คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : พบกันอีกครั้ง
- ไทเป
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองไทเปมากนัก เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ บ้านเรือนแต่ละหลังสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นบ้านสองชั้น มีรั้วรอบขอบชิดดูเป็นสัดเป็นส่วน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน เขาเดินมองป้ายเลขที่บ้านแต่ละหลัง เปรียบเทียบกับกระดาษโน้ตในมือ ไปหยุดยืนที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้นไม่ใหญ่โตมากนัก ตัวบ้านทาด้วยสีส้มอ่อนตัดกรอบประตูและหน้าต่างกระจกสีขาว หน้าบ้านมีสนามหญ้าเล็ก ๆ และม้านั่งสีขาวด้านข้างของตัวบ้าน เขายืนอยู่ที่รั้วแล้วตัดสินใจกดออด
เสียงออดดังขึ้นไม่นาน ชายวัยกลางคนหน้าตาคุ้นเคยเปิดประตูเดินมาที่ประตูรั้ว
“เอ่อ นั่นใคร โจใช่ไหม” ชายคนนั้นมองอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ น้าเหลียง” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้ม เขาจำได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นคือน้าเหลียงเพื่อนสนิทพ่อของเขา
“โอ้ โจจริง ๆ ดีใจจังที่ได้พบเธอ เข้ามาก่อนสิ” นายเหลียงยิ้มเปิดประตูรั้วให้เข้าไปด้านใน แล้วปิดประตูรั้วตามหลัง
“สวัสดีครับ น้าเหลียง” โจโค้งทักทายอย่างยิ้มแย้ม
“สวัสดีโจ” นายเหลียงเดินเข้าไปกอดทักทายตบหลังของเขาเบา ๆ “เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย” นายเหลียงคลายวงแขนมองขึ้นมองลงอย่างสำรวจ “สูงขึ้นเยอะเลยนะ เปลี่ยนไปจนน้าแทบจำไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่เจอ ยังไม่สูงขนาดนี้นี่นา สูงเท่าไหร่กันนี่” นายเหลียงเงยหน้าถาม จริง ๆ แล้วนายเหลียงก็สูงถึง
“
“อู้ว สูงมากจริง ๆ ดูสิโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว” นายเหลียงมองอย่างชื่นชม
“น้าสบายดีนะครับ"
"สบายดี แล้วพ่อของเธอล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง เดินทางไปอังกฤษแล้วใช่ไหม” นายเหลียงถามต่อ
“ครับ พ่อไปได้สองวันแล้ว พ่อยังฝากสวัสดีน้าเหลียงและทุกคนด้วย” โจตอบ
“อ้อ ขอบใจนะ วันก่อนน้าก็พึ่งคุยกับพ่อของเธอเหมือนกัน” นายเหลียงยิ้ม “เข้าไปในบ้านกันก่อนเถอะ เราคงไม่ยืนคุยกันตรงนี้ทั้งคืนหรอกนะ” นายเหลียงล้อเล่นอย่างอารมณ์ดี เดินพาโจเข้าไปในบ้าน “นั่งก่อนสิ” นายเหลียงกล่าว เมื่อเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วเดินไปนั่งโซฟายาว ตัวกลางในห้องนั่งเล่น
“ขอบคุณครับ” โจดึงกระเป๋าเป้ด้านหลังวางบนโซฟายาวที่ใกล้กับประตูทางเข้า ก่อนนั่งลงข้างกระเป๋าของตัวเอง แล้วมองไปรอบ ๆ ภายในถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวดูสะอาดตา ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ผนังตกแต่งด้วยภาพวาด และภาพถ่ายคนในครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาว
“บ้านของน้าหายากไหม” นายเหลียงถามขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ไม่เลยครับ เข้ามาในหมู่บ้านไม่กี่หลังก็พบแล้ว” โจยิ้ม
“แล้วเรื่องย้ายมาเรียนต่อปีสุดท้ายที่นี่ล่ะ เรียบร้อยดีใช่ไหม” นายเหลียงถามอย่างใส่ใจ
“เรียบร้อยแล้วครับ พ่อติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยที่นี่เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้แค่นำเอกสารบางส่วนไปยื่นเท่านั้น” โจตอบ
