ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☆ อนาเทอร์เลีย..โรงเรียนมหาเวทย์ ☆

    ลำดับตอนที่ #19 : ดาบแห่งรัตติกาล (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 253
      9
      31 ต.ค. 53

    ตอนที่ 18 : ดาบแห่งรัตติกาล

     

                    วูบ!

     

                    บรรยากาศของป่าทึบรอบข้างเริ่มจากหายราวกับเป็นวอลเปเปอร์แผ่นบางๆที่ถูกลอกออก และกลับมาเป็นบรรยากาศของห้องเรียนอีกครั้ง แต่หากว่านี่เป็นครั้งแรกของการเคลื่อนย้ายมิติไปมาเช่นนี้ ไม่ว่าคนไหนก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา ทว่าซิลเวียร์กลับถอนหายใจพรืดอย่างเบื่อหน่าย..

     

                    ฉันล่ะเกลียดการย้ายไปๆมาๆแบบนี้ชะมัด..แล้วเดี๋ยวคนที่มาเรียกฉันคนแรกคงเป็น..

     

                    คุณ..

     

                    เอริเคทล่ะสิซิลเวียร์ต่อประโยคที่พูดในใจให้จบ เป็นอันให้คนเรียกหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วถาม

     

                    อะไรหรอคะ?”

     

                    ม่าย..ไม่มีอะไรๆเธอตอบแบบไร้อารมณ์ ตั้งใจจะยกมือขึ้นโบกไปมาเหมือนเคยๆ แต่รู้สึกถึงน้ำหนักที่อยู่ในมือ อ้าว..ธนูนี่เอง

     

                    นั่นอาวุธของเธอหรอเนี่ย..” อารินถาม จ้องธนูตาเป็นประกาย สวยขนาดนี้ไม่เข้ากับเธอเลยแฮะ

                   

    อาริน..ฉันกำลังหาเป้ามาลองอาวุธใหม่พอดีเลยนะ

     

    โอ้ โทษทีๆ อารินหัวเราะแหะๆแล้วขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เนื่องจากยังไม่อยากเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนสาวเจาะทะลุเอา ซิลเวียร์ฟังคำตอบรับแล้วกลอกตาไปมา ก่อนจะถาม

     

    กลับมาแล้วต้องทำอะไรหรือเปล่า?อาจารย์ล่ะ?” ถามจบก็หันไปถลึงตาใส่แขกไม่ได้รับเชิญอย่างที.เค.กับซาโอรุที่มายืนเอามือถูธนูของเธอเหมือนจะหาเลขไปขูดของตัวเองสิยะพวกนาย!”

                    ของฉันเป็นมีดสั้นเชียวนา ขืนขูดไปก็แล่เนื้อตัวเองสิฟะ

     

    แต่ฉันว่าระดับมีดสั้นมันไม่กระทบเซลล์ผิวหนังนายหรอกมั้ง ยิ่งถ้าเป็นหน้านายนะ..ยี้!มีดหักแหงๆบีราเคิลแทรกอย่างลอยๆ

     

    ว่าไงนะป้า ประโยคลอยๆของบีราเคิลลอยละล่องไปกระทบหูอีกฝ่ายอย่างจังจนต้องหันขวับ

     

    ฉันบอกว่ามดตัวที่เดินผ่านไปเมื่อกี้น่ารักดีมั้งยะ ฉันเพิ่งรู้นะว่านอกจากหน้าตาไม่ดีแล้วนายหูยังตึงด้วย

     

    ซิลเวียร์ส่ายหน้ากับภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าคิ้วขมวด มองเลยหลังที.เค.ไปเห็นเอเลนยืนอยู่คนเดียวทั้งที่ปกติจะยืนคู่กับลาเวน ซึ่งนั่นก็ทำให้ซิลเวียร์เกิดความแปลกใจปนๆกับสงสัยที่คนนิสัยอ่อนโยนยิ้มง่ายอย่างเอเลนจะสนิทกับมนุษย์ไร้ปากอย่างลาเวนได้ เอ..แต่อย่างเอริเคทก็สนิทกับเธอเหมือนกันนี่นะ งั้นแบบนี้มันคงไม่แปลกล่ะมั้ง?

     

    เธอเดินหลีกมหาสงครามไปหาคนที่ตอนนี้น่าจะคุยด้วยได้อย่างเอเลน เพราะเจ้าตัวป่วนหน้าเตะกับหน้าหวานทั้งสองคนนั้นยังคงจ้องมองธนูของเธออยู่ อารินก็ยืนมองคู่มวยอย่างตื่นเต้นต่างจากเอริเคทที่เตรียมห้ามทัพด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

     

    ลาเวนหายไปไหนซะล่ะ?”

