่าผมยังไม่เคยทำงานมาก่อนจนผมชักสงสัยแล้วว่าถ้าผู้บริหารในบริษัทเป็นแบบคุณอาหมดฟรอสเตอร์จะไปรอดหรือเปล่า”
ความจริงที่อีกฝ่ายโยนใส่หน้าทำให้เฮนรีหน้าแดงด้วยความโกรธ “วิลเลี่ยมไม่บอกว่าเธอเคยทำงานมาก่อน”
“สงสัยจะเป็นเพราะพ่อไม่ใช่คนช่างพูด กับอีกอย่างคุณอาชอบคิดเอาเอง”
“ฌอนเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนของเขา กับถือหุ้นในบริษัทอื่นอีกบ้าง” วิลเลี่ยมเป็นเอ่ยแทรกขึ้นเสียงเนิบ ทำเป็นไม่เห็นสายตาประหลาดใจปนเสียหน้าของเทรเวเลียน ไม่จำเป็นต้องขยายความว่า ‘บ้าง’ มีจำนวนอันแน่ชัดเท่าไร เพราะเขาเองก็ยังจำไม่ค่อยได้ “เราคุยกันแล้วว่าฌอนจะเข้ามาดูแลฟรอสเตอร์ด้วย เขากำลังเตรียมรับสมัครนักข่าวเพิ่มเพื่อลงพื้นที่ทำข่าวที่ดังที่สุดในตอนนี้”
“ข่าวคนขาวสู้กับพวกอินเดียนแดงป่าเถื่อนน่ะเรอะ! มีสำนักพิมพ์ท้องถิ่นเล็กๆ ที่เรารับซื้อข่าวมาจากพวกนั้นอยู่แล้วนี่ ทำไมต้องลงทุนส่งคนไปเสี่ยงลงพื้นที่ทำข่าว”
“ข่าวของพวกที่มีผลประโยชน์ร่วมเลยช่วยกันเขียนบทขึ้นมาเองสร้างให้ชนพื้นเมืองพวกนั้นเป็นสัตว์ป่าชอบก่ออาชญากรรมร้ายแรงน่ะรึ ผมยังสงสัย คุณอาคงไม่บอกผมนะว่าเชื่อว่าข่าวลือพวกนั้นเพราะคิดว่ามันเป็นความจริง”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่เรื่องจริง ไอ้พวกปีศาจผิวแดงปล้นฆ่าคนของเรา ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมสิ้นดีพวกมันไม่ยอมรับนับถือพระเจ้าเพราะเป็นพวกนอกรีตฉันจะดีใจมากถ้าคนของรัฐบาลต้อนพวกมันเข้าไปอยู่ในเขตสงวนให้หมดเรายอมส่งเสียเสบียงอาหารให้มันยังไม่ยอมสำนึกบุญคุณ”
“ผมน่าจะรู้นะ ว่าคุณอาสนิทกับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคน รวมถึงพวกนายทุนที่วางแผนจะเข้าไปทำเหมืองขุดทองที่แบล็กฮิลล์” ฌอนเอ่ยถึงป่าเขาในรัฐเซาท์ดาโกต้าทางภาคตะวันตกของอเมริกา “อ้อ ยังมีนายพลกับนายทหารอีกสองสามคนท่าทางจะสนิทกันดี…” หนุ่มหล่อไม่ลืมเอ่ยชื่อทั้งนายทหารกับนายพลคนที่ว่า
“ใช่ ฉันได้รับข่าวจากแครวิตซ์เสมอเพราะเขาสนิทสนมกับแบ็บค็อค เลขานุการส่วนตัวของท่านประธานาธิบดีแกรนท์ ท่านนายพลเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ มีผลงานจนได้รับความไว้วางใจจากคนในรัฐบาลเพื่อนของฉันเองก็เป็นนักธุรกิจที่กำลังจะบุกเบิกป่าเขาแถบนั้น คนเถื่อนผิวแดงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทองคำมีค่ามากมายขนาดไหน เขารู้จักอินเดียนแดงกับสำนักงานตัวแทนที่ดูแลคนพวกนั้นดี”
