ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สาเหตุที่ทำให้โลกแตกดับได้ (1-10)
สาเหตุที่ทำให้โลกแตกดับได้
ข้อที่ 1
ผลกระทบจากดาวพระเคราะห์น้อย (Asteroid Impact)
เราคงไม่ต้องรอนานเป็นล้านๆปี ที่จะเห็นดาวพระเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก ในปี 1908 เศษชิ้นส่วนของดาวหางกว้าง 200 ฟุตพุ่งผ่านบรรยากาศโลกและระเบิดเหนือ Tunguska ในไซบีเรีย รัสเซีย ด้วยอานุภาพร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งที่ฮิโรชิมา(Hiroshima) 1,000 เท่า นักดาราศาสตร์ประเมินว่าเหตุการณ์ทำนองนั้น เคยเกิด 3 ศตวรรษจะมี 1 ครั้ง Benny Peiser นักมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย John Moores ที่ลิเวอร์พูล อังกฤษ อ้างว่า มีผลกระทบแทรกแซงต่อความเจริญของมนุษย์ ตัวอย่างที่กล่าวอ้างก็คือ ในปี 1490 คนจีนจากเมือง Chi-ing-yang เสียชีวิตจากเหตุเศษดาวตกกระทบไม่น้อยกว่า 10,000 คน แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งคำถามว่า ด้วยเหตุใด ผลกระทบดูเหมือนจะเกิดเหนือท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ และผลกระทบจะเล็กน้อยบนแผ่นดินและจะเกิด ณ จุดที่ไม่ค่อยมีมนุษย์อาศัย เป็นเรื่องที่น่านำมาศึกษาวิจัยมาก
ข้อที่ 2
การระเบิดของรังสีแกมม่า ( Gamma Ray Burst )
ข้อที่ 3
ข้อที่ 4
ข้อที่ 5
ข้อทีี่่ 6
ข้อที่ 7
ข้อที่ 8
ข้อที่ 9
ข้อทีื่ 10
อ้างอิงจาก
ข้อที่ 1
ผลกระทบจากดาวพระเคราะห์น้อย (Asteroid Impact)
เราคงไม่ต้องรอนานเป็นล้านๆปี ที่จะเห็นดาวพระเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก ในปี 1908 เศษชิ้นส่วนของดาวหางกว้าง 200 ฟุตพุ่งผ่านบรรยากาศโลกและระเบิดเหนือ Tunguska ในไซบีเรีย รัสเซีย ด้วยอานุภาพร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งที่ฮิโรชิมา(Hiroshima) 1,000 เท่า นักดาราศาสตร์ประเมินว่าเหตุการณ์ทำนองนั้น เคยเกิด 3 ศตวรรษจะมี 1 ครั้ง Benny Peiser นักมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย John Moores ที่ลิเวอร์พูล อังกฤษ อ้างว่า มีผลกระทบแทรกแซงต่อความเจริญของมนุษย์ ตัวอย่างที่กล่าวอ้างก็คือ ในปี 1490 คนจีนจากเมือง Chi-ing-yang เสียชีวิตจากเหตุเศษดาวตกกระทบไม่น้อยกว่า 10,000 คน แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งคำถามว่า ด้วยเหตุใด ผลกระทบดูเหมือนจะเกิดเหนือท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ และผลกระทบจะเล็กน้อยบนแผ่นดินและจะเกิด ณ จุดที่ไม่ค่อยมีมนุษย์อาศัย เป็นเรื่องที่น่านำมาศึกษาวิจัยมาก
อย่างไรก็ดี ถ้าดาวพระเคราะห์น้อยดวงโตตกกระทบโลก ไม่ว่าสิ่ง
ใด ทั้งผืนน้ำผืนดินด้วยก็จะได้รับผลกระทบเท่าเทียมกันทั้งนั้น วัตถุก้อน
โตกว่าครึ่งไมล์ ซึ่งชนโลก 250,000 ปีหรือประมาณนั้น อาจจะดับพายุ
ไฟที่กำลังเผาผลาญโลกได้ แต่จะตามมาด้วยความหนาวเย็นไปทั่วโลก
จากผงฝุ่นที่เกิดจากการตกกระทบของมันที่กั้นพลังแสงของดวงอาทิตย์มิให้
ส่องถึงผิวโลก มนุษย์จำนวนมากจะทนไม่ไหวต่อความหนาวเย็นนานๆ
อาจมีเพียงบางส่วนที่จะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่อารยะธรรมทั้งสิ้นจะหมดไป
ดาวเคราะห์น้อยกว้าง 5 ไมล์คงก่อให้เกิดการสูญพันธ์ขนาดใหญ่ เหมือน
ดวงที่ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์มาแล้ว สำหรับความหนาวเหน็บ
สุดขั้วแบบเส้นกลุ่มดาว Kuiper โซนถัดดาวเกตุ ( Neptune ) ออกไป (
โปรดจำด้วยว่าดาว Neptune ดาวเกตุนี้โคจรอยู่รอบนอกสุดของสุริยะ
จักรวาล ) ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งประมาณ 100,000 ก้อน ความกว้าง
ของโซนนี้วัดได้ 50 ไมล์ โซนเข็มขัด Kuiper จะส่งห่าฝนดาวหางขนาด
เล็กตรงมายังโลกตลอดเวลา ถ้าหนึ่งในก้อนโตๆมุ่งหน้ามาหาโลกเรา คง
เกิดภัยพิบัติเป็นโศกนาฏกรรมน่าเศร้าสุดสำหรับทุกชีวิตบนโลก แม้กระทั่ง
แมลงสาบก็ไม่เว้น.
