ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 50



    ท้องฟ้ามืดมิดในยามค่ำคืน มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่างเท่านั้น ทว่าคืนนี้ได้สว่างเป็นพิเศษเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
     
    ถนนสายเปลี่ยวที่เลี้ยวลัดเลาะภายในซอยที่ตัดไปถึงถนนใหญ่ในขณะนี้มีแค่รถเก๋งญี่ปุ่นสีเทาเท่านั้นที่แล่นมาตามทางอันทอดยาว สองข้างทางเต็มไปด้วยดงไม้รกทึบจนน่ากลัวว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีโผล่ขึ้นมาได้
           
    “ไอ้ยุทธ ทำไมทางถึงเปลี่ยวอย่างนี้วะ”    ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตอนหน้าข้างคนขับเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนอย่างอดรนทนไม่ได้  เขามองเลิ่กลั่กไปรอบๆอย่างไม่ไว้วางใจ
      
    “นายอย่าปอดแหกมากเลยวะไอ้กี น่ารำคาญจะตาย”  คนขับพูดน้ำเสียงขุ่นๆ ชายตามองคนข้างๆที่นั่งไม่เป็นสุขอย่างรำคาญ
      
    “ฉันไม่ได้ปอดแหกสักหน่อย แต่มันก็ไม่ปลอดภัยโว้ย ตอนนี้มันปาเข้าไปห้าทุ่มหกทุ่มแล้วนะเว้ย กลับบ้านน่ะไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัดตรงนี้สักหน่อย ถนนใหญ่รถก็ไม่ติด ปลอดภัยแล้วก็ถึงบ้านเร็วด้วย”
     
    คนไม่กลัวหาเหตุอธิบายยาวยืดจนคนฟังหมั่นไส้
      
    “แล้วใครมัวอืดอาดยืดยาด ถ่วงเวลามาจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนวะ”  คนขับเสียงขุ่นมากขึ้นเมื่อเท้าความถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่าน “บอกให้กลับตั้งนานแล้ว ไม่ยอมฟังกันมันก็ต้องใช้ทางนี้ล่ะวะ ลัดดี ใกล้กว่าไปทางถนนใหญ่ตั้งเยอะ”
     
    กีรชัยเถียงไม่ออกจึงนิ่งเงียบไป หากในใจก็อดแก้ตัวไม่ได้
     
    โธ่ ก็วันนี้น่ะวันจบการศึกษา เป็นวันสุดท้ายสำหรับชีวิตนักเรียนม.ปลายที่กำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย การเฮฮาปาร์ตี้มันก็ต้องมีเป็นเรื่องปกติ แค่โอ้เอ้คุยโน่นดื่มนี่หน่อยเท่านั้น ไม่เห็นต้องมาโกรธกันแบบนี้เลยนี่นา
     
    บ้านของเขาและยุทธนันท์อยู่ติดกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั้งคู่จะกลับบ้านด้วยกัน ส่วนมากยุทธนันท์จะเป็นผู้คอยกำกับเสียมากกว่าให้กีรชัยไม่ออกนอกลู่นอกทาง ทั้งๆที่ทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกันแท้ๆ ทว่าทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายุทธนันท์ดูคล้ายพี่ชายของเขามากกว่าเพื่อน

    หากแต่สำหรับกีรชัย ยุทธนันท์เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เป็นทั้งเพื่อนที่เฮฮาได้ตลอดเวลาตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง เป็นพี่ชายยามเขาเอาแต่ใจตัวหรือมีท่าทีว่าจะออกนอกลู่นอกทาง อีกทั้งยังเปรียบเสมือนญาติสนิทที่เขาให้ทั้งความรักและไว้วางใจ สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องจนถึงเรื่องสำคัญๆที่เขาไม่อยากจะบอกบิดามารดา
     
    เพราะเหตุนี้เอง นอกจะความสนิทแล้ว กีรชัยยังมีความเกรงใจและเคารพแฝงอยู่ลึกๆ และนั่นทำให้เขาไม่กล้าโวยออกมาตามอย่างที่ใจต้องการในยามนี้
      
    “เฮ้ย!!”
     
