ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่อง ผี ตำนาน ความเชื่อ เรื่องประหลาด เร้นลับ

    ลำดับตอนที่ #3 : [ความเชื่อ] ความเชื่อของคนโบราณ

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 54


    เครดิต (ต้องขอบคุณมากๆเพราะไม่เคยรู้เหมือนกัน แหะๆ) http://www.thaiwriter.net/forum01/index.php?topic=4177.0

    ปล.บทนี้ มีเหตุผลมาประกอบด้วย เจ้าของเครดิตเจ๋งมากเลยอะ (อย่าลืมไปขอบคุณนะ เหอะๆ(ไปอ่านของเจ้าของก็ยังดีเพราะให้เขามีกำลังใจ)(เราไม่ได้เป็นสมาชิกเลยเม้นท์ไม่ได้ โทดค้า)

    1. เห็นคนตาแดงให้แลบลิ้นแก้เคล็ด 
      
        ในสมัยที่ยังเป็นเด็กหลายคนคงเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า เวลาเห็นคนตาแดงอย่าเข้าไปใกล้ให้แลบลิ้นใส่ จะได้ไม่เป็นโรคตาแดง แล้วคุณหล่ะคิดอย่างไรกับอุบายเหล่านี้

       เมื่อมานั่งวิเคราะห์กันดีๆแล้วคุณจะสามารถเข้าใจได้ว่าการที่เราแลบลิ้นใส่คนที่เป็นโรคตาแดงนั้น หาได้เป็นการป้องกันไม่ให้ติดโรคตาแดงไม่ แต่ลักษณะการแลบลิ้นใส่ผู้ที่เป็นโรคตาแดง เป็นการแสดงให้ผู้ที่เป็นตาแดงรู้ว่าเราไม่อยากเข้าใกล้ ให้อยู่ห่างๆจากคนอื่น เพราะเชื้อตาแดงสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสหรือการใช้ของร่วมกันนั่นเอง

       ด้วยการกระทำเช่นนี้คนที่เป็นตาแดงจะรู้สึกว่าตนเองเป็นที่น่ารังเกียจจนเพื่อนต้องแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ และไม่กล้าเข้าไกล้เพื่อนหรือคนอื่น จึงเป็นการควบคุมโรคไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นนั่นเอง

    2. ตากุ้งยิงเพราะแอบดูหญิงอาบน้ำ 
      
    คนที่ชอบแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ จะถูกขู่ว่า "ระวังนะ...ตาจะเป็นกุ้งยิง" บางครั้งก็ช่วยลดพฤติกรรมล่อแหลมลงไปได้บ้าง แต่ก็น่าติดตามต่อไปว่ามีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้อยู่หรือไม่

        คนที่ไปแอบดูคนอาบน้ำตามห้องน้ำแล้วเกิดอาการตากุ้งยิง เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงนะครับ จึงกลายเป็นความเชื่อโบราณที่มีผู้เชื่อมากทีเดียว เรื่องจริงๆ ก็คือขบวนการแอบดูของคนสมัยก่อนนั้น มักจะปฏิบัติการแอบดูที่ห้องน้ำแบบเก่า ที่เป็นข้างฝาไม้บ้าง มีร่องมีรูต่างๆบ้าง

        คนที่จะแอบดูก็ต้องมองลอดช่องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเชื้อโรค ตลอดจนความสกปรกหมักหมมทั้งหลายทั้งปวง ใครที่แนบดวงตาของตัวเองลงบนช่องพวกนี้ก็จะได้รับสิ่งสกปรกมาติดอยู่ที่บริเวณเปลือกตา และเชื้อโรคเหล่านี้เองที่เป็นสาเหตุของอาการตากุ้งยิง

        อีกประเด็นหนึ่งก็คือ คนที่ไปแอบดูเขาอาบน้ำ มักต้องกระทำในเวลากลางคืน เพื่อป้องกันคนเห็นและถูกจับได้ การปฏิบัติการตอนกลางคืนนี่แหละที่ทำให้เกิดการอดหลับอดนอน และการอดหลับอดนอนก็ทำให้ความต้านทานเชื้อโรคของร่างกายต่ำ โอกาสจะเกิดตากุ้งยิงก็มีมากกว่าคนทั่วไป 
     