สีหน้าของคนพูดผยองและภาคภูมิใจในมิตรสหายของตนเมื่อกล่าวยกย่องเพื่อนฝูง ขณะมองหน้าหนุ่มรุ่นลูกที่เขาพอรู้ว่าอยู่ในวัยเพียงสามสิบปีเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้จักอะไร “คราวนี้เธอคงรู้แล้วว่าข่าวที่ได้มาไม่ใช่ข่าวสั่วๆ ที่ถูกเขียนขึ้นจากกลุ่มคนที่เธอว่ามา”
“ถ้าอย่างนั้นคุณอาก็ทราบเรื่องที่แครวิตซ์รับหุ้นของบริษัทเครดิตโมบิเลียร์เพื่อแลกเปลี่ยนกับอิทธิพลทางการเมืองที่จะให้ประโยชน์กับบริษัทรถไฟยูเนียนแปซิฟิกที่ตอนนี้กำลังโดนสภาคองเกรสสอบสวน ท่านนายพลของคุณอาเป็นนายทหารที่ทะเยอทะยานกระหายอยากมีชื่อเสียงเขาเรียนจบที่โหล่จากเวสพอยต์ ดีหน่อยที่บ้าดีเดือดสร้างผลงานเอาชนะทหารม้าฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองไว้ได้หลายครั้งจนได้เป็นนายพลตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สุดท้ายก็ถูกลดยศเหลือแค่นายพันโทตอนสงครามจบเลยต้องหาทางกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง”
“เขากลับไปพึ่งนายพลเชอริแดนจนได้กลับไปประจำกองทหารม้าที่ 7 หลังสงครามกลางเมืองยุติไปสองปีแล้วประกาศเจตนารมณ์สนับสนุนกลุ่มนายทุนว่า ‘ยิ่งมีคนขาวมากก็จะยิ่งทำความเจริญให้แก่ท้องถิ่นที่นำไปสู่ความแข็งแกร่งของอเมริกาทั้งประเทศ’ ฟังดูดีเนอะ แต่พวกนายทหารด้วยกันนินทาว่าเขาเป็นพวกอวดดีไม่เคยฟังใคร แถมยังอยากดังเพราะพกนักข่าวไปด้วยทุกที่ พอไม่มีนักข่าวตามไปเขาก็รับเป็นนักข่าวพิเศษเขียนข่าวส่งสำนักพิมพ์เองให้ตัวเองเก่งพิสดารเกินจริงใช้นามปากกาว่าผู้พเนจร... Nomad หนังสือพิมพ์ฮาร์เปอร์วีคลี่ยังเคยรับเรื่องของเขาไปพิมพ์ คุณอาเป็นสื่อน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี”
“มีแต่คนขี้อิจฉาทนเห็นเขาก้าวหน้ากว่าไม่ได้นะสิที่พูดอย่างนั้น เรื่องที่เธอพูดมามีแต่ข่าวลือนายพลได้ตำแหน่งตั้งแต่อายุยี่สิบสามปีเพราะความกล้าหาญในการทำสงคราม เขาช่วยคุ้มครองพวกตั้งรกรากแล้วขับไล่คนเถื่อนไร้วัฒนธรรมที่คอยทำร้ายพวกเราออกไปเพื่อให้คนขาวมีที่ทำกินต่างหากรัฐบาลออกคำสั่งให้เขาจัดระเบียบส่งพวกผิวแดงเข้าไปอยู่ในเขตสงวน จะได้รู้จักทำมาหากิน ปลูกพืชไร่ นับถือพระเจ้าแล้วใช้ชีวิตศิวิไลซ์อย่างพวกเรา แต่พวกนั้นขัดขืนเองเพราะอยากล่าควายป่าประทังชีวิตไปวันๆ แล้วยังคิดจะฮุบแผ่นดินเป็นของพวกมันทั้งหมด”
