ตอนที่ 2 : 01 - อุ่นไอใกล้ๆดิน 100%
วันแรกของการเริ่มต้นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย เสื้อผ้าหน้าผมถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งยิ้มให้คนแปลกหน้าที่คาดว่าจะได้เป็นเพื่อนกันในอนาคตเป็นสิ่งที่ไออุ่นกำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้ รอยยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุดในการสร้างมิตรภาพ แต่โชคดีหน่อยที่เขาไม่ได้มาเรียนที่นี่คนเดียว..
“ไอ้อุ่น!”
“ผา!”
เพราะอย่างน้อยเพื่อสนิทที่สุดอย่างไอ้ภูผาก็ตั้งใจอ่านหนังสือสอบจนสามารถเข้าเรียนที่มหา’ลัยเดียวกันได้ แถมคณะแล้วก็สาเขาเดียวกันอีกด้วย เหตุผลหลักๆ คงหนีไม่พ้นการตามเพื่อนหรอก แต่อันที่จริงเราสองคนชอบอะไรเหมือนกันหลายอย่าง อยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่มัธยมต้น พอมามัธยมปลายก็ดันเลือกเรียนสายเดียวกันอีก ทั้งสองคนเป็นเด็กหน้าห้องแล้วก็หัวดีกันทั้งคู่ ตำแหน่งขวัญใจคุณครูทั้งระดับเลยไม่หล่นหายไปไหน ความจริงแล้วภูผาก็ได้ทุนเต็มจำนวนเช่นเดียวกันแต่ว่าคนละมหาวิทยาลัย สุดท้ายมันดันตัดสินใจสละทุน แล้วก็มาสอบเข้าที่เดียวกันนี่แหละ
“ตื่นเต้นว่ะมึง กูตื่นตั้งแต่หกโมงลืมไปว่ามหา’ลัยไม่ต้องเข้าแถว”
“ต้องเข้าแถวเหมือนกัน อุ่นเห็นมีธงชาติอยู่หลังมออะ” ไออุ่นทำหน้าตาตื่น
“เห้ย! จริงเหรอวะ งั้นรีบไปดิ” รายนี้ก็เล่นใหญ่ใส่เต็ม
สมแล้วที่เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่
“ผาตลกอะ เรารีบไปกันเหอะเผื่อหลงทางจะได้ทัน”
“กินข้าวเช้ามายังอะ”
ไออุ่นส่ายหัว มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ปกติมื้อเย็นกว่าจะได้กินก็หลังเลิกงานตอนตีสอง พอเช้ามามันเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ว่าวันไหนเดินผ่านหน้าร้านน้ำเต้าหู้ คุณป้าก็จะตักมาให้กินฟรีๆ กับปาท่องโก๋อีกสองตัว พอบ่อยเข้าก็รู้สึกเกรงใจ เลยเลี่ยงไม่เดินผ่านหน้าร้านบ้างอะไรบ้าง ส่วนมากมื้อแรกของวันเลยจะเป็นตอนเที่ยง อีกทีก็ดึกๆ นู่นเลย
“แม่ฝากมาบอกว่าอยากให้มึงเลิกทำงานร้านเจ๊ออย มันอันตรายนะถ้าเจอตำรวจเข้าไปตรวจ”
เรื่องนี้เขาเองก็พอรู้ ร้านเหล้าแบบนั้นอายุต้องเกินยี่สิบปีถึงเข้าได้ แต่เขาก็เข้าออกเป็นประจำมาตั้งแต่อายุสิบห้า ก็แค่อยู่แต่หลังร้านถ้าตำรวจลงก็หนีออกไปทางประตูเล็ก “แต่อุ่นแค่ล้างจานอยู่หลังร้านเองผา เจ๊ออยบอกว่าไม่เป็นไร”
“นั่นแหละ กลับบ้านเที่ยงคืนตีหนึ่งมันอันตราย แล้ววันนึงนอนแค่สามชั่วโมงมันจะไหวได้ไงวะอุ่น”
“อุ่นก็ทำมาจะห้าปีแล้วไงผา อุ่นสบายมากผาก็เห็น”
“จ้า สบายมาก เป็นลมหัวจะฟาดพื้นมากี่ครั้งแล้ว”
“ชอบเอาเรื่องเก่ามาพูด”
“ดูแลตัวเองบ้างอุ่น กูรู้ว่ามึงต้องทำเพราะอะไร แต่หาเวลาให้ตัวเองพักบ้าง”
“จ้าพ่อ~”
“เดี๋ยวมึงจะโดน”
เห็นกวนกันไปกวนกันมาแบบนี้ แต่ภูผาน่ะเป็นคนเดียวบนโลกเลยล่ะมั้งที่เป็นห่วงเขาจริงๆ คอยช่วยเหลือเท่าที่จะพอทำให้กันได้ เวลามีเรื่องเครียดต้องการจะปรึกษาใครสักคนก็ไม่พ้นคนนี้หรอกที่วางใจจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งดีแล้วก็ไม่ดีของตัวเอง ถึงโชคชะตาจะกลั่นแกล้งกันสักแค่ไหน อย่างน้อยภูผาก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ เรื่องนึงที่ชีวิตของไออุ่นพอจะมีได้
เสียงพูดคุยจอแจดังทั่วโรงอาหารเหมือนนกแตกรัง เนื่องจากวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ในเวลาสามเดือนที่ได้หยุดพักผ่อน บางคนก็กลับบ้านต่างจังหวัด บางคนก็ไปwork and travelหาประสบการณ์ให้ชีวิต พอได้กลับมาเจอกันเรื่องราวที่ตั้งใจนำมาแชร์เลยมากเป็นพิเศษ กระทั่งผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายใน หัวข้อหลักในการสนทนาจึงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเดียวกันทั้งโรงอาหาร
‘ไม่ได้เจอตั้งสามเดือน ความหล่อของพี่ดินมีแต่จะเพิ่มพูล’ สาวสองนางหนึ่งยกมือขึ้นซับหัวตา
‘พี่เชนของเมียก็ไม่น้อยหน้าเลยเจ้าค่ะ อีกสี่เดือนสงสัยกูต้องไปดร็อป’
‘ทำไมคะ’
‘กูตั้งครรภ์ลูกพี่เขา ท้องโย้มาเรียนคงอายพวกมึงแย่’
‘ถ้ามึงท้องกับพี่เชนได้ ป่านนี้ครอบครัวกูคงสุขสันต์กับพี่ไทม์’
‘แล้วอีกอย่างนะ มึงท้องไม่ได้!’
