คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รัตติกาลที่ 1 : ยินดีต้อนรับสู่ความมืดมิด . . . .
( ภาคพันธะสัญญา : ร้านรับซ่อมในคืน 15 ค่ำ ) . . . .
รัตติกาลที่ 1 : ยินดีต้อนรับสู่ความมืดมิด . . . .
ก๊อก ก๊อก ก๊อก . . . . เสียงเคาะประตูดังขึ้นผ่านค่ำคืนที่มืดมิดในยามราตรี คืนนี้เป็นคืน 15 ค่ำ ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ซึ่งแสงไฟ มีเพียงแสงริบหรี่จากดวงจันทร์สะท้อนเห็นเป็นเงาทอดอยู่ลางๆ ภาพของชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ตัวค่อนข้างเล็ก ผิวคล้ำ ใส่แว่นตาสีชา แต่งกายด้วยชุดลำลองสุภาพ นอกกายมีเสื้อกันหนาวปิดคลุมทับ สวมรองเท้าหนังแท้สีดำหุ้มส้นอย่างดีขัดเงาจนมันวาว ปรากฏอยู่ที่บริเวณหน้าประตูร้าน ใบหน้าคร่ำเครียดดูประหนึ่งเหมือนเขาพยายามจะแบกโลกนี้ไว้ เขากำลังจดจ่อรอใครบางคนมาเปิดประตูให้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก . . . . เสียงเคาะประตูดังก้องขึ้นอีก 3-4 ครั้ง เขารู้สึกตื่นเต้นกับการรอคอย นานเหลือเกินที่ไม่ได้แวะกลับมาที่นี่เลย หากไม่มีเรื่องจำเป็นเรื่องนั้น . . . . ป่านนี้คงไม่มีทางย้อนกลับมาอีกเป็นแน่ เขาพยายามยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วนตามหน้าผากและจมูกสีแดงระเรื่ออย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งที่คืนนี้เป็นคืนเดือนหนาว แต่เขากลับรู้สึกร้อนวูบไปถึงหัวใจ
วิ๊ววว . . . หวิ๊วววว . . . . เสียงหวีดหวิวของอากาศ มาพร้อมกับการพัดพาของสายลมหนาว มันชวนให้สัมผัสถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เสียงนั้นกรีดลึกแทงลงไปยังจิตใจให้ปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม เขาขยับเสื้อคลุมให้กระชับเข้าที่ คืนนี้ลมหนาวพัดมาแรงเกินไป เขาอังมือทั้งสองข้างให้อุ่นขึ้นด้วยการผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ ถูมือไปมาเบาๆ สัมผัสถึงเวลาในแต่ละวินาทีที่กำลังเดินทางไปพร้อมๆกับจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านแห่งนี้ ไม่สิ . . . ในความรู้สึกเขามันไม่น่าเรียกว่าร้าน น่าจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าด้วยซ้ำไป เหตุเพราะมันดูใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเกิน และแม้จะจ้องมองออกไปจนสุดปลายสายตา ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเห็นเงาของบ้านหลังถัดไปได้เลย จะพบเห็นก็แต่กำแพงอิฐสีหม่นทอดยาวเรื่อยไปสุดลูกหูลูกตาอย่างไม่มีวันจบสิ้น ทั่วทั้งบริเวณดูร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ มีเสียงเอนไหวของใบไม้ในยามต้องลม กิ่งสนพัดปลิวไสว กลิ่นดินจางๆล่องลอยมาแตะปลายจมูกชวนให้รับรู้ถึงสัมผัสของธรรมชาติ ทุกอย่างช่างเงียบงัน บรรยากาศคืนนี้ดูวังเวงและลึกลับอย่างบอกไม่ถูก จิ้งหรีดหลายตัวส่งเสียงร้องดังระงมก้องอยู่ไกลๆ เขาจ้องมองดูนาฬิกาที่ข้อมือด้านซ้าย เข็มบอกเวลาหยุดเดิน นาฬิกาคงตายมาได้พักใหญ่แล้ว เขาไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่ 5 นาที 10 นาที ครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่ง รู้แต่ว่ามันนานเหลือเกิน ความวิตกกังวลและความกลัวคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในความเงียบไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเลย เขาขยับแว่นตาตัวเองให้เข้าที่แหงนหน้าดำๆขึ้นมองดูชื่อสถานที่เพื่อความแน่ใจ ไฟหน้าร้านสีฟ้าอ่อนเพียงดวงเดียวฉายแสงอันน้อยนิดลงมาแค่พอให้เห็นใบหน้าของแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้ ป้ายสีดำขนาดใหญ่ถูกตอกตรึงอย่างแน่นหนาบนขื่อประตูไม้มะค่าเก่าๆ สีของมันหลุดลอกออกไปตามกาลเวลาที่เลยผ่านไป ร้านนี้คงตั้งมานานมากเหลือเกิน ตัวหนังสือสีทองจางๆถูกเขียนบอกเป็นชื่อสถานที่ให้กับคนที่เดินทางมาเยือนได้ทราบถึงจุดหมาย . . . . ” ร้านรับซ่อมในคืน 15 ค่ำ “ เฉพาะชื่อร้านอย่างเดียวก็เด่นสะดุดตาและชวนให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี มีข้อความถัดลงมาด้านล่างอีกประโยคหนึ่งเขียนทับไว้บนป้ายแผ่นเดียวกันด้วยตัวอักษรสีแดงสดคล้ายเลือด . . . . “ ยินดีต้อนรับเหล่าผู้หลงทางทั้งหลาย โปรดเข้ามาเถิด ความปรารถนาของท่านจะเป็นจริง “ ใช่ . . . ถูกแล้ว นี่คือสถานที่ที่เขาต้องการมา เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านนี้ได้อย่างไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าแค่เขามีความปรารถนาหรือความต้องการอะไรสักอย่างหนึ่งที่แรงกล้า และมากเพียงพอที่จะแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้ เมื่อคืน 15 ค่ำมาถึง ร้านนี้จะเรียกร้องให้เขามาพบเอง และดูเหมือน 15 ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน
พรึ่บบบ !! จี๊ดดด !!! นกฮูกตัวใหญ่เพิ่งจะบินผ่านหน้าไป ในอุ้งเท้ามีเจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังดิ้นรนตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด เสียงที่ไม่คาดฝันนี้ทำให้เขาถึงกับผงะก้าวเท้าถอยออกมาข้างหลังพร้อมกับเบนสายตาหันมอง
แอ๊ด . . . บานประตูใหญ่หน้าร้านค่อยๆแง้มเปิดออกทีละน้อย มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขากำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้งอย่างแรง เขาสะดุ้งตกใจรีบถอนมือลงอย่างไวกลัวใครจะพบเห็นอาการก้าวร้าวที่เกิดขึ้น สักพักพลันเห็นหน้าคนที่อยู่ด้านในกำลังยืนฉีกฟันยิ้มร่าออกมาต้อนรับ
“ เชิญ เชิญ . . . คุณหวัง ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมา
ขอโทษที่ให้รอนะครับ พอดีผมติดทำธุระส่วนตัวอยู่ด้านใน เอ่อ! นี่เป็นครั้งที่สองใช่ไหมที่คุณมาเยือนที่นี่ ยินดีต้อนรับกลับสู่ร้านรับซ่อมในคืนสิบห้าค่ำอีกครั้งครับ “ ผู้เป็นเจ้าของร้านกล่าวทักทายเขาอย่างเป็นมิตร
เจ้าของร้านดูเป็นกันเอง นั่นช่วยให้เขาหายเกร็งได้ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่มากมายนัก แต่ก็บรรเทาความตึงเครียดที่สะสมมานานได้เป็นอย่างดี เจ้าของร้านแต่งกายดูภูมิฐานออกมาต้อนรับแขกเหมือนทุกที เขาหวีผมเรียบแปล้ ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมกับที่หวังเคยเห็นครั้งก่อน สวมสูทสีแดง ผูกไทด์สีเดียวกับสูท ใส่รองเท้าหนังมันขลับ กลิ่นน้ำหอมจางๆชวนให้ดูเป็นคนมีระดับ ใครก็ตามที่ได้พบเจอคงต้องเข้าใจว่าเขาคนนี้เป็นคนมีชาติตระกูล ไม่ก็ต้องมีฐานะดีเป็นแน่ โหวงเฮ้งเจ้าของร้านอยู่ในระดับดีทีเดียว รูปหน้าได้สัดส่วน หน้าตาดี หน้าผากกว้างชัดเจน จมูกโด่ง ผิวขาว เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ตัวสูงราว
“ เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะครับ หลังจากวันนั้น . . . คุณเป็นยังไงบ้าง “
“ เอ่อ . . . เถ้าแก่ครับ ผมสบายดี คือวันนี้ พะ พะ . . . ผม “ ผู้เดินทางมาเยือนคนนี้คงตื่นเต้นและเครียดเกินไปจนพูดอะไรติดขัดไปเสียหมด ดูจากสีหน้าอาการแล้ว คงมีบางอย่างที่เป็นความทุกข์หรือเป็นปมติดค้างในใจ เขาคงต้องการมาขอความช่วยเหลือจริงๆ
“ ครับ “ ชายที่ถูกเรียกว่าเถ้าแก่คอยฟังคอยอย่างตั้งใจ
คงไม่ผิดอะไรนัก หากจะเรียกบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่า’ เถ้าแก่ ‘ ส่วนใหญ่จะใช้คำๆนี้กับคนที่เป็นเจ้าของร้าน ที่นี่เป็นร้านซ่อม อีกอย่างหน้าตาของเขาก็ดูเป็นคนจีนชัดๆ
“ พะ พะ . . . ผม . . . “ จนแล้วจนรอดหวังก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ เหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ในลำคอ น้ำตารื้นออกมาจากดวงตาสองข้าง
“ ใจเย็นๆก่อนเถอะครับคุณหวัง ค่อยๆคิดให้ดีก่อนแล้วบอกกับผมก็ได้ครับ ไม่ต้องรีบร้อน คืนนี้ผมว่าง ไม่ได้นัดแขกคนอื่นไว้ คุณต้องการอะไร หากทางผมช่วยได้จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้างนอกอากาศเย็นมาก คืนนี้น้ำค้างแรง เดี๋ยวคุณจะเป็นหวัดไปเสียก่อน ไปหาอะไรอุ่นๆดื่มดีไหม ชาจีนที่นี่ช่วยคลายความเครียดได้ดีทีเดียว เชิญคุณหวังด้านในเถอะครับ “ เถ้าแก่ผายมือยาวๆเข้าไปด้านในร้านเป็นการเชื้อเชิญอีกครั้ง มีลูกค้าหลากประเภทผ่านเข้าออกในร้านแห่งนี้มากมาย ประสบการณ์ต่างๆสอนให้เจ้าของร้านรู้ว่าควรรับมือกับลูกค้าแต่ละรายอย่างไร
“ อ้อ ! อย่าลืมทำตามกฎด้วยครับ คุณหวังยังจำได้ใช่ไหม หรือให้ผมอธิบายใหม่ดีครับ “
หวังปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าอย่างรีบร้อน เป็นการบอกปฏิเสธเป็นนัยๆว่าเขาทราบกฎเกณฑ์ของร้านนี้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมากความเสียเวลามานั่งอธิบายอะไรอีก เถ้าแก่บอกให้เขาหลับตาลงตั้งสมาธิสักครู่ หวังทำตามอย่างว่าง่ายเหมือนดั่งปลาตายที่ว่ายตามน้ำ ข้อมือข้างหนึ่งถูกคว้าจับยกขึ้น มือของเถ้าแก่นิ่มมากหากเทียบกับเขา เถ้าแก่คงไม่ได้ทำงานหนักหาเช้ากินค่ำอย่างเขาหรือคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้แน่ แรงดึงอย่างช้าๆค่อยนำพาเขาก้าวผ่านประตูเข้าสู่ด้านใน ปึงงงง . . . ประตูใหญ่หน้าร้านถูกปิดลง เสียงมันดังลั่นกลบความเงียบไปจนสิ้น หวังตกใจยกมือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองทางด้านซ้าย หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างกายสั่นเทิ้ม ขาสั่นระริกไปหมด เขาเกือบเผยอเปลือกตาออกมามองเสียแล้ว หลังจากหยุดทำใจให้สงบได้สักพัก เขาก้าวเท้าเดินตามการจูงของเถ้าแก่ต่อไป ทุกอย่างดูเชื่องช้าและเนิ่นนาน หวังรู้ดีว่าจะถูกนำตัวไปที่ไหน มันก็แค่การนำทาง เถ้าแก่จะพาเขาไปยังห้องรับรองหรือที่ร้านนี้เรียกกันว่า ‘ ห้องซ่อม ‘ ที่อยู่บริเวณสุดทางเดินด้านใน