คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
“สวัสดีค่ะน้าจิน” วาริสาเอ่ยทักหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งนั่งดูโทรทัศน์ที่บริเวณห้องรับแขกพลางก้มตัวลงถอดรองเท้าแล้วเดินผ่านหน้าไปเก็บที่ตู้เก็บรองเท้า
“กลับเร็วดีนี่ เหนื่อยหรือเปล่าวันนี้” คำทักทายที่คล้ายกับเอื้ออารี ทว่าวาริสารู้ดีว่าจุดใหญ่ใจความนั้นอยู่ที่ประโยคต่อมามากกว่า “ท่าทางไม่เหนื่อยนี่นะ วันนี้น้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ทั้งกวาดบ้านถูบ้าน หลังน้างี้ระบมเชียว แถมยังล้างถ้วยล้างชามอีก เฮ้อ ชีวิตแม่บ้านนี่ไม่สบายเลยนะ”
วาริสารับฟังไปเรื่อยๆโดยไม่ขัด คงปล่อยให้จินตนารำพึงรำพันถึงความยากลำบากต่อไป และเธอชินเสียแล้วกับคำพูดลักษณะนี้ที่มักจะลงท้ายด้วยประโยคเช่นนี้เสมอ
“ช่วยน้าหน่อยเถอะสา ข้างหลังบ้านเสื้อผ้ากองพะเนินเลย ซักให้น้าหน่อยนะจ๊ะ”
ไม่มีทางใดที่จะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ หญิงสาวเพียงถอนหายใจแผ่ว นึกประหวัดไปถึงรายงานที่ยังค้างคาและหนังสือที่ต้องอ่านเพื่อสอบย่อยในวันรุ่งขึ้น
“ค่ะ” เป็นคำเดียวที่เธอสามารถตอบในเวลานี้โดยไม่อาจเลือกได้
หญิงสาวเดินผ่านห้องรับแขกทะลุห้องครัว ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องส่วนตัวของเธอ..ห้องนี้ถึงไม่มีใครเอ่ยหากเธอก็รู้อีกนั่นเองว่ามันเคยเป็นห้องพักของเด็กรับใช้มาก่อน และเมื่อคนทำงานบ้านลาออกไปแล้ว จินตนาจึงไปนำตัวเธอออกมาจากโรงพยาบาล แม้เธอจะอยู่ในฐานะลูกบุญธรรมของบ้านนี้ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่เธอจะเรียกจินตนาว่าแม่ พอๆกับที่จินตนาไม่เคยเห็นเธอเป็นลูก ตรงข้าม เธอกลับอยู่ในฐานะคนรับใช้กลายๆเสียมากกว่า
วาริสาส่ายหน้าแรงๆเป็นการเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา เธอจะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองให้มันได้อะไรขึ้นมา ความจริงแล้วเธอยังนับว่าโชคดีมากกว่าเด็กกำพร้าคนอื่นๆด้วยซ้ำตรงที่ยังมีบ้านให้ซุกหัว มีโอกาสได้รับการศึกษาสูงๆ ท้ายที่สุดคือได้มีเพื่อนดีๆอย่างกฤติกา เพียงเท่านี้เธอก็ควรพอใจให้มากแล้ว
วางกระเป๋าและหนังสือลงบนโต๊ะ จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น กำลังจะเดินออกจากห้องอยู่แล้วถ้าไม่สะดุดใจอะไรขึ้นมาก่อน
ไม่ใช่สะดุดใจ ทว่าเป็นจิตใต้สำนึกมากกว่าที่เรียกร้องให้เธอหมุนตัว เดินกลับมาที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเปิดลิ้นชักด้านข้างช้าๆ
ในถุงสีขุ่นที่ไม่มีเค้าว่าจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ข้างใน วาริสาดึงมันออกมาแผ่วเบา...ใจของเธอเต้นรัวแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเช่นนี้กับสร้อยรูปทรงโบราณที่ติดตัวเธอมาตลอด..ยืนยัน ความมีประวัติของตัวเธอ
หญิงสาวไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุให้เธอนึกอยากจะหยิบสร้อยเส้นนี้ขึ้นมาพิศดูอย่างละเอียดลออ ทั้งๆที่โดยปกติ แม้แต่เห็นเธอยังไม่อยากเห็นด้วยซ้ำเพราะมันคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนเธอว่า..เธอคือบุคคลทีไม่มีใครต้องการ
สร้อยยังคงสีทองอร่ามเฉกเช่นครั้งแรกที่เธอได้เห็น ทั้งที่มันน่าจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเตือนความทรงจำที่หลุดลอยไปให้กลับมา แต่มันกลับเลือนรางคล้ายตกอยู่ในม่านหมอกหนา มือบางค่อยๆไล้ไปตามลวดลายที่นูนขึ้นในลักษณะดาวห้าแฉกพร้อมๆกับที่เปลือกตาปิดลงโดยไม่ตั้งใจ
กระแสบางอย่างไหลแล่นวาบ ฉับพลันนั้น ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น..ทั้งๆที่เธอยังหลับตาอยู่ด้วยซ้ำ!!
