ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 50


    กฤติกาเหลือบมองวาริสาที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่าหนังสือเป็นระยะๆด้วยความกระวนกระวาย ใจหนึ่งก็อยากบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสาวฟัง แต่อีกใจก็ไม่อยากที่จะให้วาริสาต้องไม่สบายใจ สุดท้าย ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่ทำตัวยุกยิกจนวาริสารำคาญ ต้องพูดขึ้นมาอย่างระอาปนขัน
      
    “จะพูดอะไรก็พูดมา ไม่ต้องทำท่ายุกยิกหลุกหลิกอย่างนั้น น่ารำคาญรู้ไหม”
      
    “ก็ไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่านี่”  กฤติกาเสียงอ่อย
      
    “พูดๆออกมาเถอะ ห่วงนั่นห่วงนี่อยู่นั่น รู้นะว่าเกตเองก็รำคาญตัวเองน่ะ” 
     
    เมื่อเพื่อนสาวเปิดทางให้ถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือกฤติกาจะยอมทนนิ่งเฉยต่อไป เธอจึงเล่าเรื่องของเด็กสาวให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่พฤติกรรมประหลาดที่ชอบมองดวงจันทร์แล้วร้องไห้ไปจนถึงการสนทนาเมื่อคืน
     
    วาริสาขมวดคิ้ว เธอเองก็ไม่เข้าใจพอๆกับกฤติกา แต่ที่ทำเธอประหลาดใจมากที่สุดเห็นจะเป็น..
      
    “ครอบครัวแตกฉานซ่านเซ็นหรือ” 
      
    “อืม”  กฤติกาพยักหน้ารับ “ดูท่าทางจาเขาจริงจังมากนะ มากจนน่ากลัวเลยแหละ”
      
    “เราจะลองพูดกับจาดูเอง” 
      
    “เฮ้ย! ทำงั้นจาก็รู้หมดดิ ว่าเราเอาเรื่องนี้มาปูดให้สาฟังน่ะ” กฤติกาโวย
      
    “โธ่เอ๊ย ก็จาเขาไม่ได้กำชับไว้สักหน่อยว่าห้ามบอกเรา”  วาริสาเริ่มรำคาญอีกครั้งในความขี้ตื่นไม่เข้าเรื่องของกฤติกา
      
    “มันก็ไม่ดีอยู่ดีนั่นแหละ”
      
    “ไม่ดียังไง เราเป็นพี่สาวนะ มีครอบครัวเดียวกับจา เราจะไม่มีสิทธิ์รู้เลยเหรอว่าความจริงคืออะไร แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”  วาริสาชักมีอารมณ์ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับกฤติกาไม่น้องเพราะตามปกติแล้ว วาริสาไม่ใช่คนที่โกรธอะไรง่ายๆ แต่ครั้งนี้คงเกี่ยวพันถึงครอบครัวที่กระตุ้นอารมณ์ลึกล้ำในจิตใจให้พลุ่งพล่านขึ้นมา  คิดดังนั้นกฤติกาจึงไม่ถือสา หญิงสาวเพียงติงขึ้นว่า
      
    “แล้วสาคิดหรือว่าจาจะยอมพูด”
      
    “ทำไมล่ะ”
      
    “เราพอจะดูออกว่าจาก็นิสัยเหมือนกับสาน่ะแหละ สาเอง เวลาถ้าจะปิดปากเงียบน่ะ เคยง้างออกเสียที่ไหน จาก็เหมือนกัน แววตา..ไม่รู้สิ ดูเด็ดเดี่ยวยังไงก็ไม่รู้ แล้วคนอย่างนี้น่ะ อย่างพวกเราสองคนจะมีปัญญารีดเค้นอะไรออกมาได้” 
     
    วาริสานิ่งไป ที่กฤติกาพูดก็ถูก แต่ถ้าจะให้เธอนิ่งเฉย เธอก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
      
