ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~* Shadarika The keeper of the Red sapphire star *~

    ลำดับตอนที่ #2 : ~* ดั่งฝันมิคงคืน *~

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 48






            

                  แป่ก!!   เสียงของของแข็งเป็นแท่งขนาดเล็กปะทะบริเวณขมับขวาของผม   พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะร่าอื้ออึงรอบ ๆ ตัว  เสียงนั้นเสียดแทงให้ผมปวดหัวราวกับมีมดนับล้านเข้าไปวิ่งในสมอง   เสียงหัวเราะของผู้คนจำนวนมากที่ไม่มีความปรารถนาดีเจือปนอยู่...



    ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะไม้เก่า ๆ   คราบน้ำลายเล็กน้อยติดอยู่ที่ปกหนังสือวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่สอง

    ดวงตาผมสบกับอาจารย์ประจำวิชาซึ่งจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจ  ขณะที่ประสาทสัมผัสอีกส่วนใช้ในการรับรู้ความสมเพชเวทนา  และเกลียดชังปะปนกันจากคนทั้งห้อง    ชอล์คหักครึ่งเมื่อครู่  ถูกผู้ปรารถนาดีประสงค์ประจบนำไปส่งคืนยังแหล่งที่มา



                 \"นายนเรนธร   ทำไมใจลอยบ่อยนักห๊ะ   ครูสงสัยจริง ๆ  ว่าพวกที่ไม่สนใจเรียนอย่างเธอ  เวลาสอบทำไมได้คะแนนเยอะนัก\"

    ผมฝืนยิ้ม  แต่ไม่ตอบคำ   เพราะทราบดีว่าสักครู่   คงมีผู้หวังดีตอบให้แทนอยู่แล้ว



    \"เพราะเขาอัจฉริยะไงครับ\"   พลาย คู่แค้นตลอดกาลของผมช่วยตอบแทนให้    นัยน์ตาเขาฉายแววยิ้มเยาะ  เมื่อลูกคู่กล่าวรับ



      \"อัจฉริยะที่ไม่มีใครคบ\"     ถ้อยคำนี้  เรียกเสียงหัวเราะมาจากพรรคพวกของพลายโดยรอบ



    ผมได้แต่ยิ้ม   เพราะมันคือเรื่องปกติ           แล้วอีกอย่าง    ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ



    ร้องไห้หรือ   เอาสิเอาเลย   หากอยากให้พวกมันสาแก่ใจยิ่งขึ้น   ฟ้องอาจารย์ ?   ขนาดอาจารย์อยู่ต่อหน้ามันยังกล้าทำ  

    ผมรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนที่ไม่อาจต่อกรพลังของคนหมู่มาก



    ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำได้   คือแสร้งเสมือนเป็นบ้าใบ้หนวกบอดไปซะ



    อาจารย์ประจำวิชามองผมด้วยความรู้สึกเห็นใจ  ประโยคต่อมาจึงอ่อนลง   \"เธอควรจะสนใจเรียนนะ   เพราะความรู้และความสามารถของเราจะได้รับการยอมรับเมื่อออกไปสู่โลกภายนอก   ถ้าเธอไม่สนใจ  ครูก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเฝ้ามองอนาคตของเธอ\"



    ผมยังคงยิ้มด้วยสีหน้าดุจเดิม  สงสัยเซลล์กล้ามเนื้อใบหน้าของผมคงตายด้านหมดแล้ว...รวมทั้งหัวใจด้วย



    แล้วความรู้สึกที่แท้จริงของผมน่ะหรือ   ทำไมผมต้องบอกให้คุณรู้ด้วยล่ะ ?







