ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    2012 คำทำนายกับวันสิ้นโลก

    ลำดับตอนที่ #5 : สาเหตุที่ทำให้โลกแตกดับได้ (1-10)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 54


    สาเหตุที่ทำให้โลกแตกดับได้


    ข้อที่ 1

    ผลกระทบจากดาวพระเคราะห์น้อย (Asteroid Impact)


     เราคงไม่ต้องรอนานเป็นล้านๆปี ที่จะเห็นดาวพระเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก  ในปี  1908 เศษชิ้นส่วนของดาวหางกว้าง 200 ฟุตพุ่งผ่านบรรยากาศโลกและระเบิดเหนือ Tunguska ในไซบีเรีย รัสเซีย  ด้วยอานุภาพร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งที่ฮิโรชิมา(Hiroshima) 1,000 เท่า นักดาราศาสตร์ประเมินว่าเหตุการณ์ทำนองนั้น เคยเกิด  3 ศตวรรษจะมี 1 ครั้ง  Benny Peiser นักมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย John Moores ที่ลิเวอร์พูล อังกฤษ อ้างว่า  มีผลกระทบแทรกแซงต่อความเจริญของมนุษย์  ตัวอย่างที่กล่าวอ้างก็คือ ในปี  1490 คนจีนจากเมือง Chi-ing-yang เสียชีวิตจากเหตุเศษดาวตกกระทบไม่น้อยกว่า 10,000 คน  แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งคำถามว่า ด้วยเหตุใด ผลกระทบดูเหมือนจะเกิดเหนือท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ และผลกระทบจะเล็กน้อยบนแผ่นดินและจะเกิด ณ จุดที่ไม่ค่อยมีมนุษย์อาศัย เป็นเรื่องที่น่านำมาศึกษาวิจัยมาก

                    อย่างไรก็ดี  ถ้าดาวพระเคราะห์น้อยดวงโตตกกระทบโลก ไม่ว่าสิ่ง
                   ใด  ทั้งผืนน้ำผืนดินด้วยก็จะได้รับผลกระทบเท่าเทียมกันทั้งนั้น  วัตถุก้อน
                   โตกว่าครึ่งไมล์ – ซึ่งชนโลก 250,000 ปีหรือประมาณนั้น – อาจจะดับพายุ
                   ไฟที่กำลังเผาผลาญโลกได้  แต่จะตามมาด้วยความหนาวเย็นไปทั่วโลก 
                   จากผงฝุ่นที่เกิดจากการตกกระทบของมันที่กั้นพลังแสงของดวงอาทิตย์มิให้  
                   ส่องถึงผิวโลก  มนุษย์จำนวนมากจะทนไม่ไหวต่อความหนาวเย็นนานๆ  
                   อาจมีเพียงบางส่วนที่จะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่อารยะธรรมทั้งสิ้นจะหมดไป  
                   ดาวเคราะห์น้อยกว้าง  5 ไมล์คงก่อให้เกิดการสูญพันธ์ขนาดใหญ่  เหมือน
                   ดวงที่ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์มาแล้ว  สำหรับความหนาวเหน็บ
                   สุดขั้วแบบเส้นกลุ่มดาว Kuiper โซนถัดดาวเกตุ ( Neptune ) ออกไป ( 
                   โปรดจำด้วยว่าดาว Neptune –ดาวเกตุ—นี้โคจรอยู่รอบนอกสุดของสุริยะ
                   จักรวาล ) ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งประมาณ 100,000 ก้อน ความกว้าง
                   ของโซนนี้วัดได้ 50 ไมล์  โซนเข็มขัด Kuiper จะส่งห่าฝนดาวหางขนาด
                   เล็กตรงมายังโลกตลอดเวลา  ถ้าหนึ่งในก้อนโตๆมุ่งหน้ามาหาโลกเรา  คง
                   เกิดภัยพิบัติเป็นโศกนาฏกรรมน่าเศร้าสุดสำหรับทุกชีวิตบนโลก   แม้กระทั่ง
                   แมลงสาบก็ไม่เว้น. 
     