    “เอางี้ไหมล่ะ”  กฤติกาว่า ดวงตากลมโตของเธอเปล่งประกายตื่นเต้น เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “เราจะคอยดูจาไว้ให้ แล้วถ้ามีอะไรเราจะบอกสา ไม่รู้นะ เรามีลางสังหรณ์แปลกๆว่าอีกไม่นานจาจะต้องไปจากเรา..แต่ว่า..เราจะไม่ยอมให้จาจากไปเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไร สาเตรียมตัวไว้ให้พร้อมแล้วกัน ถ้าวันไหนที่เราแน่ใจว่าจาจะไป เราจะโทรบอกสา ส่วนจาให้เราจัดการ ถึงตอนนั้นจาคงจะยอมพูดความจริงกับพวกเรา”
     
    วาริสาไม่พูดว่าอะไรนอกจากตีสีหน้าเรียบ เพียงแววตาเท่านั้นที่บอกความหนักใจและกังวลไว้อย่างปิดไม่มิด
         
     


    จริงอย่างที่กฤติกาสังหรณ์ใจเอาไว้ เพราะเพียงสองวันต่อมาเท่านั้น หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงถ้อยคำแปลกๆที่เธอมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองเลย
     
    มันเป็นคำบอกลาทางอ้อม!!
     
    มันเริ่มจากบนโต๊ะอาหาร ใบหน้าที่แฝงความเศร้าสร้อยเป็นนิจนั้น วันนี้มันดูเศร้าและเหงามากมายจนกระทั่งแม่ของเธอต้องออกปากถามไถ่ด้วยความห่วงใย
     
    “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวันนี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น”  แม่เธอใช้สรรพนามเรียกแทนตัวจาว่า ‘ลูก’ อย่างสนิทปากเพราะความเคยชิน อีกทั้งยังมีทั้งความรักและสงสารอย่างเต็มเปี่ยมให้กับเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้
     
    หญิงสาวจำได้ว่าแม่เธอเคยพูดกับเธอเอาไว้ว่า
      
    “เด็กคนนี้สวยมากเลยนะเกต สวยซึ้งน่าพิศ แต่น่าเสียดายที่ดวงตามีแต่ความเศร้าหมอง เหมือนกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า เด็กอายุเท่านี้เอง ต้องเจอเหตุการณ์เลวร้ายอะไรนักหนาไม่รู้  แม่เห็นแล้วก็สงสารเหลือเกิน” 
     
    เธอก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะกล่าวคำใดออกมาเหมือนกัน ที่ทำก็มีเพียงพยักหน้าเห็นด้วยกับมารดาเท่านั้น
     
    เด็กสาวส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนช้อนสายตาขึ้นมองผู้สูงวัยกว่าด้วยความซาบซึ้งในพระคุณ ก่อนจะเบนไปทางผู้เป็นพ่อ เธอพูดเสียงแผ่วว่า
      
    “ข..เอ่อ หนูขอบคุณพวกท่านมากค่ะที่ให้ความช่วยเหลือครั้งนี้...หนู..จา..จะไม่ลืมพระคุณเลย”
      
    “พวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่หนู”  พ่อพูดยิ้มๆ บ่งบอกความปราณีท่วมท้น “ห้องก็ว่างอยู่ อาหารหนูก็กินนิดเดียวเอง ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเท่าไหร่เลย”
      
    “ใช่จ้ะ ลูกสาวป้าคนนี้มากกว่าล่ะมั้ง ที่สร้างปัญหาปวดหัวให้ป้าไม่หยุดหย่อนเสียที”  คนเป็นแม่เผาลูกหน้าตาเฉย เล่นเอากฤติกาสะดุ้ง
      
    “อ้าว แม่ ไหงมาลงที่เกตได้ล่ะเนี่ย”  หญิงสาวอุธรณ์
      
    “ก็มันจริงไหมล่ะ ทุกวันนี้ตื่นนอนก็ยังต้องให้แม่ไปปลุกให้ ข้าวของก็ชอบวางทิ้งไว้นู่นไว้นี่ให้แม่เป็นคนตามเก็บ”
      
    “โธ่!!”
     
