คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ + ตอนที่ 1
บทนำ
คำจำกัดความของคำว่าเจ้าชายคืออะไร ลลิตา เด็กสาววัย 17 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่ 5 ในโรงเรียนสาธิตชื่อดังแห่งหนึ่ง ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ และเธอก็ไม่เคยสนใจที่จะค้นคว้าหาคำตอบที่ชัดเจนลงไปด้วย แต่เธอกลับใฝ่ฝันเสมอว่าจะมีชายหนุ่มที่เหมือนกับเจ้าชาย มาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอและขอความรักกับเธอ..
ออดดังขึ้นบอกเวลาเลิกเรียน ลลิตาเดินคุยกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างสนุกสนานจนกระทั่งไม่ทันมองบันไดขั้นสุดท้ายว่ามันยังมีอีกหนึ่งขั้น และผลก็คือ..
"กรี๊ดดดดดด!!"
เด็กสาวปิดตาแน่น ว้ายๆๆๆๆ เธอกำลังจะหัวทิ่มลงไปที่พื้นแล้ว อ๊ายยย ไม่นะ!
ตุ้บ
เสียงฮือฮารอบๆตัวเธอ เสียงวี้ดว้ายของบรรดาเพื่อนๆที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกในตอนแรก ตอนนี้กลับเงียบหาย
และเธอ..ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเลยแม้แต่กระผีกริ้น
หญิงสาวที่ยังปิดตาไม่เลิก เกาะใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะมาช่วยเธอไว้ทันเวลาแน่น คล้ายกับห่วงว่า หากเธอลืมตาขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งที่มาช่วยเธอนั้นจะหายไปเป็นอากาศธาตุ
"เอ้า ลืมตาเสียทีสิ ต้า" เสียงทุ้มๆ อบอุ่น คุ้นหู
ลลิตาค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพื่อพบกับ
"เจ้าชาย"
คำพูดที่เหมือนกับเพ้อฝันนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เรียบร้อยตามแบบอย่างของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ดี ดูจะอึ้งๆไปนิด ก่อนที่จะหลุดหัวเราะขำออกมา
"ใช่แล้ว เจ้าหญิงน้อย" เขาทำเสียงยานคางล้อเลียน "เจ้าหญิงน้อยจอมซุ่มซ่าม จะกลับบ้านกันหรือยังขอรับกระผม"
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนุ่มหล่อข้างบ้านที่อายุมากกว่าเธอถึงแปดปี เขาอายุ 25 ปี และทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง
ส่วนโรงเรียนของเธอ ก็เป็นโรงเรียนสาธิตที่อยู่ในเครือเดียวกับมหาวิทยาลัยที่เขาทำงาน ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขามักจะมารับเธอกลับบ้านในทุกเย็น
"พี่เร!" ลลิตาหน้าแดงอย่างอายระคนเขิน "ขอโทษค่ะ ต้าเผลอไป"
เพื่อนๆบริเวณนั้นแอบยิ้มให้กันอย่างรู้ดีว่าลลิตานั้นบ้าเทพนิยายประเภทเจ้าชายเจ้าหญิงมากแค่ไหน และจากที่เห็นก็รู้ว่าเด็กสาวคงจะเป็นเอามากถึงขนาดพร่ำเพ้อถึงเจ้าชายแบบนี้
และแน่นอนว่าเพื่อนสนิทของเธอรู้จักหนุ่มหล่อมาดเท่ห์คนนี้เป็นอย่างดี เรวิทย์ หรือ พี่เร ของลลิตา คนซึ่งเปรียบเสมือนผู้ปกครองกลายๆของเธอ
ร่ำลาเพื่อนเสร็จ เด็กสาวก็เดินเคียงข้างชายหนุ่มเพื่อไปขึ้นรถที่จอดอยู่แถวๆนั้น เรวิทย์นั้น มือหนึ่งจูงลลิตา อีกมือหนึ่งก็ถือกระเป๋านักเรียนของเธอเอาไว้
"พี่เรคะ ต้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่ต้องจูงแบบนี้ก็ได้" ลลิตาโวยวาย
"ไม่ได้หรอก ต้าน่ะเป็นจอมซุ่มซ่าม คลาดสายตาหน่อยเดียวก็ชอบสะดุดหกล้มประจำ" เรวิทย์ว่า "ดูอย่างเมื่อกี้สิ คนปกติคงไม่เดินสะดุดบันไดหกล้มหรอก ถ้าพี่ไม่อยู่ตรงนั้น ป่านนี้ต้าคงต้องร้องโอดโอยเพราะแอลกอฮอล์ล้างแผลแน่"
"แต่ว่า "
ลลิตาเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวด้านข้างของใบหน้าชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้าง แล้วก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้พูดไปว่า
'เมื่อไหร่พี่เรถึงจะมองว่าต้าเป็นผู้ใหญ่แล้วสักที'
ซึ่งเธอก็รู้ว่าคำตอบของพี่เรก็คงจะเป็นคำตอบเล่นๆอย่างเคยว่า
'ก็เมื่อต้าเลิกซุ่มซ่ามแล้วไงล่ะ'
1
(ความคิดของลลิตา)
ฉันวิ่งกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่แม้แต่จะบอกลาพี่เรแม้แต่น้อย แต่พี่เรก็ดูจะไม่สนใจเท่าไหร่ เพียงแค่ส่ายหัวแล้วก็หัวเราะที่ฉันทำท่างอนๆ แล้วก็ไม่ยอมพูดจาอะไรเลยตลอดทางที่กลับบ้าน
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกซ์ !!!!!!!!!