    เสียงยุทธนันท์ร้องขึ้นมาดังลั่นเล่นเอากีรชัยสะดุ้ง แทบจะพร้อมกัน เขารู้สึกเหมือนกับหัวกำลังจะทิ่มลงไปข้างหน้ากระทันหันเพราะแรงเบรกฉับพลัน โชคดีที่เขาคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ดังนั้นแทนที่หัวจะทิ่มคะมำไปด้านหน้า แรงกระแทกกลับทำให้ร่างสูงสะท้อนกลับไปด้านหลัง
      
    “โอ๊ย! นายจะฆ่าฉันเหรอไงวะยุทธ เล่นเบรกมาได้กะทันหันแบบนี้”  กีรชัยคลำท้ายทอยป้อยๆพลางต่อว่า
     
    แต่ยุทธนันท์ไม่มีเค้าว่าจะได้ยิน ชายหนุ่มจัดการปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตูรถวิ่งพรวดลงไปด้วยอาการตกใจ
     
    กีรชัยเห็นดังนั้นก็มีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ชักไม่เข้าท่า เขาจึงกระโจนลงจากรถตามยุทธนันท์ไปอีกคน
     
    ยุทธนันท์วิ่งไปยังร่างหนึ่งที่ทอดกายเหยียดยาวกลางถนน ชายหนุ่มมีอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาจัดการทรุดตัวลงแล้วช้อนใบหน้านั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง  พอดีกับที่กีรชัยวิ่งตามมาถึงพอดี
     
    ใบหน้านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนจนไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง มีเพียงร่างที่บอบบางกับเส้นผมนุ่ม ยาวสลวยเคลียไหล่เท่านั้นที่บ่งบอกว่าเธอคือผู้หญิง
     
    ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
      
    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ไอ้ยุทธ”  กีรชัยถามเสียงแหบแห้งขณะทรุดตัวลงนั่งเช่นเดียวกับยุทธนันท์
      
    “ไม่รู้”  คนวิ่งมาก่อนส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน “ก็ผู้หญิงคนนี้น่ะสิ จู่ๆก็โผล่พรวดออกมาจะพงไม้รกๆข้างทาง มันกะทันหันมากนะ แต่ว่า..ฉันไม่ได้ชนเธอคนนี้เลยนะไอ้กี สาบานได้”
     
    กีรชัยลังเลนิดเดียว ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือบอบบางนั้นโดยมียุทธนันท์จ้องตาไม่กระพริบชนิทแทบลืมหายใจ
     
    ความอบอุ่นของร่างกายเป็นสิ่งแรกที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ ก่อนจะตามมาด้วยสัญญาณแห่งชีวิต ใบหน้าคมคายแดงขึ้นมาด้วยความปิติ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นพยักหน้ากับเพื่อนหนุ่มอย่างตื่นเต้น
      
    “ยังเว้ย ยังไม่ตาย ชีพจรยังเต้นอยู่เลย”
     
    เท่านั้นเอง ยุทธนันท์ก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
      
    “ค่อยยังชั่วหน่อย เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราก็จัดการพาผู้หญิงคนนี้ส่งโรงพยาบาลก็แล้วกัน แล้วเราค่อยกลับบ้าน”
      
    “ได้”
     
    กีรชัยตอบคำเดียวสั้นๆ แต่เมื่อเขาก้มลงมองร่างบอบบางในอ้อมแขนของยุทธนันท์อีกครั้ง เขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
      
    “ยุทธ นายว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นนักแสดงหรือเปล่า”
      
    “หืม”  ยุทธนันท์ส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “พูดอะไรน่ะ”
      
    “ก็ดูสิ ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวแปลกจะตายไป”  
     
    ยุทธนันท์จึงก้มลงมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาจึงได้พบสิ่งแปลกประหลาดที่ในตอนแรกไม่ทันสังเกตเพราะความฉุกละหุกและตื่นตกใจ
     
    จริงอย่างที่กีรชัยตั้งข้อสงสัย เนื้อผ้าเรียบลื่นที่เขาสัมผัสก็บอกได้เป็นอย่างดีว่ามันแปลกประหลาดเพียงใด ทั้งการตัดเย็บที่ปราณีต ความยาวกรุยกรายประดับประดาด้วยเครื่องเพชรแวววาวสวยงาม คล้ายกับหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง
     