    ท่ามกลางเสียงหัวเราะอบอุ่น ขอบตาเด็กสาวร้อนผ่าว แต่ที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มจริงใจระบายไปทั่ว ในใจได้แต่นึกภาวนา...ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากให้วันเวลาหวนกลับ ขอวันที่เคยพร้อมหน้าครอบครัว วันที่มีแต่ความสุข สงบ กลับคืนมา...

     


    หลังอาหาร เมื่อช่วยเก็บจานชามเรียบร้อยแล้ว กฤติกาเห็นว่าเด็กสาวออกจะเหลียวมองไปทางหน้าต่างเพื่อที่จะเห็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่างนั้นบ่อยครั้ง นั่นทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะแหงนเงยมองตาม
     
    คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง..
     
    สีเหลืองนวลจับตาอร่ามนั้นน่าจะทำให้เบิกบานสบายใจขึ้น ทว่าเด็กสาวกลับถอนหายใจยาวคล้ายคนเหนื่อยหนัก กฤติกาอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าไปซักถามเพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กสาวจับได้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ที่ทำได้ตอนนี้ก็เพียงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
     
    เวลาผ่านไปเชื่องช้าในความรู้สึกของเธอ เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไปตามกลไกของมันอย่างเที่ยงตรง และตอนนี้ เข็มสั้นก็กำลังชี้ที่เลขสิบ หญิงสาวเริ่มเห็นว่าเด็กสาวกระสับกระส่ายเล็กน้อยก่อนจะเก็บงานฝีมือที่เธอชอบทำเป็นประจำ..งานประเภทที่หญิงสาวเก่งเป็นนักหนาในการหลบเลี่ยง

    พ่อและแม่เธอขึ้นห้องนอนกันแล้ว ทั้งพ่อและแม่ไม่นิยมในการดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะพวกละครที่ท่านเห็นว่าไร้สาระ เท่าที่เธอเห็น หากหมดจากรายการข่าวประจำวันแล้ว ท่านทั้งสองก็มักจะขึ้นห้องไปพักผ่อนเลย
     
    ดังนั้นท่ามกลางความเงียบ จาจึงพูดออกมาเบาๆอย่างเกรงใจที่เห็นเธออ่านหนังสือง่วนอยู่
      
    “จา..เอ่อ..ขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะ”
     
    กฤติกาทำเป็นเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะยิ้มอ่อนหวาน เธอพยักหน้ารับแล้วบอกว่า
      
    “ไปเถอะจ้ะ อีกไม่นานพี่ก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน”
     
    เมื่อเด็กสาวเดินจากไปแล้ว กฤติกาก็ชะเง้อมองจนแน่ใจว่าประตูห้องของเด็กสาวปิดลงแล้ว หญิงสาวลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงแล้วตรงดิ่งไปยังโทรศัพท์
      
     


    ท่ามกลางความมืด กฤติกายืนกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าบ้าน ใบหน้าที่มีรอยกังวลคลายลงเมื่อเห็นร่างบางของเพื่อนสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งใกล้เข้ามาพร้อมด้วยกระเป๋าใบกระทัดรัด
      
    “ไปแล้ว สา น้องเค้าไปแล้ว”  กฤติกาพูดรวดเร็ว
      
    “ไปทางไหน”  วาริสามองซ้ายมองขวาราวกับจะค้นหาเด็กสาวให้ได้เดี๋ยวนั้น
      
    “ทางขวาน่ะ เพิ่งไปเมื่อห้านาทีที่แล้วเอง คงยังไปไม่ถึงไหนหรอก” กฤติกาปลอบใจ “ตามเรามา” 
     
    ทั้งคู่ไม่พูดอะไรสักคำนอกจากวิ่ง!!