     

    เป็นห่วงหรอครับ ฮะๆเด็กหนุ่มว่าด้วยรอยยิ้มละไม ซิลเวียร์มองค้อนขวับ ฉันไม่หลงรอยยิ้มของนายซะหรอกย่ะ!

     

    นับวันยิ่งติดโรคกวนประสาทมานะเอเลน ตกลงเขายังไม่กลับมาหรอ?”

     

    ครับ ยังเลย

     

    นั่น..อาวุธของนายเธอชี้ไปที่มือซ้ายของเอเลน เขายิ้มแล้วยกมือที่ข้างที่ถืออะไรบางอย่างขึ้นมา เด็กสาวมองอาวุธนั้นอย่างสนใจ ..โซ่เงินทอประกายล้อแสงร้อยต่อกันยาวราวไร้จุดจบ ส่วนแรกที่มีเพียงเส้นเดียวเลื้อยพันแขนเป็นที่ยึดเกาะ แล้วแยกออกเป็นหลายสาย ที่ปลายสายโซ่ยาวเกือบระพื้นและมีอาวุธแหลมคมร้อยอยู่

     

    เอเลน..หลังจากจ้องไปซักพัก เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น

     

    ครับ?”รอยยิ้มละไมยังคงไม่จางหาย

     

    มัน..เอ่อ..ดูโหดแฮะเธอแสดงความเห็น แล้วเอเลนก็หัวเราะแหะๆด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มขยับนิ้วแล้วโซ่เหล็กสีเงินก็เริ่มหลอมรวมกันเป็นก้อนโลหะกลมๆขนาดกำปั้นลอยอยู่เหนือฝ่ามือเล็กน้อย ผมยังไม่รู้จะให้มันเป็นแบบไหนดีน่ะครับ ฮะๆ

     

    อืม..ธาตุโลหะสินะ

     

    ......................................

     

    ความมืดมิดและเยือกเย็นราวกับอยู่ท่ามกลางลำน้ำแห่งรัตติกาลเป็นสัมผัสเดียวที่เขารู้สึกได้ถึงสภาพรอบกายนี้..มืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใดๆ

     

    ดังนั้นลาเวน คาโดลอสจึงหลับตาลงแล้วนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น ถึงลืมตาไปก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดีนี่นา เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ส่วนตัวอย่างที่มักจะทำเป็นประจำ

     

    ขั้นที่ 1 สังเกตสิ่งรอบตัว..

     

    แล้วในที่มืดๆแบบนี้เนี่ยนะ..ต่อให้เอารูปปั้นขนาดโคตรไนโดเสาร์มาตั้งตรงหน้าฉันก็คงไม่เห็นอยู่ดี(ถึงแม้จะเห็นในยามปกติก็เถอะ!)

     

    ขั้นที่ 2 เมื่อสังเกตเห็นแล้วจงตั้งคำถาม..

     

    เฮ้ยๆ..ก็ในเมื่อข้อ 1 ยังทำไม่ได้แล้วจะทำข้อสองได้ยังไงเล่า..

     

    เจ้านี่มันโง่สิ้นดี!”

     

    “….” นั่นไม่ใช่เสียงของเขาแน่นอน ก็แน่ล่ะว่าคงไม่มีใครคิดจะด่าตัวเองในสถานการณ์แบบนี้หรอกมั้ง?

     

    ข้าอุตส่าห์ทักแล้วเจ้ายังไม่ตอบอีกรึ!เสียมารยาทจริงๆ

     

    หือ..นั่นเรียกว่าทักงั้นหรอ? เขาเพียงคิดในใจ แต่ยังไม่ตอบ

     

    ฮ่าๆๆ กลัวล่ะสิถึงไม่อยากให้ข้ารู้ว่าตัวเจ้าอยู่ที่ไหน

     

    ลาเวนฟังประโยคนั้นแล้วขมวดคิ้ว แน่ล่ะว่าตอนแรกเขาอาจจะกลัวนิดๆจริง แต่หลังจากคำพูดเมื่อครู่ กลัวไม่ลง แถมคำพูดยังฟังดู..เอ่อ ปัญญาอ่อนด้วยซ้ำ ถึงลาเวนจะไม่ค่อยชอบพูดก็เถอะ แต่เขาก็ชอบคิดในใจอย่างเงียบๆอยู่เสมอ ทว่าในครั้งนี้ลาเวนกลับตอบออกไป เพราะคิดว่าเจ้าของเสียงนั้นคงไม่ใช่ศัตรูอันตราย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เตรียมพร้อมไว้ก่อน

     

    คุณเป็นใคร

     

    อ้อ ในที่สุดก็ส่งเสียงแล้วรึ

     

    “.....”