“อื้ม ดีแล้วล่ะ อยู่ ๆ พ่อของเธอก็ต้องไปอบรมที่อังกฤษถึงสองปี เธอต้องย้ายมากลางคันอย่างนี้คงลำบากหน่อย แต่น้าว่าคงไม่น่าห่วงอะไร เธอเรียนเก่งอยู่แล้ว พ่อของเธอบอกน้าว่าผลการเรียนของเธอดี จึงไม่มีปัญหาในการย้ายมาเรียนต่อที่นี่” นายเหลียงกล่าวอย่างชื่นชม โจเพียงยิ้มตอบ “พ่อของเธอเป็นห่วงเธอมากนะ เห็นว่าไม่อยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ และเขาไม่อยากให้อยู่ไทจุงตามลำพัง เลยฝากเธอไว้กับน้า แต่เห็นว่าตอนแรกจะไปเช่าห้องพักอยู่เองเหรอ” นายเหลียงถาม
“ครับน้าเหลียง ผมเกรงใจน่ะครับ” โจตอบ
“เกรงใจอะไรกัน เธอเหมือนลูกชายของน้าคนหนึ่ง น้าเห็นเธอมาตั้งแต่เล็ก ๆ น้าถึงได้บอกพ่อของเธอ ให้เธอมาพักอยู่ที่นี่ด้วยกัน มาอยู่กับน้าน่ะดีแล้ว พ่อเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน อย่าเกรงใจเข้าใจไหม” นายเหลียงถาม
“ครับ ขอบคุณครับ น้าเหลียง” โจพยักหน้าตอบรับ
สักครู่หญิงวัยกลางคนก็่เดินเข้ามา ก้มวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าเขา
“น้ำจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ” โจยิ้มตอบให้หญิงคนนั้น
“ทายซิ ว่าเขาเป็นใคร” นายเหลียงเอ่ยถาม ยิ้มให้หญิงคนนั้น เธอมองไปที่โจอย่างไม่แน่ใจ
“สวัสดีครับ น้าเหม่ย” โจยืนขึ้น โค้งทักทายหญิงคนนั้น เขายังจำได้ดี เธอคือน้าเหม่ยภรรยาของน้าเหลียง ไม่ว่าเวลาผ่านไปยังไง น้าเหม่ยยังดูสวยถึงจะอายุมากแล้วก็ตาม
“โจเหรอ จริง ๆ เหรอนี่” นางเหม่ยยิ้มเดินเข้าไปกอดทักทาย เธอพอจะเดาออก เพราะสามีได้บอกไว้แล้วว่าโจจะมา เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น “ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มซะแล้ว” เธอตบหลังโจเบา ๆ ก่อนคลายวงแขนมองสำรวจเขา “เราไม่เจอกันกี่ปีแล้วนะ” เธอหันไปมองสามี ก่อนหันกลับมามองโจอีกครั้ง
“เกือบสี่ปี เผลอแป๊บเดียวเองนะ” นายเหลียงยิ้มให้ภรรยา และโจ
“นั่นสิ สี่ปี ตัวโตจนน้าจำแทบไม่ได้ สูงขึ้นด้วยใช่ไหม” นางเหม่ยเงยหน้ายิ้มให้โจ
“ใช่ เขาสูงตั้ง
“แล้วก็ดูหล่อมากซะด้วย” นางเหม่ยชม
“น้าเหม่ยก็ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ” โจยิ้มให้เธออย่างจริงใจ
“แหม แล้วก็ยังปากหวานเหมือนเดิมนะจ๊ะ พ่อหนุ่มน้อย” นางเหม่ยยิ้มยกมือแตะแก้มของโจเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนเดินไปนั่งโซฟาข้างสามี
พวกเขาทั้งสามนั่งพูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกันอยู่พักใหญ่ จนใกล้ค่ำ
“เอ...นี่ลูกสาวของเรายังไม่กลับอีกเหรอ” นายเหลียงมองผ่านกระจกไปทางรั้วหน้าบ้าน แต่กระจกถูกบังด้วยม่านลูกไม้สีขาวบาง ๆ จึงมองด้านนอกไม่ถนัดนัก “คุณไม่ได้บอกลูกเหรอ ว่าวันนี้เรามีแขกคนสำคัญ” นายเหลียงหันมาถามภรรยา
“บอกค่ะ ลูกโทรมาก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะกลับมา ไม่นานก็คงจะถึงแล้วล่ะ” นางเหม่ยยิ้มให้สามี
“กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของผู้หญิงดังมาจากทางประตูหน้าบ้าน ไม่นานก็เดินเข้ามาในห้อง และหยุดยืนที่ปลายโซฟาใกล้กับโจ “นินทาอะไรหนูคะ อยู่หน้าบ้านยังได้ยินเลย” หญิงสาวยิ้มให้นายเหลียงและนางเหม่ย โดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่
โจจ้องมองเธอ และจำได้ในทันที เธอคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขาตอนอยู่ไทจุง เธอยังคงสวยน่ารักเหมือนเดิม ถึงจะแต่งตัวไม่ได้หรูหราเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่สไตล์การแต่งกายแบบเรียบ ๆ ดูอ่อนหวาน ก็เหมาะสมกับเธอดี
