ตอนที่ 8 : 07 - ไออุ่นอยู่ตรงนี้ 100%
“มองตาเป็นมันเลยนะมึง!” คเชนทร์ทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะม้าหินตรงข้ามเพื่อนสนิท ที่หมู่นี้ชอบทำตัวลึกลับแปลกๆ เลิกเรียนไม่ยอมกลับบ้าน ชวนไปไหนก็ไม่ไป แถมตอนเช้ามันดันมาเป็นคนแรกของเซคฯ ทั้งที่ปกติคะแนนเช็คชื่อแทบจะเป็นศูนย์
และแน่นอนสำหรับพวกเราที่รักกันกลมเกลียวเหนียวแน่น ก็อดที่จะต้องหาสาเหตุของอาการแปรปรวนต่างๆ นี้ไม่ได้ เริ่มโดยการถอดรหัสคำว่าปลา แน่นอนแล้วว่าพ่อไอ้ดินไม่ได้มาสร้างอควาเรียมไว้หลังมหาวิทยาลัย หากจะมีจริงๆ มากสุดคงปลากระดี่ในท่อน้ำทิ้ง แล้วคนอย่างมันจะมานั่งห้อยขาดมกลิ่นน้ำเน่ามองปลาตัวน้อยๆ ตอดกินขี้ตะไคร่ แบบนั้นฝนคงตกลงมาเป็นเหล้า
“นี่เหรอวะปลาของมึง” ทามไธมองตามไปสิ้นสุดตรงจุดวางสายตาของเพื่อนสนิท พลางส่งซิกไปหาคเชนทร์ว่าถูกต้องตามคาด และยังการันตีได้อีกอย่าง แสกนลักษณะโดยรวมพอสังเขปเชื่อเถอะว่าเป็นคนเดียวกับที่แหวกรูปท้องฟ้าทั้งหมดในไอจีของมัน “ปลาการ์ตูนซื่อบื้อซะด้วย”
“เสือก”
“อาการแบบนี้ จริงแท้แน่นอนครับพี่ไทม์”
ธรณินวางกล้องที่หยิบขึ้นมาถ่ายฆ่าเวลาลงข้างตัว ก็ไม่ได้คิดจะปิดพวกมันหรอก แค่ขี้เกียจจะเล่าให้ฟังเท่านั้น มารู้เองแบบนี้ดีเหมือนกันจะได้ไม่เสียเวลาพูดมาก
“อารมณ์เสียเก่ง เป็นไรวะ”
“เป็นพี่ชายไง” พูดแล้วอารมณ์เสียว่ะแม่ง!
“พี่ชายอะไร—”
“เฮ้ยๆ มาโน่นแล้วว่ะ”
อนลกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาพร้อมกับน้ำแดงเย็นเจี๊ยบสองแก้วในมือ แอบจิ๊กซุ้มบริการของคณะมาให้คุณเขาดื่ม เห็นนั่งรอแบบนี้บ่อยๆ ใช่ว่าจะไม่เกรงใจหรอกนะ แต่เพราะบอกแล้วบอกอีก พูดจนปากจะบิดเป็นรูปว่ากลับเองได้ ไม่ต้องรอรับเช้าส่งเย็นแบบนี้ทุกวัน ขอแค่เป็นวันที่ไปล้างรถหรือว่าเจอกันอยู่ข้างทางแล้วบีบแตรเรียกให้ขึ้น ไม่ใช่ทำเป็นหน้าที่ คุณเขาก็รับปาก แต่วันนี้จู่ๆ ก็โผล่มานั่งเหมือนเดิม
“น้ำแดงครับ” อนลยื่นให้ ก่อนจะยกมือสวัสดีรุ่นพี่สองคนที่อยู่ด้วยกัน คุ้นหน้าว่าเคยเจอในโรงอาหารวันก่อนนู้น
“สวัสดีครับผม นี่พี่เชนนะ ส่วนนู่นพี่ไทม์” คเชนทร์รีบแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง เห็นท่าทียึกยักดูแล้วน่าจะขี้เกรงใจไม่น้อย สเปคไอ้ดินมันเลยแบบนี้ ตัวเล็ก น่ารัก พูดน้อย แต่ยิ้มทีนี่พวกพี่จะลอยเอา
“พี่เชน พี่ไทม์ เอาน้ำแดงมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้” อนลรีบอาสา
“น้ำแดงมาเสิร์ฟแล้วค่ะคุณชายและผองเพื่อน~”
ซอโซ่พร้อมกับเด็กๆ เดินตามหลังมาในมือเต็มไปด้วยถาดบรรจุน้ำแดงและขนมขบเคี้ยวอีกหนึ่งจานใหญ่มาบริการถึงโต๊ะ นานทีปีหนจะได้เห็นสามทหารเสือครบองค์ประชุมนอกคณะวิศวะฯ แบบนี้ ตอนยังเป็นเฟรชชี่น่ะดีหน่อย มีมาช่วยงานมหาวิทยาลัยให้พอเห็นหน้าเห็นตา แต่ยิ่งโตไม่รู้จะติสท์แตกกันไปถึงไหน หายกันไปจนแทบลืมว่ามหา’ลัยเรายังมีสมบัติล้ำค่าอยู่
“ไงจ๊ะหนุ่มๆ ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่” เธอตีเนียนนั่งลงตรงตำแหน่งที่ว่าง
ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนให้หานายแบบถ่ายโปรโมทเสื้อเชียร์ของปีนี้ ตอนแรกคิดว่าจะขนน้องๆ ในสังกัดตัวเองไปเนี่ยแหละ ทั้งคฑากร ทั้งหลีด คัดมาเองกับมือ ฟันธงว่าของดี แต่พอวันนี้ประจวบเหมาะดันมาเจอแรร์ไอเท็มเข้า ยังไงต้องได้สามทหารเสือสักคนเป็นแบบ ไม่งั้นอย่ามาเรียกว่าซอโซ่!