ใด ทั้งผืนน้ำผืนดินด้วยก็จะได้รับผลกระทบเท่าเทียมกันทั้งนั้น วัตถุก้อน
โตกว่าครึ่งไมล์ ซึ่งชนโลก 250,000 ปีหรือประมาณนั้น อาจจะดับพายุ
ไฟที่กำลังเผาผลาญโลกได้ แต่จะตามมาด้วยความหนาวเย็นไปทั่วโลก
จากผงฝุ่นที่เกิดจากการตกกระทบของมันที่กั้นพลังแสงของดวงอาทิตย์มิให้
ส่องถึงผิวโลก มนุษย์จำนวนมากจะทนไม่ไหวต่อความหนาวเย็นนานๆ
อาจมีเพียงบางส่วนที่จะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่อารยะธรรมทั้งสิ้นจะหมดไป
ดาวเคราะห์น้อยกว้าง 5 ไมล์คงก่อให้เกิดการสูญพันธ์ขนาดใหญ่ เหมือน
ดวงที่ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์มาแล้ว สำหรับความหนาวเหน็บ
สุดขั้วแบบเส้นกลุ่มดาว Kuiper โซนถัดดาวเกตุ ( Neptune ) ออกไป (
โปรดจำด้วยว่าดาว Neptune ดาวเกตุนี้โคจรอยู่รอบนอกสุดของสุริยะ
จักรวาล ) ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งประมาณ 100,000 ก้อน ความกว้าง
ของโซนนี้วัดได้ 50 ไมล์ โซนเข็มขัด Kuiper จะส่งห่าฝนดาวหางขนาด
เล็กตรงมายังโลกตลอดเวลา ถ้าหนึ่งในก้อนโตๆมุ่งหน้ามาหาโลกเรา คง
เกิดภัยพิบัติเป็นโศกนาฏกรรมน่าเศร้าสุดสำหรับทุกชีวิตบนโลก แม้กระทั่ง
แมลงสาบก็ไม่เว้น.
ข้อที่ 2
การระเบิดของรังสีแกมม่า ( Gamma Ray Burst )
ถ้าคุณสามารถเงยหน้ามองท้องฟ้าแบบมองภาพอาศัยรังสีแกมม่า
คุณอาจคิดไปว่าโดนติดตามโดยช่างภาพแอบถ่ายคอสมิค ในหนึ่งวันจะมี
ครั้งหนึ่งหรือประมาณนั้น ที่คุณจะเห็นแสงวาบสุกใสปรากฏมา ส่องทุกสิ่ง
ให้สว่างช่วงสั้นๆ แล้วก็หายไป การระเบิดของแสงแกมม่าเหล่านี้ ที่นัก
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์พึ่งค้นพบเร็วๆนี้ เกิดในกาแล็กซี่ (Galaxies) ไกลโพ้น
และทรงพลังสุดหยั่งได้ 1 หมื่นล้านล้านเทียบจากพลังของดวงอาทิตย์
การระเบิดเหล่านี้บางทีเกิดจากการถาโถมเข้ารวมกันของดาวฤกษ์สองดวง
ก่อนปรากฎการณ์รุนแรงและเปลี่ยนแปลงปัจจุบันทันด่วน ดาวฤกษ์
สองดวงนั้นคงไม่อาจจับได้ด้วยกล้องดูดาว พวกเรามนุษย์จึงไม่ทันสังเกตุ
เห็นล่วงหน้า แม้ดาวดวงหนึ่งจะโคจรเข้าไปใกล้อีกดวงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
เมื่อมีการระเบิดขึ้น มนุษย์คงจะหลีกเลี่ยงความโกลาหลวุ่นวายไม่ได้
ในช่วงระยะทาง 1,000 ปีแสง -- ไกลเกินกว่าดาวฤกษ์ทุกดวง ที่คุณ
มองเห็นได้วันฟ้าใส --- มันจะสุกสว่างประมาณดวงอาทิตย์ บรรยากาศของ
โลกตอนแรกอาจสามารถป้องกันมนุษย์เราจากรังสีเอ็กซ์ (X-ray) และรังสี
แกมม่า( Gamma Ray) แต่ต้องสละบางอย่าง การแผ่รังสีทรงพลังสามารถ
ทำให้บรรยากาศเดือดพล่าน ก่อให้เกิดไนโตรเจนอ็อกไซด์ ซึ่งสามารถ
ทำลายแถบโอโซน รังสีอุลตราไวโอเล็ท(Ultraviolet Ray)จากดวงอาทิตย์