     


    สิบนาทีต่อมา หญิงสาวทั้งสองใจชื้นขึ้น รู้สึกว่าความเหนื่อยอ่อนแทบหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นเด็กสาววิ่งเหยาะๆไปเรื่อยๆ คล้ายไม่มีจุดหมายปลายทาง
      
    “จะไปไหนน้า” กฤติการำพึง
      
    “คงถึงเวลาแล้วมั้ง”  วาริสาว่า ก่อนจะขยายความเมื่อเห็นหน้าตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของเพื่อนสาว “ถึงเวลากลับบ้านไง” 
      
    “ถ้าสากลับบ้านได้ แล้วสายังจะมาเรียนที่นี่อยู่หรือเปล่า”  กฤติกาถามยิ้มๆ “เห็นจาตอนแรกๆล่อคำเพคะเพขิง ไม่แน่นะ เธออาจจะเป็นเจ้าหญิงของประเทศไหนสักประเทศก็ได้”
      
    “บ้าน่า”  วาริสาทำตาดุใส่ ทว่าแม่เพื่อนตัวดีกลับหัวเราะร่า
      
    “จริงๆนะ มันมีลางสังหรณ์” 
     
    วาริสาเงียบไป ความจริงแล้วเธอก็มีลางสังหรณ์ไม่ผิดจากกฤติกานัก เพียงแต่ลางสังหรณ์ของเธอลึกกว่า และซับซ้อนกว่าเท่านั้น
      
    “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราคงคิดถึงสาน่าดูเลย” 
     
    ประโยคนี้ทำให้วาริสาหันมาทางกฤติกา จึงได้เห็นว่าแม้เพื่อนสาวจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตานั้นกลับหลุบลงคล้ายจะซ่อนอะไรบางอย่าง
      
    “อย่าคิดมากน่า อาจจะไม่มีอะไรก็ได้”  คราวนี้คนถูกปลอบเมื่อครู่กลับเป็นคนปลอบเสียเอง “เราอาจจะอยู่อย่างนี้ อยู่กับเกตไปตลอดก็ได้” 
     
    เงียบกันไปครู่หนึ่ง กฤติกาก็กระตุกมือวาริสาอย่างประหลาดใจแกมตื่นเต้น
      
    “จา.. จาเข้าไปในพงหญ้ารกๆนั่นทำไมน่ะ” 
      
    “เราจะไปรู้เหรอ คงได้แต่ตามเท่านั้นแหละ”
      
    “นั่นน่ะสินะ แต่..เอ แถวนี้มันแถวหลังมหาลัยเรานี่นา”  กฤติกาตั้งข้อสังเกตุขึ้น
     
    วาริสาแหวกพงหญ้าอย่างทุลักทุเลพอๆกับคนพูดมาก ร่างบางของเด็กสาวเป้าหมายหายไปในความมืดเสียแล้ว นั่นทำให้ทั้งคู่ใจเสีย
     
    มือบางปัดพงหญ้าออก ทันทีที่โผล่ออกไปด้านหลังพงหญ้านั้น อะไรบางอย่างก็ปาดฉับเข้ามาตรงหน้า ส่งผลให้วาริสาชะงักงัน ตัวแข็งทื่อทันที
      
    “พวกเจ้าเป็นใครกัน”  เสียงใสๆนั่นคุกคาม
      
    “เดี๋ยว!! ใจเย็นๆนะจา พวกพี่เอง”   กฤติกาตะโกนลั่นอย่างตกใจเมื่อเห็นแสงสะท้อนจากวัตถุคมวาวนั่น
     
    เด็กสาวนิ่งไปชั่วครู่..เงียบ จนได้ยินเสียงหัวใจที่แข่งกันเต้นระรัวอย่างที่แยกไม่ออกว่าใครแรงกว่ากัน
      