    ข้อที่ 2
    การระเบิดของรังสีแกมม่า ( Gamma Ray Burst )
                  ถ้าคุณสามารถเงยหน้ามองท้องฟ้าแบบมองภาพอาศัยรังสีแกมม่า  
                   คุณอาจคิดไปว่าโดนติดตามโดยช่างภาพแอบถ่ายคอสมิค  ในหนึ่งวันจะมี
                   ครั้งหนึ่งหรือประมาณนั้น ที่คุณจะเห็นแสงวาบสุกใสปรากฏมา  ส่องทุกสิ่ง
                   ให้สว่างช่วงสั้นๆ แล้วก็หายไป  การระเบิดของแสงแกมม่าเหล่านี้ ที่นัก
                   ฟิสิกส์ดาราศาสตร์พึ่งค้นพบเร็วๆนี้ เกิดในกาแล็กซี่ (Galaxies) ไกลโพ้น
                   และทรงพลังสุดหยั่งได้ – 1 หมื่นล้านล้านเทียบจากพลังของดวงอาทิตย์ 
                   การระเบิดเหล่านี้บางทีเกิดจากการถาโถมเข้ารวมกันของดาวฤกษ์สองดวง
                             ก่อนปรากฎการณ์รุนแรงและเปลี่ยนแปลงปัจจุบันทันด่วน  ดาวฤกษ์
                   สองดวงนั้นคงไม่อาจจับได้ด้วยกล้องดูดาว  พวกเรามนุษย์จึงไม่ทันสังเกตุ
                   เห็นล่วงหน้า  แม้ดาวดวงหนึ่งจะโคจรเข้าไปใกล้อีกดวงหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม 
                   เมื่อมีการระเบิดขึ้น  มนุษย์คงจะหลีกเลี่ยงความโกลาหลวุ่นวายไม่ได้
                             ในช่วงระยะทาง 1,000 ปีแสง -- ไกลเกินกว่าดาวฤกษ์ทุกดวง ที่คุณ
                   มองเห็นได้วันฟ้าใส  --- มันจะสุกสว่างประมาณดวงอาทิตย์  บรรยากาศของ
                   โลกตอนแรกอาจสามารถป้องกันมนุษย์เราจากรังสีเอ็กซ์ (X-ray) และรังสี
                   แกมม่า( Gamma Ray)  แต่ต้องสละบางอย่าง  การแผ่รังสีทรงพลังสามารถ
                   ทำให้บรรยากาศเดือดพล่าน  ก่อให้เกิดไนโตรเจนอ็อกไซด์  ซึ่งสามารถ
                   ทำลายแถบโอโซน  รังสีอุลตราไวโอเล็ท(Ultraviolet Ray)จากดวงอาทิตย์
                   สามารถมาถึงผิวโลกเกือบเต็มแรงส่งทั้งหมด  ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และ
                   ที่เป็นภัยยิ่งกว่าก็คือ มันจะฆ่าแพลงตอนสังเคราะห์แสงขนาดจิ๋วในน้ำทะเล
                   ของมหาสมุทร ซึ่งให้อ็อกซิเจนแก่บรรยากาศโลกและส่งเสริมรากเหง้าแห่ง
                   ห่วงโซ่อาหาร  การระเบิดของรังสีแกมม่าทั้งหมดพอจะสังเกตุเห็นได้แต่ไกล
                   มาก ซึ่งคิดกันว่าเหตุจะเกิดแบบนั้นคงยาก  อย่างไรก็ดี  นักวิทยาศาสตร์
                   เข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับการระเบิดเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะอนุมานว่า
                   มันจะเหมือนอะไรที่กำลังระเบิดอยู่ใกล้ๆกาแล็กซี่ของเรา.