สามารถมาถึงผิวโลกเกือบเต็มแรงส่งทั้งหมด ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และ
ที่เป็นภัยยิ่งกว่าก็คือ มันจะฆ่าแพลงตอนสังเคราะห์แสงขนาดจิ๋วในน้ำทะเล
ของมหาสมุทร ซึ่งให้อ็อกซิเจนแก่บรรยากาศโลกและส่งเสริมรากเหง้าแห่ง
ห่วงโซ่อาหาร การระเบิดของรังสีแกมม่าทั้งหมดพอจะสังเกตุเห็นได้แต่ไกล
มาก ซึ่งคิดกันว่าเหตุจะเกิดแบบนั้นคงยาก อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์
เข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับการระเบิดเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะอนุมานว่า
มันจะเหมือนอะไรที่กำลังระเบิดอยู่ใกล้ๆกาแล็กซี่ของเรา.
คุณอาจคิดไปว่าโดนติดตามโดยช่างภาพแอบถ่ายคอสมิค ในหนึ่งวันจะมี
ครั้งหนึ่งหรือประมาณนั้น ที่คุณจะเห็นแสงวาบสุกใสปรากฏมา ส่องทุกสิ่ง
ให้สว่างช่วงสั้นๆ แล้วก็หายไป การระเบิดของแสงแกมม่าเหล่านี้ ที่นัก
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์พึ่งค้นพบเร็วๆนี้ เกิดในกาแล็กซี่ (Galaxies) ไกลโพ้น
และทรงพลังสุดหยั่งได้ 1 หมื่นล้านล้านเทียบจากพลังของดวงอาทิตย์
การระเบิดเหล่านี้บางทีเกิดจากการถาโถมเข้ารวมกันของดาวฤกษ์สองดวง
ก่อนปรากฎการณ์รุนแรงและเปลี่ยนแปลงปัจจุบันทันด่วน ดาวฤกษ์
สองดวงนั้นคงไม่อาจจับได้ด้วยกล้องดูดาว พวกเรามนุษย์จึงไม่ทันสังเกตุ
เห็นล่วงหน้า แม้ดาวดวงหนึ่งจะโคจรเข้าไปใกล้อีกดวงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
เมื่อมีการระเบิดขึ้น มนุษย์คงจะหลีกเลี่ยงความโกลาหลวุ่นวายไม่ได้
ในช่วงระยะทาง 1,000 ปีแสง -- ไกลเกินกว่าดาวฤกษ์ทุกดวง ที่คุณ
มองเห็นได้วันฟ้าใส --- มันจะสุกสว่างประมาณดวงอาทิตย์ บรรยากาศของ
โลกตอนแรกอาจสามารถป้องกันมนุษย์เราจากรังสีเอ็กซ์ (X-ray) และรังสี
แกมม่า( Gamma Ray) แต่ต้องสละบางอย่าง การแผ่รังสีทรงพลังสามารถ
ทำให้บรรยากาศเดือดพล่าน ก่อให้เกิดไนโตรเจนอ็อกไซด์ ซึ่งสามารถ
ทำลายแถบโอโซน รังสีอุลตราไวโอเล็ท(Ultraviolet Ray)จากดวงอาทิตย์
สามารถมาถึงผิวโลกเกือบเต็มแรงส่งทั้งหมด ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง และ
ที่เป็นภัยยิ่งกว่าก็คือ มันจะฆ่าแพลงตอนสังเคราะห์แสงขนาดจิ๋วในน้ำทะเล
ของมหาสมุทร ซึ่งให้อ็อกซิเจนแก่บรรยากาศโลกและส่งเสริมรากเหง้าแห่ง
ห่วงโซ่อาหาร การระเบิดของรังสีแกมม่าทั้งหมดพอจะสังเกตุเห็นได้แต่ไกล
มาก ซึ่งคิดกันว่าเหตุจะเกิดแบบนั้นคงยาก อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์
เข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับการระเบิดเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะอนุมานว่า
มันจะเหมือนอะไรที่กำลังระเบิดอยู่ใกล้ๆกาแล็กซี่ของเรา.