“ลมรักมั้งครับ”
“ตายแล้วพี่เชนก็! เจ๊เป็นพวกอ่อนไหวง่ายนะคะ อย่ามาเล่นกับใจกะเทย”
ด้วยความที่ซอโซ่และสามทหารเสือเรียนอยู่ปีเดียวกัน ตอนปีหนึ่งก็เป็นเด็กกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเหมือนกันเลยสนิทสนม แต่พอโตขึ้นมีเด็กใหม่ๆ เข้ามาไอ้พวกรุ่นพี่ก็ทำเนียนตีตัวออกห่างเพราะขี้เกียจ จะมีก็แต่พวกเจ๊ๆ เนี่ยแหละที่ยังอยู่ทำหน้าที่ ส่วนไอ้เรียกว่าพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้ ซอโซ่ติดพูดมานานแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองน่ะเป็นน้องน้อย ตัวเล็กๆ ของทุกคน
“นั่งดิ ยืนทำไรอะ” ธรณินขยับชิดริมอีกฝั่ง ฉุดแขนให้น้องเล็กสุดในวงสนทนานั่งลงด้านข้าง
ประจวบเหมาะว่าเป็นช่วงพักของคฑากรฝ่ายผู้ชาย เลยมีเวลานั่งฟังเจ๊ซอโซ่เต๊าะหนุ่มไปเพลินๆ พลางหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นมาฝึกใช้ หากว่ามีตรงไหนสงสัยจะได้ให้คุณเขาช่วยสอนเลย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น มันใช้ง่ายแถมยังเหมือนเครื่องมือวิเศษเกินกว่ามือถือธรรมดาทั่วไป กล้องก็ชัด แสกนนิ้วมือได้อีก โหลดหน้าเว็บอะไรนี่แทบไม่ต้องรอ สมกับราคาจริงๆ นั่นแหละ
“แล้วตกลงมาทำอะไรกันคะเนี่ย อย่าบอกว่ามานั่งเล่นเจ๊ไม่เชื่อหรอกนะ”
“มาดูปลาครับ”
“ไอ้ไทม์ ไอ้สัด” ธรณินละสายตาออกจากจอโทรศัพท์เด็กข้างๆ ฟาดงวงฟาดงาใส่เพื่อนเฮงซวย
“ไออุ่นดูมันด่าพี่สิครับ หยาบคายน้องไม่รักนะโว้ย”
“ไปรักกับพ่อมึงเหอะ” ได้ทีเอาใหญ่ ใครสั่งให้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นเรียกชื่อน้องวะ สงสัยไม่เคยตาย
“สุดหล่ออย่าตีกันค่ะ” ซอโซ่รีบห้าม มองไปยังเด็กน้อยของเจ๊ที่กำลังเขี่ยน้ำแข็งในแก้วกินแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว หนูจะตีมึนไม่สนใจคนหล่อแบบนี้ไม่ได้! “คืองี้ เจ๊มีธุระอยากไหว้วาน” รีบคุยก่อนที่คุณชายเย็นชาจะอารมณ์เสียแล้วทุกอย่างพัง
“ว่าไงครับผม”
“พี่ไทม์ช่วยเจ๊หน่อย” ส่งสายตาปริบๆ “เจ๊กำลังหานายแบบถ่ายโปรโมทเสื้อเชียร์ปีนี้ เจ๊อยากได้สามทหารเสือไปเป็นแบบให้ นะคะ”
“ดาวเดือนใหม่ๆ เยอะแยะ เขาเบื่อหน้าพวกผมแล้วมั้งครับ”
“พี่เชน ไม่ลูกไม่ ใครๆ ก็รู้ว่าสามทหารของเจ๊คือที่สุด” เธอโอดครวญ “แล้วปีนี้มีธีมออนเดอะบีชอะไรนั่นอีก ถ่ายธรรมดาๆ ที่มอก็ไม่ได้ ต้องยกโขยงกันไปทะเล นี่เจ๊กับทีมยังหัวหมุนเรื่องหาที่พักอยู่เลย”
เบื้องบนก็สั่งเก่ง จะเอาอลังการแบบนั้นแบบนี้ อีชนชั้นทาสใช้แรงงานก็เถียงไม่ออกได้แต่ก้มหน้ารับกรรมที่ไม่ได้ก่อ
“ผมได้นะ ถือว่าไปเที่ยวทะเล” เป็นงานถนัดของทามไธอยู่แล้ว แค่ไปแอคหน้ากล้องยิ้มหวานๆ ทีสองทีก็เสร็จ แลกกับการได้ที่พักฟรีแถมอาหารตาเป็นดาวสวยๆ จากคณะนั้นคณะนี้ เผลอๆ บางทีอาจจะได้มาทดลองชิม “ไอ้เชนมึงไปป้ะ กูขี้เกียจขับรถอะ มึงไปดิ จะได้เอารถมึง”
ถึงจะมีรถทัวร์ของมหาวิทยาลัยคอยบริการก็เถอะ ตั้งแต่ปีหนึ่งพวกเราสามคนไม่เคยเหยียบขึ้นไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ เลย เพราะไอ้ดินมันรักความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบ ขืนปล่อยขึ้นไปมีหวังได้ไปต่อยกับมือกลองท้ายรถ อันนั้นน่ะข้ออ้าง ความจริงคือตื่นไม่ทันเวลาล้อหมุน เลยต้องหมุนล้อกันเองมาตลอด
“มึงอะตลอดไอ้ไทม์ เจ๊เลี้ยงเหล้าผมมั้ยอะ”
“จะให้เจ๊ต้มเหล้าให้เจ๊ก็ทำได้ค่ะ ขอแค่ไปด้วยกัน”
“อะๆๆ ก็ได้ครับ ผมกับไอ้ไทม์ไป...มึงอะดิน ว่าไง”
“ไม่ว่ะ ขี้เกียจ”
ถึงจะทำใจมาแล้วแต่ก็แอบผิดหวังอยู่หน่อยๆ วาดฝันมานานละหลายครั้งว่าจะได้เห็นสามทหารเสือถอดเสื้อริมทะเล โดนคุณชายทำฝันสลายทุกที