     

    โอเคๆ เข้าเรื่องก็ได้ ข้าจะให้เจ้ามองหาดาบแห่งรัตติกาลซะ หาได้ก็เอาไป หาไม่ได้..ก็หาจนกว่าจะเจอ

     

    ยังไงกัน..

     

    บอกให้มองก็มองเถอะน่า เพ่งไปๆ เข้าใจ๊!”อีกฝ่ายกระชากเสียง ลาเวนเริ่มงุนงงว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

     

    แต่มันมองไม่เห็นนี่

     

    เจ้าน่ะธาตุความมืดไม่ใช่เรอะ!ก็ทำตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับความมืดซะสิแล้วเจ้าจะเห็นเองแหล่ะ เอ้า!รีบๆหาซะสิ ยิ่งเจ้าเจอเร็วข้าจะได้เสร็จงานเร็วๆ

     

    ลาเวนไม่รอช้ารีบรวบรวมสมาธิ ว่าแต่ทำตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับความมืดนี่ยังไงหว่า? เสียงของคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนั้นตอบกลับมาราวกับอ่านใจเขาได้

     

    คนที่เป็นธาตุความมืดน่ะ จะมีสัมผัสต่อความมืดได้ดี..ลองนั่งนิ่งๆแล้วคิดซะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสีดำสนิทรอบกายสิน้ำเสียงคราวนี้ฟังดูอ่อนลง ไม่ใช่เสียงกระชากเหมือนจะขู่กรรโชกขโมยเงินอย่างครั้งก่อนๆ คิ้วของลาเวนขมวดเข้านิดๆ แต่ก็ทำตาม

     

    เมื่อหลับตาลงสรรพเสียงรอบข้างก็เหมือนจะเงียบลงตามไปด้วย ในยามที่มองไม่เห็นสิ่งใดจิตใจก็จะไม่ว้าวุ่นคิดอะไรมากมาย ความมืดมิดรอบข้างค่อยๆโลมเลียผิวหนังและราวส่งไปถึงหัวใจ..

     

    ทั้งที่ไม่ได้ลืมตาเขาก็มองเห็นภาพต่างๆอย่างรางๆ!

     

    ..แต่ก็เพียงครูเดียวเท่านั้น

     

    ทว่ามันก็ทำให้ตัวเขาเห็นว่าบางสิ่งที่เหมือนกับดาบ..วางอยู่ข้างๆตัวเขาถัดไปเพียงประมาณ 20 ซม.มาแต่แรก ลาเวนจึงเอื้อมมือไปค่อยๆแตะ รู้สึกถึงความเย็นของปลอกดาบที่ส่งผ่านมายังผิวหนัง เขากำมันไว้และหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงลงไปในอากาศ

     

    ...................................

     

    ขณะเดียวกันที่โดมอันเป็นสถานที่เรียนวิชาเวทย์มนต์ นักเรียนหลายคนที่ได้รับอาวุธมาแล้วกำลังจับกลุ่มคุยและพรรณนาถึงอาวุธของตัวเองไม่ให้น้อยหน้าใคร ซึ่งนั่นทำให้สรรพคุณของอาวุธแต่ละคนออกจะเกินกว่าความจริงไปบ้าง(ก็ยังไม่มีใครเคยลองใช้อาวุธเลยนี่นา แล้วไปรู้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ามันทำอะไรได้บ้าง!)

     

    ที่ริมห้อง เด็กสาวกลุ่มหนึ่งราวๆ 4-5 คนก็กำลังนั่งล้อมวงอยู่เช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นเริ่มสาธยายถึงคทาของตัวเอง

     

    นี่! คทาของฉันน่ะสามารถเรียกภูติหรือเหล่าสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาได้ด้วยนะ

     

    จริงหรือเปล่า?ฉันอยากเห็นภูติมานานแล้วนะ ช่วยเรียกออกมาหน่อยสิ!” เพื่อในกลุ่มว่าด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำเอาสาวน้อยคนนั้นมีท่าทีกระอักกระอ่วน อะ..เอ่อ แต่ว่าฉันน่ะ..