ตอนนี้ฉันอยากจะระบายอารมณ์ที่อัดอั้นออกมาเหลือเกิน เพราะฉะนั้น พี่หมีตัวใหญ่ที่ฉันนอนกอดทุกคืนเลยต้องมารับเคราะห์เพราะความอารมณ์เสียของฉัน จนฉันอารมณ์เริ่มดีขึ้นนั่นแหละ จึงนอนแหมะลงบนเตียงแล้วก็กอดพี่ตุ๊กตาหมีเป็นการปลอบขวัญ
พี่หมีคงไม่โกรธฉันหรอกที่ตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้
แต่ฉันนี่สิ โกรธแทบตายที่พี่เรชอบทำเหมือนกับฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุสี่ห้าขวบ ทั้งๆที่ความจริงแล้วฉันคือเด็กสาวอายุ 17 ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงสาว
ฉันเป็นสาวแล้วนะพี่เร ทำไมพี่เรไม่คิดถึงความจริงข้อนี้บ้าง มันเจ็บใจจริงๆที่พี่เรชอบจับหัวฉันแล้วก็ยีจนผมยุ่ง หรือการที่พี่เรชอบจับจูงฉันเหมือนกับกลัวว่าฉันจะหลงทางหายไปไหน
เฮ้อ เอาแต่โกรธ เอาแต่งอนแบบนี้สินะ ถึงโดนหาว่าเป็นเด็กประจำ
พี่เรเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาอาศัยร่วมกับคุณลุงคุณป้าเมื่อ 12 ปีที่แล้วเพราะคุณพ่อและคุณแม่ของพี่เรไม่ต้องการให้ย้ายตามพวกท่านไปอเมริกา ดังนั้น พี่เรจึงรู้จักกับฉันในฐานะเด็กหญิงกะโปโลแสนซนจอมซุ่มซ่าม ลูกสาวคนเดียวของบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีความสนิทสนมชิดเชื้อกันมาตั้งแต่พี่เรยังไม่ย้ายเข้า นอกจากนี้ พี่เรยังมีน้องชายจอมซนอีกคนหนึ่งคือ พี่รัน หรือ รัทธยุทธ์
พี่รันมีอายุใกล้เคียงกับเธอมากกว่าพี่เร ตอนนี้พี่รันกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 และแน่นอนว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่พี่เรสอนอยู่นั่นเอง
ฉันสนิทกับทั้งพี่เรและพี่รัน แต่สนิทกันคนละแบบ กับพี่เร ฉันมักจะเข้าไปเคลียคลอด้วยก่อนเสมอ อยากที่จะมองหน้า อยากจะพูดคุย พี่เรเป็นแบบฉบับของผู้ชายในฝันของฉัน...เป็นแบบฉบับของเจ้าชายในเทพนิยายที่ฉันอยากจะครอบครอง
พี่เรเป็นชายหนุ่มแสนสุภาพและช่างเอาใจ ตั้งแต่เธอรู้จักกับพี่เร ไม่เคยแม้สักครั้งที่พี่เรจะโกรธเธอแม้ว่าฉันจะทำอะไรซนๆแผลงๆตามประสาเด็กก็ตาม พี่เรมักจะจับแก้มของฉันเบาๆอย่างอ่อนโยนและยิ้มให้เสมอ คอยปกป้องฉันในยามที่เธอโดนเด็กผู้ชายคนอื่นๆในหมู่บ้านเดียวกันแกล้ง หลายๆครั้งที่คนที่แกล้งฉันเป็นพี่รัน พี่เรก็จะคอยเข้ามาห้ามทัพเสมอ
ส่วนพี่รัน ฉันสนิทกับพี่รันเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ฉันสามารถคุยกับพี่รันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องสากกะเบือยันเรือรบ คุยบ้างทะเลาะบ้าง มันก็สนุกดี