    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------







         เสียงออดหมดคาบเรียนก่อนพักกลางวันอาจจะเป็นเสียงสวรรค์สำหรับคนส่วนใหญ่   แต่ไม่ใช่สำหรับผม   ซึ่งเป็นเวลาที่ความเหงาและเดียวดายโคจรเข้าใกล้กันมากที่สุด



    ผมเก็บของเข้ากระเป๋า   และพบว่ากล่องดินสอหายไป   เพื่อน ๆ กรูออกไปจากห้องกันหมดแล้ว   และบางคนใช้สีหน้ายิ้มเยาะจ้องมองผมก่อนออกจากห้อง   ผมแน่ใจ   ว่ามันไม่ใช่ฝีมือของธรรมชาติหรือความขี้หลงขี้ลืมของผม



    แต่ผมจะไม่ถามพวกเขาหรอก...



    ไม่จำเป็นต้องวอนขอ...



    ไม่ต้องการความช่วยเหลือ...




          ผมพบว่า   หากต้องการอยู่รอดภายใต้ความเกลียดชัง   ก็เพียงแต่ทำตนให้แข็งแกร่งกว่าความเกลียดนั้น   เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้  ทำไมผมจะทนไม่ได้  ในเมื่อรองเท้าผมเคยระเห็จไปอยู่ในถังขยะนานาชนิดหลายต่อหลายครั้ง    และบางทีแม้แต่กระเป๋าเรียนยังหนีเที่ยวไปค้างตามซอกโพรงใต้บันได  เหนือคาคบไม้  หรือแม้แต่โพรงดินใต้อาคาร



    ผมยิ้มบาง ๆ ให้กับเจ้าชะตากรรม   ตัวมันใส ๆ ราง ๆ ลอยล่องไปมาในอากาศ  และคอยเฝ้าดูผู้เคราะห์ร้ายพยายามดิ้นรน   ซึ่งผมก็เคยชนะมันมาแล้วทุกครั้ง  และครั้งนี้ผมจะเอาชัยเหนือมันให้ได้อีกครั้ง



    เกมการซ่อนหาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...





    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------







    เวลาพักเที่ยงล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมง  ผมไม่ได้ไปกินข้าว  เพราะไม่อยากดูเป็นตัวประหลาดเอาข้าวกล่องออกมารับประทาน  ขณะที่นักเรียนในโรงเรียนร้อยละเก้าสิบเก้าใช้บริการจากร้านอาหารภายในโรงเรียน



       แค่หลายเรื่อง   ที่ถูกใช้เป็นเป้าโจมตี   เป็นซากร่างซึ่งจะถูกรุมทึ้งด้วยความเกลียดชัง   มันก็เพียงพอแล้ว   ผมไม่นึกอยากจะย่างกรายเข้าไปในที่สาธารณะเช่นบริเวณรับประทานอาหาร  เพื่อไปเป็นเหยื่อของฝูงหมาป่าไฮยีน่าผู้มีแววตาชิงชังเหล่านั้น





            ผมดันแว่นตากลมโตและหนาหนักซึ่งมีรอยร้าวตรงขอบให้ชิดดวงตา   รอยร้าวที่จะหวนรำลึกถึงรอยแค้นเก่าซึ่งไอ้พลายเคยทำไว้

    แต่ก็นับว่ายังดีกว่าอันก่อน  ซึ่งเลนส์สองคู่นั้นถูกทำลายด้วยการเอาขูดกับพื้น  แล้วส่งต่อเป็นทอด ๆ  

    ทุกครั้งที่เลนส์แว่นผมถูกส่งผ่าน    คนที่ผมเรียกว่าเพื่อน   ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ  สร้างรอยขูดขีดราวกับงานศิลปะซึ่งจิตรกรชั้นเลวร่วมกันขีดเขียนไว้ตามผนังกำแพง



    จนกระทั่ง  มันถูกส่งมาถึงมือผมในที่สุด   เพื่อให้ผมลองรส  และลิ้มชิมความงดงามอันประดับบนเลนส์เก่านั้น...



    ผมจำได้  ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมนึกอยากจะร้องไห้...





    ...............





