คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
2
(ความคิดของลลิตา)
ชีวิตของเด็กมัธยมปลายทำไมมันถึงยากเย็นแบบนี้...
ฉันถอนหายใจเฮือกอย่างเซ็งๆขณะที่ต้องอ่านหนังสือสารพัดวิชาที่ตั้งวางกองอยู่บนโต๊ะ นั่นทำให้พี่เรที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามฉันเงยหน้าขึ้นจากงานเพื่อตรวจดูว่าฉันยังคงตั้งใจอ่านหนังสืออยู่หรือไม่
ตอนนี้เดือนกรกฎาคมแล้ว และใกล้จะสอบกลางภาคเต็มที ทั้งๆที่ฉันยังรู้สึกว่าเพิ่งจะเปิดเทอมอยู่หยกๆ จึงเป็นสาเหตุให้พี่เรที่มักจะเข้มงวดกวดขันฉันเรื่องการเรียนเสมอมานั่งเฝ้า บังคับให้ฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างในเวลานี้เป็นต้น
พี่เรใจดีกับฉันเสมอ ทว่ากับเรื่องเรียน พี่เรเปรียบเสมือนยักษ์สำหรับฉันเลยล่ะ
ฉันนั่งอ่านหนังสือไปบ้างใจลอยไปบ้างตามประสา ฉันไม่ได้เก่งเหมือนอย่างพี่เร แถมยังความอดทนต่ำอีกต่างหาก ให้ฉันนั่งนิ่งๆตั้งใจท่องตำราแบบนี้ก็ไม่ต่างกับยั่วให้ฉันนั่งหลับเท่าไหร่
เห็นไหมล่ะ.. ตัวหนังสือตรงหน้าฉันเริ่มเบลอๆแล้ว
โอย...ง่วงนอน
"โอ๊ย!"
ฉันร้องลั่นเมื่อมีอะไรบางอย่างกระแทกลงมาที่หัวของฉัน มันไม่เจ็บมาก แต่ก็ไม่เบา มันแรงพอที่จะทำให้ฉันสะดุ้งจากการสัปหงกเลยล่ะ
"พี่เร ต้าเจ็บนะ!" ฉันทำหน้างอๆใส่พี่เร
"ก็อย่านั่งหลับสิ ตั้งใจอ่านหนังสือ" พี่เรส่ายหน้าให้กับความขี้เกียจของฉัน "อีกสองสัปดาห์ก็สอบแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่รีบอ่านหนังสือตอนนี้จะไปอ่านตอนไหน"
"เดี๋ยวค่อยอ่านอาทิตย์หน้าก็ได้นี่นา เพื่อนต้ายังไม่เห็นมีใครอ่านสักคน"
ตั้งสองสัปดาห์ ไม่มีใครเขาอ่านล่วงหน้ากันเร็วขนาดนั้นหรอกสำหรับเด็กม.ปลายอย่างฉัน
"ไม่ได้! ต้านี่ยังไงนะ สอบทีไรต้องให้พี่คอยห่วงทุกที" พี่เรทำเสียงดุๆ
"ไม่เห็นต้องห่วงเลย ผลการเรียนต้าไม่ได้แย่สักหน่อย"
"ถ้ามีไม่มานั่งดูต้าอ่านหนังสือแบบนี้ทุกครั้งที่มีการสอบ ผลการเรียนต้าจะดีแบบนี้หรือ"
นั่นไง ทวงบุญคุณอีกแล้ว...
แต่ฉันก็เถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริง ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว ก่อนสอบสองสัปดาห์ พี่เรจะต้องบังคับให้ฉันเอาหนังสือมาอ่านเตรียมสอบ แถมมานั่งเฝ้านั่งจ้ำจี้จ้ำไชฉันแบบนี้เสมอ ส่วนสถานที่นั้นก็เป็นที่เดิมทุกปี ก็คือศาลากลมใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าบ้านของฉันเอง
พอจนมุมแบบนั้น ฉันก็จำใจต้องก้มลงอ่านหนังสือตรงหน้าอย่างเซ็งๆ ตัวหนังสือไม่ค่อยเข้าหัวเท่าไหร่ แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นอ่านไปอย่างนั้นไม่ให้พี่เรดุเอาได้
เฮ้อ! ทำไมฉันต้องเหมือนเด็กน้อยต่อหน้าพี่เรแบบนี้ด้วยนะ น่าโมโหชะมัด!