     

    น่านะ ฉันอยากเห็นจริงๆ

     

    เด็กสาวคนนั้นฟังแล้วได้แต่ปั้นยิ้มด้วยใบหน้าเหยเก เอาน่า ถ้าเรียกออกมาไม่ได้จริงๆค่อยโทษดินฟ้าอากาศไปโน่นแล้วเธอก็ยกคทาขึ้น มือเรียวแตะที่หัวคทาสีเขียวมรกตและพึมพำคาถามั่วๆ

     

    ทว่า..แสงสีขาวกลับปรากฏขึ้นจริงกลางอากาศ พร้อมๆกับบางอย่างที่ร่วงลงมา เพื่อนสาวที่ขอให้เรียกภูติจ้องมองอย่างสนใจปนอัศจรรย์ใจ แต่..สิ่งที่ตกลงมากลับเป็น

     

    ลาเวน คาโดลอส!

     

    เด็กหนุ่มนั้นเมื่อร่วงลงมาก็ได้แต่กระพริบตาถี่ๆด้วยสายตายังปรับสภาพให้เข้าแสงกับที่นี่ไม่ทันหลังอยู่ในที่มืดมานาน เขายกมือขึ้นป้องตา ใบหน้าคมคายมุ่นลงนิดๆ และค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆเผยให้เห็นดวงตาสีเทาลึกล้ำเป็นประกาย

     

    นี่มันเทพบุตรต่างหาก ไม่ใช่ภูติแล้ว!

     

    เด็กสาวในกลุ่มจ้องอย่างตกตะลึง..

     

    อะ..อะไรน่ะ ฉัน..ฉันไม่ได้..ผู้เสกคาถาพยายามพูดขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกลำคอตีบตันไปหมด ก็เธอไม่ได้ร่ายคาถาอะไรด้วยซ้ำ!อย่าบอกนะว่าการขมุบขมิบปากเรื่อยเปื่อยจะทำให้เรียกใครมาได้จริงๆน่ะ

     

    เด็กสาวคนนั้นเมื่อพูดจบก็นิ่งไป เพื่อนๆคนอื่นเองก็ยังนิ่งไม่มีใครพูดอะไรออกมาด้วยความสับสน แม้แต่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่กลางวงซึ่งไม่แน่ใจว่าเด็กสาวรอบกายเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือเปล่าเนื่องด้วยเขาไม่เคยที่จะใส่ใจจำหน้าใคร

     

    ลาเวน..ใช่ไหม?”

     

    เด็กหนุ่มฟังคำถามก็พยักหน้า เขามองไปรอบๆตัวจึงสังเกตเห็นว่าได้กลับมายังห้องเรียนแล้ว

     

    ..................................

     

    เอเลน นายได้ยินเสียงเอะอะมาจากทางนั้นไหมทางด้านซิลเวียร์ที่กำลังยืนคุยกับเอเลนอยู่เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

     

    ผมพอจะรู้ว่าต้นเสียงมาจากที่ไหนนะครับ เขายิ้ม(เหมือนเคย)และตอบ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยัง ต้นเสียง

     

    ซิลเวียร์หันขวับและพบกับภาพที่ลาเวน คาโดลอสผู้เงียบขรึมเสมอถูกรุมล้อมไปด้วยนักเรียนสาวหลายคนพร้อมกล่องของขวัญในมือ(ที่ไม่รู้ไปเตรียมกันตอนไหน?) เธอมองด้วยสีหน้าขบขัน พลางคิดในใจว่าอาจเป็นเพราะเขามักจะอยู่กับเพื่อนๆเสมอทำให้นักเรียนสาวทั้งหลายเข้าถึงตัวไม่ค่อยจะได้ เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าทั้งที..ก็คงป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ

     

    คุณซิลเวียร์..ไม่เข้าไปช่วยหน่อยหรอครับ?”

     

    ฉันนี่นะ?”

     

    เด็กสาวได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ โดยไม่ทันที่จะปฏิเสธ..เอเลน เลคอฟก็เดินหายไปเสียแล้ว เธอถอนหายใจทีหนึ่ง เดินตรงไปยังกลุ่มนักเรียนที่วุ่นวายนั้น สะกิดหลังเด็กสาวคนหนึ่ง

     

    ขอทางหน่อยสิ

     

    หา..เรื่องอะไรล่ะ กว่าจะมายืนตรงนี้ได้ฉันต้องยืนรอนานนะ!”