มันเป็นกฎของร้านที่แขกทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเนื่องจากเถ้าแก่ไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในทั้งหมด แต่นั่นแหละที่ทำให้หวังเกิดความรู้สึกระแวง การมองอะไรไม่เห็นนี่มันน่ากลัวอย่างนี้เอง หวังแอบสรรเสริญบรรดาคนตาบอดที่อาศัยเพียงไม้เท้าหรือเหล็กตีนำทาง พวกนั้นต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างมาก ที่สำคัญพวกเขาต้องมีความหวังอย่างที่สุดในการใช้ทั้งชีวิตเดินอยู่บนถนนแห่งความมืดมิดไปตลอดกาล หากวันหนึ่งเขาต้องเป็นอย่างนั้นคงอยู่บนโลกนี้ไม่ได้แน่ ก่อนหน้านี้เขาเคยถามเถ้าแก่ว่าทำไมถึงต้องปิดตาไม่ให้มอง เถ้าแก่ยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย บอกกับเขาอย่างใจเย็นว่าทุกสถานที่ย่อมมีกฎของมันเอง บ้านย่อมมีกฎบ้าน เมืองก็มีกฎหมาย จะแปลกตรงไหนถ้านี่เป็นกฎเกณฑ์ของร้านเหมือนกัน ที่นี่มีกฎเหล็กให้ปฏิบัติตาม ใครไม่อยากทำก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในร้าน ส่วนกรณีที่เข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตาม เถ้าแก่บอกว่าร้านนี้ก็จะไม่เคารพแขกคนนั้นเช่นกัน เขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างและไม่มีวันได้อะไรกลับไป . . . หวังไม่ได้ถามเถ้าแก่ว่าใครเป็นคนตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมา มันค่อนข้างพิลึกเอาการ จะเป็นคำขู่หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ได้ผลชะงักทีเดียว เขาไม่กล้าแม้แต่จะแง้มเปลือกตาหรือเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตรงหน้า แน่นอน . . . เขาไม่อยากรู้สักนิดว่าผลลัพธ์ที่ตามมามันจะเป็นอะไร เขาแค่ปรารถนาให้สิ่งที่คาดหวังเอาไว้เป็นจริงและผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่านั้นเอง
.
ท่ามกลางความมืด เถ้าแก่จูงมือพาหวังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาย่างเท้าเอื่อยๆก้าวไปอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ถูกจับให้เดินไปตลอดทาง แต่การก้าวเท้ายังดูลนลานหากเทียบกับการเปิดตาออกเดินในความมืด หลายครั้งที่เขาก้าวขาไปสะดุดเตะถูกของที่วางกองอยู่บนพื้น เสียงดังตึงตัง โล่งอก . . . เหมือนเถ้าแก่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่มีเสียงบ่นหรือคำพูดใดๆหลุดออกจากปากเขาสักคำเดียว ท่าทางร้านนี้คงรกอยู่พอตัว ที่นี่ไม่มีคนทำความสะอาดหรือจัดวางของให้เป็นระเบียบหรือไงกัน นั่นสิ . . . ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาครั้งก่อนยังไม่เคยพบใครอื่นเลย นอกจากเจ้าของร้านคนเดียว น่าแปลกจริงๆ . . . ร้านก็ดูใหญ่โตหรูหรา กลับไม่พบเงาของพ่อบ้านหรือคนรับใช้สักคน จะว่าไม่มีปัญญาจ้างก็คงไม่ใช่ ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรกันแน่ ความคิดทั้งหมดหยุดกึกลงพร้อมๆกับหมอกไออุ่นๆที่ลอยปะทะผ่านหน้าเข้ามาแบบเต็มๆ สมาธิกระเจิงหมดสิ้น นี่มันเป็น . . . ลมอะไรกัน กลิ่นเหม็นๆนี่ . . . ลอยมาจากไหน มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด คำถามประดาเข้ามาอยู่เต็มหัว แค่คิดอย่างเดียวก็ปวดหัวไปหมดแล้ว หวังยกมือข้างเดียวที่ว่างอยู่ปิดจมูกตัวเอง กลิ่นนี้มันสุดทนจริงๆ เขาขมิบกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามข่มใจไว้ไม่ให้ลืมตาดูที่มาของมัน ‘ ความไม่รู้คือความกลัว ‘ เขาเคยอ่านเจอประโยคนี้ในหนังสือเล่มหนึ่ง หรือตอนนี้เขากำลังกลัว ประสาทเขากำลังจะเสียใช่ไหม ขนทั่วร่างกายตั้งชัน ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง กลิ่นไม่พึงประสงค์กำลังจะทำให้เขาสติแตก