‘ทำไม!!’
‘มึงเป็นตุ๊ด!!’
สามทหารเสือแห่งวิศวะ นั่นคือชื่อกลุ่มที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนตั้งเอง ธามไท อดีตเดือนที่ควบตำแหน่งพรีเซนเตอร์แทบจะทุกอย่างของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ชุดนิสิต โฆษณาทุนการศึกษา ยันกระเป๋าผ้าการกุศลก็ทำมาแล้ว เรียกได้ว่าประกวดทีเดียวใช้คุ้มไปอีกสามปี
คนถัดมา คเชนทร์ พี่เชนคนดีของสาวๆ ถ้าจะเข้าหาใครสักคนในสามทหารเสือ คนนี้ดูจะเข้าท่าแล้วก็ง่ายที่สุด แต่ด้วยความใจดีและเฟรนลี่ก็ทำให้หน้าหล่อๆ ของมันเกือบจะเสียโฉมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เล่นยิ้มให้เขาไปทั่ว ผู้หญิงก็หลงตัวเองคิดว่ามีใจให้ เต๊าะกันไปเต๊าะกันมาเรี่ยราด บางทีผิดจังหวะเลยไปเจอผู้ชายของพวกนางเล่นเข้าให้ แต่ก็ได้แค่คนละครั้งเท่านั้นแหละ ไอ้พวกที่กล้าลองดีก็เพราะไม่รู้ว่าพ่อมันเป็นใคร กว่าจะรู้ตัวอีกทีไม่ถูกส่งไปดัดสันดานในตาราง ก็ถูกไล่ออกจากมหา’ลัยโดยไม่ได้ตั้งตัว
คนสุดท้าย..ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเขาหรอก เพราะมีสรรพนามประจำตัวคือคำว่า‘คุณชาย’ไม่รู้ว่าใครหรือรุ่นไหนเป็นคนริเริ่ม พอมารู้ตัวอีกทีก็ถูกเรียกแบบนี้จนชิน ภาพติดตาของทุกคนคือกล้องหนึ่งตัวคล้องคอไปทุกที่ ตัดกับเสื้อช็อปวิศวะ ที่มันโคตรจะไม่เข้ากัน ถ้าชอบถ่ายรูปขนาดนั้นทำไมถึงไม่ไปเรียนนิเทศฯ นั่นคือคำถามที่ใครหลายคนเฝ้าสงสัย และมีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่จะรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ดิน ธรณิน พิชญเดชา คนนี้แหละที่เป็นเจ้าของเรื่องราวทั้งหมด
“กูบอกแล้วว่าอย่ามาโรงอาหาร ทำไมมึงไม่แดกให้เสร็จมาจากบ้านวะ” เขาโคตรเบื่อการถูกซุบซิบนินทาที่พูดกันเหมือนอยู่ไกลคนละฟากตึก ความจริงคืออีกนิดนึงก็มากระซิบข้างหูแล้วนะ
“ไอ้ไทม์มึงอย่าหัวร้อนได้ป้ะ เดี๋ยวเย็นนี้ไปห้างกับกูกูจะซื้อกล้องให้ตัว”
“ซื้อทำห่าไร”
“ก็เผื่อมึงจะได้เลิกบ่นกูแล้วนั่งคุยกับกล้องเหมือนไอ้ดินมันไง” ตอนแรกก็ไม่เชื่อที่คนอื่นเขาพูดกันว่าพี่ดินคุยกับกล้องได้ แต่หลังๆ มานี้เริ่มจะฟังหูไว้หูแล้ว ไอ้เครื่องเหลี่ยมๆ หนักๆ นั่นมีอะไรให้จ้องนักหนาวะ ถ่ายก็ถ่ายแต่วิว สามปีมานี้มันยังถ่ายไม่ทั่วมหา’ลัยอีกหรือไงก็ไม่รู้ “หรือมึงแอบเซฟคลิปโป๊ไว้ในกล้องแล้วส่องดูวะไอ้ดิน”
“ไอ้ควายเชน มึงแม่งก็คิดได้” ธามไทตบหัวเพื่อนดังโป๊ก
“เพื่อนกันป้ะวะ ของงี้ต้องแบ่งปันหน่อย” ยัง..ยังไม่เลิก
“ไปขอพ่อมึงดูนู่น”
และอีกฉายาที่คเชนทร์ขอมอบให้เพื่อนรัก..พูดน้อยต่อยหนัก รุนแรงกับใจเพื่อนตลอดเลยนะครับคุณชาย..