“ทำไมพี่ดินไม่ไปอะครับ ไปถ่ายรูปสวยๆ ริมทะเลไม่ชอบเหรอครับ” จากที่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดีอยูนานเลยได้จังหวะพูดบ้าง “อุ่นก็ไปนะ คนไปเยอะแยะเลย”
“อุ่นไปด้วยเหรอ”
เพลงขึ้นจ้า~ เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง เหมือนลมหนาวเดือนเมษา เหมือนว่าหนูอุ่นมาช่วยชีวี๊ดดด~~
“ตายละ! เจ๊ไม่ได้บอกเหรอคะว่าหอบไปกันหมด คฑากรเอย ลีดเอย ยกกันไปถ่ายโฟโต้บุ๊คทุกคณะเลยนะคะ...เป็นแคมเปญการกุศล หลังหักค่าใช้จ่ายโฟโต้บุ๊คของมหาวิทยาลัย จะบริจาคให้กับโรงเรียนบนดอยหมดเลย อันนี้เจ๊รู้มาคร่าวๆ รายละเอียดยังไม่นิ่ง”
“ไม่เห็นมีบอกเลยว่าจะไป”
อากาศ กูนี่อากาศเลย ซอโซ่ไม่ได้กล่าว
“อุ่นเพิ่งรู้เมื่อกี๊เองครับ เมื่อกี๊เลย” ข่าวเพิ่งถึงหูสดๆ ร้อนๆ พระพายยังเครียดอยู่เลยว่าบรรดาคุณอาจะอนุญาตไหม
“รู้แบบนี้แล้ว...คุณชายอยากเปลี่ยนใจมั้ยคะ”
“วันไหนก็ลองบอกแล้วกันครับ ถ้าว่างก็อาจจะไป”
“เดี๋ยวอุ่นบอกเองครับ พี่ดินต้องว่างอยู่แล้วอุ่นรู้” มีเพื่อนในกลุ่มถามแล้วว่าไปช่วงไหน สตาฟยังไม่รู้วันแน่ชัดแต่รับปากว่าไม่เสาร์อาทิตย์ ก็จะเป็นวันหยุดยาว ไม่กระทบเวลาเรียนแน่นอน เขาเลยมั่นใจว่าคนพี่ต้องว่าง
“รู้ดีนักนะ” ธรณินเอี้ยวตัวยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะปลายจมูกน้องหนึ่งที
อากาศ...คนทั้งสนามแม่งเป็นอากาศไปหมดแล้ว
กว่าจะเลิกซ้อมฟ้าก็เริ่มมืดลง ไอ้เพื่อนตัวดีพอมันหายสงสัยก็หิ้วกันกลับไปตั้งแต่เย็น ส่วนเขาก็นั่งรอน้องเพื่อกลับด้วยกันอย่างที่ทำเป็นประจำ
ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม...มันแค่อยากดูแล กลัวว่าจะเกิดอันตราย ทั้งที่แต่ก่อนน้องเองก็อยู่ได้ด้วยตัวเองมาตลอด แต่พอได้รู้ถึงปูมหลังว่าหากไม่มีเขา น้องเองก็ไม่มีใคร คิดได้แบบนั้นเลยไม่กล้าทิ้งอีกเลย วันไหนไม่ได้เป็นคนไปส่งถึงบ้าน ก็ต้องนั่งรอข้อความรายงานตัวว่าปลอดภัยดีถึงจะนอนหลับ เช้าไหนที่ตื่นมาแล้วมองไปที่หน้าต่างไม่เห็นตัวเล็กๆ ถือสายยางเดินวนไปมาก็ร้อนใจกลัวจะเกิดอะไรขึ้น มันว้าวุ่นจนในสมองมีแต่เรื่องของน้องเต็มไปหมด
แม้กระทั่งหัวใจ...ก็มีเข้ามาวุ่นวายไม่แพ้กัน
“วันนี้ก็ยังไม่ต้องไปทำงานใช่มั้ย”
“ครับ ไปทำอาทิตย์หน้า”
จังหวะติดไฟแดงธรณินแอบมองหน้าจอโทรศัพท์ของน้อง เห็นว่าอ่านอะไรอยู่นานสองนานแล้ว คิ้วขมวดยุ่งเป็นปม พอสังเกตดีๆ จึงรู้ว่าเป็นเพจรีวิวหนัง ถ้ามองไม่ผิดคงเป็นฮีโร่อะไรสักอย่างพี่เพิ่งเข้าโรงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“อยากดูหรือไง”
“แค่อ่านดูน่ะครับ อุ่นดูไม่รู้เรื่องหรอก ภาคก่อนๆ ไม่เคยดูเลย”
“ภาคนี้เห็นว่าไม่ได้เชื่อมโยงอะไรมากนะ ดูเลยก็ไม่งงหรอก” เขาแกล้งตีมึน ยังไม่ได้ดูเหมือนกันจะไปรู้ได้อย่างไร “เย็นนี้ไม่มีอะไร แวะไปดูกันมั้ยล่ะ”
“ไม่เอาหรอกครับตั๋วแพงจะตาย” อนลวางโทรศัพท์ลงบนตัก หันมองหน้าคนพี่จริงจัง ถ้าพูดว่าจะเลี้ยงอีกล่ะก็ จะลงจากรถ เดินกลับบ้านเองมันตรงนี้เลย
“มองอะไร ไม่เลี้ยงหรอกหน่า” ทำหน้าเข้มอย่างกับแมงกระพรุนหิวแพลงค์ตอน “แต้มบัตรเครดิตมันแลกที่นั่งฟรีได้”
“คุณหนูโกหก”
อารมณ์ไหนของเขา กลับมาเรียกคุณหนูอีกแล้ว
“ไม่ได้โกหก ไม่เชื่อก็เข้ากูเกิลเลย เก้าร้อยเก้าสิบเก้าแต้มแลกฟรีหนึ่งที่นั่งพร้อมป๊อบคอร์นด้วย ดูในเว็บโรงหนังได้เลยเหอะ”
“จริงนะ”
“ก็บอกให้ดูไง”
คนตัวเล็กลองทำตาม เข้าไปในเว็บโรงภาพยนตร์กดดูตรงสิทธิพิเศษบัตรเครดิตจึงเห็นว่ามีโปรโมชันดังกล่าวจริงๆ
“เชื่อยังอะ”
“คุณหนูมีแต้มเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
เพิ่งจะรูดโทรศัพท์ไปครึ่งแสน ดูอีกห้าหกเรื่องยังพอเลยเหอะ...