ที่จริงแล้ว ฉันไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าพี่รันอายุมากกว่าฉัน 3 ปี เพราะพี่รันดูเหมือนเด็ก ในขณะที่พี่เรนั้นเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นและความรับผิดชอบสูง ฉันสามารถออกไปดูหนังเฮฮาตามสไตล์เฮ้วๆแบบวัยรุ่นกับพี่รันได้อย่างสบาย ในขณะที่อยู่กับพี่เรทีไร ฉันต้องคอยระมัดระวังตัว ไม่ให้พี่เรเห็นว่าฉันเป็นเด็กๆ แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด พี่เรก็ยังคงเห็นฉันเป็นเด็กอยู่ดี
แม้เวลาจะผ่านไปถึงสิบสองปี แต่พี่เรก็ยังคงเห็นฉันเหมือนน้องน้อยที่อายุ 5 ขวบอยู่ดี
เฮ้อ ! ไม่เข้าใจตัวเองว่าบ้าหรือเปล่า ที่ต้องคอยคิดถึงพี่เรตลอดเวลา ใช่แล้ว..ฉันคงจะบ้าที่ไปรักพี่เรข้างเดียวแบบนั้น
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็ยังได้อยู่ข้างๆพี่เร ถึงจะทุกข์ แต่ว่า...อย่างน้อย การได้เห็น ได้พูด ได้คุย กับพี่เร ก็ทำให้ฉันมีความสุขอย่างมากมาย
"ต้า ลงมานี่หน่อยสิลูก เอาขนมนี่ไปให้ลุงเจตหน่อยสิลูก"
เสียงแม่ของฉันตะโกนเรียก สติที่กำลังล่องลอยไปถึงพี่เรของฉันจึงกลับมาเข้าร่างอีกครั้ง
"คะ ค่ะแม่" ฉันตะโกนรับคำอย่างกระตือรือร้น ว้าวว ฉันหาข้ออ้างไปหาพี่เรได้อีกแล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ
ขนมที่แม่ฉันให้เอาไปให้ก็คือวุ้นกระทิที่ทำได้อย่างง่ายๆด้วยการซื้อผงวุ้นกระทิมาทำ แม่ฉันมักจะชอบทำขนมกระจุกกระจิกแบบนี้อยู่เสมอ ขอให้ง่ายเข้าว่า แม่ฉันชอบทำทุกอย่าง
ลุงเจตออกมารับฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ลุงเจตเป็นลุงของพี่เร และยังเปรียบเสมือนญาติแท้ๆของฉันด้วย เพราะลุงเจตเอ็นดูฉันมากๆ
"สวัสดีค่ะลุงเจต แม่ให้เอาขนมมาให้ค่ะ" ฉันยิ้มกว้าง
"เข้ามาก่อนมา" ลุงเจตเชื้อเชิญ ฉันรักลุงเจตที่ยินดีต้อนรับฉันเข้าบ้านเสมอๆแบบนี้จัง "ป้าเค้ากำลังอาบน้ำอยู่น่ะ อ้อ ลุงซื้อขนมสาคูเผือกมาด้วย เข้ามากินด้วยกันสิหนูต้า"
คุณลุงเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ส่วนมหาวิทยาลัยอะไรคงไม่ต้องบอก เรียกได้ว่าสีเลือดของตระกูลนี้เข้มข้นมากทีเดียว ดูได้จากการที่พี่เรตัดสินใจเป็นอาจารย์อย่างไม่ลังเลทันทีที่เรียนจบ ทั้งๆที่เพื่อนพี่เรคนอื่นต่างก็ไปเสาะหางานที่มีรายได้มากกว่านี้กันหมดแล้วแท้ๆ ส่วนคุณป้านั้น ตอนนี้เกษียณออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแล้ว
ข้างในบ้าน มีพี่รันที่นั่งกินขนมสาคูเผือกรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่เร...ถ้าให้ฉันเดา ก็คงเตรียมการสอนสำหรับพรุ่งนี้อยู่ในห้องล่ะมั้ง
"จมูกตามกลิ่นสาคูเผือกมาหรือไงต้า"
