ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Arjoe) First Love...Is Only You

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : พบกันอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 54


       

    - ไทเป

    ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองไทเปมากนัก เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ บ้านเรือนแต่ละหลังสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นบ้านสองชั้น มีรั้วรอบขอบชิดดูเป็นสัดเป็นส่วน

    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน เขาเดินมองป้ายเลขที่บ้านแต่ละหลัง เปรียบเทียบกับกระดาษโน้ตในมือ ไปหยุดยืนที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้นไม่ใหญ่โตมากนัก ตัวบ้านทาด้วยสีส้มอ่อนตัดกรอบประตูและหน้าต่างกระจกสีขาว หน้าบ้านมีสนามหญ้าเล็ก ๆ และม้านั่งสีขาวด้านข้างของตัวบ้าน เขายืนอยู่ที่รั้วแล้วตัดสินใจกดออด

    เสียงออดดังขึ้นไม่นาน  ชายวัยกลางคนหน้าตาคุ้นเคยเปิดประตูเดินมาที่ประตูรั้ว

    เอ่อ นั่นใคร โจใช่ไหม ชายคนนั้นมองอย่างไม่แน่ใจ

    ครับ น้าเหลียงชายหนุ่มร่างสูงยิ้ม เขาจำได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นคือน้าเหลียงเพื่อนสนิทพ่อของเขา

    โอ้ โจจริง ๆ  ดีใจจังที่ได้พบเธอ เข้ามาก่อนสิ นายเหลียงยิ้มเปิดประตูรั้วให้เข้าไปด้านใน แล้วปิดประตูรั้วตามหลัง

    สวัสดีครับ น้าเหลียง โจโค้งทักทายอย่างยิ้มแย้ม

    สวัสดีโจ นายเหลียงเดินเข้าไปกอดทักทายตบหลังของเขาเบา ๆ  เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย นายเหลียงคลายวงแขนมองขึ้นมองลงอย่างสำรวจ   สูงขึ้นเยอะเลยนะ เปลี่ยนไปจนน้าแทบจำไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่เจอ ยังไม่สูงขนาดนี้นี่นา สูงเท่าไหร่กันนี่ นายเหลียงเงยหน้าถาม  จริง ๆ แล้วนายเหลียงก็สูงถึง 177 ซม. แต่โจกลับสูงกว่ามาก

    188 ซม. ครับ 

    อู้ว สูงมากจริง ๆ ดูสิโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว นายเหลียงมองอย่างชื่นชม
                    “น้าสบายดีนะครับ"  
                    "สบายดี แล้วพ่อของเธอล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
    เดินทางไปอังกฤษแล้วใช่ไหม นายเหลียงถามต่อ

    ครับ พ่อไปได้สองวันแล้ว พ่อยังฝากสวัสดีน้าเหลียงและทุกคนด้วย โจตอบ

    อ้อ ขอบใจนะ วันก่อนน้าก็พึ่งคุยกับพ่อของเธอเหมือนกัน นายเหลียงยิ้ม เข้าไปในบ้านกันก่อนเถอะ เราคงไม่ยืนคุยกันตรงนี้ทั้งคืนหรอกนะ นายเหลียงล้อเล่นอย่างอารมณ์ดี เดินพาโจเข้าไปในบ้าน นั่งก่อนสิ นายเหลียงกล่าว เมื่อเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วเดินไปนั่งโซฟายาว ตัวกลางในห้องนั่งเล่น

    ขอบคุณครับ โจดึงกระเป๋าเป้ด้านหลังวางบนโซฟายาวที่ใกล้กับประตูทางเข้า ก่อนนั่งลงข้างกระเป๋าของตัวเอง แล้วมองไปรอบ ๆ ภายในถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวดูสะอาดตา ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ผนังตกแต่งด้วยภาพวาด และภาพถ่ายคนในครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาว

    บ้านของน้าหายากไหม นายเหลียงถามขึ้นอย่างยิ้มแย้ม

    ไม่เลยครับ เข้ามาในหมู่บ้านไม่กี่หลังก็พบแล้ว โจยิ้ม

    แล้วเรื่องย้ายมาเรียนต่อปีสุดท้ายที่นี่ล่ะ เรียบร้อยดีใช่ไหม นายเหลียงถามอย่างใส่ใจ

    เรียบร้อยแล้วครับ พ่อติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยที่นี่เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้แค่นำเอกสารบางส่วนไปยื่นเท่านั้น โจตอบ