“เอเรียล แม่ของลูก บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้รีบกลับ วันนี้เรามีแขกคนสำคัญ” นายเหลียงพ่อของเธอกล่าวยิ้ม ๆ มองไปทางโจ
เอเรียลหันไปมองตามสายตาพ่อของเธอ แล้วจ้องมองผู้ชายคนนั้นอย่างไม่แน่ใจ เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก ๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออก
โจลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้ เอเรียลจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา
“โจ ใช่คุณจริง ๆ เหรอ” เอเรียลถาม
“ใช่แล้ว โจจะย้ายมาอยู่กับเรา และเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายที่เดียวกับลูก” นางเหม่ยแม่ของเธอยิ้ม มองลูกสาวและโจ ที่กำลังยืนมองกันอยู่
“โจ ดีใจจังที่ได้เจอคุณอีก” เอเรียลยิ้มด้วยความดีใจเดินเข้าไปกอดเขา
โจยืนอึ้งด้วยความตกใจที่เธอเข้ามากอดเขา รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า และหัวใจที่กำลังเต้นระรัว ถึงตอนอยู่ไทจุง เธอและเขาจะกอดกันในฐานะเพื่อนสนิทบ่อย ๆ แต่หลังจากไม่ได้เจอกันเกือบสี่ปี ก็ทำให้รู้สึกประหม่า เขาพยายามสงบให้เป็นปกติมากที่สุด
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่บอกล่ะคะ ว่าเป็นโจจะมา” เอเรียลคลายวงแขนเล็กน้อย หันไปถามพ่อแม่ของเธอ
“ก็พ่ออยากให้ลูกแปลกใจน่ะสิ” นายเหลียงยิ้มให้ลูกสาว
“คิดถึงคุณจัง คุณก็น่าจะโทรบอกฉันบ้างนะ” เอเรียลยิ้ม จับมือของโจเขย่าเบา ๆ ด้วยความดีใจเหมือนเด็ก ๆ
โจไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เธอเท่านั้น จริง ๆ แล้วเขาก็อยากโทรบอกเธอก่อนมาเหมือนกัน แต่เขาอยากให้เธอแปลกใจมากกว่า
“เราไปช่วยกันเตรียมอาหารค่ำดีไหม ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้คุยกันเถอะ” นางเหม่ยถามสามีเบา ๆ แล้วพาเดินออกไปทางห้องครัว ปล่อยให้ทั้งสองคนได้คุยกันตามลำพัง
“เราไม่เจอกันเกือบสี่ปี คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะ” เอเรียลยิ้ม เงยหน้ามองเขา
“น้าเหลียงกับน้าเหม่ยก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน แล้วคุณคิดว่าเปลี่ยนยังไงล่ะ” โจถามยิ้ม ๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
เอเรียลปล่อยมือที่จับเขาไว้ ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเริ่มมองสำรวจเขาไปมา
“อืม...คุณดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น สูงขึ้นมาก ๆ และไม่ได้ใส่แว่นแล้วด้วย” เอเรียลค่อยบรรยายเขา
จริง ๆ เธอคิดว่าโจดูแปลกตาไป ดูเปลี่ยนไปจากที่เจอครั้งสุดท้าย ตอนนั้นเขาไว้ผมเกรียนแบบทหาร ผอม ใส่แว่น และไม่สูงมากเท่านี้ แต่ตอนนี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รูปร่างและหน้าตาดูดีขึ้น ผมยาวพอดีเข้ากับรูปหน้า ไม่ได้ใส่แว่น แถมสูงขึ้นจากเดิมมาก เขาดูหล่อมากในความคิดของเธอ
“คุณยังเหมือนเดิมเลยนะ แต่ดู...ไม่สูงขึ้นเท่าไหร่” โจยิ้ม แกล้งพูดล้อเล่นกับเธอ
“ใช่ พอใจหรือยัง” เอเรียลยิ้มตีแขนของโจเบา ๆ “แล้วคุณก็ยังชอบแกล้งฉันเหมือนเดิม” เธอกัดริมฝีปากล่างยิ้ม ๆ
โจหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของเธอ จริง ๆ แล้วสำหรับเขา เธอดูสวยขึ้น รอยยิ้มที่ยังดูสดใสน่ารัก และยังอ่อนหวานเหมือนเดิม