ข้อที่ 3
การยุบตัวของสุญญากาศ ( Collapse of the Vaccuum)
ในหนังสือ Cat’s Cradle นักเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ ชื่อ Kurt Vonnegut ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า”Ice-nine” ซึ่งเป็นน้ำแบบหนึ่งที่เสถียรมาก-มากกว่าน้ำชนิดธรรมดา มันจะแข็งที่อุณหภูมิของห้องได้เลยทีเดียว คลายตัวสลายเล็กน้อยทันทีทันใดก็จะทำให้น้ำทั้งโลกกลายเป็น ice-nine และเย็นเยือกเป็นของแข็ง. Ice-nine คือสิ่งค้นพบใหม่ทำนองไม่น่าเป็นไปได้ ที่เป็นไปได้นั้นก็คือเปลี่ยนแปลงุแบบปุ๊บปั๊บอันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง. ช่วงต้นๆของประวัติจักรวาล ต้นแบบเท่าที่รู้เรื่องของจักรวาล ช่วงที่ว่างเปล่า(ไม่มีเทหวัตถุใดๆหรือพลังในรูปแบบใด)หรือ Vaccuum นั้น มักเต็มไปด้วยพลังงาน สภาวะเช่นนี้เรียกว่าความว่างเปล่าลวง ต้องระมัดระวังมาก. ความว่างเปล่าที่เสถียรมากกว่าซึ่งเป็นชนิดใหม่ปรากฏมาคล้าย ice-nine จะจับตัวกันทันที การแปรเปลี่ยนจะปล่อยออกทันทีซึ่งพลังงานจำนวนมหาศาล และก่อให้เกิดการขยายตัวของดาวต่างๆในช่วงสั้นๆ .อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ว่ามีความว่างเปล่า(vacuum)ชนิดเสถียรมากกว่าที่เคยมีอยู่ . ขณะที่จักรวาลขยายตัวและเย็นลง ฟองเล็กจิ๋วของความว่างเปล่าชนิดใหม่นี้ อาจปรากฏออกมาและแพร่กระจายด้วยความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง กฎฟิสิกส์อาจเปลี่ยนไปจากการปลุกเร้าของมัน และการระเบิดของพลังของมันอาจทำลายทุกอย่างเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีผู้กล่าวว่า “ ฟังดูเป็นเรื่องสวยงาม แต่ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ “ ผู้พูดคือ Piet Hut แห่ง สถาบัน Institute for Advanced Studies ในมหาวิทยาลัย Princeton, New Jersey สหรัฐอเมริกา เขากล่าวต่อว่า เขากังวลมากเรื่องของการคุกคามที่บรรดานักวิทยาศาสตร์พากันแน่ใจในเรื่องแบบเดียวกับ-หลุมดำ
ข้อที่ 4
หลุมดำอันตราย( Rogue Black Holes )
กาแล็กซี่ของเราเต็มไปด้วยช่องรูดำหรือหลุมดำ ซากดาวมากมายที่หมดสภาพแต่ละดวงกว้างประมาณ 12 ไมล์ ที่ว่า”เต็ม”นั้นเต็มอย่างไรหรือ คำถามนี้ตอบยาก ก่อนอื่นทั้งหมดต้องมาหาเหตุที่เรียกว่า”ช่องรูดำ”หรือ”หลุมดำ” Black Holes. ความดึงดูดของดาวเหล่านี้แรงมากพอที่จะกลืนทุกอย่าง แม้แต่แสงสว่างที่ไม่อยู่กับพวกดาวเหล่านี้. David Bennettแห่งมหาวิทยาลัย Notre Dame รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ใช้กล้องดูดาวส่องเห็นหลุมดำเร็วๆนี้โดยวิธีแสงหักเหและขยายแสงให้เพิ่มขึ้นจนเห็นดาวไกลโพ้นได้ อาศัยวิธีการตรวจสอบสังเกตดู และขบวนการปรับทฤษฎี นักสำรวจผู้นี้คาดเอาว่ามีหลุมดำจำนวนประมาณ 10 ล้านหลุมในทางช้างเผือก(Milky Way) เพียงแห่งเดียว สิ่งที่ว่านี้โคจรเหมือนดาวทั่วไป ดูแล้วไม่น่ากลัวแม้จะเห็นว่าหลุมดำช่องหนึ่งนั้นโคจรมุ่งมาทางโลกเรา แต่- ถ้าดาวฤกษ์ธรรมดาโคจรมุ่งมาทางเรา เราจะรู้ได้แน่. แต่กับหลุมดำนี้จะมีการเตือนเพียงเล็กน้อยสองสามศตวรรษก่อนที่จะพบว่ามันใกล้เข้ามามากแล้ว อย่างมากที่ทำได้ นักดาราศาสตร์จะเพียงสังเกตเห็นความสับสนในวงโคจรของดาวพระเคราะห์ส่วนนอกของสุริยะจักรวาล เมื่อผลการตรวจตราได้รับเพิ่มมากขึ้น ก็คงจะสามารถคาดเดาเพิ่มขึ้นถึงตำแหน่งและมวลของดาวดับที่รุกล้ำเข้ามานั้น หลุมดำอาจไม่ต้องเข้ามาใกล้โลกและก่อให้เกิดหายนะตรงๆ อาจเพียงเฉียดผ่านไปตามระบบสุริยะจักรวาลเท่านั้น ก็สามารถทำให้วงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆรอบโลกเปลี่ยนแปลงไปได้ โลกเราอาจถูกดูดลากเข้าไปในทางโคจรของมัน และอาจเป็นเหตุให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงมากที่สุด หรือ โลกใบนี้อาจถูกเหวี่ยงออกจากระบบสุริยะจักรวาล ล่องลอยไปตามยถากรรมในอวกาศเวิ้งว้าง ก็เป็นได้!!!