    แต่เขากลับไม่คิดว่ามันเป็นชุดนักแสดง นักแสดงที่ไหนจะมีปัญหาหาเครื่องเพชรมาประดับเสื้อผ้าได้
      
    “ช่างเถอะ เธอจะเป็นใครก็ตาม แต่หน้าที่เราตอนนี้คือพาเธอไปหาหมอ”  ยุทธนันท์พูดออกมาในที่สุด
     
    กีรชัยยักไหล่ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าชุดประหลาดๆที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่หรอก แค่ทักออกมาด้วยความแปลกตาเท่านั้น
     
    ยุทธนันท์จัดการช้อนร่างบางเข้าแนบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมง 
     
    กริ๊ง...
     
    วัตถุบางอย่างในมือที่กำไว้หลวมๆของหญิงสาวตกลงบนพื้น  กีรชัยที่ลุกขึ้นตามมาทีหลังจึงก้มลงเก็บ
      
    “อะไรกันเนี่ย”   กีรชัยอุทานแผ่ว มือยื่นไปเกี่ยวสิ่งที่หล่นบนพื้นขึ้นมาช้าๆ แล้วค่อยยืดตัวขึ้น
     
    มันเป็นสร้อยคอที่หนักที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มเคยพบมา สีทองแวววาวเข้าตาเขา  กีรชัยรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดเป็นลมขึ้นมาให้ได้
     
    ก็นี่มันทำมาจากทองคำแท้ๆเลยนี่นา!!
     
    ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้เป็นเศรษฐีร่ำรวยมาจากไหนกัน ถึงดันมาตกยากเกือบถูกรถชนตายอยู่ตรงนี้
      
    “นี่...ยุทธ มาดูนี่หน่อยสิ”  กีรชัยเรียกเสียงแหบแห้ง  “มาบอกฉันหน่อย ว่านี่ฉันไม่ได้ฝันไป”
     
    ยุทธนันท์ก้าวเข้ามาอย่างว่าง่าย เขายื่นหน้าเข้ามาดูสร้อยเส้นนั้นให้ถนัดตาก่อนจะตะลึงงันไปอีกคน เด็กหนุ่มสองคนมองหน้ากัน ไร้คำพูดใดๆ
      
    “ฉันว่าเราส่งผู้หญิงคนนี้ไปโรงพยาบาลแล้วก็รีบเผ่นเหอะ”  กีรชัยพูดพลางห่อไหล่ สีหน้าไม่ดี ซึ่งยุทธนันท์ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเพื่อนสักเท่าไหร่ ยุทธนันท์ไม่อยากจะคิดว่าพวกเขาจะต้องพบกับอะไรถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกของยากูซ่า 
      
    “แล้วไอ้สร้อยเส้นนี้ล่ะ”  กีรชัยยังไม่วายถามขณะที่ช่วยกันนำร่างบางขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
      
    “ก็คืนเขาไป”  
      
    “จะว่าไปมันก็แปลกดีนะ สร้อยเส้นนี้เนี่ย”  คนถือสร้อยเพ่งพิศ เท้าก็เดินอ้อมมาขึ้นรถ “เทคเจอร์มันแปลก เป็นรูปดาวห้าแฉก อย่างกับค่ายกลหนังกำลังภายใน”
     
    ยุทธนันท์ไม่พูดอะไร  รถเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆแล้วค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น  เขาอยากให้ถึงโรงพยาบาลใกล้ๆนี้โดยเร็วที่สุด มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ต้องมาพบผู้หญิงเป็นลมอยู่บนถนน มันเหมือนกับเขาชนผู้หญิงคนนี้จนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นแหละ 
     
    มีคนต้องเสียค่าปรับจำคุกมานักต่อนักแล้วเพราะความเป็นพลเมืองดีนี่ล่ะ!!
     
    เมื่อเพื่อนหนุ่มขับรถนิ่งเงียบ กีรชัยก็ไม่อยากเซ้าซี้เพราะรู้ว่าเพื่อนกำลังอยู่ในช่วง ‘เครียด’  ซึ่งเขาก็เห็นบ่อยจนชินเสียแล้ว แต่ยังไงก็อดนึกค่อนในใจไม่ได้
    ทั้งที่อายุเท่ากันแท้ๆ แต่กลับชอบทำตัวแก่เกินวัย!
     