    3. ตากผ้าตอนกลางคืนจะเจออาเพท 
      
    การตากผ้าสมัยโบราณจะทำราวตากผ้าไว้กลางแสงแดด ผ้าที่ตากจะแห้งเร็ว คนสมัยโบราณเชื่อว่า หากปล่อยผ้าที่ตากท้งไว้นอกชายคาเรือนหลังพระอาทิตย์ตกดิน เชื่อว่า ผีจะใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดเลือกจากปากหลังจากที่ได้กินเลือดสัตว์เลือดคนมาแล้ว

       ซึ่งจะทำให้คนในครอบครัวได้รับเพทภัยได้ ดังนั้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน คนสมัยก่อนจะรีบเก็บผ้าเข้ามาไว้ในเรือนก่อนถ้าผ้าซิ่นใดยังไม่แห้งจึงค่อยนำมาตากใหม่ในวันรุ่งขึ้น

        อุบายโบราณนั้น หลายครั้งเรานึกดูถูกอยู่ในใจว่าเก่าแก่เหลือเกิน แต่ถ้าใช้ปัญญาในทางกว้างและมองลึกซึ่งลงไปมักพบมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น รวมทั้งอุบายที่ห้ามขาดมาแต่ครั้งโบราณว่า จงอย่าตากผ้าข้ามคืนหรือในเวลากลางคืน

        เหตุผลที่๑ คือการป้องกันไม่ให้ผ้าเปื่อย ผ้าสมัยก่อนเป็นผ้าทอมาจากฝ้ายเกือบทั้งนั้น ตกกลางคืนเมื่อสัมผัสกับน้ำค้างที่มีความเค็มสูง ผ้าจะเปื่อยเร็วกว่าปกติ 

        เหตุผลที่๒ คือเมื่อเราตากผ้าไว้ในราว ลมจะพัดจนผ้าพลิ้วปลิวไปมา สัตว์เลี้ยงของเราโดยเฉพาะหมาก็กระโดดกัดเอาผ้าลงมาเล่น จนผ้าขาดเสียหาย

        เหตุผลที่ ๓ คือราวตากผ้ามักจะหลบอยู่หลังบ้านหรือในซอกในหลืบ ในเวลามืดค่ำก็เสี่ยงต่องูเงี้ยวเขี้ยวขอที่ไปแอบซ่อนตัวอยู่ ก็เลยห้ามรวมเสียเลยว่าห้ามตากผ้าข้ามคืนหรือกลางคืน

    4. ห้ามนอนตอนหัวค่ำ 
       
    นับว่าหลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับข้อห้ามของคนโบราณที่เรานั้นเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ซึ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอนและเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย

         วันนี้ขอกล่าวถึงความเชื่อในเรื่องของการนอนในช่วงหัวค่ำก็แล้วกัน ทำไมถึงห้ามนอนตอนหัวค่ำ และการนอนตอนช่วงหัวค่ำจะส่งผลอะไรกับผู้นอน

        ตามความเชื่อของคนโบราณนั้น มีการห้ามนอนตอนหัวค่ำ เพราะกลัวตะวันทับตาเมือนอนแล้วจะไม่อยากตื่นหรือเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าวันไหนเป็นวันไหน   

      เมื่อมองในอีกแง่มุมหนึ่งการห้ามนอนในตอนหัวค่ำก็เพื่อไม่ให้คนนอนตอนโพล้เพล้ เดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับ แล้วคนโบราณเป็นคนนอนแต่หัวค่ำ ถ้านอนตอนเย็นแล้วตื่นแล้วนอนใหม่จะนอนหลับยาก เขาจึงออกกุศโลบายมาแบบนี้นั่นเอง

    5. ตอนกลางคืนถ้ามีคนเรียกอย่าขานรับ

    ความเชื่อที่ว่าตอนกลางคืนได้ยินเสียงเรียกอย่าขานรับ เพราะวันรุ่งขึ้นจะตาย อาจจะเป็นเพราะมีโจรขึ้นบ้าน ทำให้ผู้ใหญ่เกรงว่าเด็กจะถูกทำร้าย จึงไม่ให้ขานรับ เดี๋ยวโจรจะรู้ว่ามีเด็กอยู่