นั่นเป็นคำแรกที่พี่รันพูดกับฉัน แต่ฉันก็ไม่ถือหรอกนะ ขืนถือสากับเรื่องแค่นี้ ฉันคงได้ทะเลาะกับพี่รันวันละสิบรอบ
แต่คนที่ช่วยดุแทนฉันก็ยังมีอยู่ นั่นก็คือลุงเจต
"พูดจาอะไรน่ะตารัน ฟังไม่ได้เลย นี่น้องเค้าอุตส่าห์เอาวุ้นกระทิมาฝากแท้ๆ"
"โธ่ คุณลุงฮะ แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง" พี่รันทำเสียงออดอ่อย
"ต้าชินแล้วค่ะลุงเจต" ฉันหัวเราะ ก่อนจะหันมาถามพี่รัน "กลับมานานแล้วเหรอพี่รัน วันนี้ไม่ออกไปเที่ยวกับพวกพี่เอกล่ะ"
"อย่ามาหาเรื่องกันนะยายต้า เที่ยวอะไรกัน" พี่รันโวยวายเพราะไม่อยากให้ลุงเจตรู้เรื่องเหลวไหลที่พี่รันทำมากนัก และเรื่องเที่ยวก็คือหนึ่งในนั้น
โชคดีที่ลุงเจตเข้าไปจัดการเรื่องขนมให้ฉันอยู่ก็เลยไม่ได้ยิน
"ก็อยากมาปากร้ายใส่ต้าก่อนทำไมล่ะ" ฉันแลบลิ้นแผล่บใส่ "ต้ารู้นะว่าอาทิตย์ก่อนน่ะ พี่รันโกหกลุงเจตว่าไปทำรายงาน แต่ที่จริงแล้วไปเที่ยวผับกับพวกพี่เอก"
"เงียบๆน่ายายต้า ปากสว่างอีกแล้วนะเราน่ะ"
พี่รันแยกเขี้ยวใส่ฉัน แต่ฉันก็เพียงแต่หัวเราะเฉย เพราะต่างก็คนต่างรู้ว่าไม่มีใครที่จะทำอะไรบ้าๆแบบนั้นแน่นอน ไม่ใช่เพราะฉันทำเพื่อพี่รันหรอกนะ...แต่มันเหมือน...พูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ลุงเจตไม่รู้ก็ทำให้ลุงสบายใจว่าหลานตัวเองเป็นเด็กดี ส่วนพี่รันเองก็ไม่ต้องโดนดุหรือเพ่งเล็ง
เรียกว่าพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองก็ได้
"นี่ พี่รัน แล้วพี่เรล่ะ" ฉันถามดวงตาเป็นประกาย
"ก็อยู่ข้างบนน่ะสิ ไม่น่าถามเลย" พี่รันก้มหน้าก้มตากินขนมตรงหน้า "เธอเนี่ยนะ ที่จริงแล้วมาส่งขนมนี่ก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงแบบนี้ใช่ไหม"
ฉันหน้าเจื่อนไปนิดหน่อย แต่ก็ยังทำเสียงให้ร่าเริง พูดแจ้วๆต่อไปได้
"ก็ใช่น่ะสิ นี่จุดประสงค์หลักของต้าเลยล่ะ"
เสียงลุงเจตนำมาก่อนที่จะเห็นตัวว่า
"ขึ้นไปได้นะหนูต้า ถ้าอยากเจอตาเรล่ะก็ แต่ต้องหลังจากกินนี่ก่อนนะ"
"จริงเหรอคะลุงเจต" ฉันยิ้มกว้าง
ลุงเจตพยักหน้าอย่างใจดี ในหัวลุงเจตคิดเพียงว่าฉันเป็นเด็กหญิงที่ติดพี่ชายบ้านนี้แจเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะตอนไหน เธอจะต้องร้องหาพี่เรไว้ก่อน มันเป็นเรื่องประจำจนทุกคนชาชิน
แต่ก็ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า ความรู้สึกที่แท้จริงของฉันมันเปลี่ยนไปเมื่อนานมาแล้ว
ฉันแกล้งทำเป็นยิ้มอย่างนั้น แกล้งทำเป็นมีความสุขขณะพูดคุยบนโต๊ะอาหาร แกล้งทำเป็นมีความสุข...เหมือนที่เด็กสาวปกติธรรมดาพึงมีต่อครอบครัว
....ต้าขอโทษนะคะลุงเจต...