    ถึงโรงพยาบาล จัดการส่งคนไข้จนถึงมือหมอเรียบร้อยแล้ว รวมถึงวางสร้อยโบราณเส้นนั้นลงบนมือนุ่มก่อนที่ร่างบางนั้นจะถูกเคลื่อนย้ายไป เท่านี้ ยุทธนันท์ก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบางจึงปรากฏขึ้นอย่างโล่งอก
     
    สองหนุ่มขึ้นรถอีกครั้ง และคราวนี้ยุทธนันท์ก็วางใจแล้วว่าพวกเขากำลังจะกลับบ้าน เพราะเขาเชื่อว่าในวันเดียวกันคงไม่มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นชนิดนี้ได้เกินหนึ่งครั้งแน่นอน...
     
    ทั้งที่เขามั่นใจขนาดนี้แท้ๆ ทว่า ลางสังหรณ์บางอย่างของเขากลับบอกว่า บางสิ่งบางอย่างผิดปกติ!!

     

    บันไดที่ทอดยาวหน้าตัวอาคารเรียนเต็มไปด้วยผู้คนในชุดนักศึกษาเดินกันขวักไขว่  หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวร่างบางที่กำลังถือหนังสือเล่มโตพะรุงพะรัง เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะทรงกายให้ได้ท่ามกลางกระแสผู้คนอันมากมาย
     
    วางหนังสือกองโตลงบนโต๊ะไม้ที่ตั้งเรียงรายรอบบ่อน้ำได้ เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือก...รอดพ้นวิกฤตไปได้อีกครั้งหนึ่งสิน่า!
      
    “สาจ๊ะ สา”    เสียงหนึ่งร้องเรียกขึ้น มันคุ้นเคยจนไม่จำเป็นต้องเห็นตัวเธอก็ทายถูกว่าคนเรียกคือใคร
     
    หญิงสาวในชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกับเธอวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ทำให้เธอต้องยิ้มแล้วส่ายหน้าช้าๆด้วยความเอ็นดู
     
    “จะวิ่งไปถึงไหนกันเกต”  เธอพูดกลั้วหัวเราะเมื่อหญิงสาวผู้นั้นผลุบนั่งลงรวดเร็ว
      
    “หิวจะตายอยู่แล้ว”  คนเพิ่งมาถึงทำหน้านิ่ว  “รอสา จะชวนไปกินข้าว”
     
    วาริสาหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกเสียงอ่อยว่า
      
    “ขอโทษด้วยนะเกต ดูหนังสือตรงหน้านี่สิ เยอะจะตาย สาว่าจะรีบหาข้อมูลแล้วเอาไปซีรอคซ์ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าต้องขนกลับบ้านหมดนี่ล่ะก็ สาตายแน่ๆ”
      
    “กินข้าวแป๊บเดียวเอง”  คนชวนยังตื๊อเพราะรู้นิสัยเพื่อนว่าทนลูกตื๊อไม่ได้นานนักหรอก “น่า เอาไปทำที่โรงอาหารก็ได้ เดี๋ยวเราช่วย”
      
    “แต่ว่า..”
      
    “ไปเถอะนะ นะ”  หญิงสาวออดอ้อนเสียงหวานพร้อมส่งยิ้มประจบ
     
    วาริสาถอนหายใจเฮือกอย่างนึกขันพลางส่ายหน้า เปล่า ไม่ได้ส่ายหน้าในความช่างตื๊อของเพื่อนสาว แต่ส่ายหน้าให้กับความช่างใจอ่อนของตัวเองต่างหาก
      
    “ไปก็ไป” 
     
    เพียงเท่านี้ คนชวนก็แทบกระโดด ใบหน้าหวานที่เปี่ยมรอยยิ้มอยู่แล้วยิ่งเปิดยิ้มให้กว้างขึ้น ส่งให้ความสดใสกระจายรอบดวงหน้าสวย
     
    นั่นคืออีกสาเหตุที่ทำให้เธอต้องยอมแพ้...ก็ใครจะทนเห็นคนตรงหน้าทำหน้าจ๋อยได้ล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวสามารถยิ้มได้กระจ่างราวกับดวงดาว...สมชื่อ กฤติกา...ขนาดนี้
     