“เรียกแบบนี้อีกละ”
“อุ่นชินไปแล้วอะ ให้อุ่นเรียกว่าคุณหนูเถอะนะครับ พี่ดินเอาไว้เรียกที่มหา’ลัยก็พอ” เรียกแบบนี้มาตั้งแต่ต้นจะให้เปลี่ยนเลยบางทีมันก็ลืม อีกอย่างเรียกคุณหนูน่ารักดีออก
“...”
“อุ่นไม่เคยเรียกใครว่าคุณหนูเลยนะ มีคุณหนูแค่คนเดียวในชีวิตเลย”
ให้ตายเหอะ...ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่ากำลังให้ท่า แต่พอหันไปเห็นแววตาใสซื่อเลยได้แต่กร่นด่าตัวเองในใจว่าความคิดแบบนั้นน่ะมันเลวร้ายเกินไปหากนำมาใช้กับเด็กคนนี้
...ถ้าเปรียบน้องเป็นกระเป๋าใบหนึ่ง มันคงเป็นกระเป๋าที่ทำด้วยพลาสติกใส มองเห็นด้านในจนหมด...
แต่ธรณินไม่รู้หรอกว่ามีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่น้องยอมให้มองเห็นถึงข้างในแบบนี้ หากไม่ไว้ใจจริงๆ แค่พูดด้วยอนลยังไม่ยอมทำ ถ้าไม่นับพ่อ ก็มีแค่ภูผา พระพาย แล้วก็คุณเขานี่แหละที่ได้รู้จักกับอนลที่สดใสและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่อนลที่เป็นแก้วทึบมองไม่เห็นสิ่งของด้านใน
“ตามใจ แค่อย่าเรียกไอ้ก็พอ”
เราพลาดหนังรอบที่ตั้งใจเพราะใช้เวลาวนหาที่จอดหลายนาทีเลยมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงรอบถัดไป จะให้น้องลงไปจองก่อนก็ไม่ได้เพราะเขาต้องเป็นคนเซ็นแลกคะแนนบัตร เชื่อเถอะว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนอย่างธรณินยอมต่อแถวยาวๆ เพื่อแลกบัตรฟรีหน้าเคาน์เตอร์
หลังเกิดเหตุการณ์วันนั้นที่ถูกโกรธ เขาเริ่มเข้าเว็บไซต์ดูสิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งแบบลดราคาแล้วก็แบบฟรีเอาไว้ต่อรองกับปลาการ์ตูนขี้งก แต่ก็ว่าไม่ได้ รู้จักค่าของเงินแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้ผิดอะไร
“คุณหนูเอาอะไรครับ”
“ลาเต้ร้อน”
หน้าโรงหนังมีคนยืนอออยู่เต็มไปหมด เลยเลือกที่จะหลบมานั่งรอเวลาในร้านกาแฟใกล้ๆ แทน
“ดึกแล้วกินกาแฟเดี๋ยวนอนไม่หลับ เอาเป็นโกโก้แล้วกันนะครับ”
ตัดสินใจเองเสร็จสัพก็เดินไปเข้าแถวรอคิว ไม่รู้จะถามไปทำไม...
ธนณินก้มเล่นโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลาเรื่อยเปื่อย แต่ปลายสายตาดันไปสะดุดเข้ากับรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งที่ก้าวฉับๆ เข้ามาหยุดหน้าโต๊ะของเขา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“...พี่แพร” เขาแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ
พอตั้งสติดีๆ ถึงได้รู้ว่านี่คือแพรไหมผู้เป็นพี่สาว...ไม่ใช่พิมพ์ดาว
เธอถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตำแหน่งตรงกันข้าม สีหน้าคาดเดาไม่ได้ทำให้ธรณินรู้สึกอึดอัด แต่ก็ทำเป็นยิ้มสู้ เพราะเขาเองไม่มีอะไรติดค้างกับอีกฝ่ายแล้ว
“พี่แพร...สบายดีนะครับ”
“ก็เรื่อยๆ ต้องดูแลแม่ที่เป็นบ้าหลังจากเสียลูกสาวคนเล็กไป ไหนจะพ่อที่กลายเป็นอีกคน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ต่างจากแววตาที่แข็งกร้าว
“...”
“นายดูมีความสุขดีนะ ไม่เห็นเหมือนจะขาดใจตายอย่างตอนนั้น”
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” กว่าจะผ่านมันมาได้ก็แทบตายเหมือนกัน แต่เธอพูดเหมือนกับว่าเขาไม่เคยเจ็บหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“นายกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ในขณะที่น้องฉันไม่มีโอกาส”
“พี่พูดแบบนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา”
“ฆาตกรที่ฆ่าน้องสาวของฉันกำลังมีความสุข ในขณะที่ครอบครัวของฉันพินาศ”
“ผมไม่ได้ฆ่า”
มันเป็นอุบัติเหตุ หลักฐานอะไรก็มีแสดงให้เห็นทั้งกล้องบนหมวกกันน็อค ทั้งวงจรปิดตามถนน ตำรวจสอบสวนทั้งหมดแล้วและธรณินไม่มีความผิด นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เธอต้องการให้เขาชดใช้แม้ว่าตอนนั้นเขาเองก็เจ็บปางตายเช่นกัน
“นายหนีความจริงไม่พ้นหรอก เพราะนายพิมพ์ถึงตาย”
“มันเป็นอุบัติเหตุ”
“นายเป็นคนฆ่าพิมพ์!”