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเข้าสู่โหมดสัปหงกอีกรอบ และฉันคงจะโดนพี่เรตีหัวอีกแน่ๆถ้าไม่ใช่เสียงหนึ่งที่ขัดจังหวะขึ้นมา
"ต้า เร... ขนมจ้ะ มาพักกินขนมกันก่อนสิ"
แม่ฉันนั่นเอง ส่วนขนมนั้น ฉันเดาว่าคงเป็นคุ้กกี้...แบบที่เป็นผงๆสำเร็จแล้วก็เอามาทำเองง่ายๆไง
พี่เรมองไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แม่ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านด้วยรอยยิ้มอันใจดี...แม่รักพี่เรกับพี่รันเหมือนลูกแท้ๆ แต่จะให้ความเกรงใจกับพี่เรมากกว่าเพราะความที่พี่เรดูเป็นผู้ใหญ่เหลือเกินในสายตาของแม่ ดูอย่างวันนี้สิ แม่ปลื้มใหญ่ที่พี่เรมาคอยช่วยเป็นติวเตอร์ให้ฉัน
"พักก่อนแล้วกัน" พี่เรหันมาบอกฉันพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ "แล้วก็ไปล้างหน้าด้วย พี่รู้นะ ว่าเราน่ะกำลังจะหลับอีกแล้ว"
"เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์" ฉันตอบเสียงประชดๆออกไป ก่อนจะวิ่งเข้าไปในบ้านราวกับจะกลัวว่าพี่เรจะกลับคำแล้วเรียกฉันไปอ่านหนังสืออีก
ล้างหน้าตามคำสั่งเสร็จ ฉันก็เห็นพี่เรนั่งจิบกาแฟกินคุ้กกี้พลางคุยกับแม่อย่างสนุกสนาน หากพอฉันเข้าไปนั่งด้วยจึงได้รู้ว่า หัวข้อที่แม่กับพี่เรคุยกันนั้น มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันเลย มันออกแนวเศรษฐศาสตร์กับการเมืองยังไงก็ไม่รู้
ฉันนั่งกินคุ้กกี้ไปพลางมองพี่เรไปพลางอย่างมีความสุข ใบหน้าคมที่ประดับไปด้วยนัยน์ตาเรียวและจมูกโด่งๆที่รับกับริมฝีปากบางๆคู่นั้นทำให้ฉันเผลอไผลแปลกๆ อยากรู้จัง ว่าถ้าหากริมฝีปากสวยๆของพี่เรมาแตะที่ริมฝีปากของฉัน มันจะให้ความรู้สึกยังไง
หน้าร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...นี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ น่าอายจริงๆ
อืม...แต่มันก็น่าค้นหาดีไม่ใช่หรือไง... ฉันยิ้มออกมาอย่างถูกใจในความคิด คราวก่อนฉันแอบขโมยหอมแก้มพี่เรไปครั้งหนึ่ง ถ้าคราวนี้จะเป็นที่ริมฝีปากล่ะ...เผื่อพี่เรจะรับรู้ถึงเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิงของฉันบ้าง
อ๊า~ ความคิดชั่วร้ายกำลังครอบงำฉันเข้าแล้วไง ฮิฮิ
สายตาของฉันคงบ่งบอกอะไรบางอย่าง เพราะพี่เรที่หันมาสบตาฉันพอดีถามด้วยความแปลกใจว่า
"ต้าคิดอะไรอยู่น่ะ ทำไมทำตาเจ้าเล่ห์แบบนั้น"
นี่ล่ะพี่เร...ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะ ไวชะมัด แต่กับเรื่องสำคัญกลับเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
"ไม่บอก" ฉันลอยหน้าลอยตาทำเป็นกวนๆไปอย่างนั้น ก็จะบอกได้ยังไงล่ะ ว่าฉันเตรียมคิดแผนการขโมยจูบพี่เรอยู่!