อนลเปิดดูตารางเรียนในโทรศัพท์เช็คให้แน่ใจอีกที พอถูกต้องแล้วก็ออกแรงผลักประตูเข้าไป เขากับภูผามาก่อนเวลาเรียนเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอก เพราะวันนี้เป็นวันแรกภูผาเลยยอมตามใจเพื่อน อาทิตย์ถัดไปคอยดูเหอะ สิบนาทีก่อนเข้าเรียนยังนั่งกินลูกชิ้นปิ้งอยู่โรงอาหาร
“นั่งไหนดีอะผา เอาข้างหน้าหรือตรงกลาง” คิดว่าตัวเองมาเช้าแล้วแต่ก็ยังแพ้เพื่อนๆ อีกเกือบสิบคนที่คอยอยู่ข้างใน
“ข้างหน้าน้ำลายอาจารย์ชอบกระเด็นใส่หัวกู กลางๆ แล้วกัน” นี่ไม่ได้พูดเล่น ประสบการณ์ตรงล้วนๆ ไม่เป็นอันเรียนเลยตอนนั้น มาถี่ยิ่งกว่ากระสุนปืนกล
“เว่อร์อะผา งั้นนั่งตรงนั้นละกันนะจะได้เห็นโปรเจคเตอร์ชัดๆ”
“เดี๋ยว!” ภูผารั้งข้อมือเพื่อนรักเอาไว้ ดึงมันเดินลงไปสองแถวถัดจากหน้าสุด
“ไหนผาบอกอุ่นว่าจะไม่นั่งหน้าไง”
ภูผาไม่สนใจเสียงของเพื่อนสนิทที่ดังแง้วๆ อยู่ข้างหูเลย เขาปรี่ไปนั่งแถวเกือบหน้าสุด นาทีนี้ไมค์อาจารย์จะลอยมาโดนหัวก็ไม่กลัวแล้ว
“ไอ้อุ่นมึงเข้าไปดิ๊”
อนลไม่เข้าใจแต่ก็ยอมทำตาม เพราะว่ามีเพื่อนผู้หญิงนั่งอยู่ เขาจึงเว้นระยะห่างหนึ่งเก้าอี้เป็นมารยาท แล้วก็พอจะรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมไอ้เพื่อนตัวดีมันถึงยอมมานั่งให้น้ำลายกระเด็นใส่หน้า
“หวัดดี ตรงนี้จองไว้ให้ใครหรือเปล่าคะ”
เธอคนสวยคนนั้นหันมาหา ชี้นิ้วจิ้มๆ ลงไปตรงเก้าอี้ว่างที่เขาเว้นเอาไว้ ขนาดเมื่อกี๊มองแค่ด้านข้างยังพอรู้ว่าหน้าตาดี พอได้หันมาเท่านั้นแหละ..โคตรสวยเลย
“ไม่มีครับ” อนลรีบตอบ หันไปกระทุ้งศอกใส่คนข้างๆ ให้เก็บอาการหน่อย
“ถ้างั้นเราขอนั่งด้วยนะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวเราเขยิบเข้าไปเอง” อนลเลยขยับเข้าไปนั่งติดกับเพื่อนใหม่ โดยมีภูผาตามมาติดๆ ทุกที..เวลาจะเข้าหาใครไอ้อุ่นโดนใช้เป็นสะพานเชื่อมตลอด
“มาเรียนด้วยกันสองคนเหรอ”
“ใช่ครับ ตอนมัธยมเรียนมาด้วยกัน” พอเจอสาวสวยทีไรโรคใบ้ของไอ้ภูผาก็กำเริบ เลยเป็นเขาที่คอยตอบคำถามเพื่อนใหม่
“ดีจังเลยมีเพื่อนมาเรียนด้วย นี่เรามาคนเดียวอะ”
“ถ้างั้นมาเป็นเพื่อนกันมั้ย เราชื่ออุ่น ส่วนนี่—”
“ภูผาครับ เรียกสั้นๆ ว่าผาก็ได้”
“เราชื่อพระพายนะ” เธอกระตือรือร้นตอบ ก่อนจะหันไปคุยกับใครในโทรศัพท์ “อาเบลล์ พายมีเพื่อนแล้วนะคะชื่ออุ่นกับภูผา”
ไม่ทันตั้งตัวกล้องจากวีดีโอคอลก็เบนมาทางสองหนุ่ม อนลเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าต้องทักทายยังไงเลยยกมือสวัสดีไป เขาไม่ทันได้สังเกตว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาในโทรศัพท์เครื่องแพงของเพื่อนใหม่มีใครอีกคนอยู่ในนั้นตั้งแต่ก่อนจะเดินมานั่งเสียอีก
[สวัสดีครับสองหนุ่ม] คนในนั้นรับไหว้ [ยังไงอาฝากดูพระพายด้วยนะ/เพื่อนผู้ชายหมดเลยเหรอพาย]
ยังไม่ทันได้ตอบอะไรพระพายก็ชักโทรศัพท์คืนไปคุยเอง “อาเบลล์พายโตแล้วนะคะดูแลตัวเองได้ อาวินท์เพื่อนผู้ชายไม่ดีตรงไหน”
อนลปล่อยให้สามอาหลานเถียงกันต่อไป มีบางประโยคที่ตลกจนต้องแอบหัวเราะ “ภูผา งานยากแล้ว อาเขาหวงยิ่งกว่าอะไร”
“กูไม่ได้คิดอะไร ก็เพื่อนกันป้ะ”
“จ้า~”
เริ่มใกล้เวลาเรียนเพื่อนนักศึกษาก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ จนที่ว่างตอนแรกเต็มเกือบหมด เราสามคนพูดคุยกันฆ่าเวลา พระพายเป็นผู้หญิงน่ารักช่างพูด เลยทำให้เข้ากันได้กับไออุ่นที่อัธยาศัยดีวางตัวเป็นมิตร ใครได้อยู่ใกล้ก็สบายใจที่จะพูดคุย พอเธอรู้ว่าเขาเป็นเด็กทุนของมหา’ลัย ก็ชื่นชมใหญ่ แล้วก็ลากบ่นยาวถึงเรื่องของตัวเอง