    กฤติกาจัดการคว้าเอาหนังสือกองโตที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาค่อนกอง ก่อนจะหันมาบอกวาริสาที่ทำท่าจะร้องค้านออกมาหน้าตาเฉย
      
    “ที่เหลือนั่นสาเอาไปนะ เดี๋ยวกลับบ้านพร้อมกันด้วย ห้ามเถียงเด็ดขาด” 
      
    “โธ่ เราเกรงใจเกตจะตายอยู่แล้วนะ”  วาริสาทำหน้ามุ่ย หยิบหนังสือที่เหลืออยู่เพียงสองสามเล่มไม่หนามากบนโต๊ะขึ้นมา และโดยไม่ได้บอกอะไรล่วงหน้า วาริสาก็เอื้อมมือไปแย่งเอาหนังสือเล่มหนาหนักคืนมา 
      
    “เอ๊ะ!” 
      
    “ไม่ต้องมาเอ๊ะ จะกินข้าวหรือเปล่า”   หญิงสาวทำเสียงดุเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าจะงอแงเป็นเด็กๆแล้วชิงเดินนำ บังคับให้กฤติกาต้องเดินตามโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ
     
    “สาตัวผอมจะตายไป ลมพัดมาทีเดียวก็แทบปลิว ยังจะมาทำอวดเก่งถือหนังสือเกินตัวอีก”
      
    “เราไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ” 
      
    “หึ อย่างน้อยก็สู้เราไม่ได้แล้วกัน”  กฤติกาทำเสียงขึ้นจมูก
      
    “แต่เราไม่ได้แพ้เกตที่รูปร่างแล้วกัน”  วาริสาเลียนเสียงขึ้นจมูกของหญิงสาวจนเกือบเหมือน “ทำยังกะตัวเองตัวใหญ่นักนี่ ผอมเหมือนกันแหละ อาศัยว่าเรียนคาราเต้มาตั้งแต่เด็กๆก็เลยเอาชนะคนตัวโตกว่าได้” 
      
    “เราอ้วนกว่าสาตั้งเยอะ” 
      
    “แต่ก็ผอม”
      
    “แต่สาผอมกว่า เพราะฉะนั้น เอาหนังสือเล่มนั้นมาให้เราถือเสียดีๆ” 
      
    “เสียใจจ้ะ”  วาริสาซอยเท้าขึ้นบันไดขั้นเล็กๆ ตรงไปที่โต๊ะที่ว่างอยู่ แล้ววางหนังสือแหมะลงไปก่อนหันมาทางกฤติกา หลิ่วตาให้อย่างเหนือกว่า “มันถึงโรงอาหารพอดีเชียว”
      
    “ขี้โกงชะมัด”  เธอพึมพำพลางส่งค้อนให้วาริสา  “คราวนี้ยอมให้หรอกนะ คราวหน้านะ..ฮึ่ม”
     
    กฤติกาพูดไปอย่างนั้นอย่างนึกสนุกเท่านั้นเอง ส่วนตาของเธอก็สำรวจไปรอบๆว่ามื้อนี้เธอจะเลือกเมนูอาหารอะไรดี ซึ่งวาริสาก็มีอาการไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
      
    “กินส้มตำไหมเกต วันนี้อยากกินอะไรเผ็ดๆจังเลย”   วาริสาหันมาชวนกฤติกาเมื่อเห็นของที่ถูกใจ  แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวที่เศร้าซึมลงอย่างเผลอตัวโดยที่สายตาพุ่งไปด้านข้างคล้ายคนกำลังสะเทือนใจ
     
    วาริสามองตามสายตาเพื่อนสาวไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าใจอะไรๆได้ไม่ยาก นั่นทำให้เธอถอนหายใจยาว..ลึก
     
    สงสาร..ทั้งกฤติกาและตัวเธอเอง
     
    ชายหนุ่มร่างสูงและเด็กสาวร่างบาง ดวงหน้าละม้ายกันซึ่งมองผาดเดียวก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนคือพี่น้อง  เดินพลางหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน 
     
    น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว กฤติกามีพี่ชายแท้ๆอีกหนึ่งคน เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าตัวเป็นคนบอกเธอ หากแต่บังเอิญเธอไปได้ยินเข้าเองเมื่อสองปีที่แล้ว...ในวันครบรอบวันตายของพี่ชายหล่อน
     
    ทว่ายามเมื่อเธอเอ่ยปากแสดงความเสียใจ กฤติกากลับค้านเสียงหนักแน่นด้วยความเชื่อมั่น
      
    ‘พี่ของเรายังไม่ตาย!!’
     