    ข้อที่ 3
    การยุบตัวของสุญญากาศ ( Collapse of the Vaccuum) 
    ในหนังสือ Cat’s Cradle นักเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ ชื่อ Kurt Vonnegut  ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า”Ice-nine”  ซึ่งเป็นน้ำแบบหนึ่งที่เสถียรมาก-มากกว่าน้ำชนิดธรรมดา  มันจะแข็งที่อุณหภูมิของห้องได้เลยทีเดียว  คลายตัวสลายเล็กน้อยทันทีทันใดก็จะทำให้น้ำทั้งโลกกลายเป็น ice-nine และเย็นเยือกเป็นของแข็ง.  Ice-nine คือสิ่งค้นพบใหม่ทำนองไม่น่าเป็นไปได้  ที่เป็นไปได้นั้นก็คือเปลี่ยนแปลงุแบบปุ๊บปั๊บอันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง.  ช่วงต้นๆของประวัติจักรวาล  ต้นแบบเท่าที่รู้เรื่องของจักรวาล ช่วงที่ว่างเปล่า(ไม่มีเทหวัตถุใดๆหรือพลังในรูปแบบใด)หรือ Vaccuum นั้น มักเต็มไปด้วยพลังงาน  สภาวะเช่นนี้เรียกว่าความว่างเปล่าลวง  ต้องระมัดระวังมาก.  ความว่างเปล่าที่เสถียรมากกว่าซึ่งเป็นชนิดใหม่ปรากฏมาคล้าย  ice-nine จะจับตัวกันทันที   การแปรเปลี่ยนจะปล่อยออกทันทีซึ่งพลังงานจำนวนมหาศาล และก่อให้เกิดการขยายตัวของดาวต่างๆในช่วงสั้นๆ .อย่างไรก็ดี  เป็นไปได้ว่ามีความว่างเปล่า(vacuum)ชนิดเสถียรมากกว่าที่เคยมีอยู่ . ขณะที่จักรวาลขยายตัวและเย็นลง  ฟองเล็กจิ๋วของความว่างเปล่าชนิดใหม่นี้ อาจปรากฏออกมาและแพร่กระจายด้วยความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง  กฎฟิสิกส์อาจเปลี่ยนไปจากการปลุกเร้าของมัน  และการระเบิดของพลังของมันอาจทำลายทุกอย่างเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย   มีผู้กล่าวว่า “ ฟังดูเป็นเรื่องสวยงาม  แต่ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ “  ผู้พูดคือ Piet Hut แห่ง สถาบัน Institute for Advanced Studies ในมหาวิทยาลัย Princeton, New Jersey สหรัฐอเมริกา  เขากล่าวต่อว่า เขากังวลมากเรื่องของการคุกคามที่บรรดานักวิทยาศาสตร์พากันแน่ใจในเรื่องแบบเดียวกับ-หลุมดำ


    ข้อที่ 4
    หลุมดำอันตราย( Rogue Black Holes )
     กาแล็กซี่ของเราเต็มไปด้วยช่องรูดำหรือหลุมดำ  ซากดาวมากมายที่หมดสภาพแต่ละดวงกว้างประมาณ 12 ไมล์  ที่ว่า”เต็ม”นั้นเต็มอย่างไรหรือ – คำถามนี้ตอบยาก  ก่อนอื่นทั้งหมดต้องมาหาเหตุที่เรียกว่า”ช่องรูดำ”หรือ”หลุมดำ” Black Holes.   ความดึงดูดของดาวเหล่านี้แรงมากพอที่จะกลืนทุกอย่าง  แม้แต่แสงสว่างที่ไม่อยู่กับพวกดาวเหล่านี้.  David Bennettแห่งมหาวิทยาลัย Notre Dame รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ใช้กล้องดูดาวส่องเห็นหลุมดำเร็วๆนี้โดยวิธีแสงหักเหและขยายแสงให้เพิ่มขึ้นจนเห็นดาวไกลโพ้นได้  อาศัยวิธีการตรวจสอบสังเกตดู และขบวนการปรับทฤษฎี  นักสำรวจผู้นี้คาดเอาว่ามีหลุมดำจำนวนประมาณ 10 ล้านหลุมในทางช้างเผือก(Milky Way) เพียงแห่งเดียว  สิ่งที่ว่านี้โคจรเหมือนดาวทั่วไป  ดูแล้วไม่น่ากลัวแม้จะเห็นว่าหลุมดำช่องหนึ่งนั้นโคจรมุ่งมาทางโลกเรา  แต่- ถ้าดาวฤกษ์ธรรมดาโคจรมุ่งมาทางเรา  เราจะรู้ได้แน่.  แต่กับหลุมดำนี้จะมีการเตือนเพียงเล็กน้อยสองสามศตวรรษก่อนที่จะพบว่ามันใกล้เข้ามามากแล้ว  อย่างมากที่ทำได้ นักดาราศาสตร์จะเพียงสังเกตเห็นความสับสนในวงโคจรของดาวพระเคราะห์ส่วนนอกของสุริยะจักรวาล  เมื่อผลการตรวจตราได้รับเพิ่มมากขึ้น  ก็คงจะสามารถคาดเดาเพิ่มขึ้นถึงตำแหน่งและมวลของดาวดับที่รุกล้ำเข้ามานั้น  หลุมดำอาจไม่ต้องเข้ามาใกล้โลกและก่อให้เกิดหายนะตรงๆ  อาจเพียงเฉียดผ่านไปตามระบบสุริยะจักรวาลเท่านั้น ก็สามารถทำให้วงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆรอบโลกเปลี่ยนแปลงไปได้  โลกเราอาจถูกดูดลากเข้าไปในทางโคจรของมัน และอาจเป็นเหตุให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงมากที่สุด  หรือ โลกใบนี้อาจถูกเหวี่ยงออกจากระบบสุริยะจักรวาล ล่องลอยไปตามยถากรรมในอวกาศเวิ้งว้าง – ก็เป็นได้!!!