“จริงๆ แล้วพายก็ได้ทุนนะ แต่เป็นมหา’ลัยต่างจังหวัดอะ พายกลัวคุณอาเป็นห่วงพายก็เลยสละไป”
“พระพายกับคุณอาดูรักกันมากเลยเนอะ”
“ใช่ พายรักคุณอามาก เนี่ยเดี๋ยวเขาก็มารับ จะแนะนำให้รู้จักนะ”
“อื้ม”
ประโยคสนทนาเงียบลงทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาภายในห้อง นักศึกษาเก็บโทรศัพท์มือถือหันมาตั้งใจว่าจะเกิดอะไรต่อไปจากนี้ ทุกคนดูตื่นเต้นเหมือนกันหมดเพราะมันเป็นครั้งแรกที่จะได้เริ่มต้นเป็นนักศึกษาเต็มตัว อาจารย์ดูแต่งตัวสบายๆ ไม่ได้เนี้ยบหรือมีชุดประจำวันเหมือนตอนเรียนมัธยม แถมยังใช้จอโปรเจคเตอร์แทนกระดานดำ..อย่างเท่
‘สวัสดีนักศึกษาทุกคนนะครับ ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำตัว’
อนลหยิบสมุดขึ้นมาจดรายละเอียดวิชา คะแนนเก็บ คะแนนสอบ คะแนนเข้าห้อง แบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เข้าเรียนแปดโมงสี่สิบแต่จะเช็คชื่อให้ถึงเก้าโมงตรง ถ้าเกินกว่านั้นคือขาดเรียน มีคะแนนเข้าห้องสิบคะแนน ขาดหนึ่งครั้งตัดศูนย์จุดห้า ภูผาโอดครวญอยู่ในลำคอ ถ้าเป็นตอนเรียนมัธยมมันคงร้องโห่ดังลั่นห้องให้อาจารย์ได้ยินไปแล้ว
‘วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากcourse outlineผมส่งให้พวกคุณอยู่ในเมลมหา’ลัยเรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้อีเมล ตั้งแต่นี้ไปผมรบกวนโหลดมันติดเครื่องไว้หน่อย เพราะนอกจากกรุ๊ปไลน์ที่ผมจะสั่งให้พวกคุณสร้างแล้ว อีเมลถือเป็นอีกช่องทางที่ผมจะใช้ติดต่อกับพวกคุณนะครับ’ อาจารย์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ ‘นี่ก็เก้าโมงพอดี งั้นผมขอเช็คชื่อเลยแล้วกัน’
เพราะเป็นการเรียนsectionใหญ่เกือบสองร้อยคนเลยใช้เวลาเช็คชื่อนานพอสมควร อาจารย์บอกรายละเอียดการเรียนการสอนอีกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้กลับ
“อุ่นกับผาจะกลับกันเลยมั้ย”
“อาของพายจะมารับยัง เดี๋ยวพวกเรารอเป็นเพื่อนก่อนก็ได้”
“เย่! ใจดีจังเลย”
ศาลาริมน้ำเป็นสถานที่ที่พวกเราตกลงจะไปนั่งรอคุณอาของพระพาย ตรงนี้ไกลจากหน้าหมาวิทยาลัยไม่มาก แถมยังมีวงเวียนให้กลับรถได้สะดวกๆ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มขอเลี้ยงน้ำเป็นของขวัญสำหรับฉลองมิตรภาพ แล้วก็แทนคำขอบคุณที่เสียเวลานั่งคอยเป็นเพื่อน
“อ้ะ แสกน”
เห็นพระพายกดอะไรในโทรศัพท์อยู่สักครู่ เธอก็ส่งมาคิวอาร์โค้ดมาให้ “สร้างกรุ๊ปไลน์เหรอ”
“อื้ม พรุ่งนี้จะได้นัดกันถูก”
อนลลอบมองภูผาที่ตอนนี้มันนั่งเกร็งจนอดสงสารกล้ามเนื้อไม่ได้ แต่ก็ยื่นโทรศัพท์มาแสกนตามคำขอ
“รถอาเรามาแล้ว ไปก่อนนะทุกคน พรุ่งนี้เจอกัน”
สองหนุ่มโบกมือตอบแต่ไม่ได้ลุกเดินไปส่ง เพราะว่าจากตรงนี้ไม่ถึงสามเก้าก็ถึงริมถนนแล้ว ได้แต่เอี้ยวตัวมองตามไป พอเห็นว่ารถคันที่เพื่อนใหม่เดินไปขึ้นคือเบ๊นซ์สีดำวาวแถมยังเป็นป้ายแดงอีก ก็เริ่มรู้สึกหนาวๆ จริงๆ ก็พอมองออกทั้งหน้าตา ผิวพรรณ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ของเธอดูไม่ได้ตลาดเหมือนกันกับเรา แต่การวางตัวกลับตรงกันข้าม พระพายเป็นคนเข้าหาพวกเราก่อน พูดคุยสนิทสนม ไม่ได้ถือตัวอะไร