ไม่จริง...ใครจะตั้งใจฆ่าคนรักของตัวเอง
“นายยังฝันร้ายอยู่ทุกคืนใช่มั้ยล่ะ หนีให้ตายยังไงภาพเหตุการณ์วันนั้นก็ยังติดอยู่ในหัว เหมือนกับฉันที่ฝันเห็นน้องสาวกลายเป็นศพ”
ใช่...เขาฝันร้ายทุกคืนหลังจากวันนั้น เห็นภาพของพิมพ์ดาวนอนอยู่กลางถนนถัดออกไปไม่ไกล ร่างที่ยังมีลมหายใจรวยรินกระทั่งเริ่มแน่นิ่งไป เขาเห็นมันทุกอย่างแต่เพราะร่างกายตัวเองก็บอบช้ำไม่แพ้กัน ต่อให้ใจจะอยากไปอุ้มเธอขึ้นมากอดไว้แค่ไหน แต่ทำได้เพียงแค่มอง ในตอนนั้นการเปล่งเสียงออกจากลำคอยังเป็นอะไรที่เกินความสามารถ
แต่ตอนนี้มันเริ่มดีขึ้น จากที่ฝันร้ายทุกคืนก็มีบางวันที่หลับสนิทจนถึงเช้า การเยียวยาตัวเองให้ก้าวข้ามเรื่องราวดังกล่าวนั้นยากลำบากจนหลายครั้งก็ล้มเลิกความตั้งใจ เกือบสองปีที่พยายามพาตัวเองให้หลุดพ้น เกือบสองปีที่ต้องร้องไห้จนเผลอหลับไป
“นายมันฆาตกรธรณิน นายฆ่าพิมพ์ดาว”
แพรไหมลุกเดินออกไปตอนไหนเขาเองก็ไม่รู้ แต่ประโยคที่เธอพูดมันดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาเหมือนมีใครมาเปิดเทปวนอยู่แบบนั้น ทราบดีว่าการสูญเสียต่อให้เกิดขึ้นกับใครคงไม่สามารถทำใจได้ในเร็ววัน แน่นอนว่าคนจากไปไม่รู้เรื่องราว คนอยู่ต่างหากที่เจ็บจนทนไม่ไหว
ธรณินไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองเป็นสาเหตุของการสูญเสียในครั้งนี้ แต่ไม่ได้ตั้งใจนั่นคือความจริง หากเลือกได้ในวันนั้น หากพระเจ้าเมตตา หากว่าเป็นเขาที่ตายแทนได้...
“คุณหนู...คุณหนูครับ”
“...”
“คุณหนู”
“ฮะ! ว่าไง”
“เมื่อกี๊เพื่อนเหรอครับ” อนลส่งแก้วโกโก้ร้อนให้คนด้านหน้า ตอนเดินมาทันได้เห็นว่ามีผู้หญิงสวยคนหนึ่งเพิ่งลุกออกไป กลิ่นน้ำหอมยังติดอยู่ที่เก้าอี้เลย
“อืม”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาส่ายหัวเป็นการตอบ รีบหลบสายตาที่กำลังสับสน
“...คุณหนู เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คืนนี้...ไปนอนที่บ้านฉันได้มั้ย” รวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไป
เขาแค่กลัวว่าจะต้องหวาดผวาเพราะฝันร้าย ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างเดียวดาย...ต้องกลับไปเป็นธรณินคนเก่าที่จมอยู่กับอดีตอันแสนโหดร้าย
“คุณหนูเป็นอะไร” อนลไม่เคยเห็นคุณเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ดูหวาดกลัว ไม่มั่นใจ มันแปลกไปจากเดิม
“...ฉันไม่อยากฝันร้ายอีกไออุ่น...ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก” เขาเงยหน้าขึ้นสบตา เผลอแสดงความอ่อนแอทั้งหมดออกไปให้เห็น
“ครับๆ ไม่ฝันร้ายอีก”
“...”
“คืนนี้อุ่นจะอยู่กับคุณหนูเอง”
50%
ธรณินรู้สึกผิดที่ทำให้การดูหนังด้วยกันครั้งแรกของเราสองคนไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง แม้จะพยายามทำตัวให้ปกติสักแค่ไหนมันก็อดคิดถึงคำพูดที่เพิ่งเจอมาเมื่อสักครู่ไม่ได้ เขาเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่ใช่ฆาตกร กว่าจะหลุดพ้นจากคำๆ นี้ใช้เวลาเนิ่นนาน อดีตเคยโทษและคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากได้รับการเยียวยาไม่ว่าจะเป็นวิธีทางการแพทย์ ครอบครัว หรือคนรอบข้าง มันทำให้ดีขึ้น
ไม่มีใครชอบความตาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือว่าใครที่ไหน ไม่มีใครอยากเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับคำนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุ คำพูดของแพรไหมเหมือนสะกิดให้รู้สึกเจ็บแผลที่มันกำลังจะหายดี ภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่พยายามลืมฉายชัดขึ้นมาในความคิด
“อุ่นขับรถให้นะ” คิดมาตั้งแต่ก่อนออกจากห้างแล้ว ถึงไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่อย่างน้อยให้ได้นั่งพักเฉยๆ บนรถจนถึงบ้านน่าจะดีกว่า
น้องเอื้อมมือมาจับแขนของเขาพร้อมกับสีหน้าแน่วแน่
“ขับเป็นหรือไง”
“เป็นสิครับ อุ่นทำงานคาร์แคร์นะ ขับรถไปส่งลูกค้าที่บ้านเป็นร้อยครั้งแล้ว”