สถานที่นั้นเป็นป่าทึบ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความชื้นในทุกอณูของอากาศ ต้นไม้ทุกต้นล้วนสูงชะลูดแข่งกันรับแสงแดด...ภาพเคลื่อนที่ จากป่ารกทึบนั้นลงมีที่เขตชายแดน..เอ๊ะ แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นชายแดน.. สำนึกของเธอเหือดหายไปเมื่อเธอได้เห็นร่างคนสองคนกำลังวิ่งกระเสือกกระสนเข้าป่าอย่างไม่คิดชีวิต และหนึ่งในนั้น..ภาพใกล้เข้าไปอีก เธอมองเห็นได้ชัดเจนทีเดียว และนั่นก็ทำให้เธอตกใจจนต้องลืมตาโพลงขึ้นมา ตัดภาพทั้งมวลให้หายไป
วาริสาหอบแฮ่กคล้ายคนที่วิ่งเป็นระยะทางไกลและเพิ่งได้หยุดพัก เธอร่ำร้องอยู่ในใจ...เป็นไปไม่ได้!! เด็กคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมใบหน้าจึงเหมือนกับเธอนัก ถึงแม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียวด้วยอายุที่อ่อนเยาว์กว่า แต่เค้าหน้านั้นกลับถอดแบบกันออกมาราวกับพิมพ์เดียวกัน และเสื้อผ้านั่นอีกล่ะ
ถึงตรงนี้หญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นตรงไปค้นหาบางสิ่งในตู้เสื้อผ้า ในซอกมุมที่ลึกที่สุด เมื่อหาเจอแล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆนำออกมาด้วยท่วงท่าทะนุถนอม
เสื้อผ้าที่ติดตัวเธอมา...สิ่งที่ทำให้เธอปักใจเชื่อว่าเธอเป็นคนของคณะละครเวทีหรือไม่ก็เคยเป็นนักแสดงมาก่อนเนื่องจากมันเป็นเสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา ดูไปแล้วก็คล้ายหนังจีนกำลังภายในเพราะมีเสื้อตัวยาวซึ่งคงตัดมาเพื่อเธอโดยเฉพาะเนื่องจากมันพอดีตัวเธอไปเสียทุกส่วน ท่อนล่างเป็นผ้าเนื้อเรียบลื่นขนาดยาวกรอมเท้า ใช้วิธีการพันรอบเอวแล้วใช้เชือกร้อยเอวผูก จากนั้นจึงใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งผูกเอวเก็บชายเสื้อ แถมด้วยเสื้อคลุมตัวยาวลากพื้นอีกตัวหนึ่ง
เสื้อผ้าแบบนี้นี่เองที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้!!
วาริสาขมวดคิ้วมุ่น พยายามที่จะนึกถึงความหลังให้ออก ทว่าทำอย่างไรก็นึกไม่ออก
“สา!! ทำอะไรอยู่นานสองนานน่ะ เมื่อกี้น้าวานให้ซักผ้าน่ะได้ยินหรือเปล่า”
หญิงสาวมองไปทางประตูอย่างนึกเซ็ง เธอได้แต่เก็บเสื้อผ้าและสร้อยเส้นนั้นไว้ที่เดิมอย่างระมัดระวังแล้วโผล่หน้าออกไปรับคำเสียงดัง เริ่มต้นงานบ้านที่ยังค้างคาก่อนที่จะมีโอกาสได้สำรวจการเรียนของตัวเอง
วาริสาเกือบจะลืมเรื่องราวประหลาดๆเหล่านั้นไปแล้ว ชีวิตเธอมีอะไรวุ่นวายจุกจิกให้ทำอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาจะมาใคร่ครวญกังวลเรื่องอะไรมากนัก ทว่า ท่าทีกระหืดกระหอบของกฤติกาก็กระตุ้นเตือนให้เธอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
“สา สา” กฤติการ้องเรียก “มานี่เร็วเข้า”
“อะไรกันเกด” วาริสาร้อง แต่เพราะอีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าจึงสามารถลากให้หญิงสาวตามติดไปด้วย
กฤติกาไม่ได้พูดกระไร เธอเพียงนำวาริสาไปที่ตึกสีขาวที่ใจกลางมหาวิทยาลัย ตรงไปยังศูนย์พยาบาล ทำให้วาริสานึกงงอยู่ในใจ
“ใครเป็นอะไรเหรอเกด”
“ดูนั่นสิสา” กฤติกากระซิบแผ่วเนื่องจากบริเวณนี้ห้ามพูดคุยกันเสียดัง
