ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝันร้ายแห่งอาร์รันด์คาร์ (รีไรท์จากร้านรับซ่อมในคืน15ค่ำจ้า)

    ลำดับตอนที่ #1 : รัตติกาลที่ 1 : ยินดีต้อนรับสู่ความมืดมิด . . . .

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 51


    ( ภาคพันธะสัญญา : ร้านรับซ่อมในคืน 15 ค่ำ ) . . . .

     

    รัตติกาลที่ 1 : ยินดีต้อนรับสู่ความมืดมิด . . . .

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก . . . .  เสียงเคาะประตูดังขึ้นผ่านค่ำคืนที่มืดมิดในยามราตรี   คืนนี้เป็นคืน 15 ค่ำ   ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ซึ่งแสงไฟ   มีเพียงแสงริบหรี่จากดวงจันทร์สะท้อนเห็นเป็นเงาทอดอยู่ลางๆ   ภาพของชายคนหนึ่งอายุประมาณ  30 ปี   ตัวค่อนข้างเล็ก  ผิวคล้ำ  ใส่แว่นตาสีชา   แต่งกายด้วยชุดลำลองสุภาพ   นอกกายมีเสื้อกันหนาวปิดคลุมทับ   สวมรองเท้าหนังแท้สีดำหุ้มส้นอย่างดีขัดเงาจนมันวาว   ปรากฏอยู่ที่บริเวณหน้าประตูร้าน   ใบหน้าคร่ำเครียดดูประหนึ่งเหมือนเขาพยายามจะแบกโลกนี้ไว้   เขากำลังจดจ่อรอใครบางคนมาเปิดประตูให้

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก . . . .  เสียงเคาะประตูดังก้องขึ้นอีก 3-4 ครั้ง   เขารู้สึกตื่นเต้นกับการรอคอย   นานเหลือเกินที่ไม่ได้แวะกลับมาที่นี่เลย   หากไม่มีเรื่องจำเป็นเรื่องนั้น . . . . ป่านนี้คงไม่มีทางย้อนกลับมาอีกเป็นแน่   เขาพยายามยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วนตามหน้าผากและจมูกสีแดงระเรื่ออย่างเหนื่อยหน่าย   ทั้งที่คืนนี้เป็นคืนเดือนหนาว   แต่เขากลับรู้สึกร้อนวูบไปถึงหัวใจ

                วิ๊ววว . . .   หวิ๊วววว . . . . เสียงหวีดหวิวของอากาศ   มาพร้อมกับการพัดพาของสายลมหนาว   มันชวนให้สัมผัสถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้าง   เสียงนั้นกรีดลึกแทงลงไปยังจิตใจให้ปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม   เขาขยับเสื้อคลุมให้กระชับเข้าที่   คืนนี้ลมหนาวพัดมาแรงเกินไป   เขาอังมือทั้งสองข้างให้อุ่นขึ้นด้วยการผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ   ถูมือไปมาเบาๆ   สัมผัสถึงเวลาในแต่ละวินาทีที่กำลังเดินทางไปพร้อมๆกับจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง

                นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านแห่งนี้   ไม่สิ . . . ในความรู้สึกเขามันไม่น่าเรียกว่าร้าน   น่าจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าด้วยซ้ำไป   เหตุเพราะมันดูใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเกิน  และแม้จะจ้องมองออกไปจนสุดปลายสายตา   ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเห็นเงาของบ้านหลังถัดไปได้เลย   จะพบเห็นก็แต่กำแพงอิฐสีหม่นทอดยาวเรื่อยไปสุดลูกหูลูกตาอย่างไม่มีวันจบสิ้น   ทั่วทั้งบริเวณดูร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่   มีเสียงเอนไหวของใบไม้ในยามต้องลม   กิ่งสนพัดปลิวไสว   กลิ่นดินจางๆล่องลอยมาแตะปลายจมูกชวนให้รับรู้ถึงสัมผัสของธรรมชาติ   ทุกอย่างช่างเงียบงัน   บรรยากาศคืนนี้ดูวังเวงและลึกลับอย่างบอกไม่ถูก   จิ้งหรีดหลายตัวส่งเสียงร้องดังระงมก้องอยู่ไกลๆ   เขาจ้องมองดูนาฬิกาที่ข้อมือด้านซ้าย   เข็มบอกเวลาหยุดเดิน   นาฬิกาคงตายมาได้พักใหญ่แล้ว   เขาไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่   5 นาที  10 นาที  ครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่ง   รู้แต่ว่ามันนานเหลือเกิน   ความวิตกกังวลและความกลัวคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว   การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในความเงียบไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเลย   เขาขยับแว่นตาตัวเองให้เข้าที่แหงนหน้าดำๆขึ้นมองดูชื่อสถานที่เพื่อความแน่ใจ   ไฟหน้าร้านสีฟ้าอ่อนเพียงดวงเดียวฉายแสงอันน้อยนิดลงมาแค่พอให้เห็นใบหน้าของแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้   ป้ายสีดำขนาดใหญ่ถูกตอกตรึงอย่างแน่นหนาบนขื่อประตูไม้มะค่าเก่าๆ   สีของมันหลุดลอกออกไปตามกาลเวลาที่เลยผ่านไป   ร้านนี้คงตั้งมานานมากเหลือเกิน   ตัวหนังสือสีทองจางๆถูกเขียนบอกเป็นชื่อสถานที่ให้กับคนที่เดินทางมาเยือนได้ทราบถึงจุดหมาย . . . . ร้านรับซ่อมในคืน 15 ค่ำ    เฉพาะชื่อร้านอย่างเดียวก็เด่นสะดุดตาและชวนให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี   มีข้อความถัดลงมาด้านล่างอีกประโยคหนึ่งเขียนทับไว้บนป้ายแผ่นเดียวกันด้วยตัวอักษรสีแดงสดคล้ายเลือด . . . . ยินดีต้อนรับเหล่าผู้หลงทางทั้งหลาย   โปรดเข้ามาเถิด   ความปรารถนาของท่านจะเป็นจริง    ใช่ . . . ถูกแล้ว   นี่คือสถานที่ที่เขาต้องการมา   เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านนี้ได้อย่างไร   รู้เพียงอย่างเดียวว่าแค่เขามีความปรารถนาหรือความต้องการอะไรสักอย่างหนึ่งที่แรงกล้า   และมากเพียงพอที่จะแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้   เมื่อคืน 15 ค่ำมาถึง   ร้านนี้จะเรียกร้องให้เขามาพบเอง   และดูเหมือน 15 ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน

              พรึ่บบบ !! จี๊ดดด   !!!  นกฮูกตัวใหญ่เพิ่งจะบินผ่านหน้าไป   ในอุ้งเท้ามีเจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังดิ้นรนตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด   เสียงที่ไม่คาดฝันนี้ทำให้เขาถึงกับผงะก้าวเท้าถอยออกมาข้างหลังพร้อมกับเบนสายตาหันมอง

                แอ๊ด . . .  บานประตูใหญ่หน้าร้านค่อยๆแง้มเปิดออกทีละน้อย   มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขากำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้งอย่างแรง   เขาสะดุ้งตกใจรีบถอนมือลงอย่างไวกลัวใครจะพบเห็นอาการก้าวร้าวที่เกิดขึ้น   สักพักพลันเห็นหน้าคนที่อยู่ด้านในกำลังยืนฉีกฟันยิ้มร่าออกมาต้อนรับ

              เชิญ  เชิญ . . . คุณหวัง   ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี   ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมา 

    ขอโทษที่ให้รอนะครับ   พอดีผมติดทำธุระส่วนตัวอยู่ด้านใน   เอ่อ! นี่เป็นครั้งที่สองใช่ไหมที่คุณมาเยือนที่นี่   ยินดีต้อนรับกลับสู่ร้านรับซ่อมในคืนสิบห้าค่ำอีกครั้งครับ   ผู้เป็นเจ้าของร้านกล่าวทักทายเขาอย่างเป็นมิตร

                เจ้าของร้านดูเป็นกันเอง   นั่นช่วยให้เขาหายเกร็งได้ในระดับหนึ่ง   ถึงจะไม่มากมายนัก   แต่ก็บรรเทาความตึงเครียดที่สะสมมานานได้เป็นอย่างดี   เจ้าของร้านแต่งกายดูภูมิฐานออกมาต้อนรับแขกเหมือนทุกที  เขาหวีผมเรียบแปล้  ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมกับที่หวังเคยเห็นครั้งก่อน  สวมสูทสีแดง  ผูกไทด์สีเดียวกับสูท  ใส่รองเท้าหนังมันขลับ  กลิ่นน้ำหอมจางๆชวนให้ดูเป็นคนมีระดับ   ใครก็ตามที่ได้พบเจอคงต้องเข้าใจว่าเขาคนนี้เป็นคนมีชาติตระกูล   ไม่ก็ต้องมีฐานะดีเป็นแน่   โหวงเฮ้งเจ้าของร้านอยู่ในระดับดีทีเดียว  รูปหน้าได้สัดส่วน  หน้าตาดี  หน้าผากกว้างชัดเจน  จมูกโด่ง  ผิวขาว  เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน  ตัวสูงราว 6 ฟุต  รูปร่างสันทัด  เดาจากอากัปกิริยาและการพูดจาแล้วดูเขาเป็นผู้มีความรู้และสุภาพอย่างยิ่ง   อายุอานามหากมองด้วยตาคงไม่น่าเกิน 30 ปี   

              เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะครับ   หลังจากวันนั้น . . .  คุณเป็นยังไงบ้าง

              เอ่อ . . . เถ้าแก่ครับ   ผมสบายดี   คือวันนี้  พะ พะ . . . ผม   ผู้เดินทางมาเยือนคนนี้คงตื่นเต้นและเครียดเกินไปจนพูดอะไรติดขัดไปเสียหมด   ดูจากสีหน้าอาการแล้ว   คงมีบางอย่างที่เป็นความทุกข์หรือเป็นปมติดค้างในใจ  เขาคงต้องการมาขอความช่วยเหลือจริงๆ     

              ครับ ชายที่ถูกเรียกว่าเถ้าแก่คอยฟังคอยอย่างตั้งใจ

              คงไม่ผิดอะไรนัก   หากจะเรียกบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่าเถ้าแก่   ส่วนใหญ่จะใช้คำๆนี้กับคนที่เป็นเจ้าของร้าน   ที่นี่เป็นร้านซ่อม   อีกอย่างหน้าตาของเขาก็ดูเป็นคนจีนชัดๆ

                พะ  พะ . . .  ผม . . . จนแล้วจนรอดหวังก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดให้เข้าใจได้   เหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ในลำคอ   น้ำตารื้นออกมาจากดวงตาสองข้าง

              ใจเย็นๆก่อนเถอะครับคุณหวัง   ค่อยๆคิดให้ดีก่อนแล้วบอกกับผมก็ได้ครับ   ไม่ต้องรีบร้อน   คืนนี้ผมว่าง   ไม่ได้นัดแขกคนอื่นไว้   คุณต้องการอะไร   หากทางผมช่วยได้จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง   ข้างนอกอากาศเย็นมาก   คืนนี้น้ำค้างแรง   เดี๋ยวคุณจะเป็นหวัดไปเสียก่อน   ไปหาอะไรอุ่นๆดื่มดีไหม   ชาจีนที่นี่ช่วยคลายความเครียดได้ดีทีเดียว   เชิญคุณหวังด้านในเถอะครับ เถ้าแก่ผายมือยาวๆเข้าไปด้านในร้านเป็นการเชื้อเชิญอีกครั้ง   มีลูกค้าหลากประเภทผ่านเข้าออกในร้านแห่งนี้มากมาย   ประสบการณ์ต่างๆสอนให้เจ้าของร้านรู้ว่าควรรับมือกับลูกค้าแต่ละรายอย่างไร

              อ้อ !  อย่าลืมทำตามกฎด้วยครับ   คุณหวังยังจำได้ใช่ไหม   หรือให้ผมอธิบายใหม่ดีครับ

                หวังปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าอย่างรีบร้อน   เป็นการบอกปฏิเสธเป็นนัยๆว่าเขาทราบกฎเกณฑ์ของร้านนี้ทั้งหมด   ไม่จำเป็นต้องมากความเสียเวลามานั่งอธิบายอะไรอีก   เถ้าแก่บอกให้เขาหลับตาลงตั้งสมาธิสักครู่   หวังทำตามอย่างว่าง่ายเหมือนดั่งปลาตายที่ว่ายตามน้ำ   ข้อมือข้างหนึ่งถูกคว้าจับยกขึ้น   มือของเถ้าแก่นิ่มมากหากเทียบกับเขา   เถ้าแก่คงไม่ได้ทำงานหนักหาเช้ากินค่ำอย่างเขาหรือคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้แน่   แรงดึงอย่างช้าๆค่อยนำพาเขาก้าวผ่านประตูเข้าสู่ด้านใน   ปึงงงง . . . ประตูใหญ่หน้าร้านถูกปิดลง   เสียงมันดังลั่นกลบความเงียบไปจนสิ้น   หวังตกใจยกมือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองทางด้านซ้าย   หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม   ร่างกายสั่นเทิ้ม   ขาสั่นระริกไปหมด   เขาเกือบเผยอเปลือกตาออกมามองเสียแล้ว   หลังจากหยุดทำใจให้สงบได้สักพัก   เขาก้าวเท้าเดินตามการจูงของเถ้าแก่ต่อไป   ทุกอย่างดูเชื่องช้าและเนิ่นนาน   หวังรู้ดีว่าจะถูกนำตัวไปที่ไหน   มันก็แค่การนำทาง   เถ้าแก่จะพาเขาไปยังห้องรับรองหรือที่ร้านนี้เรียกกันว่า   ห้องซ่อม   ที่อยู่บริเวณสุดทางเดินด้านใน   มันเป็นกฎของร้านที่แขกทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเนื่องจากเถ้าแก่ไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในทั้งหมด   แต่นั่นแหละที่ทำให้หวังเกิดความรู้สึกระแวง   การมองอะไรไม่เห็นนี่มันน่ากลัวอย่างนี้เอง   หวังแอบสรรเสริญบรรดาคนตาบอดที่อาศัยเพียงไม้เท้าหรือเหล็กตีนำทาง   พวกนั้นต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างมาก   ที่สำคัญพวกเขาต้องมีความหวังอย่างที่สุดในการใช้ทั้งชีวิตเดินอยู่บนถนนแห่งความมืดมิดไปตลอดกาล   หากวันหนึ่งเขาต้องเป็นอย่างนั้นคงอยู่บนโลกนี้ไม่ได้แน่   ก่อนหน้านี้เขาเคยถามเถ้าแก่ว่าทำไมถึงต้องปิดตาไม่ให้มอง   เถ้าแก่ยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย    บอกกับเขาอย่างใจเย็นว่าทุกสถานที่ย่อมมีกฎของมันเอง   บ้านย่อมมีกฎบ้าน   เมืองก็มีกฎหมาย   จะแปลกตรงไหนถ้านี่เป็นกฎเกณฑ์ของร้านเหมือนกัน   ที่นี่มีกฎเหล็กให้ปฏิบัติตาม   ใครไม่อยากทำก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในร้าน   ส่วนกรณีที่เข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตาม   เถ้าแก่บอกว่าร้านนี้ก็จะไม่เคารพแขกคนนั้นเช่นกัน   เขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างและไม่มีวันได้อะไรกลับไป . . .  หวังไม่ได้ถามเถ้าแก่ว่าใครเป็นคนตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมา   มันค่อนข้างพิลึกเอาการ   จะเป็นคำขู่หรืออะไรก็ตามแต่   มันก็ได้ผลชะงักทีเดียว   เขาไม่กล้าแม้แต่จะแง้มเปลือกตาหรือเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตรงหน้า   แน่นอน . . . เขาไม่อยากรู้สักนิดว่าผลลัพธ์ที่ตามมามันจะเป็นอะไร   เขาแค่ปรารถนาให้สิ่งที่คาดหวังเอาไว้เป็นจริงและผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่านั้นเอง ….

                 ท่ามกลางความมืด   เถ้าแก่จูงมือพาหวังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ   เขาย่างเท้าเอื่อยๆก้าวไปอย่างระมัดระวัง   ทั้งที่ถูกจับให้เดินไปตลอดทาง   แต่การก้าวเท้ายังดูลนลานหากเทียบกับการเปิดตาออกเดินในความมืด   หลายครั้งที่เขาก้าวขาไปสะดุดเตะถูกของที่วางกองอยู่บนพื้น   เสียงดังตึงตัง   โล่งอก . . . เหมือนเถ้าแก่ไม่ได้ใส่ใจอะไร   ไม่มีเสียงบ่นหรือคำพูดใดๆหลุดออกจากปากเขาสักคำเดียว   ท่าทางร้านนี้คงรกอยู่พอตัว   ที่นี่ไม่มีคนทำความสะอาดหรือจัดวางของให้เป็นระเบียบหรือไงกัน   นั่นสิ . . .  ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาครั้งก่อนยังไม่เคยพบใครอื่นเลย   นอกจากเจ้าของร้านคนเดียว   น่าแปลกจริงๆ . . .  ร้านก็ดูใหญ่โตหรูหรา   กลับไม่พบเงาของพ่อบ้านหรือคนรับใช้สักคน   จะว่าไม่มีปัญญาจ้างก็คงไม่ใช่   ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรกันแน่   ความคิดทั้งหมดหยุดกึกลงพร้อมๆกับหมอกไออุ่นๆที่ลอยปะทะผ่านหน้าเข้ามาแบบเต็มๆ   สมาธิกระเจิงหมดสิ้น   นี่มันเป็น . . . ลมอะไรกัน   กลิ่นเหม็นๆนี่ . . . ลอยมาจากไหน   มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด   คำถามประดาเข้ามาอยู่เต็มหัว   แค่คิดอย่างเดียวก็ปวดหัวไปหมดแล้ว   หวังยกมือข้างเดียวที่ว่างอยู่ปิดจมูกตัวเอง   กลิ่นนี้มันสุดทนจริงๆ   เขาขมิบกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามข่มใจไว้ไม่ให้ลืมตาดูที่มาของมัน   ความไม่รู้คือความกลัว   เขาเคยอ่านเจอประโยคนี้ในหนังสือเล่มหนึ่ง   หรือตอนนี้เขากำลังกลัว   ประสาทเขากำลังจะเสียใช่ไหม   ขนทั่วร่างกายตั้งชัน   ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง   กลิ่นไม่พึงประสงค์กำลังจะทำให้เขาสติแตก  