    อื้ม ดีแล้วล่ะ อยู่ ๆ พ่อของเธอก็ต้องไปอบรมที่อังกฤษถึงสองปี เธอต้องย้ายมากลางคันอย่างนี้คงลำบากหน่อย แต่น้าว่าคงไม่น่าห่วงอะไร เธอเรียนเก่งอยู่แล้ว พ่อของเธอบอกน้าว่าผลการเรียนของเธอดี จึงไม่มีปัญหาในการย้ายมาเรียนต่อที่นี่ นายเหลียงกล่าวอย่างชื่นชม โจเพียงยิ้มตอบ   พ่อของเธอเป็นห่วงเธอมากนะ เห็นว่าไม่อยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ และเขาไม่อยากให้อยู่ไทจุงตามลำพัง เลยฝากเธอไว้กับน้า แต่เห็นว่าตอนแรกจะไปเช่าห้องพักอยู่เองเหรอ นายเหลียงถาม

    ครับน้าเหลียง ผมเกรงใจน่ะครับ โจตอบ

    เกรงใจอะไรกัน เธอเหมือนลูกชายของน้าคนหนึ่ง น้าเห็นเธอมาตั้งแต่เล็ก ๆ น้าถึงได้บอกพ่อของเธอ ให้เธอมาพักอยู่ที่นี่ด้วยกัน มาอยู่กับน้าน่ะดีแล้ว พ่อเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน อย่าเกรงใจเข้าใจไหม นายเหลียงถาม

    ครับ ขอบคุณครับ น้าเหลียงโจพยักหน้าตอบรับ 
                   สักครู่หญิงวัยกลางคนก็่เดินเข้ามา ก้มวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าเขา

    น้ำจ๊ะ 

    ขอบคุณครับ โจยิ้มตอบให้หญิงคนนั้น

    ทายซิ ว่าเขาเป็นใคร นายเหลียงเอ่ยถาม ยิ้มให้หญิงคนนั้น เธอมองไปที่โจอย่างไม่แน่ใจ

    สวัสดีครับ น้าเหม่ย โจยืนขึ้น โค้งทักทายหญิงคนนั้น เขายังจำได้ดี เธอคือน้าเหม่ยภรรยาของน้าเหลียง ไม่ว่าเวลาผ่านไปยังไง น้าเหม่ยยังดูสวยถึงจะอายุมากแล้วก็ตาม

    โจเหรอ จริง ๆ เหรอนี่ นางเหม่ยยิ้มเดินเข้าไปกอดทักทาย เธอพอจะเดาออก เพราะสามีได้บอกไว้แล้วว่าโจจะมา เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มซะแล้ว เธอตบหลังโจเบา ๆ ก่อนคลายวงแขนมองสำรวจเขา เราไม่เจอกันกี่ปีแล้วนะ เธอหันไปมองสามี ก่อนหันกลับมามองโจอีกครั้ง

    เกือบสี่ปี เผลอแป๊บเดียวเองนะ นายเหลียงยิ้มให้ภรรยา และโจ

    นั่นสิ สี่ปี ตัวโตจนน้าจำแทบไม่ได้ สูงขึ้นด้วยใช่ไหม นางเหม่ยเงยหน้ายิ้มให้โจ

    ใช่ เขาสูงตั้ง 188 ซม. ดูเปลี่ยนไปจนผมเองยังจำไม่ได้เลย ตอนไปเปิดประตูให้ ยังมองอยู่ตั้งนาน นายเหลียงรีบตอบแล้วหัวเราะ

    แล้วก็ดูหล่อมากซะด้วย นางเหม่ยชม

    น้าเหม่ยก็ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ โจยิ้มให้เธออย่างจริงใจ

    แหม แล้วก็ยังปากหวานเหมือนเดิมนะจ๊ะ พ่อหนุ่มน้อย นางเหม่ยยิ้มยกมือแตะแก้มของโจเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนเดินไปนั่งโซฟาข้างสามี
                     พวกเขาทั้งสามนั่งพูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกันอยู่พักใหญ่ จนใกล้ค่ำ

    เอ...นี่ลูกสาวของเรายังไม่กลับอีกเหรอ นายเหลียงมองผ่านกระจกไปทางรั้วหน้าบ้าน แต่กระจกถูกบังด้วยม่านลูกไม้สีขาวบาง ๆ จึงมองด้านนอกไม่ถนัดนัก คุณไม่ได้บอกลูกเหรอ ว่าวันนี้เรามีแขกคนสำคัญ นายเหลียงหันมาถามภรรยา

    บอกค่ะ ลูกโทรมาก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะกลับมา ไม่นานก็คงจะถึงแล้วล่ะ นางเหม่ยยิ้มให้สามี