วาริสามองไปตามสายตาของเพื่อนสาวผ่านกระจกใส ภายในเต็มไปด้วยเตียงสีขาวสะอาดตั้งเรียงรายเต็มพื้นที่โดยเว้นที่ว่างระหว่างทางเดินเอาไว้พอสมควรเพื่อไม่ให้อึดอัด
ที่เตียงริมสุดชิดหน้าต่าง วาริสารู้สึกเหมือนจะเป็นลมวูบให้ได้เมื่อเห็นร่างหนึ่งบนเตียงขาวสะอาด
“เมื่อเช้านี้นัทปวดท้องประจำเดือนก็เลยมาขอยาที่นี่” กฤติกาเล่าด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายระยิบขณะจ้องมองเด็กสาวร่างบางที่นอนนิ่งบนเตียง “เรามาเป็นเพื่อนนัทมัน ก็เลยได้เจอของดีอย่างนี้นี่แหละ เป็นไงมั่ง หน้าตาเด็กคนนี้ เราว่าเด็กนี่หน้าตาคล้ายสามากเลยนะ”
“แค่..บังเอิญมั้ง” หญิงสาวแข็งใจบอกปัดทั้งๆที่รู้แน่แก่ใจว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
“จะบังเอิญอะไรได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ละครสักหน่อย” คนนำมาย่นจมูก “เราว่าสาน่าจะลองสอบถามดูนะ เพราะไม่แน่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นญาติทางไหนกับสาหรือเปล่า”
“ไม่ต้องคุยหรอก เรารู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรา” วาริสายืนกรานก่อนจะหมุนร่างจากไปด้วยจิตใจอันสับสน ใจหนึ่งก็อยากรู้ ทว่าอีกใจหนึ่งก็ไม่กล้า กฤติกาก็ได้แต่มองตามอย่างแปลกใจในท่าทีของเพื่อนสาว
กฤติกายักไหล่เล็กๆ หากวาริสาไม่สนใจเธอก็จะไม่เซ้าซี้ แต่..แหม เรื่องแบบนี้จะให้เธอนั่งนิ่งก็กระไรอยู่ เพราะความคิดเช่นนี้นั่นเองทำให้หญิงสาวย่องกริบเข้าไปในห้องพยาบาลนั้น เธอจรดเท้าอย่างระมัดระวังเดินใกล้เข้าไปยังเตียงสีขาวด้านในสุด
ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หญิงสาวก็เห็นความ ‘เหมือน’ ระหว่างเด็กสาวผู้นี้กับคนที่เพิ่งจากไปได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เธอหยุดอยู่ข้างเตียงของเด็กสาวคนนั้นอย่างพิศวง
ร่างบางนั้นนอนนิ่งสนิท สีขาวและแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างยิ่งทำให้ร่างที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กจนเตียงแทบจะกลืนร่างทั้งร่างไป ตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ บางแห่งมีการพันแผลหรือปิดพลาสเตอร์ไว้ ดูท่าแล้วในตอนแรกเด็กคนนี้คงมอมแมมมาไม่น้อย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำความสะอาดร่างกายรวมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จสรรพจึงได้เห็นว่าผิวของเด็กสาวนั้นขาวละเอียดผุดผ่อง ยิ่งที่ใบหน้านั้นจะเห็นได้ชัดถึงสีเลือดฝาดแดงระเรื่อบอกถึงฐานะที่ไม่ได้ลำบากยากแค้นเลย ตรงข้าม น่าจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมากกว่า
หญิงสาวเอื้อมมือยกเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงออกมาแล้วทรุดตัวลงนั่ง สายตาไม่ได้คลาดจากใบหน้าหวานละมุนนั้นเลย
เวลาผ่านไปเท่าไรเธอไม่อาจรู้ได้ เธอรู้แต่ว่าเธอไม่อยากจะคลาดสายตาไปจากเด็กสาวคนนี้เลยเพราะกลัวว่าหากเธอละสายตาไปแล้วเด็กสาวคนนี้จะละลายหายไปราวกับอากาศธาตุ และลางสังหรณ์ของเธอก็บอกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ ‘ธรรมดา’ เลย