    6. นอนหงายระวังฟ้าจะผ่า 
      
    ความเชื่อของคนโบราณในสมัยก่อนเกี่ยวกับเรื่องของการนอนหงายนั้น ที่ห้ามนอนหงายเพราะเกรงว่าคนนอนไม่ระมัดระวัง เพราะคนนอนหลับจะไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ถึงความงาม หรือไม่งามของตนเองขณะหลับสนิท

        คนนอนหลับสนิท จึงไม่ต่างไปจาก คนนอนตายเลย บางคนนอนอ้าปาก น้ำลายไหล หลับตาไม่สนิท นอนผ้าเปิด คิดดูนะ ถ้าเป็นผู้หญิงสมัยก่อน ใส่ผ้าถุงนอนหงาย แล้วเปิดพัดลม อะไรมันจะเกิดขึ้น คนนอนข้าง ๆ คงไม่เป็นอันหลับอันนอนกันละนะ เพราะการนอนแบบนี้มีลุ้นนะ

        ถ้าเคยอ่านพุทธประวัติ จะเห็นว่า จากท่านอนนี้ มีผลทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ต้องปลง จนถึงออกบวชมาแล้ว และการที่บอกว่านอนหงายแล้วฟ้าผ่า ก็เพื่อให้เด็ก ๆ กลัว ไม่กล้านอนหงาย เปลี่ยนเป็นนอนตะแคง ซึ่งผิดจากหลักการแพทย์ปัจจุบันที่แนะนำให้ นอนหงาย เพราะเป็นท่านอนอิสระ ไม่ทับเส้นสาย ทำให้นอนหลับสบาย และต้องไม่หนุนหมอนสูง ยิ่งถ้าใครนอนราบกับพื้น โดยไม่ต้องใช้หมอน จะทำให้ไม่แก่เร็ว เพระผิวหน้า และลำคอ จะไม่ย่นเหมือนนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่ง

        แต่ถ้าตามหลักความจริง ท่าจะนอนให้สบายคือนอนตะแคงขวา และกอดหมอนข้าง ท่านี้จะเป็นท่าที่นอนสบาย และหลับสนิท และไม่ดูน่าเกลียดเหมือนนอนหงายเพราะดูแล้วไม่งามตา

    7. ความเชื่อเรื่องห้ามเล่นของมีคมเวลากลางคืน 
      
       เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่บอกต่อๆ กันมาว่า ไม่ให้เล่นของมีคม ตอนกลางคืน เช่น ดาบ มีด ขวาน เป็นต้น เพราะอาจโดน บาดหรือแทงได้ 
        
         เพราะตอนกลางคืนมันมืดเราจะมองเห็นสิ่ง ต่างๆรอบข้างไม่ค่อยชัด หรือเล่นๆ กันอยู่ อาจพลาดพลั้ง ไปแทงผู้อื่นได้ ที่เรียกกันว่า “ผีผลัก” 

         ในสมัยก่อนเวลากลางคืนไม่มีไฟฟ้าเหมือนปัจจุบัน พอตะวันตกดินแสงสว่างส่วนมากจึงมาจากกองไฟ ซึ่งไม่สว่างเท่าที่ควร หากเล่นของมีคมแล้วพลาดไปเหยียบอะไรบนพื้น เข้า อาจจะทำให้หลุดมือไปทิ่มแทงคนอื่นได้โดยง่าย

    8. ความเชื่อฝันฟันหักจะเสียญาติผู้ใหญ่ หรือเสียคนรัก 
       
    เชื่อหลายคนนั้นคงเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของการฝันเกี่ยวกับฟันหักมาบ้างแล้ว บางคนก็เชื่อหรือไม่บางคนก็ไม่เชื่อเลย ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลเช่นกัน

    อาทิ

        คนสมัยโบราณพูดกันว่าคนใดที่ฝันว่าฟันหัก หมายความว่า ญาติผู้ใหญ่จะตาย และไม่เพียงคนไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในเรื่องนี้