    ข้อที่ 5
    เปลวสุริยะขนาดยักษ์ของดวงอาทิตย์ ( Giant Solar Flares )
     เปลวเพลิงสุริยะจากดวงอาทิตย์ - เป็นประหนึ่งการพุ่งส่งออกมาของมวลรอบผิวของดวงอาทิตย์ – เป็นการระเบิดทางแม่เหล็กมหึมาบนผิวดวงอาทิตย์ที่ระดมระเบิดมายังโลก ด้วยอนุภาคร้ายแรงน้อยกว่าปรมาณูแต่ความเร็วสูงมาก  บรรยากาศของโลกและระบบสนามแม่เหล็กโลกสามารถขัดขวางผลร้ายธรรมดาของ flares ธรรมดาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่เมื่อตรวจดูบันทึกรายงานทางดาราศาสตร์เก่าๆ Bradler Schaefer แห่งมหาวิทยาลัย Yale พบประจักษ์พยานว่า ดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์นั้นสามารถทำให้เกิดแสงวาบช่วงสั้นถึงระดับ 20  Schaefer เชื่อว่าเปลวแลบวูบวาบของแสงดาวฤกษ์เหล่านี้เกิดจากเปลวคุชั้นสูงมาก  มีพลังล้านๆเท่ามากกว่าดาวฤกษ์คู่แฝดของมัน  ภายในไม่กี่ชั่วโมง เปลวคุชั้นสูงมาก(super flares)ของดวงอาทิตย์สามารถย่างโลกให้ร้อนจัด และเริ่มทำลายแถบโอโซน (ดูหัวข้อ 2)  แม้จะมีประจักษ์พยานฟังได้ว่าดวงอาทิตย์ของเราคงไม่กระทำเกินเลยเช่นนั้น  นักวิทยาศาสตร์เองไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงเกิดปฏิกิริยา superflares ขึ้น  หรือทำไมดวงอาทิตย์จะร้อนลดลง แต่ทำไมยังเกิดปรากฎการณ์บ่อนทำลายแบบนี้  และ ขณะที่ปรากฎการณ์ของดวงอาทิตย์น่าเป็นอันตรายเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญหาของมันก็ปรากฏออกมาให้เห็นน้อยลงไปด้วย  Sallie Ballunas แห่งศูนย์สถาบัน Smithsonian ของ มหาวิทยาลัย Harvard ที่ค้นคว้าฟิสิกส์ดาราศาสตร์ กล่าวว่า ดาวฤกษ์แบบดวงอาทิตย์มากมาย ผ่านยุคเงียบสงบที่ขยายตัวนานขึ้น  ในระหว่างที่ดาวเหล่านี้ได้ค่อยๆหรี่แสงลงเกือบ 1%  ข้อนั้นฟังดูน่าจะไม่ใช่  แต่การพลิกกลับ(ร้อนน้อยลง)แบบคล้ายคลึงกันนี้ในดวงอาทิตย์ อาจสามารถส่งพวกเรามนุษย์เข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง  Bullanas ชี้ด้วยประจักษ์พยานว่า กิจกรรม(การลุกไหม้)ของดวงอาทิตย์ที่ทำให้ความร้อนลดน้อยลง จะก่อให้เกิดความหนาวเหน็บระดับ 17 (ในเกณฑ์สูงสุด 19) บนโลกที่เคยเกิดเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว. 