สองหนุ่มยกมือไหว้สวัสดีผู้ใหญ่ในรถโดยที่ไม่รู้ว่าหลังฟิล์มดำๆ นั่นเขาจะมองเห็นหรือเปล่า กระทั่งกระจกเลื่อนลงให้เห็นผู้ชายสองคนที่นั่งด้านหน้าคู่กัน คนหนึ่งยิ้มน่ารักจนไออุ่นเผลอยิ้มตาม ส่วนอีกคนใส่แว่นกันแดดทำหน้าขรึมมองมาทางพวกเขา
“สวัสดีครับหนุ่มๆ ติดรถอาออกไปหน้ามหา’ลัยด้วยกันมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ถ้าสนิทกว่านี้อาจจะไม่ปฏิเสธ แต่นี่วันแรกเอง กลัวจะไปทำเบาะเขาสกปรกน่ะสิ
คุณอายิ้มเก่งคนนั้นไม่ได้เซ้าซี้ ปิดกระจกก่อนรถจะเคลื่อนออกไป “ดอกฟ้าหมาวัดเลยนะภูผา”
“ไอ้อุ่น เขาน่ารักมากเลยอะ ยิ้มทีโลกกูนี่แบบ”
“เมื่อยคอแย่เลยนะผา ต้องเงยหน้าคุยกับดอกฟ้าอะ..โถ~ หมาวัดของอุ่น”
“แค่ได้เป็นเพื่อนกับเขากูก็ดีใจแล้วเว่ย ไม่หวังมากไปกว่านั้นหรอก”
“น่าสงสารจังเลยเพื่อนใครว้า”
“แล้วนี่จะยังไงต่อ เพิ่งเที่ยงเองจะไปร้านเจ๊ออยเลยเหรอ” ภูผาชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ขืนมากกว่านี้เขาได้ร้องไห้จริงๆ
“ยังอะ อุ่นว่าจะไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดก่อน”
ชวนกันไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้เพิ่งถัดมาจากศาลาริมน้ำได้ไม่ถึงสิบก้าว ก็ไอ้หมาวัดน่ะสิดันอยากได้รูปเท่ๆ ตั้งโปรไลน์ใหม่ ใช้รูปนี้มาเกือบปีไม่คิดเปลี่ยน พอได้ไลน์สาวเข้าหน่อยเรื่องมากเลยนะ
“มึงถอยไปอีกอุ่น ถ่ายใกล้ๆ มันไม่คูล”
อนลทำตามคำบอกของเพื่อน เดินถอยหลังไปจนเท้าปริ่มอยู่ขอบหินริมทะเลสาบ “พอยังผา ตรงนี้อุ่นว่าก็ดีแล้วนะ”
“เออๆ ถ่ายเลย”
“หนึ่ง สอง สาม!” อนลลั่นชัตเตอร์สี่ครั้งกันพลาด
“กูขอมุมเสยรูปนึงอุ่น เอาหล่อๆ นะ”
เขาส่ายหัวในความเรื่องมากของเพื่อนตัวเอง ไกลขนาดนี้จะเสยจะเงยจะก้มก็แทบดูไม่ต่าง ย่อตัวนั่งยองลงไป กดโทรศัพท์ให้ต่ำติดดิน ช็อตนี้ได้แน่ เห็นทั้งต้นหญ้าเห็นทั้งวิวท้องฟ้า แล้วไหนจะภูผาแบบเต็มตัวอีก ทรีอินวันขนาดนี้ถ้าไม่ชอบก็ไปซื้อขาตั้งกล้องแล้วถ่ายเองเหอะ
“หนึ่ง สอง สา—เห้ย!"
“เห้ยไอ้อุ่น!!”
หินก้อนที่ขาซ้ายใช้ทรงตัวดันหลุดออกจากก้อนอื่นๆ หายจ๋อมหล่นลงไปในน้ำพร้อมกับร่างของเขาที่ซวนเซ สองมือตะกายคว้าอากาศ รอบข้างไร้สิ่งของสำหรับพยุงตัว สมองสั่งให้ก้าวขึ้นไปด้านหน้าสลับกับร่างกายที่จะหงายหลังเสียให้ได้ จังหวะสุดท้ายเขาหลับตายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ภาวนาไม่ให้น้ำในบ่อนี้ลึกหรือว่ามีสัตว์อะไรที่จะทำอันตรายกัน กลัวเปียกก็กลัวแต่คงทำอะไรไม่ได้แล้ว
ทุกอย่างหยุดชะงัก ร่างของเขาไม่กระทบกับผิวน้ำทั้งที่ทิ้งน้ำหลักลงไปเต็มที่ อนลลืมตาข้างหนึ่งมองหาวัตถุประหลาดที่ช่วยยึดเขาเอาไว้ไม่ให้ตกลงไป แถมยังไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าวัตถุนั้นจะรับไม่ไหวแล้วพากันตกลงไปในอีกครั้ง
“ถ้าฉันตกลงไปด้วย—”
“ค..คุณ..คุณหนู”
“นายไม่ตายดีแน่..ไออุ่น”
50%
ผ่านมาเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากเหตุการณ์หวาดเสียวที่เกิดขึ้น อนลสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันถ่ายรูปให้ไอ้เพื่อนเฮงซวยอย่างภูผาอีกตลอดชีวิต มาเรียนวันแรกแต่เกือบจะได้เป็นตำนานผีเฝ้าสระบัวมหา’ลัยแล้วไหมล่ะ ยังคิดสภาพไม่ออกเลยจริงๆ หากว่าตกลงไปจะเป็นอย่างไร กะด้วยสายตาคงลึกไม่ใช่เล่น ลำพังตกไปคนเดียวอันนั้นว่าน่ากลัวแล้วนะ แต่ถ้าคุณหนูไม่แข็งแรงพอจะรั้งเราทั้งคู่เอาไว้แล้วล่วงลงไปด้วยกัน อนลยังคิดไม่ตกไอ้คำว่าไม่ตายดีของคุณเขามันแปลว่าอะไร
..พูดถึงก็ขนลุกอีกแล้วเนี่ย..