ข้อที่ 5
เปลวสุริยะขนาดยักษ์ของดวงอาทิตย์ ( Giant Solar Flares )
เปลวเพลิงสุริยะจากดวงอาทิตย์ - เป็นประหนึ่งการพุ่งส่งออกมาของมวลรอบผิวของดวงอาทิตย์ เป็นการระเบิดทางแม่เหล็กมหึมาบนผิวดวงอาทิตย์ที่ระดมระเบิดมายังโลก ด้วยอนุภาคร้ายแรงน้อยกว่าปรมาณูแต่ความเร็วสูงมาก บรรยากาศของโลกและระบบสนามแม่เหล็กโลกสามารถขัดขวางผลร้ายธรรมดาของ flares ธรรมดาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อตรวจดูบันทึกรายงานทางดาราศาสตร์เก่าๆ Bradler Schaefer แห่งมหาวิทยาลัย Yale พบประจักษ์พยานว่า ดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์นั้นสามารถทำให้เกิดแสงวาบช่วงสั้นถึงระดับ 20 Schaefer เชื่อว่าเปลวแลบวูบวาบของแสงดาวฤกษ์เหล่านี้เกิดจากเปลวคุชั้นสูงมาก มีพลังล้านๆเท่ามากกว่าดาวฤกษ์คู่แฝดของมัน ภายในไม่กี่ชั่วโมง เปลวคุชั้นสูงมาก(super flares)ของดวงอาทิตย์สามารถย่างโลกให้ร้อนจัด และเริ่มทำลายแถบโอโซน (ดูหัวข้อ 2) แม้จะมีประจักษ์พยานฟังได้ว่าดวงอาทิตย์ของเราคงไม่กระทำเกินเลยเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์เองไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงเกิดปฏิกิริยา superflares ขึ้น หรือทำไมดวงอาทิตย์จะร้อนลดลง แต่ทำไมยังเกิดปรากฎการณ์บ่อนทำลายแบบนี้ และ ขณะที่ปรากฎการณ์ของดวงอาทิตย์น่าเป็นอันตรายเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญหาของมันก็ปรากฏออกมาให้เห็นน้อยลงไปด้วย Sallie Ballunas แห่งศูนย์สถาบัน Smithsonian ของ มหาวิทยาลัย Harvard ที่ค้นคว้าฟิสิกส์ดาราศาสตร์ กล่าวว่า ดาวฤกษ์แบบดวงอาทิตย์มากมาย ผ่านยุคเงียบสงบที่ขยายตัวนานขึ้น ในระหว่างที่ดาวเหล่านี้ได้ค่อยๆหรี่แสงลงเกือบ 1% ข้อนั้นฟังดูน่าจะไม่ใช่ แต่การพลิกกลับ(ร้อนน้อยลง)แบบคล้ายคลึงกันนี้ในดวงอาทิตย์ อาจสามารถส่งพวกเรามนุษย์เข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง Bullanas ชี้ด้วยประจักษ์พยานว่า กิจกรรม(การลุกไหม้)ของดวงอาทิตย์ที่ทำให้ความร้อนลดน้อยลง จะก่อให้เกิดความหนาวเหน็บระดับ 17 (ในเกณฑ์สูงสุด 19) บนโลกที่เคยเกิดเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว.