ถ้าให้จับจุดสังเกต ผู้ต้องสงสัยคนแรกคงหนีไม่พ้นผู้หญิงคนนั้น เพราะก่อนหน้านี้คุณเขายังปกติอยู่เลย แต่หลังจากพบเธอทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกันไปหมด คุณหนูดูใจลอยแปลกๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา อนลอยากรู้สาเหตุ แต่การถามตรงๆ คงไม่ใช่วิธีที่ดีสักเท่าไหร่ คอยอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปก่อน หากว่าเจ้าตัวอยากเล่าก็คงพูดขึ้นมาเอง
“ตามใจ” ส่งกุญแจรถให้ก่อนจะพาตัวเองไปยังฝั่งคนนั่ง ตั้งแต่ได้รถคันนี้มาเป็นของขวัญเข้ามหาวิทยาลัย ถ้านับดูจริงๆ ไม่เคยสักครั้งที่ได้มานั่งตรงนี้ จะว่าหวงรถก็ไม่เชิง แต่ถ้าไม่ใช่คุณลุงคนขับรถที่บ้านแล้วก็เพื่อนสนิทสองตัว ไม่เคยมีใครได้นั่งหลังพวงมาลัยคันนี้หรอก
อนลใช้เวลาเรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับมันสักพัก แค่จับก็รู้เลยว่าพวงมาลัยหนักกว่ารถญี่ปุ่นธรรมดาทั่วไป เสียงเงียบกว่า เหยียบคันเร่งก็นิ่งกว่าเป็นไหนๆ
“ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ธรณินมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะถามขึ้น ถึงขนาดอาสาขับรถให้ เขาเผลอแสดงออกไปมากมายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร
“อย่าเพิ่งไปพูดถึงมันเลยครับ” คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ ให้เพลงดังคลอเบาๆ “อุ่นอยู่ข้างคุณหนูอีกนาน เอาไว้ค่อยคุยกันเนอะ”
หากเป็นคนอื่นคงคาดคั้นเอาความจริง อยากจะรู้ถึงที่มาและสาเหตุ เพิ่งจะเคยเจอคนนี้นี่แหละ ขนาดฝ่ายเปิดประเด็นเป็นเจ้าของเรื่องราวเองแท้ๆ น้องยังตัดบทไม่ให้พูดถึง มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะเลย
แน่นอนว่าธรณินไม่อยากปกปิด เพราะอย่างไรเสียทุกอย่างมันคือความจริงในอดีตที่ไม่สามรถย้อนกลับแก้ไข แต่เขาไม่พร้อมจะพูดถึง การหยิบขึ้นมารื้อฟื้นในตอนนี้คงเหมือนกับจับมีดแล้วคว้านแผลให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งดูแล้วน้องเองก็เข้าใจ เข้าใจมากๆ เลยด้วย
“ขอบใจนะ ที่ไม่ถาม”
อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...ต้องใช้คำนี้สินะ
กลับมาถึงบ้านราวๆ สี่ทุ่มกว่า ไฟในบ้านเหลือเพียงส่องให้เห็นทางเดิน ตั้งแต่เข้ามาหวิทยาลัยนวลปรางค์ก็ถูกคุณหนูของเธอสั่งห้ามไม่ให้นั่งรอ เขาโตพอที่จะจัดการกับชีวิตของตัวเองได้แล้ว อีกอย่างนึกสงสารเวลากลับตีหนึ่งตีสองแล้วเห็นคนแก่สัปหงกอยู่บนโซฟา ตั้งแต่นั้นมาหากไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เวลาสองทุ่มแม่บ้านก็ทยอยกันเข้าห้องเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
คนตัวเล็กเดินตามเจ้าของบ้านต้อยๆ หอบหิ้วกระเป๋าหนังสือของตัวเองขึ้นบันไดไปยังด้านบน ถึงจะเคยค้างที่นี่แล้วแต่ก็เป็นครั้งแรกที่อนลจะได้เข้าไปในห้องนอนของคุณหนู นึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย แต่ทำไงได้คุณเขาให้มานอนเพราะกลัวฝันร้าย ถ้าแยกห้องไปจะมีประโยชน์อะไร
“ฉันรบกวนเกินไปหรือเปล่า”
“ครับ?” วางกระเป๋าไว้ตรงพื้นด้านข้างโซฟา ก่อนจะหันมาหา “รบกวนใครครับ”
“ไออุ่นไง” ธรณินทิ้งตัวนั่งบนเตียง “ไม่ต้องตามใจฉันทุกเรื่องก็ได้นะ” บางทีปฏิเสธบ้างคงไม่เป็นไร
“คุณหนูยังตามใจอุ่นทุกเรื่องเลย ให้อุ่นตามใจคุณหนูบ้างนะ” พูดตามความเป็นจริง ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่มีครั้งไหนเลยที่ถูกขัดใจ บ้างครั้งได้รับเกินกว่าที่อยากได้ด้วยซ้ำไป
คนตัวสูงลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังส่วนของ Walk in closet ใกล้กับห้องน้ำ หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ถือไว้ ก่อนจะหาชุดนอนที่เล็กที่สุดในตู้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เล็กขนาดจะพอดีหรอก เขามีแต่ชุดของมนุษย์ ไม่มีชุดสำหรับปลาการ์ตูนตัวจ้อย แต่หากวันไหนมีโอกาสผ่านเข้าร้าน จะไม่พลาดซื้อติดตู้ไว้แน่นอน เพราะครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ห้องนอนของเขาจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มาใช้ร่วม
“ไปอาบน้ำ ของข้างในใช้ได้หมด”
อนลค้อมหัวน้อยๆ รับมาไว้กับมือ
“แล้วไม่ใช่ไปทำแบบนี้กับทุกคนนะ”
“ครับ?” ทำแบบนี้ คือแบบไหน...