    เท้าสองคู่  พาร่างของผมมาหยุด  ณ  หน้าอาคารอันเป็นที่ตั้งของหอสมุด    สถานที่ซึ่งผมสามารถหลบหนีโลกอันแสนจะน่ารังเกียจ    และต้องระมัดระวังทั้งตนเองและทรัพย์สิน    ให้พ้นจากการกลั่นแกล้ง  ฉวยโอกาสกระทำสำหรับความสะใจเล็ก ๆ ของผู้มุ่งร้าย



    อาจารย์บรรณารักษ์ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง    เมื่อผมก้าวเข้ามา

      เธอจำผมได้แม่น   เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา  ไม่มีวันไหนที่ผมไม่มาห้องสมุด



    ผมปลีกตัวออกมา    และหามุมนั่งลงพร้อมกับเพชรพระอุมาในมือ

    เป็นเวลาชั่วครู่   ที่ผมได้รู้สึกเหมือนกับว่าตนคือ  รพินทร์  ไพรวัลย์    ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับในความสามารถตลอดแนวป่าชายแดนไทยพม่า  ผู้ซึ่งฉลาดเฉลียว  สุขุมนุ่มลึก  เป็นสุภาพบุรุษ  และมีเพื่อนพ้องซึ่งยอมตายแทนได้ตลอดเวลา



    เพื่อนรึ?  ผมยิ้มเย้ยให้กับคำคำนี้   และนึกขำในใจว่า   นอกจากเพื่อนที่ตายแทนกันได้แล้ว  ยังมีเพื่อนชนิดที่พร้อมเสมอในการลอบแทงข้างหลัง  หรือหาโอกาสฆ่าให้ตายไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายย่อยยับที่สุดบันทึกไว้ในหนังสือบ้างหรือเปล่านะ



    เมื่อผมมีโอกาสอยู่เงียบ ๆ และคุยกับตนเอง  ความฝันเมื่อคาบเรียนก่อนหน้าก็ผุดขึ้นมารบกวน  พร้อม ๆ กับหนังสือปกแข็งสีแดงหม่นซึ่งค้างเติ่งอยู่ในมือ



      ...เธอเป็นใครกันแน่นะ  ชาดาริกา  ราวกับว่าผมเคยรู้จักมาก่อนนานนับอนันตชาติ

    ความคิดถึงคนึงหาอย่างบอกไม่ถูก  ขณะเดียวกัน  ก็เจ็บปวดรวดร้าวดวงใจ  ราวกับถูกขยี้เป็นชิ้น ๆ เมื่อแรกพบ



       ผมสลัดศีรษะเพื่อไล่ดวงหน้า  รวมทั้งฉากปราสาทเก่าแก่ในคืนหมองหม่นนั้นออกไปจากห้วงความคิด



    เจ้าปรารถนาที่จะพบเรา



    ทว่าเสียงในความทรงจำนี้ยังติดแน่นไม่จางหาย  ราวกับเธอยังคงกระซิบพร่ำรำพันอยู่ข้างใบหูของผม



    ผมยิ้มฝืด ๆ เมื่อออดหมดเวลาดังขึ้น   แล้วจึงลุกขึ้นเอาหนังสือเก็บที่   พร้อมกับสร้างหน้ากากเฉยชาออกมาสำหรับเผชิญโลกภายนอกอีกครั้ง







    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------







    ปั่ก!!   แรงกระแทกปะทะมาจากด้านหลัง   สีหน้าสะใจแกมชิงชังจากแววตาของผู้ชน   ช่วยให้ผมไม่ต้องตัดสินใจนานนักที่จะเดินหนี



    “เดี๋ยว  ไอ้แว่น   จะไปไหน”



    ผมไม่ตอบ  แต่เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น  เพื่อเข้าไปในอาคารโรงยิมขนาดใหญ่    ทว่านักเรียนชายร่างใหญ่อีกสองคนดักไว้ที่ข้างประตู

    “กูได้ข่าวว่ามึงเก๋ามาก  เลยรับปากใครบางคนมาช่วยจัดการ”