“ไอ้อุ่น! เดินชักช้าอืดอาด มานี่เร็วๆ เข้า” ทิพย์ตะโกนเสียงดังเรียกลูกชาย ออกแรงสับซี่โครงหมูออกเป็นเส้นสวยเท่ากัน ก่อนจะปักปังตอคาไว้บนเขียงไม้ “เดี๋ยวอยู่ปิดร้านด้วยล่ะ ข้าจะกลับแล้ว”
“จ้ะแม่” อีกประมาณสองชั่วโมงตลาดจะวาย ตอนนี้แค่อยู่ขายของบนเขียงให้หมด เก็บกวาด เอาน้ำราดล้างกลิ่นคาวก็เสร็จเรียบร้อย งานแบบนี้เขาทำตั้งแต่ยังไม่สิบขวบเลย “แม่รีบไปไหนเหรอจ๊ะ”
ทิพย์หยิบเงินในกระป๋องเทใส่ถุง ทั้งแบงค์ เศษเหรียญเงินทอนไม่มีเหลือไว้ให้ “ไม่ใช่กงการอะไรของเอ็ง”
“พรุ่งนี้เช้าแม่อยากทานอะไรจ๊ะ กับข้าวที่บ้านหมดแล้วอุ่นจะได้ซื้อเตรียมให้” เมื่อวานก่อนขนของในตู้เย็นออกมาจนหมด ต้มแกงไก่ใส่ฟักได้หม้อหนึ่งตักราดข้าวกินกันได้หลายมื้อ เพิ่งจะมาหมดไปเมื่อเช้านี่เอง
แต่อนลก็เคยชินแล้วล่ะกับคำพูดของตัวเองที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจได้ยิน โดยเฉพาะกับคนเป็นแม่ ตอนเด็กคิดว่าพูดเสียงเบาเกินไปแม่เลยไม่ได้ยิน แต่พอโตมาถึงรู้ว่าแม่ได้ยิน แต่แค่ไม่อยากตอบ..
“เดี๋ยวไอ้พงศ์มันจะมาเก็บค่าเช่าแผง จ่ายให้มันไปด้วยล่ะ” เธอหันมาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
“เงินอยู่ตรงไหนเหรอแม่” อนลถามหาเพราะเมื่อกี๊เห็นว่าเก็บไปจนหมด ไม่ได้เหลือทิ้งไว้
“วันนี้ขายไม่ค่อยดี จ่ายไปก่อนก็แล้วกัน”
เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังมาจากซอยข้างตลาด ควันสีเทาลอยคลุ้งไม่เกรงใจคนที่อยู่แถวนั้น อนลมองตามแผ่นหลังของแม่ที่เดินเข้าไปใกล้ ขึ้นคร่อมซ้อนท้ายก่อนจะหายออกไปทางถนนใหญ่
ตั้งแต่พ่อจากไป ชีวิตเราสองแม่ลูกก็เหมือนถูกปล่อยเคว้งอยู่กลางทะเล ตอนนั้นเพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบเท่านั้น เขาเห็นแม่ทำงานหนักหาเงินแลกข้าวแลกน้ำในแต่ละวัน ภาพความทรงจำไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ มันขาดๆ หายๆ ไม่เป็นเรื่องราว แต่ที่จำและฝังอยู่ในใจคือแม่ร้องไห้ ทั้งด่าทั้งสาปแช่งพ่อที่หนีไปแบบนี้ พอโตขึ้นอนลเห็นยาตัวหนึ่งช่วยแม่ได้ เวลาที่ได้กินแม่จะมีความสุขไม่ร้องไห้ แล้วก็ไม่คิดถึงพ่อ ยาตัวนั้นไม่ต้องไปซื้อหาถึงโรงพยาบาล แค่ร้านขายของชำก็มีให้แล้ว แม่เรียกมันว่า ‘เหล้า’
จากเคยกินอยู่ที่บ้านแม่เริ่มออกไปข้างนอก กลับมาดึกดื่นเมามายไม่เหลือสภาพ เงินทองที่พอมีเริ่มร่อยหรอกลายเป็นติดหนี้ติดสิน และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือแม่พา ‘มัน’ เข้ามาอยู่ด้วยกันกับเราที่บ้าน อนลไม่เคยโกรธที่แม่ดื่มเหล้าแทนน้ำ อาเจียนเลอะเทอะไปทั่วบ้านก็ตามเก็บกวาดให้จนสะอาด แต่ที่เขารับไม่ได้คือต้องเรียกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันว่าพ่อ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ทำ มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่ยอม และไม่มีวันยอม
“ที่ป้าเคยบอก ลองทำหรือยัง”
อนลหลุดออกจากภวังค์หันไปหาคุณป้าเจ้าของแผงผักติดกัน เธอเคยบอกว่าให้เอาผ้าถุงผู้หญิงคลุมหัวให้แม่ตอนหลับ เพราะคิดว่าโดนของ ถึงได้รักจนถวายชีวิตขนาดนั้น เงินกินข้าวในแต่ละวันแทบจะไม่มีแต่แค่มันเอ่ยปากขอ แม่ก็มีเงินมากพอที่จะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้
อนลส่ายหัวยิ้มๆ ทุกวิธีที่มีคนแนะนำต่อให้งมงายแค่ไหนเขาลองมาหมด สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีอยู่ข้อเดียวที่คิดเอาไว้แต่ยังไม่ลงมือ คือให้แม่เลือกระหว่างลูกชายอย่างเขากับมันที่เป็นคนอื่น แต่ใจยังไม่กล้าพอว่าถ้าคำตอบออกมาไม่ใช่แบบที่คิด คนที่ถูกเลือกไม่ใช่เรา ตอนนั้นจะต้องทำอย่างไร
..ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ให้ถึงวันที่แม่ตาสว่างเสียที..