และสิ่งที่เธอเชื่อมั่นที่สุดก็คือเด็กสาวคนนี้จะต้องเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับเพื่อนสาวของเธออย่างแน่นอน และวาริสาก็คงจะคิดเช่นนั้นเช่นเดียวกันเพียงแต่คล้ายกับยังกลัวอะไรบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นและสัมผัสได้ ทำให้เกิดความสับสนและไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง
มือเล็กเรียวบางของเด็กสาวเริ่มขยับ ทำให้หญิงสาวขยับตัวบ้าง ดวงตากลมโตสดใสมีร่องรอยตื่นเต้นอย่างระงับไม่อยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่สนใจจะระงับ
“เธอตื่นแล้ว” กฤติกาพูดอย่างยินดี
เปลือกตาเด็กสาวขยับเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก โลกทั้งโลกดูโคลงเคลงในตอนแรกก่อนจะรู้สึกดีขึ้นในนาทีต่อมา แต่ความเคล็ดขัดยอกยังกระจายอยู่ทั่วทุกสรรพางค์กาย
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม ต้องเรียกอาจารย์พยาบาลหรือเปล่า” คำถามรวดเร็วของกฤติกาทำให้เด็กสาวรู้สึกเวียนหัว แต่ก็ยังพูดไม่ออก
หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงรีบผุดลุกขึ้นไปตามอาจารย์พยาบาลที่ห้องข้างๆ ไม่นานนัก ผลการตรวจก็ออกมาว่าร่างกายของเด็กสาวไม่เป็นอะไรมากนอกจากมีร่องรอยฟกช้ำที่คงต้องอาศัยยานวดไปหลายวันเท่านั้น
อาจารย์พยาบาลออกจากห้องไปแล้วโดยมีสายตาของกฤติกามองตาม แต่แล้ว เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาอีกคู่หนึ่งที่จ้องเขม็งมาเช่นเดียวกัน และเมื่อหญิงสาวหันมาเผชิญหน้าเด็กสาวก็ได้พบกับสายตาเพ่งพินิจราวกับจะใคร่ครวญ มีทั้งความประหลาดใจ ไม่แน่ใจและหวาดระแวงในคราวเดียวกัน
เห็นดังนั้นแล้วกฤติกาก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ เด็กอะไรสายตาอย่างกับผู้ใหญ่
“น้องชื่ออะไรหรือจ๊ะ” กฤติกายิ้มสู้ ถามคำถามแรกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร” คำถามย้อนกลับฟังดูแล้วทะแม่งๆ
“พี่ชื่อเกต” เธอตอบอย่างพยายามไม่ใส่ใจคำสรรพนามที่คล้ายกับหนังจักรๆวงศ์ๆ ได้แต่คิดว่าสงสัยเด็กคนนี้คงดูหนังมากไป!!
“แล้ว..น้องล่ะ ชื่ออะไร”
เด็กสาวนิ่งเงียบเหมือนกำลังลังเล ก่อนที่จะเอ่ยออกมาคล้ายกับไม่แน่ใจ
“ชื่อ..จ..จา..”
“ชื่อจาหรือ” หญิงสาวถามย้ำ คนบนเตียงดูจะเงอะงะชั่วครู่ จากนั้นค่อยพยักหน้าอย่างขลาดๆ
“นี่จารู้อะไรหรือเปล่า” คำถามนั้นของกฤติกาดูกระตือรือร้น “พี่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งนะ หน้าตาคล้ายน้องจามากเลย อยากเจอหรือเปล่า”
แสงบางอย่างสว่างวาบในดวงตาคู่สวยของเด็กสาวแปลกหน้านามว่า ‘จา’ หากเธอไม่ได้ตาฝาด หญิงสาวคิดว่าเธอเห็นความหวังบางประการจุดอยู่ในนั้น
“อยากสิ ใครเหรอ” คำพูดไม่ลงหางเสียง ทว่าด้วยน้ำเสียงที่คนพูดรู้จักทำให้ทอดอ่อนส่งผลให้ไม่ระคายหูคนฟังจนแทบไม่รู้สึก
“ไว้กลางวันนี้พี่จะพามา แต่ว่าตอนนี้จานอนพักเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงพี่ก็มีเรียนแล้ว แต่ยังไงรับรองว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะมา อ้อ แล้วพี่จะซื้อของกินมาฝากจาด้วย” คำพูดยาวเหยียดรัวเร็ว ดวงตาฉายถึงความสนุกสนาน ส่วนจาเพียงยิ้มอ่อนๆแล้วพยักหน้า นั่นทำให้กฤติกาอดนึกไปถึงวาริสาอีกครั้งไม่ได้ รอยยิ้มแบบนี้..เหมือนกับเพื่อนของเธออย่างกับถอดแบบกันออกมาไม่ผิด