พอกินของหวานเสร็จ ฉันก็ขึ้นไปหาพี่เรบนห้องอย่างรวดเร็ว
ฉันเปิดประตูห้องพี่เรอย่างคุ้นเคย แล้วก็ได้เห็น เจ้าชายที่ฉันหลงใหลใฝ่ฝันมาตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา เขากำลังนอนหลับสนิท เสียงกรนเบาๆที่ลอยมาให้ได้ยินทำให้ฉันอมยิ้ม ดูจากเอกสารที่วางเกลื่อนโต๊ะแล้ว ก็พอจะตีความหมายได้ว่าพี่เรคงจะอ่อนเพลียหนักจากงานที่มหาวิทยาลัย
ฉันเข้าไปใกล้พี่เร....เข้าไปนั่งอยู่ข้างๆตัวพี่เรแล้วพิศดูใบหน้าคมเข้มของเขา
(ความคิดของเรวิทย์)
ผมกลับมาถึงบ้านอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ว่างานจะหนักจะเหนื่อย แต่เพราะเพียงแค่ได้เห็นหน้าใสๆ จมูกรั้นๆของต้า สาวน้อยข้างบ้านที่มักจะคอยออดอ้อนให้ผมเอาใจอยู่เสมอคนนั้น มันก็ทำให้ผมหายเหนื่อยได้ราวกับว่าเป็นยาวิเศษสำหรับผม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การที่ได้มีต้าคอยอยู่ข้างๆและส่งเสียงเจื้อยแจ้วนั้น ทำให้ผมมีความสุขมาก อาจจะเป็นเพราะชีวิตของผมไม่ค่อยมีอะไรที่ตื่นเต้นผาดโผน แต่การที่ต้าเอาแต่ตามติดและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆทั้งมีสาระและไร้สาระ มันทำให้ชีวิตของผมมีสีสันขึ้นมาอย่างประหลาด
วันนี้ผมอดแกล้งต้าไม่ได้จริงๆ ต้าชอบทำตัวประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา ทั้งๆที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆเขาคิดกันยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชาย...
ภายนอก ต้าคือเด็กสาวที่กำลังจะเติบโตไปเป็นหญิงสาวเต็มตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้าเป็นหญิงสาวหน้าตาดีแบบที่ชายหนุ่มทั้งหลายใฝ่ฝัน แต่เนื้อแท้ของเธอนั้น ยังไงก็ยังคงเป็น ต้า..เด็กน้อยข้างบ้านที่สุดแสนจะไร้เดียงสา สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือดวงตาของต้า ที่มักจะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างในใจ
แน่นอน..ผมรู้ดีว่าต้าคิดยังไงกับผม
แต่คนทั่วไปก็มักคิดว่าต้าติดผมตามประสาน้องที่ติดพี่... ทว่า ก็บอกแล้ว ว่าดวงตาคู่สวยของเธอไม่เคยปิดอะไรมิด ดังนั้น สิ่งที่ผมเห็นเป็นประจำคือดวงตาที่ส่งมาราวกับจะตัดพ้อต่อว่า
ต้าคงจะคิดว่าผมเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวที่ไม่รู้จักโต...อย่างที่ผมต้องการให้เธอเห็นแบบนั้น แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย ต้าไม่เคยรู้สักนิดว่าที่จริงแล้ว ผมก็คงอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกันหากไม่มีเธอข้างกายอยู่อย่างในเวลานี้
สำหรับผมแล้ว ต้าเป็นยิ่งกว่าผู้หญิงคนหนึ่งเสียอีก แต่ต้าเป็นผู้หญิงคนพิเศษ เป็นน้องสาวที่ผมอยากจะปกป้อง..และ..เป็นหญิงสาวที่ผมหวงแหน หากสิ่งที่เรียกว่า 'พี่ชาย' ที่ผมเคยเป็นมาตลอดมันกำลังค้ำคอผมอยู่
บางครั้งผมอยากจะเข้าไปโอบกอดเธอเหลือเกินยามที่ผมทำให้เธอเจ็บปวด แต่ว่าผมก็ทำไม่ได้ เพราะ... ถึงแม้ว่าผมจะแน่ใจว่าต้าเองก็รักผม แต่ว่า ต้าก็ยังเด็กเกินไป
ผมอายุ 25 แล้ว ในขณะที่ต้าอายุเพียง 17 ปี เท่านั้น
ยังเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดที่มีความฝันที่ไร้เดียงสาอยู่มาก เธอเห็นผมเป็นเหมือนเจ้าชายของเธอ..เจ้าชายในเทพนิยายที่มักจะเข้ามาช่วยเธอเสมอในยามที่เกิดเหตุเภทภัย เธอเห็นผมเป็นสุภาพบุรุษที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่น เป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด และนั่นทำให้ผมกลัว
ผมกลัวว่า สักวันถ้าเธอได้พบผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าชายตัวจริงของเธอ เธอจะตระหนักได้ว่า จริงแท้แล้ว ผมเป็นเพียงแค่องครักษ์ประจำตัวเจ้าหญิงที่คอยเฝ้าปกป้องทนุถนอมเธออย่างใกล้ชิดเท่านั้น
และเป็น..องครักษ์ที่คอยปกปิดสิ่งผิดพลาดต่างๆที่เคยได้ทำมาตลอดเวลาเสียด้วย...