พี่เรส่ายหัวพลางหัวเราะหึหึ ความเอ็นดูที่พี่เรบ่งชัดมาทางสายตาทำให้ฉันฮึดขึ้นมามากขึ้น...ฉันจะต้องเปลี่ยนสายตาแบบนั้นให้ได้..ฉันไม่ชอบเลยจริงๆที่พี่เรชอบเห็นฉันเป็นน้องน้อยแบบนี้
เกลียดที่สุด
และเกลียดมากยิ่งขึ้นเมื่อพี่เรเรียกฉันไปอ่านหนังสือต่อ ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กขี้เกียจที่ต้องคอยกวดขัน ถึงฉันจะขี้เกียจจริง แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย
กว่าพี่เรจะยอมปล่อยฉันก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น เวลากินข้าวพอดี พี่เรยื่นมือออกมายีหัวฉันอย่างที่เคยทำเสมอเวลาที่หมั่นไส้หรือปลอบใจฉัน
"พยายามได้ดีมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์ ต้ามีเรียนพิเศษใช่ไหม พี่จะไปส่ง"
"พี่เรก็ไปส่งต้าทุกอาทิตย์นั่นแหละ ไม่เห็นต้องบอกเลย" ฉันยังคงอยู่ในโหมดหน้างอ ก็มันเซ็งนี่นา วันเสาร์อาทิตย์แท้ๆ ฉันควรจะได้พักผ่อนมากกว่าเรียนหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้
"อย่างอแงน่า พี่เป็นห่วงนะ ถึงได้เข้มงวดแบบนี้ ปีหน้าก็ต้องเอนทรานซ์แล้ว พี่อยากให้ต้าสอบติด" พี่เรพูดเสียงอ่อนโยน
"พี่เรก็ไม่เห็นต้องทำเหมือนต้าเป็นนักเรียนของพี่เรเลยนี่นา" ฉันทำปากยื่นใส่ "ต้าโตแล้วนะ"
"โตแล้วก็ต้องอ่านหนังสือเองสิ นี่ต้องให้พี่คอยเตือนทุกครั้งที่สอบเลย"
"ยังไงต้าก็อ่านหนังสืออยู่แล้วน่า"
"ให้มันจริงเถอะ"
พี่เรคงเริ่มระอากับความดื้อดึงของฉันเต็มทน จึงได้ทำหน้าตาเพลียขนาดนั้น...ไม่ชอบเลย
"พี่เรกลับบ้านเถอะ ลุงเจตกับป้ากานคงรอพี่เรกินข้าวอยู่" ฉันเสียงอ่อนลง "แล้ววันนี้พี่รันกลับบ้านหรือเปล่าคะ"
"รันไปทำรายงานน่ะ"
รายงานงั้นหรือ...หึหึ
"กับพวกพี่เอกน่ะเหรอคะ" ฉันซัก
"ก็ใช่น่ะสิ ทำไมหรือ" พี่เรทำหน้าสงสัย
นี่แหละน้า อาจารย์ผู้เข้มงวด ทีน้องชายตัวเองไม่เห็นเคยรู้เลยว่าโกหกคำโตอะไรเอาไว้บ้าง
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" ฉันยักไหล่ "แค่ถามไปงั้นเอง"
พี่เรยังคงมองฉันด้วยความสงสัย คนเซนส์ดีอย่างพี่เรน่ะ เดี๋ยวก็คงบวกลบคูณหารเอาได้เอง ฉันคงไม่ต้องยุ่งอะไรมากไปกว่านี้
ก็..นะ
ถ้าฉันยังอ่านหนังสืองกๆแบบนี้ แต่พี่รันดันออกไปเที่ยวเล่น มันก็ไม่แฟร์น่ะสิ
ใช่ไหม ?
(ความคิดของเรวิทย์)
ผมบังคับให้ต้าอ่านหนังสือกับผมแบบนี้มาสัปดาห์หนึ่งแล้ว และกวดขันรันให้อยู่ในสายตาของผมมาได้ห้าวัน ที่จริงกับรัน ผมไม่อยากจะมากเรื่องเพราะเห็นว่าโตๆกันแล้ว แต่เล่นโกหกว่าไปทำรายงาน แต่ดันไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์กลางคืนนี่สิ ผมรับไม่ได้
รันต้องยอมทำตามที่ผมสั่งอย่างไม่มีทางเลือก เพราะผมบลัฟฟ์เขาเอาไว้ว่า ถ้าหากเขาไม่เชื่อฟังผม ผมจะเอาเรื่องที่เขาโกหกไปบอกคุณลุงกับคุณป้า
เท่านั้นเอง จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็แปลงกายเป็นหมาเซื่องๆได้อย่างไม่ยากเย็น
ตรงหน้าผมตอนนี้คือเด็กสาวที่กำลังทำหน้ายุ่งๆ ขมวดคิ้วมุ่นและปล่อยให้ผมที่เริ่มยาวตกรุ่ยร่ายลงมาระใบหน้า มันอาจไม่น่าดูในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับผม...หัวใจผมแทบจะโลดออกมานอกอกเพราะความน่ารักของเธอ