“เพราะอย่างงั้นเมื่อห้าปีก่อนเขาเลยต้องสังหารหมู่ชาวไชย์แอนน์ที่แม่น้ำวาชิตา สังหารผู้หญิงกับเด็กไม่มีทางสู้ไปร้อยกว่าคนน่ะเรอะ ผมไม่แปลกใจเลยที่อินเดียนแดงรักเขาไม่ลงเห็นได้ชัดว่าเพื่อนของเราคนนี้เป็นนักรบที่กล้าหาญจริงๆ” สีหน้าของคนพูดเย็นชา พอๆ กับน้ำเสียงเย้ยหยันจนโหนกแก้มของคนฟังแดงก่ำเพราะความโกรธ “เท่าที่ผมรู้มา วีรบุรุษของคุณอายังเป็นข้าราชการเงินเดือนน้อยที่อยากจะเป็นเศรษฐี เขาเลยใช้เส้นสายในวงการทหารซื้อลิขสิทธิ์เหมืองราคาถูกมาหลอกขายให้พวกเศรษฐีในราคาแพง ตั้งบริษัทผลิตเกือกม้าคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานแล้วใช้เส้นขายให้กองทัพในราคาเกินจริงส่วนมิลเลอร์เพื่อนนายเหมืองของคุณอาที่ได้ข่าวมาจากท่านนายพลคนนี้ ก็กำลังบุกรุกพื้นที่ที่ยังเป็นของชาวอินเดียนแดงเพื่อเข้าไปขุดทอง”
“เรื่องที่เธอว่ามาไม่มีหลักฐานยืนยันอะไรเลย”
“หลักฐานน่ะมีแน่ อยู่ที่ว่าจะมีคนกล้าเปิดโปงหรือเปล่าแต่ถึงมีจริงคุณอาก็คงสนับสนุนเขาอยู่ดี” ฌอนว่าปนหัวเราะ “เหมือนกับที่คุณอาสนับสนุนการมีทาสมาก่อนเพราะเคยชินกับชีวิตแบบนั้น”
“ผิดอะไรที่ฉันจะสนับสนุนพวกเราเอง อเมริกาอาจจะเลิกทาสมาแล้วเกือบสิบปีเพราะสภาคองเกรสให้สิทธิเท่าเทียมกันกับประชาชนทุกคนที่เกิดในสหรัฐให้คนพวกนี้เป็นคนอเมริกันแต่ไม่ได้รวมถึงพวกผิวแดง จะว่าเราบุกรุกที่ของคนที่ไม่ได้เป็นคนอเมริกันได้ยังไงโลกนี้คนฉลาดต้องควบคุมคนที่โง่กว่าเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว คนเถื่อนโง่เขลาพวกนั้นไม่เคยเอาทองมาใช้ให้เกิดประโยชน์งอกเงย พวกนั้นไม่รู้จักอะไรนอกจากการล่าควายจะผิดอะไรที่เราจะเอามันมาใช้”
“คงไม่ผิดถ้าท่านอดีตประธานาธิบดีจอห์นสันไม่ได้ทำสัญญาว่าจะยกแบล็กฮิลล์ให้เป็นของอินเดียนแดงตลอดกาลตั้งแต่ห้าปีที่แล้วเพราะเห็นว่าที่นั่นคงจะทำประโยชน์อะไรไม่ได้จนกระทั่งมีคนพบทอง คุณอาเองก็คงไม่เห็นแปลกเพราะเป็นคนช่วยออกทุนทำเหมืองให้เพื่อนรักคนนี้ด้วยในฐานะหุ้นส่วน”
“เราแค่ต้องการเข้าไปทำเหมือง ยินดีจ่ายค่าเช่าด้วยซ้ำเราพาเทคโนโลยี อารยธรรมมันสมองของพวกเรากับพระเจ้าเข้าไปให้คนผิวแดงแล้วเอาสิ่งที่ไม่มีค่ากับคนพวกนั้นกลับมาฉันไม่เห็นว่ามิลเลอร์จะทำอะไรผิดว่าแต่เธอรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน” เถียงอย่างดุเดือดมาถึงตอนนี้ เทรเวเลียนจึงชะงักงันไปเพราะเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้มากกว่าที่เขาคิดไปไกลลิบ
“รู้เพราะผมกำลังจะขึ้นมาเป็นประธานฟรอสเตอร์ สื่ออิสระที่ใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กแล้วกำจัดพวกหัวเก่าคร่ำครึกับพวกโลภมากที่รับเงินค่าจ้างมาให้เขียนข่าวมดเท็จแล้วขายข่าวชนิดเดียวกันเพื่อรับเงินเข้ากระเป๋าตัวเองนะสิคุณอาคิดว่าแค่นี้พอหรือยังที่ผมจะมีสิทธิ์เข้ามาทำงานแทนดันแคน”