ข้อทีี่่ 6
การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ( Reversal of Earth’s Magnetic Field )
ทุกๆสองสาม 100,000 ปี สนามแม่เหล็กโลกจะหดหายไปเกือบไม่เหลือเลยบางทีเป็นเวลาถึง 100 ปี ครั้นแล้วทีละเล็กทีละน้อยเป็นลำดับจะกลับคืนโดยขั้วเหนือและขั้วใต้เปลี่ยนไป การกลับขั้วครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นประมาณ 780,000 ปีมาแล้ว ดังนั้น พวกเราอาจพ้นมาแล้ว ร้ายกว่านั้น พลังของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลงประมาณ 5% ในศตวรรษที่ผ่านมา ทำไมเราต้องร้อนใจในสมัยที่ GPS ทำให้แม่เหล็กเข็มทิศกำลังจะเลิกใช้กัน GPS (Global Positioning System = ระบบบอกตำแหน่งบนพื้นผิวโลก โดยอาศัยการคำนวณพิกัดจากดาวเทียมระบุตำแหน่งจำนวน 24 ดวง ที่โคจรอยู่รอบโลก ในระดับความสูงประมาณ 20,000 กิโลเมตร) คือ สนามแม่เหล็กโลกทำให้รังสีคอสมิกและพายุอนุภาคจากดวงอาทิตย์หันเหไป เหมือนอนุภาคร้ายแรงเทียบปรมาณูทรงพลังจากอวกาศไกลโพ้น ถ้าไม่มีการป้องกันของสนามแม่เหล็ก อนุภาคเหล่านี้จะพุ่งเข้าชนบรรยากาศของโลก เจาะทะลุแถบโอโซนที่อ่อนแออยู่แล้วให้เปิดเป็นช่องกว้าง (ดู ข้อ 5) และ สัตว์หลายชนิดพึ่งพาการชี้นำทางของสนามแม่เหล็กโลกในการเคลื่อนย้ายตามฤดูกาล การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กก่อให้เกิดความผิดปกติทางนิเวศวิทยาที่ร้ายแรง สิ่งพึงระวังคือ “ ไม่เคยมีประสิทธิภาพจากฟอสซิลที่จะให้เราพิสูจน์ได้จากการแปรปรวนก่อนนั้น” นั่นคือคำพูดของ Sten Odenwald แห่งศูนย์ฝึกบินอวกาศ Goddard ของ NASA “สิ่งนี้น่าสนใจใคร่รู้ที่สุด” และมหันตรายที่เข่นฆ่าหนึ่งในสี่ของประชากร อย่างเช่นกาฬโรคร้ายในยุโรป ยากที่จะขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็นเสียงสัญญาณของฟอสซิล.
ข้อที่ 7
ภูเขาไฟส่งหินละลายสีดำและน้ำท่วมโลก ( Flood-basalt Volcanism)
ในปี 1783 ภูเขาไฟ Laki ในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้น ส่งลาวาปริมาณสามลูกบาศก์ไมล์ออกมา น้ำท่วมสูง เถ้าและกลุ่มควันสีดำทำลายชีวิตมนุษย์ 8,000 คนและปศุสัตว์อีก 80% ความอดอยากทำให้มนุษย์หนึ่งในสี่ของไอซ์แลนด์เสียชีวิต ฝุ่นที่บดบังบรรยากาศทำให้อุณหภูมิหน้าหนาวของเกาะลดฮวบลงและลด 9 องศาในสหรัฐที่พึ่งประกาศเอกราชใหม่ๆ นั่นเปรียบเหมือนทารกถ้าจะดูว่าโลกจะทำอะไรได้อีกบ้าง 65 ล้านปีก่อนโน้น กลุ่มก้อนหินร้อนจัดจากใจกลางโลก ระเบิดพุ่งทะลุเปลือกโลกกลายเป็นคาบสมุทรอินเดียทุกวันนี้ การระเบิดของภูเขาไฟต่อเนื่องมาศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า สูงสุดคือการปล่อยลาวาปริมาณถึง 1 ใน 4 ล้านลูกบาศก์ไมล์ มากกว่าการระเบิดปะทุที่ Laki หนึ่งแสนเท่า นักวิทยาศาสตร์บางคนยังคงลงความเห็นว่าการปะทุระเบิดกลายเป็นคาบสมุทรอินเดียนั้น ไม่ใช่จาก Asteroid ที่ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์ก่อนนั้น แม้เหตุใหญ่กว่าในไซบีเรียเกิดขึ้นช่วงยุคการสูญพันธ์ Permian Triassic ซึ่งถือว่าเป็นการขจัดชีวิตยุคที่เรียกว่า Paleontology ครั้งนั้นสิ่งมีชีวิต 90% ถูกทำลายไป.