ผมไม่อยากให้เธอต้องผิดหวัง
เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ
"พี่เร คุณลุงกับคุณป้าเรียกกินขนมน่ะ สาคูเผือก กินไหม"
คนที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องของผมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น รัน... น้องชายคนเดียวของผม
"ไม่ล่ะ พี่ต้องทำงานก่อน ข้าวก็ไม่กินนะ เดี๋ยวหิวจะลงไปหาอะไรกินเอง"
"ตามใจ"
ผมดึงสติกลับมาอยู่ที่งาน แต่ทว่าผมกลับไม่มีสมาธิเอาเสียเลย สุดท้าย ผมก็เลยต้องตัดใจวางงานทิ้งไว้แบบนั้น ส่วนตัวเองก็มาล้มตัวลงนอนบนเตียง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่น้ำหนักของเตียงมันอ่อนยวบลงมาพิกล และไอร้อนผ่าวของใครคนหนึ่งก็สัมผัสกับตัวของผม
เหมือนพรายกระซิบ...แต่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นเธอ..ผู้หญิงคนพิเศษของผม
หัวใจผมโลดขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ลืมตา ไม่ได้เห็นหน้า และไม่ได้ยินเสียง
ผมหลับตาอยู่อย่างนั้น แกล้งทำเป็นหลับ ทั้งๆที่ภายในไม่ใกล้เคียงเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบนผิวแก้มข้างขวา มันแตะลงมาเพียงแผ่วๆแล้วก็ผละจากไปอย่างรวดเร็ว แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมตัวแข็งทื่อเป็นหินได้แล้ว
เสียงของต้าดังมากระทบโสตประสาท
"พี่เร...เมื่อไหร่ พี่เรจะรู้เสียทีคะ ว่าต้ารักพี่เรมากเหลือเกิน"
สัมผัสอ่อนโยนไล้ที่ใบหน้าผมแผ่วเบา ก่อนจะผละไปในไม่กี่วินาที
ผมลืมตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงปิดประตู และแน่ใจว่าต้าจากไปแล้ว
คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับ
(ความคิดของรัทธยุทธ์)
เด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของผมที่มีดวงหน้ารูปไข่ แลดูน่ารัก กำลังเดินยิ้มร่าเข้ามาในห้องทานข้าว ซึ่งเธอคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ยายต้า... เด็กสาวข้างบ้านที่อายุน้อยกว่าผม 3 ปี และไม่เคยนับถือว่าผมเป็นพี่ชาย
คุณลุงของผมกุลีกุจอต้อนรับเธอราวกับว่าเธอเป็นลูกหลานของตัวเองจริงๆ ก็แน่ล่ะ ยายแสบนี่เป็นเด็กข้างบ้านที่คุณลุงเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
"จมูกตามกลิ่นสาคูเผือกมาหรือไงต้า" ผมทักด้วยความหมั่นไส้
ผลก็เลยโดนคุณลุงดุเอาเข้าให้ ไม่ยุติธรรมเลย
แถมยังโดนยายต้าแบล็กเมล์เรื่องไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนร่วมคณะอีกต่างหาก โชคร้ายชะมัด
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ผมก็ยังดีใจอยู่ดีที่ได้เห็นเธอ...
ความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจยามที่เธอถามว่า
"นี่ พี่รัน แล้วพี่เรล่ะ"
ดวงตาของเธอเป็นประกายเจิดจรัสงดงาม มันทอแสงที่เต็มไปด้วยความหวังที่ผมมองปราดเดียวก็ออกว่า.. เด็กสาวตรงหน้าคิดกับพี่ชายของเขาเองเกินกว่าความเป็นพี่น้อง
ผมหลบตาเธอด้วยการก้มลงกินสาคูเผือกราวกับว่ามันเอร็ดอร่อยนักหนา ทั้งๆที่ความจริงแล้วสำหรับผม มันฝืดคอเป็นที่สุด
"ก็อยู่ข้างบนน่ะสิ ไม่น่าถามเลย" ผมแกล้งพูดกวนๆ เพราะมันไม่มีคำพูดใดที่จะดีไปกว่านี้ "เธอเนี่ยนะ ที่จริงแล้วมาส่งขนมนี่ก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงแบบนี้ใช่ไหม"
ต้ายอมรับหน้าชื่นกับคำถามของผม มันทำให้ผมยิ่งเจ็บจี๊ดมากขึ้น
ผมมองดูต้ากินสาคูเผือกตรงหน้า เก็บความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อเด็กสาวตรงหน้าอย่างมิดชิด ถ้าทำได้ เขาอยากจะฝังมันลงดิน ไม่ให้ใครมาขุดคุ้ยเจอความรู้สึกนี้
หมดถ้วย ผมก็ลอบถอนหายใจ ในขณะที่ต้าก็วิ่งหลุนๆขึ้นไปข้างบนเพื่อหาพี่เร
ผมเองก็เลยจัดการช่วยคุณลุงเก็บถ้วยเก็บชามเอาไปเก็บล้าง ก่อนที่จะตรงขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ยายจอมซนที่ผมชอบแกล้งเป็นประจำ กลายเป็นเจ้าหญิงจอมซนที่มักจะปั่นป่วนหัวใจของผมให้บ้าคลั่งได้ตลอดเวลา ผมกับต้าสนิทกันเหมือนเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นพี่น้อง อาจจะเป็นเพราะอายุที่ใกล้เคียงกัน และความที่ผมชอบแกล้งเธอบ่อยๆทำให้เธอมักจะชอบหาวิธีการมาแก้ลำผมเสมอๆ จนสุดท้าย ทั้งเธอและเขาก็กลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย
และ...อาจจะตั้งแต่ผมพบว่าสายตาที่ต้ามองพี่เรมันเปลี่ยนไปก็เป็นได้ ทำให้ผมเริ่มมองต้าในมุมที่แตกต่าง อีกทั้ง..เริ่มรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองมันเจ็บแปลบแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปมหาวิทยาลัย วันนี้ผมมีเรียนตอนเช้า แถมยังต้องไปปั่นงานให้ทันส่งคาบเช้าด้วย ยิ่งทำให้ผมต้องรีบตื่นเช้าเป็นพิเศษ
เพราะเวลาที่ยังเช้าอยู่มาก ทำให้ผมเจอทั้งคุณลุง คุณป้า แล้วก็พี่เร
"สวัสดีฮะ คุณลุง คุณป้า พี่เร" ผมทักทายทุกคนที่อยู่ในห้องกินข้าว
"ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะ รัน" พี่เรทักผมด้วยรอยยิ้ม
"มีเรียนเช้าฮะพี่เร รอรันกินข้าวหน่อยสิ เดี๋ยวรันจะได้ติดรถไปด้วย"
นอกจากจะดำเนินนโยบายประหยัดพลังงานหารสองแล้ว ยังช่วยให้ผมไม่ต้องลำบากลำบนขึ้นรถเมล์ด้วย กำไรสองต่อเห็นๆ
"เอาสิ แต่รีบๆหน่อยล่ะ"
ผมพยักหน้ารับ แล้วก็รีบตั้งหน้าตั้งตากินข้าวจนคุณป้าปรามว่า
"ช้าๆหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้าวก็ติดคอพอดี"
ผมไม่ได้กินช้าลงอย่างที่คุณป้าบอก เพราะข้าวในจานมันหมดเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่การดื่มน้ำตามแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้าน