“วิลเลียมอาจจะบอกเรื่องพวกนี้กับเธอก็ได้” เทรเวเลียนหน้าแดงก่ำ อดสะดุ้งขึ้นมาด้วยความเสียวสันหลังไม่ได้ว่าเขาอาจจะเป็น ‘พวกหัวเก่าคร่ำครึและโลภมาก’ ที่มันเตรียมกำจัด
หนุ่มหล่อยกนิ้วชี้ขึ้นลูบปลายคางเขียวครึ้มเป็นเงาเล่นอย่างขบขัน มองคนที่เถียงและหันไปมองบิดาของเขาอย่างคาดคั้นเมื่อวิลเลี่ยมเอ่ยปฏิเสธ พอดีกับเห็นสาวใช้ที่กลับมายืนแอบลับๆ ล่อๆ ที่ประตูอีกครั้งเพื่อบอกว่าเตรียมน้ำอาบให้เขาเรียบร้อยแล้วเลยลุกขึ้นหันไปหาบิดา “เจอกันพรุ่งนี้สิบโมงเช้าที่บริษัทนะพ่อ ผมจะแจ้งรายชื่อคนที่ต้องไล่ออกเป็นอันดับแรกแล้วเริ่มสัมภาษณ์คนใหม่เข้ามาทันทีหลังจากนั้นเราจะจัดการอะไรให้เข้าที่เข้าทางก่อนที่ผมจะออกเดินทางไปทำข่าวด้วยตัวเอง”
“เธอน่ะเรอะ จะไปทำข่าวด้วยตัวเอง”
“ผมเบื่อความศิวิไลซ์ในนิวยอร์กเต็มทน ชีวิตล้าหลังป่าเถื่อนของพวกผิวแดงที่คุณอาพูดถึงน่ะ ทำให้ผมตื่นเต้นชะมัด” ร่างสูงใหญ่เดินอาดๆ หายเข้าไปจากประตูทันทีหลังจากนั้นโดยไม่มีการร่ำลา
อ่างขนาดใหญ่ทำจากเหล็กหล่อเคลือบพอร์ซเลนสีขาวขอบโค้งมนสวยงามมีขาทองเหลืองสี่ด้านปล่อยควันกรุ่นจากกระไอน้ำลอยอ้อยอิ่งเมื่อชายหนุ่มทิ้งร่างเปลือยลงไปแล้วดีดนิ้วเรียกให้สาวใช้หยิบขวดไวน์ที่เตรียมไว้มารินใส่แก้วที่วางบนโต๊ะเล็กด้านข้าง
หญิงสาวผิวขาวเกือบซีดในชุดเครื่องแบบสีดำกระโปรงยาวกรอมเท้ามีเอพรอนหรือผ้ากันเปื้อนสีขาวคล้องปิดด้านหน้าตั้งแต่ตัวเสื้อลงมาเกือบครึ่งหน้าแข้งรีบเดินเข้ามาพร้อมขวดเหล้าองุ่นในมือ แอบปรายตามองเจ้านายหนุ่มรูปงามที่นอนหลับตานิ่งเห็นแพขนตาดำสนิทงอนเหมือนผู้หญิงแล้วต้องหน้าแดงจัดเกือบทำไวน์หกเมื่อรินน้ำสีอำพันลงในแก้วพลางถามเสียงเบา
“นายท่านอยากให้ดิฉันถูหลังให้หรือเปล่าคะ”
“เธอชื่ออะไรน่ะ”เสียงห้าวเอ่ยถามเอื่อยๆ โดยไม่ได้หันมามอง
“ซินเธียค่ะ” บอกอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นท่อนขาสีบรอนซ์แกร่งข้างหนึ่งที่ชันเข่าครึ่งๆ โดยเอนหลังพิงผ้าสีขาวที่พาดรองบนต้นคอและศีรษะ เผยใบหน้าด้านข้างตั้งแต่ลาดหน้าผากกว้าง สันจมูกโด่งตรงคดตรงกลางนิดๆ หากได้รูปงดงามชวนใจสั่นเข้ากับส่วนอื่นที่เหลือ พอๆ กับร่างกายพ้นน้ำที่ล่ำสันกำยำไปทุกสัดส่วนน่าตื่นตาตื่นใจ
เธอเพิ่งเข้ามาทำงานที่คฤหาสน์ของวินสตัน-รอสส์ได้ไม่กี่วัน ได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับลูกชายคนเล็กของบ้านนี้มานานจากเสียงซุบซิบนินทาของสาวใช้คนอื่นถึงความโลดโผนเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศของเขากับบรรดาสาวๆ มากหน้าหลายตา ครั้นได้เห็นตัวจริงหัวใจของหญิงสาวก็เต้นระรัวด้วยอดหวังไม่ได้ว่า บางที...