แก๊สกำมะถันภูเขาไฟก่อให้เกิดฝนกรด สารผสมคลอรีนก่อให้เกิดการคุกคามชั้นโอโซนของโลก ความยุ่งยากที่เป็นพิษภัยไปทั่วโลก ขณะที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างช่วงสั้นๆ บรรดาภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ทำให้เกิดความร้อนจากสภาพเรือนกระจก(greenhouse effect)ช่วงยาว การส่งหินละลายและน้ำออกมาท่วมโลกครั้งสุดท้าย ทำให้เกิดที่ราบสูง Columbia River ประมาณ 17 ล้านปีมาแล้ว พวกเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะเช่นว่านั้นอีกแล้ว !
แก๊สกำมะถันภูเขาไฟก่อให้เกิดฝนกรด สารผสมคลอรีนก่อให้เกิดการคุกคามชั้นโอโซนของโลก ความยุ่งยากที่เป็นพิษภัยไปทั่วโลก ขณะที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างช่วงสั้นๆ บรรดาภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ทำให้เกิดความร้อนจากสภาพเรือนกระจก(greenhouse effect)ช่วงยาว การส่งหินละลายและน้ำออกมาท่วมโลกครั้งสุดท้าย ทำให้เกิดที่ราบสูง Columbia River ประมาณ 17 ล้านปีมาแล้ว พวกเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะเช่นว่านั้นอีกแล้ว !
ข้อที่ 8
โรคระบาดลุกลามไปทั่วโลก ( Global Epidemic )
ถ้าโลกไม่ทำอะไรเรา เพื่อนเราอาจทำหน้าที่นี้แทน จุลินทรีย์(germs)และมนุษย์อยู่ร่วมกันอยู่แล้ว แต่เป็นครั้งคราวดุลยภาพเอียงไป ! ไข้ทรพิษ(โรคห่าหรือกาฬโรค Black Plague) คร่าชีวิตคนยุโรป 1 ใน 4 ระหว่างศตวรรษที่ 14 ไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตอย่างน้อยถึง 20 ล้านคนระหว่างปี ค.ศ. 1918-1919 โรคร้าย AIDS ทำให้คนเสียชีวิตสูงประมาณกันและยังทำร้ายมนุษย์ต่อไปอย่างแข็งขัน จากปี 1980-1992 รายงานจาก Centers for Disease Control and Prevention ระบุถึงความตายจากโรคติดต่อในสหรัฐสูงขึ้น 58% โรคร้ายเก่าๆเช่นอหิวาตกโรคและโรคหัด ได้พัฒนาการต้านทานยาปฏิชีวณะ การเกษตรที่เข้มข้นและการพัฒนาที่ดินทำให้มนุษย์ใกล้จะเป็นผู้ปลอดโรคจากสัตว์ แต่การท่องเที่ยวสากลหมายถึงมนุษย์นั่นแหละเป็นพาหะของโรค ทำให้เชื้อโรคสามารถแผ่แพร่ไปเร็วกว่าปกติ Michael Osterholm ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อ ที่เมื่อเร็วๆนี้ลาออกจาก Minnisota Department of Health บรรยายสภาพการณ์ประหนึ่ง “การพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นในแม่น้ำที่สายน้ำแรงและเชี่ยวกราก” ความเป็นไปได้ที่ร้ายแรงที่สุดควรจะเป็นความฉุกเฉินของความเขม็งเกลียว ที่แพร่กระจายเร็วมากจนเราตั้งป้องกันไม่ทัน หรือเร็วจนขัดขวางการควบคุมทางเคมีทุกรูปแบบ บางทีเป็นผลจากการคนหม้อทางนิเวศวิทยาหรือไม่ไม่ทราบได้ ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว การสิ้นสูญสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทันทีทันใดลามไปทั่วอเมริกาทั้ง 2 ทวีป Ross McPhee แห่ง American Museum of National History แย้งว่า ผู้ร้ายที่ว่านั้นก็คือเชื้อโรคที่มีพิษภัยสุดๆ ซึ่งมนุษย์เองช่วยลำเลียงส่งต่อทำให้มันสามารถอพยพเข้าสู่โลกใหม่ได้นั่นเอง.