การที่ผมบังคับให้ต้าต้องมาอ่านหนังสือแบบนี้ เธอคงคิดว่าผมทำตัวเหมือนพี่ชายที่จู้จี้จุกจิก หรือถ้าร้ายไปกว่านั้น เธอคงคิดว่าผมเป็นอาจารย์จอมเฮี้ยบที่ข่มลูกศิษย์อย่างเธอสารพัด แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เรื่องความรู้ที่ต้าได้รับจากการอ่านหนังสือเพื่อนำไปใช้ในการสอบนั้น เปรียบเสมือนผลพลอยได้ที่เธอได้รับ และผมก็พลอยได้หน้าได้ตาว่าเป็นพี่ชายที่แสนดี
ทว่าที่จริงแล้ว ที่ผมพยายามเหลือเกินที่จะให้เธอมานั่งตรงหน้าผมพร้อมด้วยหนังสือกองโต มันเป็นเพราะ...ผมอยากจะเห็นหน้าเธอ อยากจะอยู่ใกล้ๆเธอแบบนี้ต่างหาก และนี่ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้เธออยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา
และที่ผมทำงานยิกๆหน้าตาเคร่งเครียดนั่นน่ะ ผมแกล้งเก๊กไปงั้นแหละ โธ่! ไม่อย่างนั้นจะรู้อิริยาบทของต้าได้อย่างไร ว่าเมื่อไหร่ตั้งใจอ่าน เมื่อไหร่ไม่เข้าใจบทเรียน เมื่อไหร่เหม่อ หรือเมื่อไหร่เธอหลับ ถ้าไม่ใช่ว่าผมแอบมองเธอตลอดเวลา ผมก็คงต้องมีตาที่สามเอาไว้จับกิริยาของเธอเป็นแน่
แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีตาที่สาม สองตาของผมจึงเอาแต่ลอบมองต้าอยู่นั่นจนไม่เป็นอันทำงาน
นั่นไง...เธอกำลังเริ่มง่วงอีกแล้ว หาวหวอดเชียว
แต่ยังไงซะ ต้าก็พยายามมามากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มันคงจะไม่ผิดอะไรถ้าผมจะให้รางวัลเธอนิดหน่อย...ให้ต้าเห็นว่าผมมีรางวัลมาล่อ ในขณะที่จุดประสงค์อันแท้จริง มันเป็นอย่างอื่น
"อย่าหลับเชียวนะต้า" ใช่แล้ว ผมต้องแกล้งทำเสียงโหดๆเอาไว้ก่อน
"ค่า ท่านอาจารย์" ต้าทำเสียงยานคาง คงจะเซ็งเต็มพิกัดแล้วแน่ๆ
"อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ พี่หวังดีนะ" อย่างน้อยที่ผมทำมันก็ทำให้ต้าได้คะแนนดีๆใช่ไหมล่ะ
"รู้แล้วน่าพี่เร ไม่ต้องย้ำหรอก"
น้ำเสียงสะบัดอย่างแสนงอนที่ทำให้ผมลอบยิ้มวูบ ก่อนจะกลับมาปั้นหน้าจริงจังต่อ
"งอนเหรอ" ผมแหย่ไป
"งอนเรื่องอะไร เขาอ่านหนังสือของเขาดีๆ พี่เรอย่ามายั่วให้เสียสมาธิได้ไหม" ทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นเอง ที่จริงผมรู้อยู่เต็มอกว่าเธอกำลังจะหลับ จะหลอกผมน่ะยังเร็วไปสิบปี
"งั้นพี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วใช่ไหม" ผมเลิกคิ้วขึ้น
"ก็ใช่น่ะสิ เงียบไปเลยนะพี่เร ไม่อยากฟังเสียงพี่เรแล้ว" งอนตุ๊บป่องยิ่งกว่าเดิมอีก คราวนี้
"ว้า...เสียดายจัง" ผมแกล้งทำเสียงทอดถอน "พี่กำลังคิดว่าอยากจะชวนต้าไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกพอดีเลย"
สีหน้าของต้าดูตลกพิกล นาทีหนึ่งเธอยังงอนจนแก้มป่องแทบจะเป็นลูกโป่งลอยได้ แต่นาทีถัดมาเธอกลับเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมแล้วทำตาโตพร้อมกับถามเสียงตวัดว่า
"พี่เรจะพาต้าไปกินข้าวข้างนอก?"
"ก็ต้าไม่สนใจแล้วนี่ ช่างเถอะ"
"พี่เรแกล้งต้า"
เธอกล่าวหาผมก็จริง แต่ร่างเล็กบางทว่าว่องไว รีบเข้ามาทรุดตัวอยู่ข้างๆผมแล้วเขย่าแขนอย่างประจบประแจง
"พี่เรจะพาต้าไปกินที่ไหน ต้าอยากกินหมูกะทะ พาต้าไปกินนะ" เสียงออดๆของเธอทำให้ผมรู้สึกดีมาก เพราะน้ำเสียงแบบนี้เธอใช้กับผมเท่านั้น
"ไหนว่าให้พี่เงียบไปเลยไง" ผมยังไม่วายเล่นตัว แต่รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าผมก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ต้ารู้ว่านั่นคือเครื่องหมายตกลง
"พี่เรคนดี๊ คนดี ต้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ต้ารักพี่เรจะตาย"