“ซินเธีย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขัดจินตนาการของเธอ “ยังไม่มีใครบอกเธอหรือว่าเวลาที่ฉันอยู่ในห้องส่วนตัว ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าใครอีกถ้าไม่ได้สั่งเอาไว้เธอออกไปแล้วเรียกมอร์ริสเข้ามาด้วย” ชื่อของบัตเลอร์จากอังกฤษถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมดึงคนที่ใจลอยสูงด้วยความหวังให้หล่นลงกระแทกพื้นโลกกะทันหัน
“เอ่อ...ม... ไม่ค่ะไม่ใช่อย่างนั้น” ซินเธียเกือบจะมือสั่นทำขวดไวน์หล่นจากมือเมื่อเจอปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่คาดคิด “คุณมอร์ริสบอกแล้วแต่ดิฉันลืมเองคิดว่านายท่านอาจจะต้องคนช่วย”
“เธอไม่ควรจะลืมเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะแกล้งตั้งใจลืม ไม่งั้นเตรียมตัวหางานใหม่ได้เลย”
“ค... ค่ะ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ” บอกพลางรีบวางขวดไวน์ลงบนโต๊ะเล็ก แล้วลนลานถอยกลับออกไปด้านนอก
ต่อเมื่อไวน์หมดเป็นแก้วที่สองจึงมีเสียงเคาะประตูหน้าห้องอาบน้ำเบาๆ และเปิดเข้ามาหลังได้ยินคำอนุญาต ฌอนเหลือบตาขึ้นมองบัตเลอร์ในชุดสูทสีดำแบบมีหางยาวหรือเทลโค้ท ทับอยู่บนเสื้อกั๊กตัวในและเสื้อเชิ้ตที่ผูกโบหูกระต่ายเอาไว้อย่างเรียบร้อยจากห้องเสื้อคอมแพเนียน รองเท้าเป็นหนังตัดเย็บแบบทันสมัยล่าสุดมีส้นสูงนิดหน่อยสีดำ
โจเซฟ มอร์ริสเป็นบัตเลอร์วัยกลางคนชาวอังกฤษที่ทำงานให้ตระกูลวินสตัน-รอสส์ตั้งแต่ตัวเขาเองย้ายมาจากแผ่นดินแม่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนหลังจากที่พ่อครัวคนเดิมเสียชีวิตลง เขาไว้เคราสั้นตามสมัยนิยมตัดแต่งเรียบร้อยดูหรูยิ่งกว่าวิลเลี่ยมพ่อของเขาซะอีก มอร์ริสปรายตามองขวดไวน์และย่นหัวคิ้วนิดๆ แต่ไม่พูดอะไร
“ผมตักเตือนซินเธียไปแล้วเรื่องที่เข้ามาในนี้ตอนที่ท่านยังอยู่”
คนฟังพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ “ไปเรียกช่างตัดเสื้อผ้าใหม่มาวัดตัวฉันด้วยพรุ่งนี้ อีกสามสี่เดือนฉันต้องเดินทางอยากได้ชุดที่ทนทานเหมาะสำหรับการเดินทางสมบุกสมบันเป็นส่วนมากเพิ่ม รองเท้าบูตอย่างน้อยสองคู่เสื้อหนัง เอามีดโกนไปเยอะๆ...” ชายหนุ่มไล่รายการของใช้จำเป็นอย่างละเอียดก่อนตบท้าย “ไปขอชุดทหารจากโจเพื่อนของวินคูป(3)ให้หาไซส์ของฉันมาสักชุด”
“ท่านจะไปไหนนานขนาดนั้นขอรับ แล้วทำไมต้องเอาชุดทหารไปด้วย”
“ไปทำงานตะวันตก คงจะไปหลายรัฐ ชุดทหารอาจจำเป็นในบางครั้ง”
“ผมจะไปหาโจตอนเข้า แล้วเรียกช่างจากบริษัทเข้ามาพรุ่งนี้ตอนบ่าย มีอะไรอีกไหมครับ”
“ห้ามส่งสาวใช้ขึ้นมาทำงานบนนี้อีกนายน่าจะรู้กฎนี้ดีนะ”
“ขอโทษด้วยครับท่าน ความจริงผมให้คนรับใช้ผู้ชายขึ้นมา แต่เขาคงโดนซินเธียกล่อมจนยอมให้เธอขึ้นมาแทน” มอร์ริสกลืนน้ำลาย ไม่อยากเล่าว่าคนรับใช้ผู้ชายในบ้านโดนซินเธียที่เพิ่งมาทำงานหว่านเสน่ห์กันถ้วนหน้า สาวรับใช้คนใหม่หน้าตาสะสวยเป็นหลานสาวของแม่ครัวที่เพิ่งเดินทางมาจากฝรั่งเศสได้ไม่นาน