    ผมจ้องหน้าไอ้หัวโจกที่กระแทกผมเมื่อครู่นิ่ง  ด้วยแววตาไร้ความรู้สึกใดใด    ใครบางคนที่มันกล่าวถึงนั้นคงจะเป็น  คนที่คุณก็รู้ว่าใครอย่างแน่แท้



    น่าขำที่แต่ละฝ่ายต่างก็ขนานนามของกันและกันด้วยคำว่า  คนที่คุณก็รู้ว่าใคร   คงแตกต่างกันแต่เพียงไอ้พลายสามารถกล่าวนามนี้แล้วหัวเราะร่ากับกลุ่มของเขาพร้อมกับส่งสายตามีเลศนัยมาทางผมได้



    แต่ผม    คงทำได้แค่เพียง   บอกกับตนเองว่า  คนที่คุณก็รู้ว่าใคร  นั้นร้ายกาจมากแค่ไหน  และเก็บกักกลั้นน้ำตาเอาไว้ในหัวอกเท่านั้น



    ไม่ใช่หรอก  เจ้าไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว



    เสียงกระซิบเล็ก ๆ เหมือนดังแว่วในหัว  



    ทันใด    ความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาจากปลายประสาทบริเวณท้อง  การกระทบกระเทือนที่เกิดจากหมัดหนัก ๆ  ของอันธพาลร่างใหญ่ในปัจจุบันขณะ  ปลุกผมให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย



    ไอ้พวกเวรอีกสองตัวเข้าชาร์จและเตะร่างผมให้กองลงกับพื้น   ผมเจ็บและจุกจนแทบร้องไม่ออก   ทำได้ก็เพียงแต่เอาแขนกุมหัว  และคู้งอตัวไม่ให้ได้รับบาดเจ็บมาก



    ผมปิดตาสนิท   และปล่อยให้มันเตะจนกว่าจะพอใจ





    ผมรอ  เตรียมใจรับความเจ็บปวด...





    แต่มันไม่มา





    ความเงียบราวกับทุกอณูของอากาศถูกแช่แข็ง     มันผิดปกติจนผมต้องลืมตาช้า ๆ



    และเบื้องหน้านั้น  สาวงามผู้เปล่งประกายสีแดงชาด  แสงทับทิมอ่อน ๆ ทาทาบทับสิ่งแวดล้อมหยุดนิ่งรอบ ๆ ตัว

    ปีกโปร่งใสกลางหลัง  และเค้าหน้าซึ่งผมมิอาจลืมเลือน...



    นางยิ้มให้   ด้วยรอยยิ้มที่งดงามชวนลุ่มหลง    

    ชาดาริกาขยิบตาเบา ๆ    พลันแสงจาง ๆ ซึ่งผนึกสภาพบรรยากาศรอบ ๆ ก็จางหายไป   พร้อม ๆ กับร่างของนางด้วย



    ผมยิ้มรับกำลังใจนั้น  แต่แล้วก็กัดฟันกรอด  เมื่อเห็นพวกอันธพาลเริ่มขยับร่าง



    ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว   และสวนหมัดเข้าที่ใบหน้าของมัน  ไอ้หมูตอนผงะ   มันพยายามหลบ  และร้องให้พวกของมันจับตัวผมเอาไว้

    แต่ผมไม่ยอมหยุดง่าย ๆ   แขนที่ถูกจับไว้ผมก็สะบัดราวกับหมาบ้า  และพุ่งเข้าชาร์จคนที่ใกล้ที่สุดทันที



    เสียงเอะอะโวยวายเล็ดรอดเข้ากระทบโสตประสาท   ทว่าผมกลับได้รับเพียงความมึนงงจับศัพท์ไม่รู้เรื่อง    คงเพราะฤทธิ์หมัดที่กระแทกกระทั้นเข้ามาที่ใบหน้าเรื่อย ๆ



    ในที่สุด    ม่านหมอกอันมืดมิด   ก็เข้าครอบคลุมอนุสติเป็นผลตอบแทนจากความบ้าบิ่นนั้น....





    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





    To be continued











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×