    กลับมาแล้วค่ะ เสียงของผู้หญิงดังมาจากทางประตูหน้าบ้าน ไม่นานก็เดินเข้ามาในห้อง และหยุดยืนที่ปลายโซฟาใกล้กับโจ  นินทาอะไรหนูคะ อยู่หน้าบ้านยังได้ยินเลย หญิงสาวยิ้มให้นายเหลียงและนางเหม่ย โดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่
                    โจจ้องมองเธอ และจำได้ในทันที เธอคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขาตอนอยู่ไทจุง เธอยังคงสวยน่ารักเหมือนเดิม ถึงจะแต่งตัวไม่ได้หรูหราเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่สไตล์การแต่งกายแบบเรียบ ๆ ดูอ่อนหวาน ก็เหมาะสมกับเธอดี

    เอเรียล แม่ของลูก บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้รีบกลับ วันนี้เรามีแขกคนสำคัญ นายเหลียงพ่อของเธอกล่าวยิ้ม ๆ มองไปทางโจ 
                    
    เอเรียลหันไปมองตามสายตาพ่อของเธอ แล้วจ้องมองผู้ชายคนนั้นอย่างไม่แน่ใจ เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก ๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออก
                    โจลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้   เอเรียลจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา
                   
    โจ ใช่คุณจริง ๆ เหรอ เอเรียลถาม

    ใช่แล้ว โจจะย้ายมาอยู่กับเรา และเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายที่เดียวกับลูก นางเหม่ยแม่ของเธอยิ้ม มองลูกสาวและโจ ที่กำลังยืนมองกันอยู่

    โจ ดีใจจังที่ได้เจอคุณอีก เอเรียลยิ้มด้วยความดีใจเดินเข้าไปกอดเขา
                    โจยืนอึ้งด้วยความตกใจที่เธอเข้ามากอดเขา รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า และหัวใจที่กำลังเต้นระรัว ถึงตอนอยู่ไทจุง เธอและเขาจะกอดกันในฐานะเพื่อนสนิทบ่อย ๆ  แต่หลังจากไม่ได้เจอกันเกือบสี่ปี ก็ทำให้รู้สึกประหม่า เขาพยายามสงบให้เป็นปกติมากที่สุด
                   
    ทำไมพ่อกับแม่ไม่บอกล่ะคะ ว่าเป็นโจจะมา เอเรียลคลายวงแขนเล็กน้อย หันไปถามพ่อแม่ของเธอ

    ก็พ่ออยากให้ลูกแปลกใจน่ะสิ นายเหลียงยิ้มให้ลูกสาว

    คิดถึงคุณจัง คุณก็น่าจะโทรบอกฉันบ้างนะ เอเรียลยิ้ม จับมือของโจเขย่าเบา ๆ ด้วยความดีใจเหมือนเด็ก ๆ
                    โจไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เธอเท่านั้น จริง ๆ แล้วเขาก็อยากโทรบอกเธอก่อนมาเหมือนกัน แต่เขาอยากให้เธอแปลกใจมากกว่า

    เราไปช่วยกันเตรียมอาหารค่ำดีไหม ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้คุยกันเถอะ นางเหม่ยถามสามีเบา ๆ แล้วพาเดินออกไปทางห้องครัว ปล่อยให้ทั้งสองคนได้คุยกันตามลำพัง

    เราไม่เจอกันเกือบสี่ปี คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะ เอเรียลยิ้ม เงยหน้ามองเขา

    น้าเหลียงกับน้าเหม่ยก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน แล้วคุณคิดว่าเปลี่ยนยังไงล่ะ โจถามยิ้ม ๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
                    เอเรียลปล่อยมือที่จับเขาไว้ ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเริ่มมองสำรวจเขาไปมา

    อืม...คุณดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น สูงขึ้นมาก ๆ และไม่ได้ใส่แว่นแล้วด้วย เอเรียลค่อยบรรยายเขา
                    จริง ๆ เธอคิดว่าโจดูแปลกตาไป ดูเปลี่ยนไปจากที่เจอครั้งสุดท้าย ตอนนั้นเขาไว้ผมเกรียนแบบทหาร ผอม ใส่แว่น และไม่สูงมากเท่านี้   แต่ตอนนี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รูปร่างและหน้าตาดูดีขึ้น ผมยาวพอดีเข้ากับรูปหน้า ไม่ได้ใส่แว่น แถมสูงขึ้นจากเดิมมาก เขาดูหล่อมากในความคิดของเธอ