หัวกลมๆของเธอซบลงมาที่มือของผมคล้ายกับน้องสาวยามอ้อนพี่ชาย... ถึงเธอจะพูดว่ารัก หรือแสดงท่าทีบ่งบอกความนัยใดๆออกมา แต่ความเป็นจริงแล้ว การกระทำของเธอยามเผลอตัวก็ยังคงเป็นน้องน้อยที่ผมอยากปกป้องดูแลอยู่ดี
สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ต้าคงไม่รู้ว่ามันทำให้ผมไม่มั่นใจ ผมรู้ว่าเธออยากเปลี่ยน...ผมก็อยากเปลี่ยน แต่ผมไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลังหากต้าค้นพบว่าผมก็เป็นได้เพียงแค่พี่ชายของเธอเท่านั้น
เรื่องบางอย่างจะเปลี่ยนกลับคืนมันง่าย ทว่าบางเรื่องก็ยากเย็น
"อ้อนจริงนะเรา" ผมพูดแผ่วๆอย่างพยายามเก็บความรู้สึก ก่อนจะเปลี่ยนโทนเสียงเป็นร่าเริง "เอ้า อ่านหนังสืออีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าหากต้าไม่สัปหงก พี่จะพาไปเลี้ยง"
กลับจากเลี้ยงหมูกะทะต้าอย่างที่เจ้าตัวต้องการแล้ว ผมก็กลับมาที่ห้องเพื่อลงมือทำงานตัวเองอย่างจริงจัง เพราะอย่างที่บอก ถึงผมจะแกล้งทำเป็นซีเรียสกับงานต่อหน้าต้าแค่ไหน แต่แท้ที่จริงแล้ว มันยังไม่คืบหน้าเอาเสียเลย ดังนั้น ผมก็เลยต้องหาเวลาสงบๆให้กับตัวเองเพื่อสะสางงานอย่างมีสมาธิ
ผมตั้งใจกับงานตรงหน้าจนกระทั่งสมองผมเริ่มล้า และได้ยินเสียงตุบๆดังออกมาจากข้างในหัว ผมวางงานลงแล้วตั้งใจว่าจะไปหาอะไรกินเสียหน่อย เพื่อมาเป็นพลังให้ผมนั่งจมอยู่กับกองหนังสือตรงหน้าได้ต่อไป
แต่ก่อนที่ผมจะได้ลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
"สวัสดีครับ"
"สวัสดีเร นี่แอนเองนะ"
เสียงตามสายที่ดังมาทำให้นิ่งไปชั่วครู่ สมองผมกำลังทำงานอย่างหนักว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร และเหมือนปลายสายจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ จึงพูดเหมือนดักคอมาว่า
"จำแอนได้หรือเปล่า ถ้าจำไม่ได้นะ แสดงว่าเรใจร้ายมากเลย"
เสียงแบบนี้..หรือว่า...
"แอน...อินทิรา น่ะเหรอ" แม้ว่าผมจะไม่ค่อยแน่ใจ ทว่าความตื่นเต้นยังคงพวยพุ่ง..ถ้าเป็นเธอจริงๆล่ะก็..
"ปิ๊งป่อง ใช่แล้ว เรจะมีสักกี่แอนล่ะ" ความร่าเริงที่ยังคงเดิมทำให้ผมยิ้มอย่างขำๆ แอนก็ยังคงเป็นแอนคนเดิมนั่นเอง
"กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมถาม
แอนเป็นเพื่อนของผมมาตั้งแต่สมัยมัธยมตอนปลาย และยังเคยคบหากันเป็นแฟนมาช่วงหนึ่งด้วย ทว่า อาจจะเป็นเพราะเราสนิทกันมากไปก็เป็นได้ สุดท้ายความสัมพันธ์ของเราจึงจบด้วยการกลับมาเป็นเพื่อนดังเดิม ผมไม่ได้เจอแอนตั้งแต่จบมัธยมปลายเพราะว่าแอนบินไปเรียนต่อต่างประเทศ พวกเราติดต่อกันในช่วงแรกๆ แต่เมื่อต่างคนต่างมีภาระการเรียนที่หนักขึ้น ส่งผลให้พวกเราขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย
"อาทิตย์ที่แล้ว"
"ใจร้ายจังนะ กลับมาอาทิตย์ที่แล้วแต่ไม่ยอมติดต่อมาเลย"
"ก็แอนโทรมาแล้วนี่ไง" เสียงใสๆหัวเราะ "แต่กว่าจะหาเบอร์มือถือของเรได้ แอนก็แทบแย่เหมือนกัน"
"โทรเข้าที่บ้านก็ได้นี่นา เรก็ยังอยู่บ้านเดิมนั่นแหละ"
"ตอนแรกก็ว่าจะโทรเข้าบ้านเรเหมือนกัน แต่แอนอยากจะได้ยินเสียงเรทันทีที่รับสาย เลยไม่อยากโทรเข้าบ้านเร"
"เรื่องมาก!" ผมค่อน "โทรเข้าบ้านนอกจากจะง่ายกว่าแล้ว ยังถูกกว่าคุยโทรศัพท์มือถืออย่างนี้ด้วย"
"ไม่ต้องมาเล่นบทอาจารย์ตอนนี้เลยนะเร แหม ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ"