    ข้อทีี่่ 6
    การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ( Reversal of Earth’s  Magnetic Field )
     ทุกๆสองสาม 100,000 ปี สนามแม่เหล็กโลกจะหดหายไปเกือบไม่เหลือเลยบางทีเป็นเวลาถึง 100 ปี ครั้นแล้วทีละเล็กทีละน้อยเป็นลำดับจะกลับคืนโดยขั้วเหนือและขั้วใต้เปลี่ยนไป  การกลับขั้วครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นประมาณ 780,000 ปีมาแล้ว  ดังนั้น พวกเราอาจพ้นมาแล้ว  ร้ายกว่านั้น พลังของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลงประมาณ 5% ในศตวรรษที่ผ่านมา  ทำไมเราต้องร้อนใจในสมัยที่ GPS ทำให้แม่เหล็กเข็มทิศกำลังจะเลิกใช้กัน  GPS (Global Positioning System = ระบบบอกตำแหน่งบนพื้นผิวโลก โดยอาศัยการคำนวณพิกัดจากดาวเทียมระบุตำแหน่งจำนวน 24 ดวง ที่โคจรอยู่รอบโลก ในระดับความสูงประมาณ 20,000 กิโลเมตร)  คือ สนามแม่เหล็กโลกทำให้รังสีคอสมิกและพายุอนุภาคจากดวงอาทิตย์หันเหไป  เหมือนอนุภาคร้ายแรงเทียบปรมาณูทรงพลังจากอวกาศไกลโพ้น  ถ้าไม่มีการป้องกันของสนามแม่เหล็ก  อนุภาคเหล่านี้จะพุ่งเข้าชนบรรยากาศของโลก เจาะทะลุแถบโอโซนที่อ่อนแออยู่แล้วให้เปิดเป็นช่องกว้าง (ดู ข้อ 5)  และ สัตว์หลายชนิดพึ่งพาการชี้นำทางของสนามแม่เหล็กโลกในการเคลื่อนย้ายตามฤดูกาล  การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กก่อให้เกิดความผิดปกติทางนิเวศวิทยาที่ร้ายแรง  สิ่งพึงระวังคือ “ ไม่เคยมีประสิทธิภาพจากฟอสซิลที่จะให้เราพิสูจน์ได้จากการแปรปรวนก่อนนั้น”  นั่นคือคำพูดของ Sten Odenwald แห่งศูนย์ฝึกบินอวกาศ Goddard ของ NASA  “สิ่งนี้น่าสนใจใคร่รู้ที่สุด”  และมหันตรายที่เข่นฆ่าหนึ่งในสี่ของประชากร อย่างเช่นกาฬโรคร้ายในยุโรป  ยากที่จะขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็นเสียงสัญญาณของฟอสซิล.


    ข้อที่ 7
     ภูเขาไฟส่งหินละลายสีดำและน้ำท่วมโลก ( Flood-basalt Volcanism)
    ในปี 1783 ภูเขาไฟ Laki ในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้น ส่งลาวาปริมาณสามลูกบาศก์ไมล์ออกมา  น้ำท่วมสูง  เถ้าและกลุ่มควันสีดำทำลายชีวิตมนุษย์ 8,000 คนและปศุสัตว์อีก 80%    ความอดอยากทำให้มนุษย์หนึ่งในสี่ของไอซ์แลนด์เสียชีวิต  ฝุ่นที่บดบังบรรยากาศทำให้อุณหภูมิหน้าหนาวของเกาะลดฮวบลงและลด 9 องศาในสหรัฐที่พึ่งประกาศเอกราชใหม่ๆ  นั่นเปรียบเหมือนทารกถ้าจะดูว่าโลกจะทำอะไรได้อีกบ้าง  65 ล้านปีก่อนโน้น กลุ่มก้อนหินร้อนจัดจากใจกลางโลก ระเบิดพุ่งทะลุเปลือกโลกกลายเป็นคาบสมุทรอินเดียทุกวันนี้  การระเบิดของภูเขาไฟต่อเนื่องมาศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า สูงสุดคือการปล่อยลาวาปริมาณถึง 1 ใน 4 ล้านลูกบาศก์ไมล์ – มากกว่าการระเบิดปะทุที่ Laki หนึ่งแสนเท่า  นักวิทยาศาสตร์บางคนยังคงลงความเห็นว่าการปะทุระเบิดกลายเป็นคาบสมุทรอินเดียนั้น ไม่ใช่จาก Asteroid ที่ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์ก่อนนั้น  แม้เหตุใหญ่กว่าในไซบีเรียเกิดขึ้นช่วงยุคการสูญพันธ์ Permian – Triassic  ซึ่งถือว่าเป็นการขจัดชีวิตยุคที่เรียกว่า Paleontology  ครั้งนั้นสิ่งมีชีวิต 90% ถูกทำลายไป.
              แก๊สกำมะถันภูเขาไฟก่อให้เกิดฝนกรด  สารผสมคลอรีนก่อให้เกิดการคุกคามชั้นโอโซนของโลก – ความยุ่งยากที่เป็นพิษภัยไปทั่วโลก  ขณะที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างช่วงสั้นๆ  บรรดาภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ทำให้เกิดความร้อนจากสภาพเรือนกระจก(greenhouse effect)ช่วงยาว  การส่งหินละลายและน้ำออกมาท่วมโลกครั้งสุดท้าย ทำให้เกิดที่ราบสูง Columbia River ประมาณ 17 ล้านปีมาแล้ว  พวกเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะเช่นว่านั้นอีกแล้ว !