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นจนทำให้แม่สาวใช้ของนายขึ้นมาถึงบนนี้ รู้แค่ว่าถ้ามีการทำผิดกฎเพราะตั้งใจเป็นครั้งที่สองก็ต้องไล่ออก คงหาคนทำงานแทนไม่ยาก”
“ครับท่าน”
“เตรียมชุดด้วย ฉันจะออกไปที่สโมสร”
“พรุ่งนี้ท่านมีประชุมที่บริษัทไม่ใช่หรือครับ” มอร์ริสถามอย่างเกรงใจสีหน้าสุขุม
“ฉันทำงานสิบแปดชั่วโมงมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ขอไปผ่อนคลายหน่อย ไม่กลับดึกมากหรอกน่า” บอกอย่างเบื่อๆ เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งของพ่อบ้าน
คนฟังถอนใจ หยิบไวน์มารินเพิ่มให้และเดินออกไปเตรียมเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน
ฌอนอาจกลับไม่ดึกอย่างที่พูด แต่บางทีจะหายไปทั้งคืนและกลับมาอีกทีในตอนเช้า หรือบางครั้งก็สองสามวันถ้าไปติดพันใครเข้า เคยมีหนักสุดเป็นอาทิตย์หากเกิดขึ้นเพียงนานๆ นับครั้งได้ แต่การ ’ผ่อนคลาย’ ของเขาไม่เคยอยู่นานเกินหกเดือนเป็นอย่างมาก ไม่เคยมีสตรีหรือกุลสตรีคนไหนทำให้พยัคฆ์หนุ่มสิ้นลายได้
ครอบครัวที่ยึดถือศีลธรรมเคร่งครัดหรือพวกเคร่งศาสนาจะพยายามกันลูกสาวเอาไว้ให้หันไปมองสุภาพบุรุษคนอื่นเพราะทนรับพฤติกรรมของหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ได้ แต่ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้รังเกียจแม้จะได้ยินชื่อเสียงฉาวโฉ่จากลูกชายคนเล็กของตระกูลวินสตัน-รอสส์เพราะสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์เป็นเจ้าพ่อสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดในนิวยอร์ก หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสื่อที่กว้างขวางที่สุดในอเมริกา
ฌอนจบการศึกษาขั้นต้นจากคิงส์ สคูลซึ่งเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียงในแคนเทอเบอรี่ประเทศอังกฤษและกลับมาเรียนต่อในโคลัมเบียคอลเลจขณะที่เริ่มทำธุรกิจกับเพื่อนสนิทชื่อเอ็ดเวิร์ด แคร์ริงตันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบโดยที่อีกฝ่ายจบออกมาและเปิดบริษัทก่อน เมื่อกิจการเริ่มไปได้ดีก็มีการก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาอีกหลายบริษัทโดยแคร์ริงตันทำหน้าที่ฝ่ายบริหารและออกหน้าแทนเพื่อนรุ่นน้องที่ชอบลงมือช่วยวิศวกรดูแลเครื่องจักรกับวางแผนงานมากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนั้นคนส่วนมากจึงไม่รู้ว่าหุ้นส่วนใหญ่อีกคนที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเองคือใคร
กระทั่งวิลเลี่ยมเองก็แทบไม่เคยเข้ามาสนใจการงานของลูกชายคนเล็กนอกจากช่วยเหลือเรื่องเงินในการเปิดบริษัทแรกให้เพียงครั้งเดียวเพราะยุ่งกับการบริหารกิจการสำนักพิมพ์ฟรอสเตอร์กับดันแคน