                หยุดก่อนครับ   ถึงแล้ว

                หลังจากไปต่อได้พักใหญ่   หวังถูกสั่งให้หยุดเดิน   เหมือนเสียงของสวรรค์ที่ประทานลงมา   แม้จะไม่นุ่มนวลแต่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย   เถ้าแก่ปล่อยมือเขาออก   กลิ่นนรกนั้นหายไปแล้ว   เขายกมือขึ้นตบหัวตัวเองเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะให้คืนกลับมา  

                ลืมตาได้แล้วครับ   ถึงห้องซ่อมแล้ว   เชิญนั่งลงก่อนครับ 

               หวังเปิดตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ   แสงไฟสว่างจ้าเกินไป   มันแยงเข้าไปในสองตาจนต้องยกมือขึ้นปิด   ต้องใช้เวลาปรับสายตาพักใหญ่กว่าจะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวได้เหมือนปกติ   ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม   ห้องนี้ดูไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่เขาเคยมา   ของเก่าสะสมถูกวางประดับไว้รอบห้อง   ชั้นไม้เก่าแก่หลายตัวตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง   บนนั้นมีหนังสือมากมายวางเรียงรายอยู่เป็นตับ   โต๊ะเก่าๆตั้งอยู่ตรงหน้า   น้ำชาอุ่นๆถูกวางไว้ต้อนรับ   โคมไฟอายุเป็นร้อยปีส่องแสงสว่างอยู่กลางเหนือหัว   ที่นี่มีแต่เขา  และเถ้าแก่  เพียง 2 คน   เขาทิ้งก้นตัวเองลงบนโซฟาขนนกสีดำที่หันหน้าไปทางเจ้าของร้าน   มันนุ่มสบายเหมือนเคย   เก้าอี้ที่เขานั่งถูกตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของห้องพอดิบพอดี   ห้องนี้ไม่กว้างมากเกินไปนัก   ขนาดกะทัดรัดกำลังพอดีกับการนั่งคุยปรึกษาเรื่องงานกัน   เขาเหลียวมองไปรอบตัว   กำลังคิดอยู่ว่าเมื่อกี้ถูกพาเดินมาจากทางไหน   ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สังเกตว่าเถ้าแก่กำลังจ้องเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา

              เอาล่ะครับ เสียงเถ้าแก่ดังขึ้นในความเงียบ    

              เอ้อ! ครับ   ขะ . . . ขอโทษทีครับ   พอดีนึกอะไรเพลินไปหน่อย หวังตอบอย่างรีบร้อน

              วันนี้จะเอาอะไรมาให้ซ่อมครับ . . . คุณหวัง เถ้าแก่ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

                หวังรู้สึกว่ามือตัวเองเย็บเฉียบ   อากาศคืนนี้คงเย็นเกินไปจึงเกิดอาการสั่นเล็กน้อย   เขายกน้ำชาขึ้นจิบก่อนวางมันกลับสู่ที่เดิม   เถ้าแก่คงไม่รู้หรอกว่าคำถามที่ถามไปนั้นเหมือนดาบปลายแหลมที่พุ่งมาเสียบแทงใจเขาจนเจ็บปวด    

                เถ้าแก่หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหวัง   เขาสังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดของผู้มาเยือนที่เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น   

              ท่าทางของคุณดูเครียดมาก   ผ่อนคลายหน่อยเถอะครับ  

              คะ ครับ  หวังเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด   ความวิตกกังวลระลอกใหญ่เดินทางมาเคาะประตูเรียกหาเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว . . . .

     

     
    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×