    ข้อที่ 8
    โรคระบาดลุกลามไปทั่วโลก  ( Global Epidemic )
     ถ้าโลกไม่ทำอะไรเรา เพื่อนเราอาจทำหน้าที่นี้แทน  จุลินทรีย์(germs)และมนุษย์อยู่ร่วมกันอยู่แล้ว  แต่เป็นครั้งคราวดุลยภาพเอียงไป !  ไข้ทรพิษ(โรคห่าหรือกาฬโรค – Black Plague) คร่าชีวิตคนยุโรป 1 ใน 4 ระหว่างศตวรรษที่ 14  ไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตอย่างน้อยถึง 20 ล้านคนระหว่างปี ค.ศ. 1918-1919   โรคร้าย AIDS ทำให้คนเสียชีวิตสูงประมาณกันและยังทำร้ายมนุษย์ต่อไปอย่างแข็งขัน  จากปี 1980-1992 รายงานจาก Centers for Disease Control and Prevention ระบุถึงความตายจากโรคติดต่อในสหรัฐสูงขึ้น 58%  โรคร้ายเก่าๆเช่นอหิวาตกโรคและโรคหัด ได้พัฒนาการต้านทานยาปฏิชีวณะ  การเกษตรที่เข้มข้นและการพัฒนาที่ดินทำให้มนุษย์ใกล้จะเป็นผู้ปลอดโรคจากสัตว์  แต่การท่องเที่ยวสากลหมายถึงมนุษย์นั่นแหละเป็นพาหะของโรค ทำให้เชื้อโรคสามารถแผ่แพร่ไปเร็วกว่าปกติ    Michael Osterholm ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อ ที่เมื่อเร็วๆนี้ลาออกจาก Minnisota Department of Health บรรยายสภาพการณ์ประหนึ่ง “การพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นในแม่น้ำที่สายน้ำแรงและเชี่ยวกราก”  ความเป็นไปได้ที่ร้ายแรงที่สุดควรจะเป็นความฉุกเฉินของความเขม็งเกลียว ที่แพร่กระจายเร็วมากจนเราตั้งป้องกันไม่ทัน หรือเร็วจนขัดขวางการควบคุมทางเคมีทุกรูปแบบ   บางทีเป็นผลจากการคนหม้อทางนิเวศวิทยาหรือไม่ไม่ทราบได้   ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว การสิ้นสูญสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทันทีทันใดลามไปทั่วอเมริกาทั้ง  2 ทวีป   Ross McPhee แห่ง American Museum of National History แย้งว่า  ผู้ร้ายที่ว่านั้นก็คือเชื้อโรคที่มีพิษภัยสุดๆ ซึ่งมนุษย์เองช่วยลำเลียงส่งต่อทำให้มันสามารถอพยพเข้าสู่โลกใหม่ได้นั่นเอง.  