“พักผ่อนเยอะๆนะ” กฤติกากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะผลุบออกไปจากห้อง
รอยยิ้มอ่อนๆของเด็กสาวบนเตียงหายไป ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นเม้มสนิท นัยน์ตาคู่สวยนั้นเปลี่ยนเป็นอาการครุ่นคิด
“โธ่ เกต เราไม่อยากเข้าไปนี่นา” วาริสาโอดครวญทั้งๆที่รู้ดีว่าขัดเพื่อนไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางเพราะกฤติกานั้นกึ่งลากกึ่งจูงเธอมาตลอดจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องพยาบาล
“เข้าไปหน่อยเถอะน่า น้องเขาน่ารักดีนะ หน้าตายังเหมือนสาจะตาย นี่ๆ สายังไม่เห็นตอนน้องเขายิ้ม เราอยากจะบอกว่าน้องเขามีวิธียิ้มได้เหมือนสาอย่างกับโขกกันออกมาแน่ะ”
“เวอร์ไปน่าเกต”
“ไม่เวอร์ นี่พูดจริง แล้วอีกอย่างมันก็ถึงแล้ว เข้าไปคุยกับน้องเขาหน่อยเถอะน่า”
ไม่รอให้วาริสาเอ่ยอะไรออกมา ประตูก็ถูกผลักผลัวะเข้าไป กฤติกาดึงวาริสาให้เข้ามาด้วยกันอย่างไม่ลำบากยากเย็น
กฤติกามองไปยังเตียงริมหน้าต่างแล้วยิ้มออกมาอย่างถูกใจ...เด็กสาวกำลังเอนหลัง ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย ไม่ได้นอนหลับอย่างที่เธอกังวล
“จา จา พี่พาเพื่อนมาแล้ว” เสียงนั้นปลุกให้จาตื่นขึ้นมาจากภวังค์ หันมาทางสองสาวช้าๆ
หัวใจของวาริสากระตุกเมื่อได้เห็นใบหน้าหวานนั้นชัดๆ
ใช่จริงๆ! ใช่เด็กสาวคนที่เธอเห็นในมโนภาพนั้นไม่ผิดแน่
และดูเหมือนกับดวงหน้าที่หันมาเห็นวาริสานั้นจะขาวซีดไม่ผิดกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างๆกฤติกาเลย จากความเฉยเมย เปลี่ยนเป็นตะลึงงันก่อนจะกลายเป็นความปีติ
หยดน้ำหยาดลงมาช้าๆโดยไม่รู้สึกตัว เด็กสาวรู้สึกถึงความร้อนผ่าวของนัยน์ตาหากไม่ได้สนใจจะเช็ดออก ได้แต่จ้องหน้าวาริสาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา อีกความรู้สึกหนึ่งที่กฤติการู้สึกได้ก็คือ..ความกลัว เด็กสาวคนนี้กำลังกลัวว่าหากเธอหลับตา..แม้แต่กระพริบ วาริสาอาจจะหายไปจากสายตาของเธอก็ได้
ดังนั้นร่างบางบนเตียงจึงไม่แม้แต่กระพริบตาไล่ละอองน้ำออกไป ปล่อยให้มันไหลลงมาราวกับทำนบทลาย
“พี่หญิง..เป็นพี่หญิงจริงๆใช่ไหม” เสียงพึมพำดังออกมาจากปากเด็กสาว แต่เป็นถ้อยคำที่ทั้งเธอและวาริสาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
วาริสานิ่วหน้า ความทรงจำที่ขาดหายคือความเจ็บปวด ยิ่งได้พบหน้าคนที่คิดว่าเป็น ‘ญาติ’ ก็ยิ่งทำให้บาดแผลที่คล้ายจะทุเลากลับกลัดหนองขึ้นมาอีก
อย่าถามได้ไหมถึงเรื่องในอดีต..วาริสาร่ำร้อง ฉันไม่อยากจะพูดคำว่า ‘ไม่รู้ จำไม่ได้’ อีกต่อไป
มือเล็กบางนั้นเอื้อมมาจับแขนวาริสา ร่างบางขยับตัวเข้ามาใกล้ พยายามยันตัวให้สูงเท่าวาริสา มือเรียวนั้นสั่นเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นโอบรอบคอวาริสาแล้วกอดไว้แน่น
“ใช่แน่ๆ ท่านคือพี่หญิงของข้า โอ..พี่หญิง...”