ข้อที่ 9
โลกร้อน ( Global Warming )
โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า มนุษย์นั่นแหละต้องได้รับการประณามด้วย ก็เห็นแล้วว่าความร้อนของโลกสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมเมืองต่างๆ และทำความเสียหายแก่การเก็บเกี่ยวพืชพันธ์ธัญญาหาร เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยค้นคว้า Paul Epstein แห่งสถาบันการแพทย์ Harvard ได้ออกคำเตือนว่า ดาวพระเคราะห์ที่เย็นกว่านี้จะช่วยเสริมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค โดยที่มนุษย์ต้องจัดการให้บรรยากาศเหมาะสมในการที่จะขจัดพวกปาราสิตและกระจายแนวเวชศาสตร์เขตร้อนให้กว้างขึ้น (ดูหัวข้อ มิฉะนั้นจะเอื้อต่อโรคพืช ซึ่งเมื่อบวกกับการเปลี่ยนแปลงของ บรรยากาศอย่างมีนัยสำคัญแล้วอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดทุพภิกขภัยที่จะทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ความร้อนที่เกิดจากการที่บรรยากาศโลกกักความร้อนมากพอใกล้ผิวโลกขึ้นอีกแม้แต่เล็กน้อย และการก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับที่เลวร้าย น้ำจะกลายเป็นไอเร็วขึ้นและระเหยหนีเร็วขึ้น(ก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรง) และก็กักความร้อนไว้มากขึ้น ทำให้ละลายคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากหินซึ่งก็ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปอีกและสูงขึ้นเรื่อยๆ โลก
ก็จะสิ้นสุดลงเหมือนดาวพระศุกร์ ซึ่งที่นั่นอุณหภูมิกลางวันสูงถึง 900 องศาฟาเรนไฮต์ อาจจะเป็นไปได้ว่า ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกสูงมากขึ้น แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถลดปฏิกิริยาเรือนกระจกที่ว่านี้ นอกจากมนุษย์จะต้องหาวิธีการต่างๆเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็พอทุเลาความร้อนของโลกได้บ้างก่อนที่จะเข้าขั้นวิกฤติจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้
ก็จะสิ้นสุดลงเหมือนดาวพระศุกร์ ซึ่งที่นั่นอุณหภูมิกลางวันสูงถึง 900 องศาฟาเรนไฮต์ อาจจะเป็นไปได้ว่า ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกสูงมากขึ้น แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถลดปฏิกิริยาเรือนกระจกที่ว่านี้ นอกจากมนุษย์จะต้องหาวิธีการต่างๆเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็พอทุเลาความร้อนของโลกได้บ้างก่อนที่จะเข้าขั้นวิกฤติจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้
ข้อทีื่ 10
การพังทลายของระบบนิเวศน์ ( Ecosystem Collapse )
ภาพของช้างที่ถูกฆ่าตายและภาพป่าฝนที่ไฟลุกไหม้สะดุดความสนใจของมนุษย์ แต่ปัญหาใหญ่ การสูญเสียทั้งครบของระบบชีวะสากล มองเห็นได้น้อยแต่ร้ายแรงกว่ามาก วิวัฒนาการหลายพันปีก่อให้เกิดโลกซึ่งเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุขสำหรับสิ่งสร้างทุกชนิดทุกสายพันธ์นับไม่ถ้วน การศึกษาค้นพบใหม่ๆใน Isle Royale National Park บริเวณทะเลสาบ Superior (ของสหรัฐ)เป็นตัวอย่าง ฤดูหนาวที่มีหิมะตกจะกระตุ้นให้สุนัขป่าออกล่าเนื้อเป็นฝูงใหญ่กว่า ซึ่งส่งผลต่อดินฟ้าอากาศ มันเชื่อมโยงกันเพื่อให้คุ้มกับอุปสงค์(ความต้องการ)ของจำนวนมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น เราถากถางป่าเพื่อก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัยและทำเกษตรกรรม เข้าแทนที่พืชพันธ์นานาชนิดที่เคยเป็นป่าด้วยการปลูกพืชไม่กี่ชนิด เคลื่อนย้ายต้นไม้และฝูงสัตว์ออกไปและยังนำเอาสารเคมีเข้าไปในสิ่งแวดล้อม สิ่งสร้างอย่างน้อย 30,000 ชนิดสูญหายไปทุกปีจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังดำเนินชีวิตท่ามกลางการสิ้นสูญสิ่งสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก Stephen Kellert นักนิเวศวิทยาสังคมของมหาวิทยาลัย Yale เห็นวิธีที่มนุษย์ควรเสียใจถ้าทราบถึงการตรวจสอบและดุลในระบบนิเวศวิทยาของโลก เขากล่าวว่า เชื้อโรคชนิดใหม่ๆอาจเกิดขึ้น(ดูหัวข้อ หรือบรรดาแมลงนักผสมเกสรอาจสูญพันธ์ และก็นำไปสู่การล่มสลายของระบบพืช หรือดังเช่นสุนัขป่าแห่ง Isle Royale ผลที่ตามมาอาจเป็นอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อรู้ตัวก็สายไป
อ้างอิงจาก
TS. Kato
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น