จดหมายลับจากหยดน้ำ...ตอน ทำดีได้ดีจริงหรือ?! - จดหมายลับจากหยดน้ำ...ตอน ทำดีได้ดีจริงหรือ?! นิยาย จดหมายลับจากหยดน้ำ...ตอน ทำดีได้ดีจริงหรือ?! : Dek-D.com - Writer

    จดหมายลับจากหยดน้ำ...ตอน ทำดีได้ดีจริงหรือ?!

    ใครเคยถามตัวเองบ่อยๆว่าทำดีได้ดีจริงรึเปล่า...นี่ก็เป็นคำถามที่ตัวผมเคยคิดไม่ตก พอเอาคำตอบที่นนั่งนึกนอนนึกแล้วก็หกสูงนึกมารวมๆกัน จนได้เป็นบทความเล็กๆนี้ ยังไงก็ช่วยอ่านกันหน่อยนะครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    232

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    232

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ต.ค. 56 / 15:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    กว่าผมจะตัดสินใจเรียบเรียงเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลาเป็นปี...จดหมายที่ผมรวบรวมมาเป็นจดหมายที่ผมเขียนเก็บไว้ คล้ายๆไดอารี่ทางความคิด ตัวผมอาจจะไม่ใช่คนที่เขียนดีสักเท่าไหร่ ในบางความคิดอาจดูไร้สาระ แต่ตัวผมก็อยากจะสื่อถึงความคิดออกไปในฐานะ...หยดน้ำ

     

    ....จากบทความนี้ผมอยากขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้จริงๆครับ



    (เกิด แก่ เจ็บ...ตาย ทุกสิ่งล้วนเป็นของจริง)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      จาก หยดน้ำ 
               ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ ซึ่งแต่ล่ะศาสนาก็มีแนวทางการสั่งสอนที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะสอนอย่างไรสุดท้ายทุกศาสนาก็ต้องการให้ทุกคน “ทำดี”

      ตัวผมเป็นชาวพุทธมาแต่กำเนิด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นชาวพุทธมาได้อย่างไร ตั้งแต่จำความได้ผมก็จะถูกคุณยายพาไปวัดเสมอ ผมเป็นคนชนบท บ้านผมอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งยังใช้ชีวิตกันแบบบ้านริมน้ำไม่ต่างจากสมัยก่อนมากนัก อาจเป็นเพราะผมคลุกคลีอยู่กับวัดตั้งแต่เด็กก็เป็นได้ ทำให้ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของศาสนาที่เริ่มเสื่อมลงไปตามกาลเวลา

      -ทุกคนคงเห็นด้วยกับผม ในข้อนี้-

      ตัวผมเคยสงสัยว่า “ทำดี”นั้นได้ดีเสมอไปหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่ที่ผมพบเห็นก็คือพวกทำชั่วแล้วได้ดี แถมในช่วงนั้นยังมีประโยคเด็ดที่ทำให้ผมเริ่มเขวไปเหมือนกัน คือประโยคที่ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป” คนดีบางคนต้องทรมาน ในขณะที่คนชั่วบางคนกำลังชื่นชมกับเงินทอง ทุกคนคงเห็นที่ผมเน้นว่า “บางคน” เพราะไม่ใช่ทุกคน (คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มหรอกนะครับ)

      ผมว่าประเทศไทยโทษนั้นดูอ่อนแอ เอิ่ม...ผมว่าด้วยความรู้สึกนะ ผมคงไม่โดนจับใช่ไหมครับ อย่างที่พวกเรารู้ๆกันว่าประเทศของเราเป็นประเทศที่มีแต่คนจิตใจดีมีเมตตา(แม้ในปัจจุบันจะหายากเต็มที)แต่ด้วยพื้นฐานของคนไทยที่มีความเมตตา ทำให้กลายเป็นช่วงโหว่ในการที่พวกคนไม่ดีจะทำชั่ว เพราะพวกเขารู้ว่าแม้ทำผิดจะถูกทำโทษสักวันเขาก็ได้ออกมา แต่ผมไม่ได้ว่าคนที่เคยทำผิดไม่ดีนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผู้คนบนโลกคงจะเลวกันไปหมด ผมว่าคนที่แสนจะสมบูรณ์แบบก็ต้องมีจุดๆหนึ่งที่เคยผิดพลาดทั้งนั้น

      ผมเคยดูละครเรื่องหนึ่ง จริงๆผมไม่ค่อยติดละครสักเท่าไหร่ (แค่ดูคั้นเวลาดูการ์ตูนเฉยๆนะครับ) แต่พอดูแล้วเอามานั่งคิดเล่นๆ คิดไปคิดมาก็นานเป็นปีเลยกว่าจะได้คำตอบ

      “สวรรค์งั้นหรอ ถ้าสวรรค์มีจริงทำไมฉันยังไม่ตายๆไปล่ะ แถมไอ้พวกคนแบบฉันยังมีเกลื่อนเต็มไปหมด” นี่เป็นประโยคของตัวร้ายในละครเรื่องนั้น ผมพยายามค้นหาคำตอบในตำราแต่อ่านแล้วก็รู้สึกยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง จนบางครั้งผมก็เชื่อในคำพูดนี้