    กีรชัย พี่ชายกฤติกาและยุทธนันท์เพื่อนสนิทที่สุดหายตัวไปในวันจบการศึกษาพอดี ทั้งคู่ไปงานเลี้ยงอำลาที่บ้านเพื่อน ซึ่งนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่กฤติกาได้พบพี่ชายแท้ๆและผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายของเธออีกคนหนึ่ง
     
    คนทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พ่อและแม่ของสองบ้านต่างพยายามพลิกแผ่นดินหา หากสิ่งที่ได้กลับมีเพียงรถที่เด็กหนุ่มขับออกไปเท่านั้น และภายในรถว่างเปล่า!!
     
    ครอบครัว ทศพิชัย ดูจะพบปัญหาหนักหน่วงยิ่งกว่าเมื่อกฤติกามาล้มป่วยลงไป ไข้สูงและอาการเพ้อ ทานอะไรลงไปก็ขย้อนออกมาเสียหมด  ผู้เป็นพ่อแม่แทบจะไม่ได้กินไม่ได้นอนด้วยทั้งเรื่องการหายตัวไปของลูกชาย แล้วยังอาการป่วยที่ยิ่งจะดูรุนแรงหนักของลูกสาว
     
    อาการของกฤติกาถูกตีความว่ามาจากความช็อคในเรื่องการหายตัวของกีรชัย..พี่ชายที่รักและผูกพันมากเหลือเกิน ซึ่งเธอเองก็เกือบเชื่อเช่นนั้นแล้วเหมือนกันถ้าหากว่าเธอไม่ได้หายสนิทราวกับว่าไม่เคยมีโรคภัยมารุกรานเลยในอีกสามวันถัดมา
     
    กฤติกาคิดว่านั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพี่ชายเธอยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก ส่วนเรื่องเหตุผลนั้นเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่า เพื่อนสาวของเธอมั่นใจนัก
     
    กีรชัยและยุทธนันท์ยังคงมีชีวิตอยู่
     
    ส่วนที่ว่าสงสารตัวเองด้วยนั้น...คิดถึงตรงนี้ สีหน้าวาริสาก็สลดลง
     
    เธอเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร สิ่งที่จำได้มีเพียงความทรงจำในสามปีย้อนหลังเท่านั้น  หญิงสาวยังคงจำได้ดี..ในคืนที่เธอลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีเพียงสร้อยลักษณะประหลาดเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่ติดมา เป็นหลักฐานถึงความ ‘มีประวัติ’ ของเธอ
     
    เมื่อหายดีแล้ว เธอรู้สึกเคว้งคว้างมากเพราะไม่รู้จะไปทางไหน เคราะห์ยังดีอยู่บ้างที่บังเอิญมีครอบครัวที่ต้องการเด็กสาวอายุขนาดเธอไปเลี้ยง...ไม่ใช่เลี้ยงในฐานะลูกหรอก หากเลี้ยงในฐานะแม่บ้านต่างหาก แต่เป็นแม่บ้านที่มีอภิสิทธิ์มากหน่อยเพราะค่าตอบแทนสำหรับงานบ้านที่จุกจิกนี้ก็คือค่าเล่าเรียนกับเบี้ยเลี้ยงนิดๆหน่อยๆนั่นเอง
     
    เพราะเหตุนี้หญิงสาวจึงมีโอกาสได้หาความรู้ให้ตัวเองบ้างจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
     
    บ่อยครั้งที่เธอคิดอยากหาความจริงว่าที่แท้เธอเป็นใคร แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับมีเพียงความดำมืด อึดอัด ท้ายที่สุดคือปวดศีรษะรุนแรงจนในที่สุดเธอก็ท้อและเลิกไปเอง
     
    เธอปลงเสียแล้ว...
         