    “พวกพี่มาได้ยังไงกัน”  เด็กสาวคราง
      
    “เก็บมีดก่อนเถอะจา อันตรายมากนะ”  กฤติกาบอกรวดเร็ว
     
    ดูเหมือนเจ้าของมีดจะเพิ่งรู้ตัว มือบางจึงถอนออกไปอย่างว่าง่าย ก่อนที่ร่างคุ้นตาจะปรากฎตาม
      
    “ตามจามาหรือ”  จานิ่วหน้า  “ไม่ควรเลยจริงๆ” 
      
    “พวกพี่เป็นห่วงนะ อยู่ๆก็แอบหนีออกมาไม่บอกกล่าว” 
     
    คำพูดที่เหมือนตำหนินั้นทำให้เด็กสาวเม้มปากแน่น วาริสาเห็นดังนั้นจึงวางมือลงบนไหล่ละมุน ร่างบางสะดุ้งเฮือก
      
    “เป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นนี่นา พี่เกตเค้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าจาหรอก แค่หาข้อแก้ตัวให้สวยงามสำหรับตอบคำถามจาเท่านั้น”  วาริสายิ้มบางให้
      
    “พวกพี่ๆกลับไปเถอะค่ะ จาไม่เป็นไรหรอก”
      
    “จาจะไปไหน”  เพราะคนเป็นพี่สาวไม่ยอมซัก กฤติกาจึงซักเสียเอง
      
    “ไป..ไปที่ๆจาจากมาค่ะ” 
      
    “บ้านของพี่ใช่ไหม”  วาริสาถามเสียงแผ่ว “ทำไมไม่บอกพี่ซักคำ”
      
    “กลับไปเสียเถอะค่ะพี่หญิง”  น้ำเสียงเด็กสาวอ่อนโยนยิ่งนัก  “แค่ได้รู้ว่าพี่หญิงมีชีวิตอยู่ในที่ๆสงบเช่นนี้ หญิงก็ดีใจแล้ว และไม่อยากทำให้พี่หญิงต้องกลับไปในที่ๆลำบากอีก” 
      
    “ไม่ พี่ไม่เข้าใจ”  วาริสาร้อนรน “ทำไมจาถึงพูดแบบนั้น จะลำบากแค่ไหนขอให้เป็นบ้านเรา ที่ๆพี่จะอยู่อย่างอบอุ่นใจ ถึงจะลำบากกาย พี่ก็ทนได้”
      
    “มันไม่ใช่แค่ลำบากกายนะเพคะ แต่มันหมายถึงชีวิตต่างหาก”  เด็กสาวโพล่งออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่
     
    คำพูดของเด็กสาวทำให้วาริสาและกฤติกามองตากันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบอกถูก อยากจะเชื่อเหลือเกินว่านี่เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลที่เด็กสาวปั้นแต่งขึ้นมา อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจะจากพวกเธอไป หรือไม่ก็สมองอาจได้รับความกระทบกระเทือนจนเกิดภาพหลอน
     
    ทว่า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม กฤติกากลับเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเป็นที่สุด!!
      
    “ถ้าหากจาต้องไปเผชิญกับอันตราย ก็ไม่ควรไปลำพัง” วาริสาเอ่ยขึ้นในที่สุด “อย่างน้อย พี่ก็เป็นพี่สาวของเธอ เป็นหน้าที่อยู่แล้วที่จะต้องปกป้องเธอให้ถึงที่สุด”
      
    “ใช่แล้ว”  กฤติกาสนับสนุน “สาพูดถูกทุกอย่าง เราดูแลเธอมาตั้งนานแล้ว แต่สุดท้ายกลับให้เธอกลับไปเพียงคนเดียวทั้งๆที่รู้ว่าอันตรายน่ะหรือ ไม่มีทางหรอก อย่างน้อยก็ต้องไปส่งเธอให้ถึงที่ ให้มั่นใจว่าเธอจะต้องปลอดภัยเรียบร้อยที่สุด”
      