        ทางฟิลิปปินส์เขาก็เชื่อกันว่า ถ้าฝันว่าฟันหัก เป็นลางบอกว่าญาติสนิทจะตายในไม่ช้า แต่เขามีวิธีแก้ด้วยการเอาฟันไปกัดกิ่งใดกิ่งหนึ่งของต้นไม ้แล้วนำกิ่งไม้นั้นไปขายให้ให้กับคนอื่น เขาเชื่อว่าทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ความฝันนั้นไม่กลายเป็นความจริง

        ที่ซาราวัคพวกไดยัคก็เชื่อเรื่องความฝันแบบนี้เหมือนกัน พวกไดยัคเขามีวิธีแก้ฝันไม่ให้เป็นจริง คือเมื่อใครฝันว่าฟันหักก็ต้องลุกขึ้นแต่เช้ามืด ห้ามเล่าความฝันให้ใครๆฟัง นำเอาเมล็ดข้าวโพดใส่ปากแล้วโปรยข้าวสีเหลืองไปทางทิศ ตะวันออก พร้อมกับถ่มเมล็ดข้าวโพดที่อมไว้ในปากออกมาพลางบอกกับภูตผีว่า

        "นี่คือฟันที่ท่านต้องการละ อย่าเอานอกเหนือไปจากนี้เลย" คือหมายความว่า อยากได้ฟัน ก็เอาฟันไปแต่อย่าเอาญาติพี่น้องไปเลย

    9. เปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ แก้เคล็ด    
     ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเงินทองนั้น มักเป็นเรื่องที่ทุกคนค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก กระเป๋าสตางค์ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ว่าจะช่วยให้เรื่องเงินทองดีขึ้น

        การเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ใบใหม่เสมอในวันขึ้นปีใหม่ ใส่เงินจำนวน 900 หรือ 9,000 ใน กระเป๋าไว้สักวัน หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เพื่อเอาเคล็ดเอาฤกษ์เพื่อให้กระเป๋าใบนั้นเป็นกระเป๋าที่ดี เรียกเงินเรียกทอง เข้ากระเป๋าได้มาก มีเก็บมากกว่าจะต้องควักออกไป และทุกครั้งที่รับเงินสดเข้ามา ควรนำเงินมาใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน

        บางคนอาจจะยังคงปล่อยเงินไว้ในซองแล้วก็นำไปฝากธนาคาร ซึ่งถ้าจะเอาเคล็ดเรียกโชคกันจริงๆ ตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ ก็ควรเอาเงินเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ก่อน

    10. ห้ามออกจากบ้านตอนเที่ยงตรง    
            เรื่องของเวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญบางคนมีความเชื่อว่า การจะทำอะไรก็ตามหากกระทำถูกช่วงถูกเวลา ส่งที่ทำนั้นก็จะประสบความสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดีเสมอค่ะ ดังความเชื่อที่ว่า เวลาเที่ยงตรง เป็นเวลาที่คนโบราณถือว่า ไม่ดีเอาเสียเลย
     

          ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในเรื่องใดก็ตาม เช่น การถอนฟัน เสียงตุ๊กแกร้อง เป็นต้น แม้แต่เรื่องการออกจากบ้านไปที่ใดก็ตาม
     

          ท่านห้ามไม่ให้ออกในเวลาเที่ยงตรง ให้รอจนกว่า เวลาเลยไปนิดหน่อยเสียก่อน ไม่ใช่นาฬิกาตีบอกเวลา 12.00 น. ก็เดินออกทันที คนโบราณเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางนั้นติดขัด อาจเกิดอุบัติเหตุ ทำการติดต่ออะไรก็ไม่ สำเร็จได้

          หากดูอีกแง่หนึ่ง เวลาเที่ยงตรงเป็นเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะพอดี อากาศก็จะร้อนจัด ทำอะไรก็ไม่สะดวกสบาย จึงควรให้เลื่อนเวลาก่อนหรือหลัง เพื่อความสะดวกเสีย มากกว่า 
     
    --------------------------
    มันยังไม่หมดนะ แต่ต้องมาแก้หน้าอะไรอย่างนี้ (ว่าง่ายๆนะ เมื่อยมือ) ไว้ว่างหน่อยจะมาเพิ่ม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×