“ไม่ใช่ใครชวนนอนบ้านแล้วไปหมด”
จะว่าไปแล้วดูไว้ใจคนง่ายเกินไปหรือเปล่า ถึงรู้จักกันมา เข้าออกบ้านเป็นว่าเล่นนั่นก็เพราะน้องรับจ้างทำงาน ไม่ใช่ว่านายจ้างคนไหนสนิทด้วยหน่อยชวนนอนค้างแล้วตอบตกลงหรอกนะ
“นอกจากบ้านอุ่นกับแผงตลาดของแม่” ที่เอาไว้ซุกหัวนอนตอนฉุกเฉินเวลาบ้านไม่ปลอดภัย “ก็มีแค่ที่นี่แหละครับที่อุ่นเคยนอน”
“พูดมาก ไปอาบน้ำไป” เป็นประโยคธรรมดา แต่ทำไมกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเวลาได้ฟัง
“อุ่นรู้สึกว่าที่นี่น่ะปลอดภัยกว่าบ้านของอุ่นอีก”
“ทำไม”
“...คงเพราะมีคุณหนูล่ะมั้ง” อนลพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่านัยน์ตากลับสื่อถึงความรู้สึกภายในอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่การที่มีคุณเขาในชีวิตมันทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป เหมือนกับว่ามีคนคอยสู้ไปด้วยกัน เหมือนกับว่า...ได้สัมผัสความอบอุ่นที่จางหายไปเมื่อนานมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง “ขอตัวไปอาบน้ำนะครับ”
ธรณินนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ถูกอาการเดิมๆ ที่เคยหายไปเริ่มเข้าเล่นงานอีกครั้ง เขาไม่กล้าหลับตา ไม่กล้าปล่อยให้สมองของตัวเองโล่งเพราะกลัวว่ามันจะกลับมาอีก ทว่าในจังหวะที่กำลังสับสนกลับมีความอบอุ่นบางอย่างกอบกุมเข้าที่มือด้านซ้าย
อนลลอบมองพฤติกรรมของคนบนเตียงมาพักใหญ่ เป็นเพราะไม่กล้ารบกวนจึงเอ่ยขอนอนบนโซฟาใกล้ๆ แทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นห่วงลดน้อยลงไป แม้ความเย็นของเครื่องปรับอากาศจะทำให้เขาง่วงจนตาแทบปิด แต่ถ้าคุณหนูยังไม่หลับ ก็แสดงว่าหน้าที่ของเขายังไม่จบ
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณหนูนอนได้เลย” เขานั่งลงตรงพื้นข้างเตียง เอามือของคุณหนูมาจับเอาไว้ “อุ่นเคยได้ยินว่าเวลาเรานอนแล้วมีอะไรติดตัวอยู่ ของสิ่งนั้นจะติดเข้าไปในฝันกับเราด้วย”
ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่เท่าที่สังเกตเวลาเขาฝันทีไรเสื้อผ้าก็จะเป็นชุดเดียวกับที่ใส่นอนทุกที
“อุ่นจับมือคุณหนูอยู่แบบนี้” น้องหาววอด ฟุบหน้าลงกับฝ่ามือใหญ่ “ถ้าคุณหนูฝันร้ายอย่าลืมหิ้วอุ่นติดไปด้วยนะครับ”
คนฟังได้แต่ส่ายหัวหน่ายๆ แต่ก็อดยิ้มให้กับการกระทำไม่ได้ ใช้คำว่าหิ้วเนี่ยนะ คิดว่าตัวเองเป็นกระเป๋าหรือไงกัน หมากระเป๋าน่ะสิไม่ว่า
“ขึ้นมานอนบนเตียงดีๆ” คนพี่ขยับลุกพิงหัวเตียง จับยึดฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างรั้งขึ้นมา “เร็ว”
“ไม่เอาครับ เดี๋ยวเบียดคุณหนู”
“เร็วๆ” ตัวแทบจะเท่ากับหมอนข้าง เอาที่ไหนมาเบียด
อนลขยับคลานตามขึ้นมา ซุกหน้าลงกับหมอนใบที่คุณเขาใช้ก่อนหน้า เจ้าของเตียงจึงต้องขยับไปอีกฝั่งเป็นธุระจัดแจงห่มผ้าให้ เพราะไอ้ตัวเล็กที่บอกว่ากลัวขึ้นมาเบียด ถ้าเทียบเป็นแบตเตอรี่โทรศัพท์ป่านนี้คงแดงเถือกแถมติดเครื่องหมายตกใจเอาไว้ด้วย
แต่ให้ง่วงมากขนาดไหนก็ยังไม่ลืมหน้าที่อันใหญ่หลวง อนลคว้าแขนคุณเขามากอดเอาไว้แน่น ฝันร้ายคืนนี้ไออุ่นจะพิทักษ์คุณหนูเอง
“ง่วงก็หลับ จะฝืนทำไม”
“...ฝันดีนะครับ ไม่ฝันร้าย”
น้องขยับเข้ามาชิดขึ้น หาท่าที่สบายตัวก่อนจะค้างอยู่แบบนั้น
“เด็กบ้านี่” แก้มอ้วนๆ วางลงบนท่อนแขน ธรณินเป็นคนที่ไม่ชอบให้อะไรมาโดนตัวตอนนอนแม้กระทั่งหมอนข้าง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย
เขายังเชื่อว่าพื้นฐานครอบครัวนั้นสำคัญกับการเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของหนึ่งชีวิต แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ได้รู้ในวันนี้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือตัวตนที่แท้จริง น้องเกิดมาในครอบครัวที่ขาดมากกว่าเกิน กว่าที่จะมาเจอกันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องต่อสู้ด้วยตัวเองมากแค่ไหน ต้องเข้มแข็งมากเท่าไหร่ถึงไม่ถูกชักจูงและกลืนหายไปกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เป็นเพียงดาวดวงเดียวที่ส่องสว่างไม่ถูกเมฆหมอกกลืนกินในคืนเดือนมืด
“...ฮึก...คุณพ่อ”
“...” ธรณินขยับตัวนอนตะแคงข้าง ปล่อยให้แขนข้างหนึ่งถูกรัดเอาไว้
“พ่อจ๋า...อุ่นคิดถึง”
หยดน้ำใสปริ่มที่หางตาก่อนจะไหลเป็นทางข้ามสันจมูกซึมลงบนแขนเสื้อของเขา “ไม่ร้อง”
“...ฮึก”
เราทุกคนต่างมีฝันร้ายเป็นของตัวเอง หลายครั้งที่เขาเห็นว่าน้องละเมอร้องไห้ออกมาไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือบนรถ แค่ผล็อยหลับไปสักครู่ก็ไม่พ้นต้องมีเสียงสะอึกสะอื้นตามมาให้ได้ยิน
“โอ๋ ไม่ร้องสิ” ทำอย่างไรถึงจะหยุดได้กันนะ ต้องอุ้มขึ้นมาเดินรอบห้องเหมือนอย่างเด็กทารกหรือเปล่า
คิดสารพัดวิธีในหัวแต่สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ช่วยเช็ดน้ำตาให้เงียบๆ พลางลูบศีรษะไปมาสักพักก็เบาลง
“กอดแขนฉันแน่นขนาดนี้ ทำไมไม่หิ้วฉันเข้าไปล่ะ ร้องไห้ทำไม” เขากระซิบแผ่วเบา นึกเอ็นดูไม่น้อยเลย
“...คุณหนู อุ่นอยู่นี่ไม่ฝันร้ายหรอกครับ”
“บอกตัวเองก่อนเถอะ” น้ำตาตัวเองยังไม่แห้งเลย มีหน้าจะมาห่วงคนอื่นอีกหรือไง
ถ้าจะล้วงความลับคงไม่ยาก กล่อมให้หลับได้เมื่อไหร่ ในหัวมีอะไรก็คงหลุดพูดออกมาจนหมด
“ฉันอยู่นี่ นายเองก็ห้ามฝันร้ายเหมือนกัน”
“...”