เปิดเทอมวันแรกไม่มีอะไรมากหรอก ประโยคนี้ใช้ไม่ได้กับนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ปีสี่ ตารางเรียนอัดแน่นเช้ายันเย็นไม่มีหยุดพัก แต่ไม่ต้องโทษใครที่ไหน ด้วยความขี้เกียจกันล้วนๆ ปีสองปีสามลงเทอมละสี่ห้าตัว พอใกล้จบเลยต้องมาตะบี้ตะบันยัดจนไม่เหลือเวลาหายใจ
แต่นั่นก็ไม่ใช่สำหรับสามทหารเสืออีกนั่นแหละ โปรเจคที่ได้รับคำสั่งมาพวกเขาโยนมันทิ้งไว้ในไลน์กรุ๊ปตั้งให้เตือนก่อนส่งหนึ่งวันก็เพียงพอ แค่คืนเดียวงานก็ออกมาสมบูรณ์แบบได้ กรุงโรมสร้างไม่เสร็จในวันเดียวก็เพราะคนสร้างไม่ใช่ ดิน เชน แล้วก็ไทม์ ไง เพราะถ้าเป็นสามคนนี้อย่าว่าแต่กรุงโรม ให้สร้างอิตาลีทั้งประเทศก็สบายมาก
บรั่นดีราคาแพงหมดไปหนึ่ง กับเบียร์อีกเล็กน้อย ขวดมิกซ์เซอร์วางเกลื่อนกลาดไม่ได้เก็บ เสียงเพลงในร้านเริ่มเปลี่ยนเป็นเพลงช้า และไฟภายในสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าราตรีนี้ใกล้เลิกราเข้าไปทุกที
“วันนี้กูเลี้ยงเอง” คเชนทร์ออกตัว เรียกเด็กเสิร์ฟพร้อมกับยื่นการ์ดให้
สองคนที่เหลือไม่ได้เอ่ยปากขัดอะไร มันก็เป็นแบบนี้ทุกที โดนฤทธิ์น้ำเมาทีไรวิญญาณป๋าก็เข้าสิง ถึงเวลาสร่างได้วิ่งแจ้นกดเครื่องคิดเลขมาหารเท่า มาด้วยกันกับพวกเขาไม่มีปัญหาหรอก แต่พอไปกับคนอื่นทีไรเช้ามาโวยวายทุกทีว่าโดนหลอกให้จ่ายอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายมันเลยตัดปัญหาถ้าจะไปกินเหล้ากับคนอื่นก็ต้องแบกไอ้สองตัวนี้ไปด้วย
“งั้นกูกลับก่อน เจอกันพรุ่งนี้” ธรณินลุกขึ้นยืนหยิบโทรศัพท์ กุญแจรถแล้วก็กระเป๋าเงินไว้ในมือ
“พรุ่งนี้เรียนเช้านะไอ้ดิน” คเชนทร์เตือนขึ้น
ธรณินพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ความสามารถพิเศษอีกหนึ่งอย่างของพวกเรา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนถึงเวลาเช้ามาก็พกสติไปเรียนได้อย่างคนปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขากดรีโมทเปิดรถก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่ง กดปุ่มสตาร์ทเปิดเครื่องปรับอากาศเตรียมพร้อม สายตามองไปข้างหน้าตามแสงไฟของรถที่สาดส่อง ถัดออกไปเขาเห็นเงาตะคุ่มๆ ทางประตูหลังร้านที่เป็นช่องลับสำหรับเด็กที่อยากทำอะไรเกินตัว รู้เพราะตอนอายุยังไม่ถึงพวกเขาเองก็ใช้ทางนั้นเข้าออกเหมือนกัน ธนณินกดเปิดไฟสูงมองให้แน่ใจ หยิบโทรศัพท์มือถือยกขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน
“เด็กดีของป้านวล เข้าผับตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบ” เขาถอนหายใจ ว่าแล้วเชียววัยรุ่นที่ไหนจะกตัญญูหาเงินเลี้ยงดูแม่ขี้เมากับพ่อเลี้ยงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันก็เป็นแค่สตอรี่สั้นๆ ไว้หลอกคนแก่เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายค่าเหล้าแบบนี้นี่ไง
กดถ่ายวีดีโอได้ไม่ถึงสองวินาทีก็ต้องลดโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่ได้เดินกลับบ้านปะปนกับวัยรุ่นคนอื่นๆ แต่กลับเข้าไปข้างในแล้วออกมาพร้อมถุงขยะใบใหญ่เลยเอว เทียวไปเทียวมาสี่ถึงห้ารอบ ความคิดลบในหัวเหมือนถูกล้างหายไปฉับพลัน คงไม่มีลูกค้าคนไหนใจดีช่วยร้านเก็บขยะมาทิ้งหรอกมั้ง
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจถึงทำให้เขาจอดรอเด็กล้างรถของป้านวลเก็บกวาดหลังครัวจนเสร็จ รับเงินจากคนที่ขอเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านใส่กระเป๋า แล้วเดินลัดซอยเปลี่ยวที่เชื่อมต่อกับถนนใหญ่ จนคิดว่าถ้าหากเขาดับไฟรถเด็กนั่นคงมองแทบไม่เห็นอะไร
“ดึกขนาดนี้ทำไมถึงกล้าเดินคนเดียว”
ตัวทั้งเล็กทั้งเบา ขนาดยืนเฉยๆ ยังจะหงายหลังตกน้ำ ถ้าโดนฉุดขึ้นมาจะเอาแรงที่ไหนไปสู้
อนลเร่งฝีเท้าให้ผ่านมุมมืดโดยเร็วที่สุด โชคดีหน่อยที่วันนี้มีรถคันหนึ่งขับมาอยู่เป็นเพื่อนกันเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ถึงจะนึกเอะใจที่ไม่ยอมขับแซงขึ้นไปสักที หันมองอยู่หลายหนเห็นว่ารถหรูใช่ย่อยมั่นใจว่าไม่ใช่โจร อาจจะเป็นคนเมาที่กลัวเกิดอุบัติเหตุเลยค่อยๆ ขับ ตอนนี้กลัวแค่อย่างเดียวว่าจะหลับในแล้วเผลอเหยียบคันเร่งมาชนจนต้องเป็นผีเฝ้าถนนน่ะสิ