     

    ขนาดนั้นเชียว?”

     

    ก็ใช่สิ ถามแปลกๆ เค้าน่ะดังจะตาย..

     

    ดัง? เธอคิดในใจ ก็เพิ่งจะเห็นล่ะนะว่า ดังเนี่ยมันเป็นแบบไหน

     

                    เสียใจด้วยนะ ฉันต้องพาเขากลับไปแล้วล่ะ

     

                    เค้าจะไปกับเธองั้นหรอ?อย่าตลกนะเด็กสาวคนนั้นว่า ซิลเวียร์กำลังจะตอบแต่ก็ถูกแรงฝูงชนซึ่งมีเยอะเหลือเกินดันไปจนเกือบหกล้ม คราวนี้เธอเริ่มโมโห กัดฟันกรอดแล้วพูดกับตัวเอง เค้าจะไปกับฉันหรืออยู่รับของกับเธอก็ดูเอาเองแล้วกันย่ะ!”

     

                    ลาเวนเธอส่งเสียงเรียก เขาหันขวับมาทันที ฉันมายืนรอตั้งนานแล้วนะ ไหนเธอบอกว่าหมดชั่วโมงเรียนแล้วจะไปทานข้าวกลางวันกันไง?” เธอปล่าวโกหกนะ..แค่เปลี่ยนคำว่า พวกเอเลนมายืนรอเป็น ฉันมายืนรอเอง ไม่ว่าเปล่าเธอยังแหวกกลุ่มฝูงชนไปตรงกลาง คว้าแขนเด็กหนุ่มกลางวง แล้วรีบดึงออกมา และยังแอบแลบลิ้นใส่กลุ่มเด็กสาวในใจ

     

                    นั่นจึงเป็นครั้งแรก(และอาจครั้งสุดท้าย..)ที่ลาเลนเห็นว่าซิลเวียร์เป็นนางฟ้า

     

                    ยัยพวกนั้นคงเดือดกันใหญ่แล้วสิ สะใจจัง หึๆเธอพูดเมื่อปราศจากคน

     

                    แล้วนางฟ้าก็ถอดร่างกลับเป็นแม่มดอีกครั้ง...

     

    ……………………………

     

                    อีกฝั่งของอาคารเรียนอันเป็นห้องทำงานของประธานนักเรียน เฟริว ซาเลสประธานหอวารีกำลังถอนหายใจมองกองหนังสือที่เพิ่งถูกยกมากองตรงหน้าแล้วบ่นเบาๆ

     

                    อะไรเนี่ย ยังไม่หมดอีกหรอ..”

     

                    ยัง!” ผู้เป็นรองประธานตอบโดยไม่ต้องคิด ขยับแว่นเล็กน้อยก่อนว่าต่อเสียงเรียบ ท่านประธานยังเหลือเอกสารอีก 12 ชุดที่ต้องตรวจสอบ อีก 3 ชุดต้องลงชื่อและอีก 5 ชุดที่เป็นใบขออนุมัติจัดตั้งชมรมในปีการศึกษาใหม่นี้เลนเซสว่าก่อนเลื่อนเอกสารที่พูดถึงไปตรงหน้าประธานหนุ่ม

     

                    เฟริวที่ตาใกล้ปิดอยู่รอมร่อเปิดเอกสารผ่านๆ..

      

    จบไปอีกตอนแล้ว ฮาๆ อัพต้อนรับเปิดเทอมอันขื่นขม - - ว่าแต่ภาพสุดท้ายที่เป็นจดหมายขึ้นไหมคะ?
    สำคัญนะนั่นถ้าไม่ขึ้นวิพจะได้แก้ภาพให้ ^^

    ขอให้ทุกคนสนุกในภาคเรียนใหม่นะคะ 55+ ต่อจากนี้ตัวละครที่สมัครก็จะเริ่มทยอยๆมาแล้วล่ะ
    อดใจรอเล็กน้อยนะ! อ้อ..ใน -ตอนที่ 6- วิพได้ลงภาพวาดตัวละครครบทั้ง 4 ตัวแล้ว
    ยังไงๆก็ทำใจกับฝือมือวาด+ลงสีของวิพด้วยแล้วกัน ฮ่าๆ

    และสุดท้าย..ยินดีต้อนรับแฟนคลับคนใหม่ทุกท่านนะคะ สุขสันต์วันฮาโลวีนค่ะ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×