พี่ชายและน้องชายแม้นิสัยต่างกันแต่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ คนเป็นพี่สุขุมเยือกเย็นและเป็นงานเป็นการ แต่งงานมีภรรยาและลูกชายอายุได้แปดขวบก่อนที่จะจากไปก่อนเวลาอันควรจนทิ้งความโศกเศร้าให้กับคนในครอบครัวและความหวาดหวั่นให้คณะกรรมการผู้ถือหุ้นฟรอสเตอร์ไว้เบื้องหลัง
คนเป็นน้องยังโสด ขี้เล่น มุทะลุและชอบทำตัวเสเพลทุกครั้งที่มีโอกาส โอกาสที่ว่ายังเป็นเพียงโอกาสเดียวที่คนชั้นสูงในสังคมนิวยอร์กส่วนมากมองเห็นเขา ชื่อเสียงของสองพี่น้องจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายคนคาดเดาว่าตำแหน่งท่านประธานฟรอสเตอร์อาจจะต้องเปลี่ยนมือไปหาหุ้นส่วนคนอื่นด้วยซ้ำเพราะวิลเลี่ยมป่วยกระเสาะกระแสะ ทำงานไม่ได้เต็มที่มาหลายปีหลังจากตรอมใจเพราะภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคร้ายไปนับสิบปีก่อนหน้า
อาจจะมีแค่วิลเลี่ยมกับมอร์ริสที่รู้ว่า ดันแคนชอบเล่าเรื่องงานให้ฌอนฟัง ปรึกษาและไหว้วานน้องชายให้ช่วยงานเขานับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะการหาข่าวเพราะคนเป็นน้องรู้จักคนมากและมีสายข่าวที่ดีจากเพื่อนฝูงในสโมสรที่เขาสนิทสนมด้วย บางครั้งเครื่องมือทันสมัยที่ผลิตจากบริษัทวิศวกรรมของคนเป็นน้องยังทำให้ได้ข่าวดีๆ มาหลายชิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแม้ไม่เคยเข้าไปทำงานอย่างจริงจังที่ฟรอสเตอร์ ฌอนจึงรู้ความเป็นไปทั้งหมด รวมถึงรู้จักคณะกรรมการบริหารทั้งชุด นักข่าว บรรณาธิการและพนักงานเกือบทุกคนของบริษัทเป็นอย่างดี
มอร์ริสรออยู่ราวสิบห้านาทีที่รู้ว่าเป็นเวลาปกติที่เจ้านายหนุ่มจะใช้ในการอาบน้ำในแต่ละครั้งจึงกลับเข้าไป
“นายให้คนเตรียมรถม้าไว้ได้เลย ฉันแต่งตัวแค่สิบนาที” ฌอนบอกแล้วลุกขึ้นรับผ้าเช็ดตัวสีขาวจากมือของบัตเลอร์มาซับน้ำแล้วเดินไปหยิบแปรงสีฟันทำมาจากขนแบดเจอร์ด้ามไม้ใช้กับยาสีฟันที่ทำมาจากส่วนผสมของน้ำผึ้ง ผงไม้หอมที่ช่วยรักษาเหงือก ถ่านและชอล์กตรงอ่างล้างหน้าที่สาวใช้เตรียมเอาไว้แต่ข้างๆ ยังมีขวดยาสีฟันของคอลเกตแอนด์คัมปะนีแบบผงมีกลิ่นหอมที่เพิ่งผลิตออกมาขายในปีนี้ที่เจ้าของห้องจะใช้สลับกันบ้างตามอารมณ์
มอร์ริสพูดไม่ออก เพราะเคยพยายามดูแลหนุ่มน้อยที่กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวในตอนนี้ให้เข้ากรอบมานานแม้จะรู้ว่าเป็นความพยายามที่สูญเปล่า แต่ยังอุตส่าห์ถามตามหน้าที่ “ท่านอยากให้ผมไปด้วยหรือเปล่าครับ”
ฌอนดึงแปรงออกจากปากหลังเงียบไปเกือบสองนาทีแล้วก้มลงบ้วนปาก “ฉันไม่ได้นึกสนุกเวลาที่มีใครไปคอยนายน่าจะรู้ เว้นแต่นายจะยอมเข้าไปด้วยกัน” บอกพลางส่งรอยยิ้มชั่วร้ายชนิดหนึ่งที่ทำให้คนถูกมองกลอกตาไปมา
“สุภาพบุรุษไม่ควรไปในสถานที่แบบนั้น”
ชายหนุ่มหลุดเสียงหัวเราะลั่น “แล้วสุภาพบุรุษต้องไปไหน”
“นายท่านอยากให้ท่านแต่งงานสร้างครอบครัวเสียทีเพราะอายุพอสมควรแล้ว นายท่านคงอยากเห็นทายาทของวินสตัน-รอสส์รุ่นใหม่ให้อุ่นใจเพราะคุณดันแคนก็จากไปแล้ว”
“ก็ยังเหลือหลานชายของฉันไง”