คำเรียกขานหายไป เหลือไว้เพียงเสียงสะอื้นฮักแผ่วเบาที่ค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงร้องไห้ปานใจจะขาด ปลุกให้คนที่นอนในห้องนั้นอีกสองสามคนต้องตื่นขึ้นมาอย่างแปลกใจ
เสียงร้องไห้ขาดหายไปแล้ว เด็กสาวเช็ดน้ำตาจนกระทั่งดวงตาคู่งามแดงช้ำไปหมด วาริสาและกฤติกานั่งอยู่หน้าเตียงรอคอยให้เธอพร้อมที่ล่ะพูดคุย
“สบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่าจา” กฤติกาถามเสียงแผ่ว
“ดีขึ้นมาก” จาตอบเสียงเบาไม่แพ้กัน
เงียบกันไปครู่หนึ่ง จาก็พูดขึ้นมาว่า
“ขอโทษด้วยที่ทำกิริยาหน้าเกลียด”
“ไม่เห็นน่าเกลียดอะไรนี่นา แค่ร้องไห้” วาริสาเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อได้มองเด็กสาวตรงหน้าชัดตาแล้วเธอก็ได้ตระหนักขึ้นมาว่าเธอไม่ควรที่จะหนีความจริงอีกต่อไป มือเรียวกระชับมือเล็กกว่าอย่างปลอบโยนแล้วก็ต้องสะท้อนใจ
เมื่อสามปีก่อนมือของเธอก็ไม่ต่างกับเด็กสาวคนนี้ มันบอบบาง เรียวงาม อย่างคนที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ทว่าบัดนี้มือของเธอกร้านขึ้น...กระด้างขึ้น
“จา..บอกได้ไหม เมื่อกี้จาพูดอะไร” กฤติกาถามขึ้นเบาๆด้วยความอยากรู้ระคนเกรงใจ “เพื่อนพี่คนนี้เป็นญาติกับจาใช่ไหม”
เด็กสาวมีท่าทางไม่เข้าใจ คิ้วโก่งงามยกสูงขึ้น
“หมายความว่าอย่างไร”
“อ้าว ก็เมื่อกี้ตอนจากำลังร้องไห้ จาเรียกหาพี่คนนี้ว่าพี่นี่นา แสดงว่าต้องรู้จักกันมาก่อน” กฤติกาพูดรวดเร็ว
“เราต้องรู้จักกันแน่อยู่แล้ว ใช่ไหมเพคะพี่หญิง” เด็กสาวหันไปทางวาริสา
สองสาวนิ่วหน้า มองหน้ากันด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย คำว่า ‘เพคะ’ ดังออกมาชัดถ้อยชัดคำเกินกว่าที่พวกเธอจะแก้ตัวว่าหูฝาดได้
ที่แท้ เด็กสาวคนนี้เป็นใครกันแน่
“พี่...พี่..” วาริสาอึกอัก ก่อนจะโพล่งออกมา “พี่จำไม่ได้ พี่...ความจำเสื่อม ต..ต้องขอโทษด้วย”
เด็กสาวใบหน้าซีดขาวลงทันที เสียงที่พูดออกมาเบาแทบไม่พ้นลำคอ
“พี่หญิงความจำเสื่อม..เป็นไปได้อย่างไร” ประโยคหลังคล้ายพูดกับตัวเอง
“ก็เป็นไปแล้วล่ะ” กฤติกาว่า “พี่ถึงอยากให้น้องช่วยเพื่อนพี่หน่อยไงล่ะ ช่วยบอกหน่อยว่าเพื่อนพี่คือใครกันแน่ ช่วยบอกหน่อย ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปของเพื่อนพี่มีอะไรบ้าง”
“ความทรงจำที่หายไปน่ะหรือ” น้ำเสียงนั้นถ้ากฤติกาฟังไม่ผิด เธอคิดว่าได้ยินความขมขื่นอยู่ในนั้น “ถ้ารู้อย่างนี้น้องคงไม่มารบกวนพี่หญิงหรอก พี่หญิงมีโลกที่สงบแล้ว ไม่ควรที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหานานาประการอีก”
“หมายความว่ายังไง” วาริสาคราง
“ก็หมายความว่าที่นี่เหมาะกับพี่หญิง มากกว่าที่ๆเราจากมา” จาพูดเสียงเศร้า “ไม่มีประโยชน์อะไรในการจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ” มือบางของวาริสากระชับเร็วๆอีกครั้งคล้ายปลอบประโลม “พี่น้องกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันใช่ไหม”