      แต่ในที่สุดผมก็หาคำตอบของมันได้ ในช่วงที่ผมเจอคำตอบคือช่วงที่ผมไม่ค่อยอยากจำสักเท่าไหร่ ตอนนั้นในความรู้สึกของผมคืออยากตายไปให้พ้นๆ มันเป็นช่วงผมสอบเข้าม.๑ ที่โรงเรียนใหม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปสอบหลายที่เหมือนคนอื่น ผมมุ่งตรงที่จุดเดียวคือโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งรับเด็กในส่วนที่ผมคิดว่ามันน้อยกว่าโรงเรียนอื่นแม้ข้อสอบเข้าจะไม่ได้ยากถึงโรงเรียนสาธิต

      แต่สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่กดดันมาก เพราะหากเข้าไม่ได้ ผมอาจต้องไปเรียนโรงเรียนวัด หรือไม่ก็อาจไม่ได้เรียนอีกเลย สาเหตุที่ผมไม่อยากเข้าโรงเรียนวัดไม่ใช่ผมดูถูกว่ามันไม่ดีนะครับ ผมแค่กลัวใจตัวเองจะไม่สามารถพุ่งตรงไปยังการเรียนได้อย่างเต็มที่ ตอนนั้นผมจึงกดดันมาก เหมือนกับว่าถ้าสอบเข้าไม่ได้ต้องตายแน่ๆ(ซึ่งผมยังนึกไปถึงการสอบเข้าเรียนต่อม.๔และมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก)

      ในขณะที่อีกไม่กี่อาทิตย์ตัวผมต้องสอบเข้าม.๑ คุณยายที่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง(อันนี้เรื่องจริง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ)ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ว่าคุณยายที่แข็งแรง ชอบทำงานหนัก ปีนต้นไม้ ซ่อมท่อ ต่อจรวด ตรวดดวงจันทร์ จะเป็นโรคร้ายแรงแบบนี้ได้

      หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจ ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นคือการชดใช้กรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่าการที่ไม่เกิดอีกแล้วคือความสุขที่แท้จริง พอผมมานั่งๆนอนๆคิดผมก็รู้สึกว่า บางทีการมีชิวิตอยู่ก็เหมือนกับเรามีเงินอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งคนอื่นอาจมีมากกว่าเรา แต่เรากลับมัวคิดว่าเราจะทำยังไงให้เงินของเราเพิ่มขึ้น ให้เงินของเราปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเงินนั้นมันจะเพิ่มหรือมันจะลดมันก็เอาไปใช้ต่อในนรกไม่ได้อยู่ดี

      คุณลองนึกภาพของวิญญาณที่หิวบุญ เดินมาหาท่านยมบาลแล้วถามว่า

      “บุญนี้ราคาเท่าไหร่” ท่านยมบาลก็ตอบกลับไปว่า

      “ราคามากกว่าเงินที่ท่านมีอยู่”

      “งั้นท่านช่วยลดราคาให้ผมหน่อยได้ไหม เอาให้พอกับเงินของผม”

      “ลดให้น่ะได้ แต่ไหนล่ะเงินของคุณ”เป็นอันจบการสนทนาอันแสนมั่วซั่ว

                บางครั้งผมเคยลองนึกนะว่าถ้าพวกคนไม่ดีตายที่เดียวพร้อมกันนรกจะแตกไหม? ผมว่ามันคงจะอารมณ์เดียวกันกับส้วมแตกนั่นแหละ ทีนี้ท่านพยายมก็คงต้องเปลืองค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะค่ากระทะทองแดง ค่าเลี้ยงดูต้นงิ้ว ค่าจ้างคนมาขุดหลุมนรกเพิ่มอีก นรกคงจะวุ่นวายน่าดู

                สรุปเลยดีกว่า ผมรู้ว่าทุกคนคงจะเบื่อผมแล้ว ตัวผมเองตอนนี้ก็ไม่รู้หรอกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า เพราะถ้าผมรู้ผมคงไม่มานั่งเขียนอะไรไร้สาระอย่างตอนนี้หรอก ผมคงจะรีบไปทำบุญเตรียมซื้อปีกนางฟ้าบินขึ้นสวรรค์อย่างภาคภูมิ

       แต่ผมว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผมว่ามันต้องมีปัญหาอะไรมากกว่ากลัวสอบไม่ติด มากกว่าโดนพรากคนที่รักไป ตัวผมก็ไม่รู้หรอกว่าพอถึงตอนนั้นผมจะทำยังไง แค่ในตอนนี้ผมรู้ว่าต้องเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าวันนี้เป็นแน่แท้ บางทีผมอาจจะถอยออกมาสักก้าว ก่อนจะก้าวผ่านมันไปอีกครั้ง

      ผมว่าคนเราน่ะท้อแล้วถอยได้เสมอ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เราก็สามารถเดินต่อไปได้อีกครั้ง ดีกว่าการมานั่งคิดว่าเราไม่สามารถถอยได้จนทำลายชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวของตัวเองลงไป บางทีถอยมาสักก้าวเพื่อดูความผิดพลาด ก่อนจะเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่น...

      -ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ อาจจะน่าเบื่อแต่ผมก็อยากให้อ่านดู

      เพราะตัวผมเป็นพวกทำอะไรไม่เอาไหนเลยสักอย่าง

      ขอแค่มีคนอ่านแค่คนเดียวผมก็ดีใจจนวิ่งรอบบ้านสามรอบแล้วล่ะครับ-
       

       ปล.อ่านแล้วช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×