“มาสเตอร์ดีเจเพิ่งอายุแปดขวบ” มอร์ริสเรียกชื่อเล่นสำหรับคนในครอบครัวของ ดันแคน จูเนียร์ วินสตัน-รอสส์ ลูกชายของดันแคน
“สักวันเขาก็จะโตขึ้นมาทำหน้าที่แทนพ่อกับอา ฉันยังไม่อยากมีครอบครัว”
“สุภาพสตรีที่ท่านคบหามีตั้งหลายคน ท่านไม่นึกอยากแต่งงานกับใครสักคนหรือครับ”
“ใครดีล่ะ โจเซฟ” ชายหนุ่มยักไหล่ เดินผ่านชายที่สนิทกันเหมือนเป็นเพื่อนเข้าไปแต่งตัวอย่างรวดเร็วด้วยเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายวางพาดเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากพ่อบ้านที่ยังคงเสนอตัวทำให้เช่นทุกครั้ง
“งานเลี้ยงครั้งที่แล้วท่านเต้นรำอยู่กับมิสแครวิตซ์ตั้งนาน”
รอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นบนโค้งริมฝีปากหยักสวย “ลูกสาวของจอห์น แครวิตซ์น่ะเรอะ นายคงไม่รู้ล่ะสิว่าแบรดลีย์กำลังตามเกี้ยวพาเธออยู่อาเฮนรีหวังเอาไว้มากว่าคู่นี้จะลงเอยกัน”
“จะเป็นไปได้ยังไงขอรับก็ในเมื่อ...” ประโยคนั้นชะงักไปเพราะรู้การควรไม่ควร มองใบหน้าคมเข้มที่ไม่เดือดร้อนใจของคนที่กำลังแต่งตัวอย่างอึดอัด “ท่านน่าจะเตือนคุณแบรดลีย์”
ถ้าอย่างนั้น เขาคงต้องเตือนผู้ชายอีกอย่างน้อยครึ่งโหลที่กำลังมาติดพันเธอในนิวยอร์กชายหนุ่มยักไหล่หลังจากติดกระดุมเสื้อกั๊ก ใส่เข็มขัดแล้วเหน็บปืนพกสั้นเว็บเลย์ดับเบิ้ลแอ็คชั่นไว้บริเวณที่เก็บในช่องตรงต้นขาและใส่เสื้อสีน้ำตาลตัวนอกเข้าไปโดยไม่ติดกระดุม ใช้น้ำมันเสยผมให้เข้ารูปด้วยมือสองสามทีก่อนจะหันมามองบัตเลอร์สูงวัยกว่าราวยี่สิบปีที่เลี้ยงดูตนมาในฐานะพี่เลี้ยงและทำหน้าที่พ่อบ้านไปด้วย
“สุภาพบุรุษไม่ควรเอาความลับของสุภาพสตรีมาพูด” ชายหนุ่มทวนคำสอนที่ติดปากมอร์ริสอย่างล้อเลียน
“แต่คุณแบรดลีย์เป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว” น้ำเสียงเป็นเชิงเตือนกลายๆ ทำให้คนฟังเบ้ปาก
“เอาเถอะ ฉันจะพยายามก็แล้วกันถ้าแบรดลีย์จะไม่ได้ขอเธอแต่งงานไปซะก่อน”
“ท่าทางเธอ....ชื่นชมท่าน” คนพูดพยายามเลือกใช้คำที่สุภาพ “คงไม่ตกลงกับคุณแบรดลีย์ง่ายๆทำไมท่านไม่อยากแต่งงานกับเธอล่ะครับ”
“แล้วเราก็เบื่อกันแทบตายหลังจากผ่านไปแค่ปีสองปีน่ะเรอะ” อย่าว่าแต่ปีสองปีเลย อันที่จริงตอนนี้เขาก็ไม่นึกพิศวาสผู้หญิงที่กำลังเอ่ยถึงอีกแล้วโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าแบรดลีย์กำลังตกหลุมเสน่ห์ของเธอ
จูเลีย แครวิตซ์ เป็นสุภาพสตรีวัยสิบเก้าปีที่สวยหมดจดจนเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย เธอถูกส่งไปเรียนในคอนแวนต์ที่ฝรั่งเศสหลายปีก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองและย้ายมาอยู่นิวยอร์กเป็นการถาวร เขารู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตากันในงานเลี้ยงว่าสาวน้อยคนนั้นไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนกิริยาที่เธอแสดงออกต่อสายตาคนอื่น
ความคิดเห็น