    ข้อที่ 9
    โลกร้อน ( Global Warming )
    โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า มนุษย์นั่นแหละต้องได้รับการประณามด้วย ก็เห็นแล้วว่าความร้อนของโลกสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมเมืองต่างๆ และทำความเสียหายแก่การเก็บเกี่ยวพืชพันธ์ธัญญาหาร  เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยค้นคว้า Paul Epstein แห่งสถาบันการแพทย์ Harvard ได้ออกคำเตือนว่า ดาวพระเคราะห์ที่เย็นกว่านี้จะช่วยเสริมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค โดยที่มนุษย์ต้องจัดการให้บรรยากาศเหมาะสมในการที่จะขจัดพวกปาราสิตและกระจายแนวเวชศาสตร์เขตร้อนให้กว้างขึ้น (ดูหัวข้อ Cool  มิฉะนั้นจะเอื้อต่อโรคพืช ซึ่งเมื่อบวกกับการเปลี่ยนแปลงของ บรรยากาศอย่างมีนัยสำคัญแล้วอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดทุพภิกขภัยที่จะทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้น  ปัจจุบัน ความร้อนที่เกิดจากการที่บรรยากาศโลกกักความร้อนมากพอใกล้ผิวโลกขึ้นอีกแม้แต่เล็กน้อย และการก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับที่เลวร้าย  น้ำจะกลายเป็นไอเร็วขึ้นและระเหยหนีเร็วขึ้น(ก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรง)  และก็กักความร้อนไว้มากขึ้น  ทำให้ละลายคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากหินซึ่งก็ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปอีกและสูงขึ้นเรื่อยๆ  โลก
    ก็จะสิ้นสุดลงเหมือนดาวพระศุกร์ ซึ่งที่นั่นอุณหภูมิกลางวันสูงถึง 900 องศาฟาเรนไฮต์ อาจจะเป็นไปได้ว่า ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกสูงมากขึ้น  แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถลดปฏิกิริยาเรือนกระจกที่ว่านี้  นอกจากมนุษย์จะต้องหาวิธีการต่างๆเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็พอทุเลาความร้อนของโลกได้บ้างก่อนที่จะเข้าขั้นวิกฤติจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้


    ข้อทีื่ 10
    การพังทลายของระบบนิเวศน์ ( Ecosystem Collapse )
    ภาพของช้างที่ถูกฆ่าตายและภาพป่าฝนที่ไฟลุกไหม้สะดุดความสนใจของมนุษย์  แต่ปัญหาใหญ่ – การสูญเสียทั้งครบของระบบชีวะสากล – มองเห็นได้น้อยแต่ร้ายแรงกว่ามาก  วิวัฒนาการหลายพันปีก่อให้เกิดโลกซึ่งเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุขสำหรับสิ่งสร้างทุกชนิดทุกสายพันธ์นับไม่ถ้วน  การศึกษาค้นพบใหม่ๆใน Isle Royale National Park บริเวณทะเลสาบ Superior (ของสหรัฐ)เป็นตัวอย่าง  ฤดูหนาวที่มีหิมะตกจะกระตุ้นให้สุนัขป่าออกล่าเนื้อเป็นฝูงใหญ่กว่า ซึ่งส่งผลต่อดินฟ้าอากาศ  มันเชื่อมโยงกันเพื่อให้คุ้มกับอุปสงค์(ความต้องการ)ของจำนวนมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น  เราถากถางป่าเพื่อก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัยและทำเกษตรกรรม  เข้าแทนที่พืชพันธ์นานาชนิดที่เคยเป็นป่าด้วยการปลูกพืชไม่กี่ชนิด  เคลื่อนย้ายต้นไม้และฝูงสัตว์ออกไปและยังนำเอาสารเคมีเข้าไปในสิ่งแวดล้อม  สิ่งสร้างอย่างน้อย 30,000 ชนิดสูญหายไปทุกปีจากการกระทำของมนุษย์  ซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังดำเนินชีวิตท่ามกลางการสิ้นสูญสิ่งสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก  Stephen Kellert นักนิเวศวิทยาสังคมของมหาวิทยาลัย Yale เห็นวิธีที่มนุษย์ควรเสียใจถ้าทราบถึงการตรวจสอบและดุลในระบบนิเวศวิทยาของโลก  เขากล่าวว่า เชื้อโรคชนิดใหม่ๆอาจเกิดขึ้น(ดูหัวข้อ Cool หรือบรรดาแมลงนักผสมเกสรอาจสูญพันธ์ และก็นำไปสู่การล่มสลายของระบบพืช  หรือดังเช่นสุนัขป่าแห่ง  Isle Royale  ผลที่ตามมาอาจเป็นอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อรู้ตัวก็สายไป 



    อ้างอิงจาก




    TS.  Kato

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×