“เฮียครับ เอาเหมือนเดิม” ลากเก้าอี้พลาสติก ทิ้งตัวนั่งลงในที่ประจำ
“ได้เลยเจ้าอุ่น เหลือชามสุดท้ายเฮียให้พิเศษ”
ไม่นานบะหมี่เกี๊ยวแห้งพร้อมน้ำซุปกระดูกหมูพูนๆ ก็ยกมาเสิร์ฟถึงที่ “ขอบคุณครับเฮีย”
กินบ่อยจนกลายเป็นลูกค้าประจำ ไม่ใช่เพราะว่าอร่อยถูกปากแต่เพราะกว่าจะเลิกงานก็ตีหนึ่งกว่า บางวันก็ตีสองร้านแถวนี้ปิดหมดเกลี้ยง จะเหลือก็แค่บะหมี่ของเฮียนี่แหละ เลยมาฝากท้องเป็นประจำ พอเจ้าของร้านเริ่มจำกันได้ก็มีให้พิเศษบ้าง ตักกลับบ้านให้แบบราคาถูกมากๆ บ้าง ทำไปทำมานับดูดีๆ ก็เกือบสองปีมาแล้วที่อาหารเย็นคือบะหมี่
วันนี้เหนื่อยมาก ที่ร้านลูกค้าเยอะเป็นพิเศษ นอกจากจะล้างจานแล้วยังต้องไปช่วยพี่ๆ เติมน้ำแข็ง หยิบจับงานในครัวเท่าที่จะพอทำได้ อันที่จริงตอนแรกที่เข้ามาทำก็แทบไม่ไหวอยู่เหมือนกัน ทั้งงานหนักไหนจะเลิกดึกดื่น ยังไม่ทันทำอะไรก็ต้องรีบแต่งตัวไปเรียน แต่พอมาคิดถึงค่าแรงที่มากพอตัว แล้วถ้ารายได้ตรงนี้หายไปคงไม่พอใช้จ่าย ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว อีกอย่างร้านก็ใกล้บ้านไม่ต้องเสียค่ารถ ค่าเดินทาง เดี๋ยวนี้ร่างกายก็ปรับสภาพได้ ไม่ได้ทรมานเหมือนจะหลับตลอดเวลาอย่างแต่ก่อนแล้ว
“แม่ ทำไมยังไม่นอนล่ะจ๊ะ” สะดุดตาตั้งแต่ไฟในบ้านที่เปิดสว่างโล่
“วันนี้เจ้าชาติมันพาเพื่อนมากินเลี้ยงที่บ้าน”
แค่ประโยคที่หลุดออกจากปากของคนเป็นแม่ก็ทำเขาแทบทรุดลงกับพื้น อนลถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ภาพในวันนั้นฉายวนขึ้นมาเป็นฉากๆ เขาเคยโดนพวกมันลวนลาม ฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนไม่เหลือสภาพดี โชคยังเข้าข้างที่แม่กลับมาทันก่อนที่อะไรๆ จะเกินเลย แต่นั่นก็เป็นตราบาปฝังอยู่ในใจไม่มีวันลบได้
“แม่ อุ่นกลัว”
“ก็ถึงได้ออกมายืนรออยู่นี่ไง” ทิพย์เริ่มไม่สบอารมณ์ “คืนนี้ก็ไปนอนที่อื่นก่อนแล้วกัน”
“แม่จะให้อุ่นไปนอนที่ไหน” เขาดีใจที่แม่เป็นห่วง แต่นี่คือการแก้ปัญหางั้นเหรอ แทนที่แม่จะไล่คนพวกนั้นให้กลับไป
“จะที่ไหนก็เรื่องของมึง! หรือจะเข้าไปให้พวกนั้นเอาก็ตามใจ!”
ประตูรั้วเก่าๆ ถูกปิดกระแทกใส่หน้า สองมือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น ในเวลาแบบนี้จะไปรบกวนใครได้ โทรไปหาภูผาแน่นอนว่ามันต้องรีบขับรถมาหาเขาทันทีแต่แล้วใครจะกล้ารบกวน ยิ่งพระพายยิ่งแล้วใหญ่ เพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวลำพังจะโทรหาปกติยังไม่กล้า
..พอเคว้งคว้างทีไรความคิดที่อยากไปหาพ่อก็กลับขึ้นมา..
..บางทีข้างบนนั้นอาจจะดีกว่าตรงนี้ก็ได้..
“ร้องไห้เป็นเด็กอนุบาล เนี่ยเหรอคนเก่งของป้านวล”
“..คุณหนู” เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา เพ่งมองให้แน่ใจว่าไม่ผิดคน “มาได้ยังไงครับ”
ธรณินตอบคำถามนั้นไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แค่ขับตามมาเรื่อยๆ เอาแต่คิดว่าถ้าไฟหน้ารถของเขาหายไปเด็กล้างรถจะใช้แสงสว่างจากที่ไหน และเขาใจแข็งไม่พอจะปล่อยให้เด็กดีของป้านวลเดินกลับบ้านคนเดียวในเวลาตีสอง..
..อาจจะเป็นเพราะคำขอของป้านวลที่ขอร้องให้ช่วยดู..
“ขอโทษที่บังเอิญไปได้ยินเข้า...นายต้องล้างรถให้ฉันฟรีหนึ่งครั้ง”
“...”
“แลกกับที่ฉันจะให้ยืมรถเป็นที่นอนคืนนี้ของนาย”
#อุ่นไอของดิน
ตอนแรกเค้าก็ค้างด้วยกันแล้วนะคุณผู้โชมมมม หนูอุ่นของเราธรรมดาที่ไหนกันล่ะคะะะ
twitter : @nareeneeranan
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พระพายของอาเบลล์โตเป็นสาวแล้วหรอเนี่ย
อุ่นชีวิตน่าสงสารมากลูก ดินมองน้องไม่ห่างเลยนะะ
น้องอุ่นนนนโอ๋ๆน้าาา
เเม่ใจร้ายอะ -
โอ้โหหห ทำไมชีวิตร้องน่าสงสารแบบนี้ พี่ดินใจดีนะเนึ่ย
ไออุ่น หนูลูกกกก ชีวิตลำบากจัง จุกเลย เฮ้ออออ คุณดินก็ใจดีกับน้องหน่อยนะ