“นั่นสิ ถ้าพี่ช่วยได้ก็จะช่วย” กฤติกาพูดอย่างกระตือรือร้น
เด็กสาวมองวาริสาและกฤติกาด้วยสายตาตื้นตัน พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลล้นออกมา
“ขอบคุณ..ขอบคุณจริงๆ”
“โอ๊ย! จะเกรงจงเกรงใจอะไรนักหนา ก็แค่ให้มาพักที่บ้านเราชั่วคราว ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” กฤติกาส่ายหัวดิกกับความขี้เกรงใจของเพื่อน “บ้านเราออกจะกว้างขวาง ห้องว่างก็เหลืออยู่ตั้งห้องหนึ่ง แค่ให้จามาพักฟื้นร่างกายแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ดีเสียอีก แม่เราอยู่บ้านคนเดียวจะได้ไม่เหงา”
วาริสานิ่วหน้า เธอไม่อยากให้น้องสาวของเธอเองกลายเป็นภาระของเพื่อน แต่การที่จะพาไปอยู่บ้านเดียวกันกับเธอกลับกลายเป็นเรื่องยากกว่า ถึงกระนั้น เธอเองก็อยากจะหาทางออกโดยการอาศัยเงินเก็บที่พอมีอยู่บ้างไปเช่าห้องสักห้องเป็นที่อยู่ชั่วคราวให้กับจา
ถึงมันจะไม่สะดวก แต่วาริสาไม่อยากติดหนี้บุญคุณครั้งแล้วครั้งเล่ากับเพื่อนของเธอ กฤติกาดีกับเธอมากเกินไป มากเกินขอบเขตของคำว่าเพื่อน หญิงสาวรู้ดีว่ากฤติกาเห็นใจและสงสารเธอมาตลอดเพราะรู้ถึงภูมิหลังของเธอดี แต่วาริสาไม่อยากให้ความเห็นใจและสงสารมากั้นกลางระหว่างความรักและผูกพันระหว่างเพื่อน
“แต่ว่าแม่ของเกตก็หัวเข่าไม่ค่อยดี แล้วยังจะต้องมาคอยดูแลจาอีกน่ะหรือ ไม่ดีกว่า ให้เราดูแลน้องสาวของเราเอง น้องของเรา เราดูแลได้”
“ไม่ได้เด็ดขาด สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแท้ๆ โธ่เอ๊ย เชื่อบ้างสิว่าไม่ลำบากเลยสักนิดเดียว ถ้าให้จาไปอยู่คนเดียวนี่สิน่าห่วง แล้วก็ลำบากกว่า ไหนจะต้องเดินทาง ไหนจะต้องระวังเรื่องขโมยขโจร คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน ร้ายๆทั้งนั้น ดูข่าวซิ ฆ่าข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน”
“แต่..”
วาริสาจนด้วยถ้อยคำ เพราะที่กฤติกาพูดนั้นจริงทุกอย่าง และครั้งนี้เธอก็เห็นลางแพ้ใกล้เข้ามาเต็มที
“แถมบ้านเรากับมหาวิทยาลัยก็ไม่ไกลกันนัก สาเดินทางสะดวก จะมาเยี่ยมมาดูแลอะไรจะได้สบายใจเพราะว่าบ้านเราก็เหมือนกับบ้านสาน่ะแหละ มาออกจะบ่อย จายังได้อยู่ในที่ๆสิ่งแวดล้อมดี แม่เราจะได้มีงานทำมั่ง ไม่งั้นอยู่ว่างๆทั้งวันก็น่าเบื่อ เราเองจะได้ไม่ต้องห่วงความปลอดภัย คอยพะวงหน้าพะวงหลัง เห็นไหม มาอยู่บ้านเรามีแต่ได้กับได้ ไม่มีข้อเสียหายสักข้อ” กฤติกาหว่านล้อมต่อด้วยแววตาเชื่อมั่น และมั่นใจว่าสุดท้ายเธอก็ต้องได้ตัวจาไปพักฟื้นที่บ้านอยู่ดี หญิงสาวรู้ว่าวาริสาไม่สบายใจหากจะให้เธอรับจาไปเพราะเห็นว่าเป็นภาระ แต่เธอเองก็จะไม่สบายใจเช่นกันที่วาริสาจะไปหาหนทางอื่นซึ่งยากลำบากกว่าโดยที่เธอได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
วาริสานิ่งไปอีก และกฤติกาถือว่าการนิ่งนั้นคือการยอมรับ ดังนั้นหญิงสาวจึงเปิดยิ้มกว้าง เข้าไปกอดวาริสาก่อนจะถอยออกมา ให้คำมั่นว่า
“ไม่ต้องห่วง เราจะดูแลจาให้ดีที่สุด”
“เราไม่ได้ห่วงว่า...”