"ก็แน่ล่ะสิ เรเป็นอาจารย์นี่นา"
"รู้แล้ว แหล่งข่าวของแอนบอกมา"
"ไอ้เบนซ์น่ะสิ แหล่งข่าวแอนน่ะ"
เบนซ์ อีกหนึ่งเพื่อนร่วมก๊วนสมัยมัธยม
"อ๊ะ ฉลาด"
"แอนก็ไม่เปลี่ยนเหมือนกันแหละ เคยช่างยั่วช่างยวนยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น"
"แอนจะถือเป็นคำชมแล้วกันนะ อ้อ เร จันทร์นี้ว่างไหม แอนอยากเจอ"
คำชวนฟังดูง่ายๆ แต่ทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น..วันจันทร์เป็นวันที่ผมมักจะยุ่งที่สุดเสียด้วย
"วันอังคารได้ไหมแอน ซักสามโมง เราเลิกงานพอดี"
"ได้สิ เรทำงานแล้วนี่นา คงจะยุ่งน่าดู ไม่เหมือนแอน ตั้งแต่กลับมายังเดินลอยชายไปมาอยู่เลย งานการไม่ยอมหาทำสักที"
ถึงจะพูดไปอย่างนั้น ผมก็รู้ว่าแอนไม่จำเป็นต้องหางานอะไรทำสักนิด เพราะที่บ้านแอนมีกิจการส่วนตัวที่รอแอนกลับไปนั่งแท่นเป็นผู้จัดการอีกต่างหาก
แอนไม่เคยพูดถึงเรื่องทางบ้านของเธอเลย ทำให้ผมรู้เพียงแค่ว่าที่บ้านของแอนเป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียง แอนเองที่ไปเรียนต่างประเทศก็เพื่อไปเรียนทางสถาปัตยกรรมมาโดยเฉพาะ
"รู้ตัวก็ดีแล้วนี่นา"
"แอนว่าจะเริ่มงานเดือนหน้าน่ะ ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่ เอาเป็นว่าเราเจอกันวันอังคารนะเร ถ้าเบี้ยวล่ะก็ ตัดเพื่อนกันเลย"
ผมหัวเราะกับคำขู่นั้น เพราะมันเป็นคำขู่ที่แอนชอบใช้เสมอยามต้องการให้ผมทำอะไร
หัวใจผมอิ่มเอิบ รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้าแม้จะวางสายกันไปแล้ว
(ความคิดของรัทธยุทธ์)
ยายต้าตัวแสบ...
ผมมั่นใจว่าต้องเป็นต้าแน่นอนที่เอาเรื่องของผมไปปูดกับพี่เร ผลลงท้ายก็คือ ผมต้องติดแหง็กอยู่ในบ้านแล้วก็ถูกคำสั่งจากอาจารย์บังเกิดเกล้าสั่งห้ามออกจากบ้านหลังเวลาห้าโมงเย็น
อยากจะบ้าตาย.. นี่ผมอายุ19 แล้วนะ ไม่มีใครบ้าออกกฏประหลาดแบบนี้กับเด็กอายุ 19 ที่เรียนมหาลัยแล้วแบบนี้หรอก
และทั้งๆที่ผมยังฉุนยายเด็กแสบนั่นอยู่ พี่เรก็ดันใช้ให้ผมไปรับต้ากลับบ้านในวันนี้เพราะพี่เรมีนัด
ตอนแรกพี่เรทำท่าจะให้ยืมรถของพี่เรเอาไปใช้ อ๊ะ ไม่ได้ห่วงผมจะลำบากหรอกนะ โน่น ห่วงยายต้าต่างหาก กลัวยายต้าจะลำบากกับการโหนรถเมล์พร้อมผม แต่เอก เพื่อนสนิทของผมมีรถอยู่แล้ว และปกติผมก็ไปไหนมาไหนด้วยรถบีเอ็มสุดหรูของมันตลอด
พี่เรก็เลยวางใจให้พวกเราไปรับต้ากันเอง..อืม แต่ก็ไม่เชิงวางใจเท่าไหร่หรอกนะ เรียกว่าจำใจมากกว่า เพราะพี่เรไม่ว่างเองนี่นา ทางเลือกเลยดูจะเหลือน้อยเต็มที แล้วอย่างพี่เรน่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะวางใจอะไรง่ายๆด้วย มันเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายเสียที
ผมกับเอกไปรอต้าอยู่ในบริเวณโรงเรียน เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมๆกับที่เด็กนักเรียนทยอยกันเดินลงบันไดมา
"ให้ตายเถอะ เด็กๆเดี๋ยวนี้โตไวชะมัดเลย" เอกว่า
"เฮ้ยๆ น้อยหน่อยน่า นั่นน่ะเข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะโว้ย" ผมปรามยิ้มๆ
ผมกับเอกเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ตอนปี1 รู้ดีว่านิสัยจริงแท้ของเอกเป็นอย่างไร ถึงภายนอกเขาจะดูเจ้าชู้ เพลย์บอย เสือผู้หญิง แต่ลึกๆข้างในแล้ว เอกกำลังรอผู้หญิงที่จะครอบครองหัวใจเขาได้ และน่าแปลก ที่ผมเดาว่าคนที่เอกแอบชอบมานานแล้วก็คือ...