“ หยุดก่อนครับ ถึงแล้ว “
หลังจากไปต่อได้พักใหญ่ หวังถูกสั่งให้หยุดเดิน เหมือนเสียงของสวรรค์ที่ประทานลงมา แม้จะไม่นุ่มนวลแต่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย เถ้าแก่ปล่อยมือเขาออก กลิ่นนรกนั้นหายไปแล้ว เขายกมือขึ้นตบหัวตัวเองเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะให้คืนกลับมา
“ ลืมตาได้แล้วครับ ถึงห้องซ่อมแล้ว เชิญนั่งลงก่อนครับ “
หวังเปิดตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ แสงไฟสว่างจ้าเกินไป มันแยงเข้าไปในสองตาจนต้องยกมือขึ้นปิด ต้องใช้เวลาปรับสายตาพักใหญ่กว่าจะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวได้เหมือนปกติ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ห้องนี้ดูไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่เขาเคยมา ของเก่าสะสมถูกวางประดับไว้รอบห้อง ชั้นไม้เก่าแก่หลายตัวตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง บนนั้นมีหนังสือมากมายวางเรียงรายอยู่เป็นตับ โต๊ะเก่าๆตั้งอยู่ตรงหน้า น้ำชาอุ่นๆถูกวางไว้ต้อนรับ โคมไฟอายุเป็นร้อยปีส่องแสงสว่างอยู่กลางเหนือหัว ที่นี่มีแต่เขา และเถ้าแก่ เพียง 2 คน เขาทิ้งก้นตัวเองลงบนโซฟาขนนกสีดำที่หันหน้าไปทางเจ้าของร้าน มันนุ่มสบายเหมือนเคย เก้าอี้ที่เขานั่งถูกตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของห้องพอดิบพอดี ห้องนี้ไม่กว้างมากเกินไปนัก ขนาดกะทัดรัดกำลังพอดีกับการนั่งคุยปรึกษาเรื่องงานกัน เขาเหลียวมองไปรอบตัว กำลังคิดอยู่ว่าเมื่อกี้ถูกพาเดินมาจากทางไหน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สังเกตว่าเถ้าแก่กำลังจ้องเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา
“ เอาล่ะครับ “ เสียงเถ้าแก่ดังขึ้นในความเงียบ
“ เอ้อ! ครับ ขะ . . . ขอโทษทีครับ พอดีนึกอะไรเพลินไปหน่อย “ หวังตอบอย่างรีบร้อน
“ วันนี้จะเอาอะไรมาให้ซ่อมครับ . . . คุณหวัง “ เถ้าแก่ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
หวังรู้สึกว่ามือตัวเองเย็บเฉียบ อากาศคืนนี้คงเย็นเกินไปจึงเกิดอาการสั่นเล็กน้อย เขายกน้ำชาขึ้นจิบก่อนวางมันกลับสู่ที่เดิม เถ้าแก่คงไม่รู้หรอกว่าคำถามที่ถามไปนั้นเหมือนดาบปลายแหลมที่พุ่งมาเสียบแทงใจเขาจนเจ็บปวด
เถ้าแก่หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหวัง เขาสังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดของผู้มาเยือนที่เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น
“ ท่าทางของคุณดูเครียดมาก ผ่อนคลายหน่อยเถอะครับ “
“ คะ ครับ “ หวังเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด ความวิตกกังวลระลอกใหญ่เดินทางมาเคาะประตูเรียกหาเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว . . . .
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ความคิดเห็น