“เอาเถอะน่า” กฤติกาไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ “ยังไงเดี๋ยวเราจะโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านให้แม่ช่วยเอารถออกมารับ แต่ตอนนี้ไปหาจาก่อนเถอะ”
วาริสาถอนหายใจเฮือก จนปัญญาที่จะเอาชนะสาวเจ้าเหตุผลอย่างเพื่อนเธอคนนี้เต็มที จึงได้แต่เดินตามแรงดึงของกฤติกาไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
กฤติกามักสังเกตว่าเด็กสาวที่เพิ่งมาอยู่ที่บ้านเธอได้สองถึงสามวัน ในตอนกลางคืน จาจะชอบออกมานั่งเล่นที่ระเบียงหน้าห้อง แหงนเงยมองดวงจันทร์อย่างเลื่อนลอย หรือบางทีหากเป็นหนักมากๆก็จะถึงขั้นร้องไห้ นั่นทำให้กฤติกาหนักใจอยู่พอสมควรเกี่ยวกับเรื่องจิตใจของเด็กสาว
“จา...” กฤติกาเรียกเสียงแผ่วอย่างอดรนทนไม่ได้ที่จะเก็บปากเงียบไม่ซักถามอะไรเสียเลย ดังนั้นในคืนนี้เมื่อจาขอตัวจากโต๊ะอาหาร หญิงสาวก็ตามติดมาจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้อง “เป็นอะไรหรือเปล่า พี่เห็นจาชอบนั่งเหม่อดูดวงจันทร์อยู่เรื่อยเลย”
“แปลกหรือคะ” จาหยุดเท้า หันมาถามด้วยดวงหน้าเศร้าหมอง
“มันไม่แปลกหรอก ถ้าจาจะไม่ร้องไห้น่ะ” หญิงสาวตอบตรงๆ “พี่ไม่ชอบเลย จามีอะไรก็ระบายออกมาบ้างสิ อย่าเก็บไว้คนเดียวรู้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอกระเบิดตายกันพอดี”
สีหน้าเด็กสาวมีร่องรอยฉงนอยู่บ้างในบางคำที่เธอพูดออกมา แต่เมื่อรวมความแล้วเข้าใจ เด็กสาวก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจาก..
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่นับวันเวลา..ที่จะได้กลับบ้าน”
ยังผลให้ความฉงนกลับมาปรากฎบนใบหน้าของเจ้าของบ้าน
“หมายความว่าไง..กลับบ้าน”
“แล้วพี่เกตจะเข้าใจค่ะ”
เด็กสาวเรียกหญิงสาวอย่างสนิทปากมากขึ้น ดวงตารำลึกบุญคุณขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อเบาๆ
“ข..เอ่อ..จาจะไม่ลืมบุญคุณของพี่เกตเลย แล้ว..พี่หญิง..ฝากพี่หญิงด้วยนะคะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ กับแค่กลับบ้าน ไม่เห็นต้องฝากฝัง พาสาไปด้วยเลยก็ดีนะ เขาจะได้หลุดพ้นจากบ้านบ้าๆนั่นเสียที”
“เอ๊ะ! หมายความว่าพี่หญิงไม่มีความสุขที่อยู่ที่นี่”
“สุขบ้างทุกข์บ้าง แต่ทุกข์มากกว่า ทั้งทุกข์ที่รู้ว่าตัวเองความจำเสื่อม ทุกข์ที่คิดว่าถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง แล้วก็ทุกข์ที่ต้องคอยเป็นคนรับใช้ในคราบลูกบุญธรรม” น้ำเสียงกฤติกามีแววเยาะ “พี่ล่ะอยากรู้จริงๆว่าถ้าเขามีลูก เขาจะใช้ลูกทำงานอย่างกับทาสแบบนั้นไหม”
จาสีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดอะไร แต่ก็หยุดนิ่งอั้นไปอย่างตัดสินใจไม่ถูก กฤติกาเอียงหน้าน้อยๆ ขมวดคิ้วอย่างสงสัยในท่าทีของเด็กสาว
“จา..มีอะไรหรือเปล่า จะพูดอะไรก็พูดออกมาดีกว่านะ”
ทว่าเด็กสาวดูจะตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างได้ในนาทีสุดท้าย จาสั่นหัวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ จาแค่คิดว่าพี่หญิงอยู่ที่นี่คงจะดีกว่ากลับไปกับจา”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ พี่ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ดีกว่าการได้อยู่กับครอบครัวของตัวเองหรอกนะ”
จายิ้มเศร้า
“ครอบครัวเรา...พี่หญิงคงไม่อยากกลับไปพบกับครอบครัวที่แตกฉานซ่านเซ็นหรอก อย่าเลย พี่หญิงอยู่นี่ดีแล้ว อย่าให้ต้องเจ็บปวด..อย่างที่จารู้สึกอยู่ตอนนี้”
พูดจบ เด็กสาวก็ไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้ซักถามอะไรอีก ร่าบางหมุนตัวเข้าห้องไปรวดเร็วเกินกว่าที่หญิงสาวจะรั้งไว้ได้
ความคิดเห็น