    คุณยังเหมือนเดิมเลยนะ  แต่ดู...ไม่สูงขึ้นเท่าไหร่ โจยิ้ม แกล้งพูดล้อเล่นกับเธอ

    ใช่ พอใจหรือยัง เอเรียลยิ้มตีแขนของโจเบา ๆ แล้วคุณก็ยังชอบแกล้งฉันเหมือนเดิม เธอกัดริมฝีปากล่างยิ้ม ๆ
                    โจหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของเธอ จริง ๆ แล้วสำหรับเขา เธอดูสวยขึ้น รอยยิ้มที่ยังดูสดใสน่ารัก และยังอ่อนหวานเหมือนเดิม

    จริง ๆ คุณน่าจะาบอกฉันก่อน ฉันจะได้ไม่ออกไปกับเพื่อน ๆ นานขนาดนี้ เอเรียลบอก

    เด็ก ๆ จ๊ะมาทานอาหารกันได้แล้ว เสียงแม่ของเธอดังมาจากทางห้องครัว

    ค่ะแม่ เอเรียลตอบรับเสียงของแม่  เราไปกันเถอะ โจ เอเรียลดึงมือของเขา ให้เดินตามเธอไปทางครัว  โจมองมือของเธอที่จับมือของเขาดึงให้เดินตามไป

    พวกเขาทั้งสี่ร่วมทานอาหารค่ำและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หลังอาหารค่ำ เอเรียลเดินนำโจขึ้นไปชั้นบน เพื่อไปห้องพักของเขาตามที่พ่อของเธอบอก เธอหยุดยืนเปิดประตูห้องแรกแล้วหันมายิ้ม

    นี่ห้องของคุณนะ เอเรียลบอก

    ขอบคุณ โจยิ้มให้เธอ

    ห้องของฉันอยู่ถัดจากห้องของคุณ ส่วนตรงข้ามเป็นห้องพ่อกับแม่ ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้นะ เอเรียลยิ้มให้เขา
                    สักครู่เสียงเพลงจากโทรศัพท์ในกระเป๋าถือของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบมาดูเบอร์ผู้เรียกเข้า ยังไม่ได้กดรับสายทันที

                   “ขอโทษนะโจ ฉันคงต้องขอตัวก่อน คุณพักผ่อนเถอะเดินทางมาคงเหนื่อย แล้วค่อยคุยกันนะ เอเรียลยิ้มยกมือแตะแขนของเขาเบา ๆ ก่อนเดินไปเปิดประตูที่ห้องถัดไปพร้อมกดรับโทรศัพท์  เรนนี่ มีอะไรเหรอ เธอพูดกับคนในสาย ก่อนหันมามองที่โจอีกครั้ง  อ้อ โจ ดีใจที่ได้พบคุณอีก และยินดีต้อนรับ ฝันดีนะ เธอยิ้มหวานให้เขาก่อนเดินเข้าห้องและปิดประตูไป

    โจมองตามจนเธอเข้าห้องไป รอยยิ้มนั้นยังตราตรึงในใจของเขา การที่เธอกอดหรือสัมผัสเขาแต่ละครั้ง ทำให้เขารู้สึกมีความสุข เขาเดินเข้าไปในห้องวางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะทำงานข้างคอมพิวเตอร์ ก่อนเดินไปล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง มองไปที่เพดานด้วยรอยยิ้มบนมุมปาก ด้วยความรู้สึกดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง เขาเฝ้ารอที่จะได้พบเธอมาตลอด เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา  และยังเป็นหญิงคนเดียวที่เขารักอย่างหมดหัวใจ 
                  
    แต่รอยยิ้มของเขาก็ต้องจางลง เมื่อนึกถึงครั้งที่ครอบครัวของเอเรียลยังอยู่ไทจุง บ้านของเขาและเธออยู่ตรงข้ามกัน เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครอบครัวของพวกเขาสนิทสนมกันมาก พวกเขาเกิดปีเดียวกัน จึงเรียนอยู่ชั้นและโรงเรียนเดียวกันมาตลอด ไปกลับโรงเรียนด้วยกันแทบทุกวัน เอเรียลเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ภายนอกอาจดูเข้มแข็ง  แต่จริง ๆ เป็นคนอ่อนไหวง่าย เขาจึงดูแลเธอมาตลอด เธอเห็นเขาเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย ซึ่งต่างจากเขา ที่แอบชอบเธอมาตลอด แรก ๆ เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเกินไป จึงทำให้คิดไปเอง แต่เขากลับเริ่มแน่ใจว่าชอบเธอมากก็เมื่อเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีผู้ชายมาพูดคุยกับเธอ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกแย้งของสำคัญในชีวิตไป แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกเธอ

    กระทั่ง ม.ปลายปีสอง เขาเดินเข้าไปในห้องเรียน เห็นไมค์เพื่อนสนิทของเขา กำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับเอเรียล เธออายจนหน้าแดง หัวเราะ หยอกล้อ และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้พวกเขาทั้งสามจะสนิทกันมาก ตั้งแต่เรียน ม.ต้นถึง ม.ปลายด้วยกัน แต่ก็ไม่เคยเห็นไมค์และเอเรียลพูดคุยกันแบบนี้มาก่อน มันดูแปลกไปจากคำว่าเพื่อน ทำให้รู้สึกโกรธ มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองวิ่งออกมานั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามกีฬา มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ในใจ เขาแน่ใจว่าชอบเธอมาก ไม่สิ มันเป็นความรัก เขารักเธอมากจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือความสัมพันธ์แบบพี่น้อง แต่เป็นความรักที่มีให้เธอแบบหมดหัวใจของเขา

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน เอเรียลบอกกับเขาว่า เธอและไมค์ตกลงเป็นแฟนกัน เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งฟังในสิ่งที่เธอบอกหรือพูดคุยเกี่ยวกับไมค์อย่างมีความสุข แม้พวกเขาทั้งสามยังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิม แต่เขาก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงจากทั้งสองคน เพราะเขาไม่สามารถทนเห็นภาพที่ทั้งสองเดินจับมือ พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานได้ เขาจึงเริ่มห่างจากเธอและไมค์ หลีกเลี่ยงที่จะไปกลับโรงเรียนพร้อมกับทั้งคู่

    จนปิดเทอม ม.ปลายปีสอง วันนั้นเขากลับบ้านช่วงหัวค่ำ เห็นเอเรียลยืนอยู่ตามลำพังที่หน้าบ้านของเขา พอเธอหันมาเห็น ก็วิ่งเข้ามากอดเขาแล้วร้องไห้

    เอเรียล ร้องไห้ทำไม เขากอดเธอ และถามอย่างเป็นห่วง

    โจ ไมค์ เขา... เอเรียลร้องไห้ซบหน้าบนไหล่ของเขา เขาและครอบครัวจะย้ายไปอยู่อเมริกาในสัปดาห์หน้านี้แล้ว เธอบอกไม่ได้เงยหน้ามองเขา

    ทำไมเร็วจังล่ะ โจถาม ยกมือลูบผมเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน

    ญาติที่นั่นต้องการให้รีบไป เพราะต้องไปดำเนินเรื่องย้ายที่เรียนให้ไมค์ เอเรียลบอก โจได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ เขารู้จากไมค์มาบ้าง แต่ไมค์ยังไม่แน่ใจเรื่องวันเดินทาง

    แต่ไมค์สัญญาจะกลับมาเมื่อเรียนจบไม่ใช่เหรอ โจถาม เอเรียลพยักหน้า

    แต่ฉันจะไม่ได้เจอเขานานมาก ฉันคงเหงา เอเรียลตอบยังคงร้องไห้

    จะเหงาได้ยังไง เรายังอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ โจพยายามปลอบ แต่เธอก็ยังคงซบกับไหล่ของเขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจึงยืนอยู่เป็นเพื่อนเธอเงียบ ๆ

    หลังไมค์ไปอเมริกา เอเรียลดูเศร้ามาก ๆ บางครั้งมักแอบไปร้องไห้คนเดียว เขาพยายามที่จะปลอบใจ พูดคุยและล้อเล่นกับเธอ เขาและเอเรียลก็กลับไปเป็นเหมือนเดิน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ อีกครั้ง จนกระทั่ง ม.ปลายเทอมสอง  ปีสุดท้าย ครอบครัวของเอเรียลก็ต้องย้ายมาอยู่ไทเป วันนั้นเธอกอดเขาและร้องไห้ ถึงจะรู้สึกเสียใจที่เธอจากมา แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

                    จนวันนี้ผ่านมาเกือบสี่ปีที่ได้กลับมาพบเธออีกครั้ง เขาอยากจะขอบคุณพ่อของเขา ที่อนุญาตให้มาอยู่ไทเป และยังได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอเพียงแค่ผนังกั้น ถึงเธอจะไม่ได้รักเขามากกว่าความเป็นเพื่อน แต่อย่างน้อยการได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของเธอ มันก็เป็นความสุขมาก ๆ ในชีวิต เขาเคยสัญญากับตัวเองว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไป ถึงวันนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เขาจะคอยดูแล ปกป้อง และทำทุกอย่างให้เธอมีความสุข ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะไหนของเธอก็ตาม  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×