“จริง ๆ คุณน่าจะาบอกฉันก่อน ฉันจะได้ไม่ออกไปกับเพื่อน ๆ นานขนาดนี้” เอเรียลบอก
“เด็ก ๆ จ๊ะมาทานอาหารกันได้แล้ว” เสียงแม่ของเธอดังมาจากทางห้องครัว
“ค่ะแม่” เอเรียลตอบรับเสียงของแม่ “เราไปกันเถอะ โจ” เอเรียลดึงมือของเขา ให้เดินตามเธอไปทางครัว โจมองมือของเธอที่จับมือของเขาดึงให้เดินตามไป
พวกเขาทั้งสี่ร่วมทานอาหารค่ำและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หลังอาหารค่ำ เอเรียลเดินนำโจขึ้นไปชั้นบน เพื่อไปห้องพักของเขาตามที่พ่อของเธอบอก เธอหยุดยืนเปิดประตูห้องแรกแล้วหันมายิ้ม
“นี่ห้องของคุณนะ” เอเรียลบอก
“ขอบคุณ” โจยิ้มให้เธอ
“ห้องของฉันอยู่ถัดจากห้องของคุณ ส่วนตรงข้ามเป็นห้องพ่อกับแม่ ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้นะ” เอเรียลยิ้มให้เขา
สักครู่เสียงเพลงจากโทรศัพท์ในกระเป๋าถือของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบมาดูเบอร์ผู้เรียกเข้า ยังไม่ได้กดรับสายทันที
“ขอโทษนะโจ ฉันคงต้องขอตัวก่อน คุณพักผ่อนเถอะเดินทางมาคงเหนื่อย แล้วค่อยคุยกันนะ” เอเรียลยิ้มยกมือแตะแขนของเขาเบา ๆ ก่อนเดินไปเปิดประตูที่ห้องถัดไปพร้อมกดรับโทรศัพท์ “เรนนี่ มีอะไรเหรอ” เธอพูดกับคนในสาย ก่อนหันมามองที่โจอีกครั้ง “อ้อ โจ ดีใจที่ได้พบคุณอีก และยินดีต้อนรับ ฝันดีนะ” เธอยิ้มหวานให้เขาก่อนเดินเข้าห้องและปิดประตูไป
โจมองตามจนเธอเข้าห้องไป รอยยิ้มนั้นยังตราตรึงในใจของเขา การที่เธอกอดหรือสัมผัสเขาแต่ละครั้ง ทำให้เขารู้สึกมีความสุข เขาเดินเข้าไปในห้องวางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะทำงานข้างคอมพิวเตอร์ ก่อนเดินไปล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง มองไปที่เพดานด้วยรอยยิ้มบนมุมปาก ด้วยความรู้สึกดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง เขาเฝ้ารอที่จะได้พบเธอมาตลอด เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา และยังเป็นหญิงคนเดียวที่เขารักอย่างหมดหัวใจ
แต่รอยยิ้มของเขาก็ต้องจางลง เมื่อนึกถึงครั้งที่ครอบครัวของเอเรียลยังอยู่ไทจุง บ้านของเขาและเธออยู่ตรงข้ามกัน เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครอบครัวของพวกเขาสนิทสนมกันมาก พวกเขาเกิดปีเดียวกัน จึงเรียนอยู่ชั้นและโรงเรียนเดียวกันมาตลอด ไปกลับโรงเรียนด้วยกันแทบทุกวัน เอเรียลเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ภายนอกอาจดูเข้มแข็ง แต่จริง ๆ เป็นคนอ่อนไหวง่าย เขาจึงดูแลเธอมาตลอด เธอเห็นเขาเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย ซึ่งต่างจากเขา ที่แอบชอบเธอมาตลอด แรก ๆ เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเกินไป จึงทำให้คิดไปเอง แต่เขากลับเริ่มแน่ใจว่าชอบเธอมากก็เมื่อเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีผู้ชายมาพูดคุยกับเธอ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกแย้งของสำคัญในชีวิตไป แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกเธอ
กระทั่ง ม.ปลายปีสอง เขาเดินเข้าไปในห้องเรียน เห็นไมค์เพื่อนสนิทของเขา กำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับเอเรียล เธออายจนหน้าแดง หัวเราะ หยอกล้อ และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้พวกเขาทั้งสามจะสนิทกันมาก ตั้งแต่เรียน ม.ต้นถึง ม.ปลายด้วยกัน แต่ก็ไม่เคยเห็นไมค์และเอเรียลพูดคุยกันแบบนี้มาก่อน มันดูแปลกไปจากคำว่าเพื่อน ทำให้รู้สึกโกรธ มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองวิ่งออกมานั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามกีฬา มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ในใจ เขาแน่ใจว่าชอบเธอมาก ไม่สิ มันเป็นความรัก เขารักเธอมากจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือความสัมพันธ์แบบพี่น้อง แต่เป็นความรักที่มีให้เธอแบบหมดหัวใจของเขา
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เอเรียลบอกกับเขาว่า เธอและไมค์ตกลงเป็นแฟนกัน เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งฟังในสิ่งที่เธอบอกหรือพูดคุยเกี่ยวกับไมค์อย่างมีความสุข แม้พวกเขาทั้งสามยังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิม แต่เขาก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงจากทั้งสองคน เพราะเขาไม่สามารถทนเห็นภาพที่ทั้งสองเดินจับมือ พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานได้ เขาจึงเริ่มห่างจากเธอและไมค์ หลีกเลี่ยงที่จะไปกลับโรงเรียนพร้อมกับทั้งคู่
จนปิดเทอม ม.ปลายปีสอง วันนั้นเขากลับบ้านช่วงหัวค่ำ เห็นเอเรียลยืนอยู่ตามลำพังที่หน้าบ้านของเขา พอเธอหันมาเห็น ก็วิ่งเข้ามากอดเขาแล้วร้องไห้
“เอเรียล ร้องไห้ทำไม” เขากอดเธอ และถามอย่างเป็นห่วง
“โจ ไมค์ เขา...” เอเรียลร้องไห้ซบหน้าบนไหล่ของเขา “เขาและครอบครัวจะย้ายไปอยู่อเมริกาในสัปดาห์หน้านี้แล้ว” เธอบอกไม่ได้เงยหน้ามองเขา
“ทำไมเร็วจังล่ะ” โจถาม ยกมือลูบผมเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน
“ญาติที่นั่นต้องการให้รีบไป เพราะต้องไปดำเนินเรื่องย้ายที่เรียนให้ไมค์” เอเรียลบอก โจได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ เขารู้จากไมค์มาบ้าง แต่ไมค์ยังไม่แน่ใจเรื่องวันเดินทาง
“แต่ไมค์สัญญาจะกลับมาเมื่อเรียนจบไม่ใช่เหรอ” โจถาม เอเรียลพยักหน้า
“แต่ฉันจะไม่ได้เจอเขานานมาก ฉันคงเหงา” เอเรียลตอบยังคงร้องไห้
“จะเหงาได้ยังไง เรายังอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ” โจพยายามปลอบ แต่เธอก็ยังคงซบกับไหล่ของเขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจึงยืนอยู่เป็นเพื่อนเธอเงียบ ๆ
หลังไมค์ไปอเมริกา เอเรียลดูเศร้ามาก ๆ บางครั้งมักแอบไปร้องไห้คนเดียว เขาพยายามที่จะปลอบใจ พูดคุยและล้อเล่นกับเธอ เขาและเอเรียลก็กลับไปเป็นเหมือนเดิน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ อีกครั้ง จนกระทั่ง ม.ปลายเทอมสอง ปีสุดท้าย ครอบครัวของเอเรียลก็ต้องย้ายมาอยู่ไทเป วันนั้นเธอกอดเขาและร้องไห้ ถึงจะรู้สึกเสียใจที่เธอจากมา แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
จนวันนี้ผ่านมาเกือบสี่ปีที่ได้กลับมาพบเธออีกครั้ง เขาอยากจะขอบคุณพ่อของเขา ที่อนุญาตให้มาอยู่ไทเป และยังได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอเพียงแค่ผนังกั้น ถึงเธอจะไม่ได้รักเขามากกว่าความเป็นเพื่อน แต่อย่างน้อยการได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของเธอ มันก็เป็นความสุขมาก ๆ ในชีวิต เขาเคยสัญญากับตัวเองว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไป ถึงวันนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เขาจะคอยดูแล ปกป้อง และทำทุกอย่างให้เธอมีความสุข ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะไหนของเธอก็ตาม
ความคิดเห็น