"พี่รัน พี่เอก..."
นั่นไง กำลังคิดถึงก็มาพอดี ต้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาใกล้
ใบหน้าใสๆดูประหลาดใจมากกว่าอย่างอื่น แต่ที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ ทำไมเธอต้องหน้าแดง
"ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ แล้วพี่เรล่ะคะ"
ไม่แปลกใจเลยที่คำถามแรกของต้าจะพุ่งตรงไปที่พี่เร
"พี่เรติดธุระน่ะ" ผมตอบ "พวกพี่ก็เลยมารับต้าแทนไง"
"อย่างนี้นี่เอง" ต้าซึมไปเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออกแล้วลากให้ทั้งผมและเอกออกไปนอกโรงเรียน
"พวกพี่นี่บ้าที่สุดเลย" ต้าโวยหลังจากที่หามุมสงบได้แล้ว "ทั้งพี่รันแล้วก็พี่เอกเลยด้วย ไม่รู้ตัวบ้างหรือไงคะ ว่าพวกพี่ที่มายืนแอ๊กอยู่ที่ใต้อาคารเรียนน่ะ มันเด่นแค่ไหน โอ๊ยย ต้าอยากจะบ้า"
"หมายความว่าไงเหรอครับน้องต้า" ผมเองก็อยากรู้เหมือนเอก แต่คำพูดของเอกทำให้ผมหมั่นไส้...หนอย..ทีกับต้าล่ะก็ เดาะใช้คำพูดเสียเพราะเชียวนะ ฟังแล้วขนลุกพิลึก
"ก็หมายความว่าพวกพี่หน้าตาดีเกินไปน่ะสิคะ" ต้าทำหน้ายุ่ง "ไม่รู้สึกบ้างเหรอคะว่าพวกพี่น่ะโดนพวกนักเรียนสาวๆจ้องกันตาแทบถลน ทำเอาต้าใจคอไม่ดีเลยตอนที่เข้ามาหาพวกพี่น่ะ"
อ้าว.. เป็นอย่างนั้นไป
"ช่างมันเถอะ กลับบ้านดีกว่า สงสัยพรุ่งนี้ต้าต้องตอบคำถามอานแน่ๆเลย เฮ้อ!"
เอกหัวเราะขำกับท่าทีของต้า เขากระเซ้าว่า
"น้องต้าก็พูดไปเลยสิครับ ว่าพี่เป็นแฟนน้องต้าไง"
"ไม่ล่ะค่ะ" ต้าเบ้หน้า "เป็นแฟนกับคนเจ้าชู้อย่างพี่เอกน่ะเหรอ ต้าไม่เล่นด้วยหรอก"
เป็นประโยคที่ทำให้เอกสะอึกไป...ทีกับเรื่องของตัวเองแบบนี้กลับความรู้สึกช้า เพราะตลอดเวลามา ต้ารู้จักเอกในฐานะเพื่อนสนิทของผม เลยพลอยทำให้ต้าสนิทกับเอาเหมือนที่สนิทกับผม นั่นก็คือ เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและพี่ในเวลาเดียวกัน ต้าจึงไม่ค่อยระมัดระวังคำพูดเพราะคิดว่าสนิทกันเกินกว่าจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อย แต่ที่ต้าไม่เคยรู้สึกเสียทีก็คือเอกไม่เคยมองต้าเป็นน้องหรือเป็นเพื่อนสักนิด
แต่ผมไม่รู้สึกหวงต้าหรอกนะ แม้ว่าผมจะชอบต้าก็ตามที เพราะผมรู้ว่า ต่อให้ผมหรือเอกพยายามแค่ไหน คนในหัวใจของต้าก็มีแต่พี่เร ดังนั้น ผมคิดว่าผมเห็นใจเอกมากกว่า
ก่อนถึงบ้าน จู่ๆ ยายต้าจอมยุ่งก็อยากกินไอศกรีมขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งๆที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านที่ไม่มีร้านไอศกรีมใดๆทั้งนั้น เอก ซึ่งอยากจะเอาใจต้าอยู่แล้ว ก็เลยเอาใจแม่เจ้าประคุณโดยการยอมขับรถย้อนกลับไปที่ห้างคาร์ฟูลเพื่อซื้อไอศกรีมแดลี่ควีนที่ต้าอยากกิน ต้าจึงยิ้มหน้าบานที่ได้กินไอศกรีมสมอยาก แถมยังมีคนเลี้ยงอีกต่างหาก เวรกรรมของไอ้เอกจริงๆ