     

    กฤติกาวางกระเป๋าถือในมือลงบนโต๊ะไม้สีอ่อน ก่อนจะล้มร่างลงบนเตียงด้วยกิริยาเหนื่อยอ่อน มือข้างหนึ่งคว้าเอาหมอนใบโตมาแนบแก้มอย่างต้องการจะผ่อนคลาย
     
    วันนี้พ่อและแม่ของเธอพากันไปวัดตั้งแต่เช้าพร้อมกับครอบครัวข้างๆบ้านที่รู้จักมักคุ้นมาตั้งแต่เธออายุยังน้อย  ท่านทั้งสองต้องการให้เธอไปด้วยทว่าเธอกลับปฏิเสธ
     
    สามปีที่พี่ชายของเธอหายไปเป็นสามปีที่เธอรู้สึกถึงความเงียบเหงาและความวังเวงได้ชัดเจน ไม่มีคนคอยทะเลาะด้วย ต่อล้อต่อเถียงด้วย ที่สำคัญ ไม่มีคนคอยพูดคุยกับเธอยามที่เธอไม่สบายใจ ในตอนนี้ สิ่งที่พอจะทำให้เธอคลายความเศร้าและเหงาได้บ้างก็คือคาราเต้

    เธอเคยหัดเรียนคาราเต้มาบ้างเมื่อสมัยยังเต็กๆ แต่เพราะมันเป็นกีฬาที่หนักหน่วงทำให้เธอเลิกเล่นภายในไม่ถึงสามเดือน ผิดกับกีรชัย รายนั้นชอบมากถึงขนาดฝึกฝนมาตลอดร่วมกับยุทธนันท์ ทั้งคู่ต่างก็สอบผ่านสายดำ ผิดกับเธอที่ไม่สนใจและไม่ชอบเอาเสียเลย
     
    จนเมื่อสามปีที่ผ่านมา หลังจากอาการไข้ประหลาดของเธอทุเลาลง พละกำลังจากไหนไม่รู้ตั้งมากมายก็หลั่งเข้ามาในร่างกายเธอเรื่อยๆ ไม่มากแต่สม่ำเสมอ จนกระทั่งเธอเป็นฝ่ายทนไม่ได้ ต้องเอ่ยปากขออนุญาตหวนกลับไปเรียนศิลปะป้องกันตัวชนิดนี้ใหม่สร้างความประหลาดใจให้กับพ่อและแม่ของเธอยิ่งนัก 
     
    กลับมาฝึกคาราเต้ไหม่ครั้งนี้ยิ่งทำให้พลังงานในร่างกายไหลวนดีขึ้น สมดุลในร่างกายดีเสียจนทำให้เธอเล่นกีฬาได้ทุกชนิด แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย ยิ่งนานวันเข้าเธอก็รู้สึกคุ้นชินมากขึ้นกับพลังนี้ การวิ่งออกกำลังกายยามเช้าเป็นกิจวัตรที่จำเป็นสำหรับเธอเสียแล้วเพราะหากวันไหนที่เธอไม่ได้วิ่งออกกำลังกายบ้าง วันนั้นดูเหมือนว่าร่างกายจะฝืดไปหมดรวมถึงพลังงานในร่างกายก็ดูจะร้อนรุ่มจนทำให้เธอเป็นไข้ได้ในตอนสายๆ
     
    ถึงวันนี้เธอเองก็ได้คาราเต้สายดำเช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ และเหรียญทองจากกีฬาอีกหลายๆประเภท สิ่งเหล่านี้คล้ายเป็นเครื่องเตือนใจเธอให้รู้ว่าพี่ชายของเธอยังมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ เธอคิดว่าพลังแปลกๆในร่างกายคือสิ่งยืนยันถึงความมีอยู่นั้น และเธอก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย เสียดายที่ทุกฝ่ายหมดกำลังใจเสียแล้ว และยอมรับโดยดุษณีว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างก็ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งหญิงสาวคิดอยู่เสมอมาว่าทุกคนยอมแพ้กันเร็วเกินไป สักวันหนึ่งเธอจะต้องค้นหาพี่ชายของเธอจนพบให้ได้อย่างแน่นอน เธอเชื่อมั่นเช่นนั้น
     
    คิดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ชักเริ่มรู้สึกเมื่อยล้า พลังงานในร่างหมุนเวียนอีกครา
     
    กฤติกาผุดลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจสองสามรอบก่อนจะกระโดดผลุงลงจากเตียงไปหยิบเสื้อชุดลำลองออกมาเปลี่ยนพร้อมทั้งจัดของลงกระเป๋าเป้ใบย่อมรวดเร็ว จากนั้น สาวเท้ายาวๆไม่กี่ก้าวก็ออกพ้นนอกบ้านมาแล้ว
     
    บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตามปกติแล้วในช่วงเย็นจะคึกคักมากเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานและเด็กกลับจากโรงเรียนทว่าในเวลาบ่ายกว่าๆอย่างนี้จะไม่มีคนเลย   หญิงสาวซอยเท้าจ๊อกกิ้งสั้นๆตั้งแต่ประตูรั้วหน้าบ้านจนกระทั่งถึงสโมสรหน้าหมู่บ้าน ไม่สนใจว่าแดดในเมืองเช่นนี้จะแรงสักเท่าไรเนื่องจากไม่รู้จะสนใจไปทำไมในเมื่อเธอไม่รู้สึกร้อนหรือเหนื่อยอะไรสักนิด ครีมกันแดดที่เธอใช้ในตอนเช้านั้นเพียงพอสำหรับการป้องกันผิวตลอดวัน ที่สำคัญ เธอไม่ใช่คนรักสวยรักงามอะไรมากมายนัก แค่ถูกแม่บังคับให้ทาครีมทุกวันเช้าและก่อนนอนเท่านั้นก็เต็มกลืนแล้ว
     
    กฤติกาเข้ามาในตัวสโมสร ยิ้มทักทายกับพนักงานในนั้นอย่างเคยคุ้นกันดีแล้วหายลับเข้าห้องน้ำในส่วนสระว่ายน้ำไป
     
    วันนี้น้ำเย็นชื่นใจ กลิ่นคลอรีนระเหยบางเบา แต่น่าประหลาดที่เธอกลับไม่สดชื่นเอาเสียเลย ติดจะกระวนกระวายหน่อยๆด้วยซ้ำ นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิด
     
    เธอหลับตาลง สูดหายใจลึก ก่อนจะพุ่งตัวลงไปในน้ำใสสะอาด หวังว่าการได้แหวกว่ายในน้ำเย็นๆจะทำให้ใจเธอสงบลงได้ ทว่ามันกลับไม่หายไป ตรงข้าม ยิ่งเธอตะลุยว่ายให้เหนื่อยหอบเพียงใดก็ดูเหมือนความกระวนกระวายนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
     
    เกิดอะไรขึ้น ?
     
    คำถามนี้ผุดขึ้นมาพร้อมๆกับที่หญิงสาวโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำยึดขอบสระเอาไว้
     
    ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความเหนื่อยอ่อน อาการหอบแฮ่กนั้นทำให้หญิงสาวต้องหยุดพักตัวเองไว้ก่อนเพราะในขณะนี้ เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นดังจนแทบจะโลดออกมานอกอก
     
    หัวใจที่เต้นรัวแรงผิดปกติทำให้เธอไม่มั่นใจ...เกิดจากอะไรกันแน่..ความเหนื่อยอ่อน..หรือ...อะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ?
     
    ชั่วขณะหนึ่ง แสงชนิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นกระทันหันจนเธอต้องร้องออกมาเบาๆทำท่าจะยกมือขึ้น
     
    ทว่า..วูบต่อมามันกลับหายไปก่อนที่สมองจะสั่งให้ขยับมือด้วยซ้ำ
     
    หญิงสาวกระพริบตาปริบๆอย่างพิศวง ทั้งๆที่แน่ใจว่าตาไม่ฝาดแต่ก็ชักไม่มั่นใจ เอ...หรือเธอจะตาฝาด
     
    กฤติกาเอามือตีน้ำแรงๆอย่างขัดใจ หญิงสาวขึ้นจากสระน้ำด้วยอารมณ์ขุ่นมัวทั้งๆที่ว่ายไปได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×