    “ไม่ได้”  น้ำเสียงเด็กสาวร้อนรน หลายครั้งที่มองขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างหวาดหวั่น “กลับไปเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวจาก็ต้องไปแล้ว ไม่อยากให้พวกพี่ๆต้องติดร่างแหไปด้วย”
      
    “ไม่ได้เหมือนกันจ้ะ”  กฤติกายิ้มกริ่ม “พวกพี่ตัดสินใจแล้วว่าต้องไปกับจา จะยังไงพี่ก็ไม่ถอยหรอก”
     
    เห็นสีหน้าที่บ่งบอกความหนักใจสุดขีดของจาแล้ว หญิงสาวก็อดขันไม่ได้ ความจริงแล้วลึกๆลงไป สิ่งที่เธอไม่ได้ปริปากบอกทั้งวาริสาและเด็กสาวก็คือ เธอมีลางสังหรณ์ประหลาด และเป็นลางสังหรณ์ที่มักจะถูกต้องอยู่เสมอเสียด้วย เธอสังหรณ์ว่าการเดินทางร่วมไปกับเด็กสาวประหลาดในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะได้พบกับผู้ที่ถือได้ว่าเป็นพี่ชายของเธอทั้งสองคนก็ได้!
     
    เพราะเหตุนี้เอง ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไง เธอก็ต้องไปให้ได้ ถึงแม้ว่าความหวังนั้นจะมีอยู่เพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่านั่งๆนอนๆพร้อมกับรอความหวังอย่างลมๆแล้งๆไปวันๆ
     
    “ในเมื่อยังไงพวกเราก็จะไปกับจา..หนูจะบอกพวกพี่ได้หรือยังจ๊ะว่าที่จริง เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างไรกันแน่”  วาริสาปะเหลาะถาม “พวกเราจะได้หาทางรับมือกันถูก”
     
    เด็กสาวดูคล้ายคนหมดหวัง แต่ในความหมดหวังนั้น หากไม่ได้เข้าข้างตัวเอง กฤติกามองเห็นความสำนึกบุญคุณ และตามมาด้วยกำลังใจที่กล้าแข็งแทนความอ่อนแออย่างที่เจ้าตัวพยายามจะปกปิดไว้ไม่ให้ใครเห็น
      
    “นี่พวกพี่เอาข้าวของมากันด้วยใช่ไหมคะ” 
      
    “พี่ก็คิดว่าคงต้องออกจากบ้านซักพักเหมือนกันถ้าคิดจะตามไปส่งจาถึงบ้าน”  กฤติกายิ้มหวาน
      
    “งั้น..” เด็กสาวลังเลนิดหนึ่งก่อนจะถามออกมาอย่างขลาดๆว่า “พี่หญิง..มีสร้อยหรือเครื่องประดับติดกายบ้างไหมคะ”
     
    ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เครื่องประดับที่เด็กสาวเอ่ยถึง หญิงสาวจึงคิดถึงเพียงสร้อยโบราณเส้นนั้นเพียงเส้นเดียว และที่สำคัญก็คือ เธอคิดว่าเด็กสาวก็คงจะหมายความถึงสร้อยโบราณเส้นเดียวที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่แรกเช่นเดียวกันด้วย
     
    วาริสาถอดกระเป๋าเป้หลังออกมา รื้อค้นอยู่อึดใจก็ส่งผ้าขมุกขมัวสีทึมๆที่ห่ออะไรบางอย่างเอาไว้ส่งให้เด็กสาวง่ายๆโดยไม่มีความระแวงแคลงใจใดๆ
     
    ดวงตาเด็กสาวเป็นประกายวาววับเมื่อแก้ห่อผ้านั้นออกมา แสงสีทองเปล่งประกายงดงาม และขณะนี้คล้ายกับมีกระแสบางอย่างที่ไหลวนเวียนอยู่ระหว่างแฉกห้าแฉกนั้น ทั้งสามสัมผัสได้ถึงพลังงานชนิดหนึ่งที่รุนแรง ชนิดที่ว่าหากมันระเบิดขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเธอจะไม่เละเป็นหน้ากอง
     