"ไปนะฮะ คุณลุงคุณป้า อาจจะได้เจอกันที่มหาลัยนะครับ" ผมบอกลาผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักทั้งสองท่าน
พี่เรเดินไปเปิดประตูรั้ว ส่วนผมก็เดินไปยังข้างๆบ้าน
มันเป็นเรื่องที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่า ทุกวันในตอนเช้า - เย็น พี่เรจะเป็นสารถี คอยไปรับส่งต้าอยู่เสมอๆ
ไม่ต้องกดกริ่งเรียก เพราะพอผมไปยืนหน้าบ้าน ต้าก็วิ่งออกมาแล้ว
"พี่รัน ตื่นเช้าได้ด้วยเหรอเนี่ย"
"ปากหาเรื่องแต่เช้าเลยนะ" ผมแยกเขี้ยวใส่เธอ "จะไปหรือไม่ไป"
"รถพี่เร ไม่ใช่รถพี่รันสักหน่อย" เธอยังไม่วายกัดผม แน่ล่ะ มันเป็นงานอดิเรกของเราสองคนไปแล้วที่จะต้องมีฉะปะดะปากกันบ้างเล็กน้อยในทุกๆวัน ไม่อย่างนั้นก็เฉาปากแย่
แต่คนยอมแพ้ก่อนก็มักจะเป็นผม ไม่ใช่ว่าเพราะยวนเธอกลับไม่ได้นะ แต่ไม่อยากทำต่างหาก อย่างน้อย คนตรงหน้าก็เป็นผู้หญิง และผมก็เป็นสุภาพบุรุษพอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยมองเห็นก็ตาม
"พี่เรคะ" ต้าวิ่งไปกอดคอพี่เร "คิดถึงจังเลย"
น่ารักเหมือนคู่พี่น้องที่พลัดพรากห่างหายกันไปนานแล้วได้มาพบกันอีกที ผมคิดอย่างหมั่นไส้ จะคิดถึงอะไรกันนักหนาทั้งๆที่ไม่ได้เจอหน้ากันแค่คืนเดียว
ผมพยายามคิดหมั่นไส้เอาไว้ก่อนเสมอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพบว่าหัวใจตัวเองมีปฏิกิริยากับการที่เห็นต้าในอ้อมแขนผู้ชายอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นพี่ชายของผมเองก็ตาม
"อย่ากอดคอพี่อย่างนี้สิ หายใจไม่ออก" พี่เรแกล้งทำเสียงค่อกแค่ก
ต้าปล่อยมือจากพี่เรแล้วยิ้มหวานให้อย่างที่ไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้ผม..ไม่ได้หมายความว่าต้าไม่เคยยิ้มให้ผมนะ แต่รอยยิ้มของเธอไม่เคยพราวไปด้วยประกายตาแบบนี้ต่างหาก
ผมเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากจะเห็นภาพนั้นเลยจริงๆ
ระหว่างทางที่ไปมหาวิทยาลัย ผมก็ยังคงต่อปากต่อคำกับต้าเหมือนเดิม..ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดๆให้หัวใจ ผมไม่อยากให้ต้ารู้ และยิ่งไม่อยากให้พี่เรรู้...
พี่เรเป็นคนจับความรู้สึกของคนอื่นเก่ง และผมไม่อยากให้พี่เรทำอะไรบ้าๆถ้ารู้ว่าผมชอบต้า
พี่เรชอบต้าอย่างแน่นอน แม้ว่าท่าทีของพี่เรจะแสร้งทำประหนึ่งว่าไม่รู้ไม่เห็นสายสัมพันธ์ซึ่งต้าทอดมานั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ผม..คนซึ่งอยู่ข้างๆทั้งสองคน คนที่สังเกตทั้งเขาและเธอเสมอ ทำไมจะไม่รู้ว่า..ยามที่ต้าเผลอตัว พี่เรมักจะมีสายตาประหลาดอย่างที่ไม่เคยมองใครเสมอ
และยายต้าที่งี่เง่า ก็ยังคงน้อยอกน้อยใจต่อไปว่าพี่เรไม่เคยเห็นเธอมากกว่าน้องสาว
ผมไม่เข้าใจพี่เรหรอกนะ แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจกว้างพอที่จะทำตัวฉลาดและลงท้ายด้วยการทำให้ตัวเองเจ็บปวด
เส้นทางไปมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคย..ตอนนี้ กลับเหมือนว่าจะทอดยาวออกไปไม่รู้จักจบสิ้น
ความคิดเห็น