"อื้อ พี่เอกพี่รัน สัปดาห์หลังสอบ.." ต้าหมายถึงอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า "จะมีงานโรงเรียนเนื่องในวันก่อตั้งโรงเรียนน่ะ พี่ว่าห้องต้าจะจัดกิจกรรมอะไรดี"
"งานโรงเรียนเหรอ มันเป็นยังไงล่ะ" เอกถามเพราะเอกไม่เคยเรียนโรงเรียนนี้มาก่อน แต่สำหรับผมไม่ต้องอธิบายให้มากความ..ก็ผมเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้นี่นา
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ว่าทางโรงเรียนจะให้พวกนักเรียนจัดกิจกรรมกันเองโดยแบ่งเป็นห้องๆ แล้วก็จะมีการเชิญพวกนักเรียนโรงเรียนอื่นมาเที่ยวงานด้วย"
"เที่ยวงานแบบไหนกัน" ผมค้าน "พวกนักเรียนโรงเรียนอื่นน่ะ มาเพื่อแข่งขันสารพัดกิจกรรมที่โรงเรียนจัดเท่านั้นแหละ ส่วนคนสนุกน่ะ มันก็นักเรียนในโรงเรียนนั่นแหละ"
"ก็แหม แค่พูดให้ฟังดูดีเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องขัดเลยนี่"
ต้าทำเสียงงอนๆ จะไม่งอนได้ไงในเมื่อผมพูดจาไม่ไว้หน้าโรงเรียนที่ต้ารักนักรักหนาโรงเรียนนี้ เหอะ..ทั้งที่มันเป็นความจริงแท้ๆ
งานที่โรงเรียนเรียกว่าเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ แต่ผมว่ามันเป็นการตัดความสัมพันธ์มากกว่า ก็เล่นเชิญนักเรียนโรงเรียนอื่นมาแข่งขัน ปากบอกว่าเพื่อเพิ่มทักษะให้นักเรียน แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่ฟาดฟันกันมากกว่าคือพวกอาจารย์ล่ะไม่ว่า ทำยังไงก็ได้ให้นักเรียนของโรงเรียนตัวเองชนะ และโรงเรียนที่เป็นเจ้าภาพก็ได้เปรียบ เพราะว่ากรรมการเกมส์ไหนๆก็เป็นอาจารย์โรงเรียนเจ้าภาพทั้งนั้น
ฟังดูเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่ในสายตาของผมมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
"พี่เอกว่ายังไงคะ" ต้ายังคงฉอเลาะต่อไป
"จัดกิจกรรมเป็นห้องๆหรือครับ แล้วให้ใครก็ได้เข้ามาดูใช่ไหม" เอกถามเสียงนุ่ม
"ค่ะ อืม..ปีที่แล้วห้องต้าทำเกมส์บิงโกกับเหยียบลูกโป่งกัน คราวนี้เอาเป็นอะไรดีคะ"
เอกทำท่านึก ก่อนจะตอบอย่างกระตือรือร้นว่า
"เอาเกมส์นี้สิน้องต้า พี่จำชื่อเกมส์ไม่ได้หรอกนะ แต่มันเป็นเกมส์ที่ให้คนยืนบนโต๊ะ แล้วคนข้างล่างก็เอาปื่นฉีดน้ำที่ผสมแป้งฝุ่นฉีดใส่น่ะ คล้ายๆกับเล่นสงกรานต์เลย"
"แล้วมันสนุกตรงไหนคะ" ต้าเอียงคอถามด้วยท่าทางน่ารัก ผมรู้ว่าเจ้าตัวไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไป แต่ในสายตาของเจ้าเอก หึหึ มันเป็นการโปรยเสน่ห์อย่างหนึ่งมากกว่า
"ต้องสนุกสิครับ ก็คนที่ไปยืนเป็นเป้าให้ฉีกน้ำน่ะ มักจะเป็นคนหน้าตาดีๆ หรือเป็นที่รู้จักมากๆ คนก็จะสนใจกันเยอะ"
คราวนี้ต้าชักเริ่มตาลุก
"เจ๋งไปเลยพี่เอก พี่ไปเอาเกมส์นี้มาจากไหนคะ"
คำถามร่าเริงนั้นทำเอาเอกหน้าเจื่อน และผมหลุดหัวเราะออกมา เห็นสายตาที่เป็นคำถามของต้าแล้ว ผมเลยช่วยตอบแทนเอกที่เป็นใบ้ไปแล้วว่า
"ก็งานลอยกระทงที่มหาลัยปีที่แล้ว เอกมันเป็นคนโดนฉีดน้ำน่ะสิ ยายต้า!"
ความคิดเห็น