    “ไวยาวิท..ไวยาวิทอยู่กับพี่หญิงจริงๆ”  เด็กสาวพึมพำ
     
    กฤติกาชักเริ่มปวดหัวกับสภาพของสิ่งที่แวดล้อมตัวเธออยู่  ให้ตายสิ ถ้าหากว่าสายตาเธอไม่ได้เล่นตลก ตอนนี้เธอก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะถูกอะไรผ่าลงมาได้ง่ายๆ

    หญิงสาวสะกิดให้วาริสามองไปรอบๆตัวอย่างที่เธอกำลังมอง..มันคล้าย ประจุพลังงานอะไรสักอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ที่เห็นๆก็คือมันกำลังตีวงขยายออก และขยายจนพวกเธอก็กำลังอยู่ในวงประจุพลังงานนั่น

    ที่สำคัญก็คือ เธอรู้สึกเหมือนกำลังเป็นเสาล่อไฟ!!

    วาริสาเองก็คงคิดอะไรไม่ต่างจากเธอ สองสายตาประสานกันอย่างกังวล แต่ยังไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
     
    “จา..” กฤติกากลืนน้ำลายคำโต “จะทำอะไรก็รีบๆทำเข้าเถอะ พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่นะ”
     
    “ไม่แปลกหรอกค่ะ”  น้ำเสียงนั้นถ้าฟังไม่ผิด เธอคิดว่ามันร่าเริงผิดไปจากเด็กสาวที่อมทุกข์อย่างที่เห็นเป็นประจำ “แต่มันเป็นเหตุการณ์ปกติที่จะทำให้พวกเราได้กลับบ้าน”

    กฤติกาขมวดคิ้วมุ่น..เอาล่ะสิ แม่คุณ... จะเอาอะไรมาเล่นกลให้ดูกันล่ะเนี่ย กลับบ้านอีท่าไหนจะต้องมีพลังประหลาดกับกระแสไฟฟ้าหมุนวนอยู่รอบตัวให้ใจหายใจคว่ำเล่นกันอยู่แบบนี้
     
    “ยิ่งมีไวยาวิท พลังรอบตัวจะเข้าสู่สมดุลได้เร็วและทำให้ช่องว่างระหว่างมิติเปิดขึ้น นั่นคือหนทางที่จะได้กลับไปสู่บ้าน”

    คำอธิบายฟังดูประหลาด สองสาวรู้สึกงุนงงจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก เด็กสาวที่ในตอนนี้ไม่ได้มีทีท่าว่าเหลือเค้าของความทุกข์โศกกลับยืดกายตรง ความสง่างามที่หญิงสาวก็บอกไม่ถูกว่ามาจากไหนคล้ายจะเปล่งรัศมีออกมาล้อมรอบ
     
    “ข้าคงไม่มีเวลาอธิบายให้มากความกว่านี้ เวลาใกล้หมดเต็มที ให้เราไปถึงที่หมายก่อน พวกท่านอยากรู้อะไร ข้าจะบอกกับพวกท่านทุกอย่าง”

    นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเด็กสาวที่ดูจะเปลี่ยนบุคลิกไปกระทันหัน และเมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้น เด็กสาวก็เปิดรอยยิ้มบางที่แสนจะอ่อนหวานออกมา ก่อนที่ลำแสงสีขาวจะสว่างวาบจนทำให้ดวงตาพร่าพราย มองอะไรไม่เห็นนอกจากความสว่างไสวรอบกาย  หญิงสาวจำไม่ได้ว่าเธอได้กรีดร้องอะไรออกไปหรือเปล่า แต่สิ่งที่เธอจำได้เป็นครั้งสุดท้ายก็คือ..สร้อยห้าแฉกโบราณของวาริสาที่ดูจะขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และเปล่งแสงสว่างเรืองรอง..ไวยาวิท

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×