“รู้มั้ย”
แสงแดดอ่อนๆ ลอดเข้ามาทางช่องว่างระหว่างผ้าม่าน รู้สึกตัวอีกทีข้างกายก็ว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยของปลาการ์ตูนที่มายึดแขนเป็นหมอนข้างนอนกอดสบายใจเฉิบ แต่ครั้งนี้ไม่ตกใจแล้วล่ะ เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา นี่ก็ปาไปเจ็ดโมงกว่าแล้ว
เมื่อคืนสิ่งที่เขากลัวไม่ได้เกิดขึ้น คงเป็นเพราะว่าก่อนนอนมีเรื่องอื่นให้คิดมากกว่า อีกอย่างกว่าจะปลอบคนข้างกายให้หลับสนิทไม่ละเมอขึ้นมาอีกก็ปาเข้าไปดึกดื่น ความง่วงเลยทำให้เขาไม่ฟุ้งซ่าน แม่ตรรกะที่จะให้หิ้วเข้าไปในฝันจะไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยน้องก็ช่วยเอาไว้ได้มากเลย
ธรณินสอดเท้าเข้าไปในสลิปเปอร์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เปิดประตูระเบียงและเดินออกไปยืนอย่างที่ทำเป็นประจำ มองคนตัวเล็กที่กำลังปีนเก้าอี้ล้างหลังคาให้กับรถตู้คันใหญ่ นี่คงไปส่งผักที่ตลาดเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่แล้วสินะ
อนลรู้สึกตัวว่าถูกมองจึงเงยหน้าขึ้นไป ขยับปากว่า ‘อรุณสวัสดิ์ครับ’ จากตรงนี้แล้วยกมือไหว้ทักทาย แต่ดันลืมไปว่าในมือน่ะมีสายยางที่เปิดน้ำแรงสุดคาไว้อยู่ เลยกลายเป็นน้ำพุยิงขึ้นฟ้าก่อนจะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงลงมาใส่ทั้งหัวทั้งตัวจนเปียกแฉะ
คนด้านบนเห็นทุกเหตุการณ์ถึงกับหัวเราะตัวโยก เฟอะฟะกว่านี้จะหาได้จากไหนอีก พอตั้งสติได้เลยใช้มือทำสัญลักษณ์ตักข้าวเข้าปาก ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าชวนให้ร่วมอาหารเช้ามื้อนี้ น้องพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงานต่อให้เสร็จ
ความอิ่มเอมในใจที่เกิดขึ้น ทำให้ธรณินรู้ว่าตัวเองก้าวออกมาไกลจากอดีตมากพอที่จะไม่ก้าวถอยหลังกลับเข้าไปอีก เมื่อคืนเข้าไม่ฝันร้าย ไม่คิดถึง ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจนอกจากเด็กปลาการ์ตูนคนนี้
การได้รับอภัยจากใครในโลกไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการยกโทษให้ตัวเอง ซึ่งคิดว่าพิมพ์ดาวจะเข้าใจและยินดีไปกับเขา ธรณินเลือกจะลืมเหตุการณ์เลวร้าย แต่เขาจะไม่มีวันลืมเรื่องราวของเรา และเก็บเธอเอาไว้ในจุดที่ลึกสุดของความทรงจำ...
ความรู้สึกทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้ว่าหัวใจของตัวเองแข็งแรงมากพอที่จะเริ่มต้นใหม่เพื่อรักใครสักคนอีกครั้ง
“นายคือฝันดีของฉันนะ...ไออุ่น”
และมันคงเป็นใครไม่ได้เลย...
100%จ้ะแม่
แฮปปี้วันศุกร์เดย์ เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์ก็จะผ่านพ้นไปในเร็ววันเชื่อสิ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทุกคนต่างมีฝันร้าย แต่พี่ดินกับน้องต้องเป็นฝันดีของกันและกันนะ
ทุกคนต่างก็มีฝันร้ายของตัวเอง แต่ถ้าเราได้มีใครสักคนเคียงข้างข้ามผ่านฝันร้ายไปด้วยกันคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย
แบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
พี่ดินเขาชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองแล้ว น้องอุ่นล่ะรู้สึกอะไรบ้างหรือยังลูก55555555