ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ~* ดั่งฝันมิคงคืน *~
       
              แป่ก!!  เสียงของของแข็งเป็นแท่งขนาดเล็กปะทะบริเวณขมับขวาของผม  พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะร่าอื้ออึงรอบ ๆ ตัว  เสียงนั้นเสียดแทงให้ผมปวดหัวราวกับมีมดนับล้านเข้าไปวิ่งในสมอง  เสียงหัวเราะของผู้คนจำนวนมากที่ไม่มีความปรารถนาดีเจือปนอยู่...
ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะไม้เก่า ๆ  คราบน้ำลายเล็กน้อยติดอยู่ที่ปกหนังสือวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่สอง
ดวงตาผมสบกับอาจารย์ประจำวิชาซึ่งจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจ  ขณะที่ประสาทสัมผัสอีกส่วนใช้ในการรับรู้ความสมเพชเวทนา  และเกลียดชังปะปนกันจากคนทั้งห้อง    ชอล์คหักครึ่งเมื่อครู่  ถูกผู้ปรารถนาดีประสงค์ประจบนำไปส่งคืนยังแหล่งที่มา
            \"นายนเรนธร  ทำไมใจลอยบ่อยนักห๊ะ  ครูสงสัยจริง ๆ  ว่าพวกที่ไม่สนใจเรียนอย่างเธอ  เวลาสอบทำไมได้คะแนนเยอะนัก\"
ผมฝืนยิ้ม  แต่ไม่ตอบคำ  เพราะทราบดีว่าสักครู่  คงมีผู้หวังดีตอบให้แทนอยู่แล้ว
\"เพราะเขาอัจฉริยะไงครับ\"  พลาย คู่แค้นตลอดกาลของผมช่วยตอบแทนให้    นัยน์ตาเขาฉายแววยิ้มเยาะ  เมื่อลูกคู่กล่าวรับ
  \"อัจฉริยะที่ไม่มีใครคบ\"    ถ้อยคำนี้  เรียกเสียงหัวเราะมาจากพรรคพวกของพลายโดยรอบ
ผมได้แต่ยิ้ม  เพราะมันคือเรื่องปกติ          แล้วอีกอย่าง    ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ
ร้องไห้หรือ  เอาสิเอาเลย  หากอยากให้พวกมันสาแก่ใจยิ่งขึ้น  ฟ้องอาจารย์ ?  ขนาดอาจารย์อยู่ต่อหน้ามันยังกล้าทำ 
ผมรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนที่ไม่อาจต่อกรพลังของคนหมู่มาก
ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำได้  คือแสร้งเสมือนเป็นบ้าใบ้หนวกบอดไปซะ
อาจารย์ประจำวิชามองผมด้วยความรู้สึกเห็นใจ  ประโยคต่อมาจึงอ่อนลง  \"เธอควรจะสนใจเรียนนะ  เพราะความรู้และความสามารถของเราจะได้รับการยอมรับเมื่อออกไปสู่โลกภายนอก  ถ้าเธอไม่สนใจ  ครูก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเฝ้ามองอนาคตของเธอ\"
ผมยังคงยิ้มด้วยสีหน้าดุจเดิม  สงสัยเซลล์กล้ามเนื้อใบหน้าของผมคงตายด้านหมดแล้ว...รวมทั้งหัวใจด้วย
แล้วความรู้สึกที่แท้จริงของผมน่ะหรือ  ทำไมผมต้องบอกให้คุณรู้ด้วยล่ะ ?
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เสียงออดหมดคาบเรียนก่อนพักกลางวันอาจจะเป็นเสียงสวรรค์สำหรับคนส่วนใหญ่  แต่ไม่ใช่สำหรับผม  ซึ่งเป็นเวลาที่ความเหงาและเดียวดายโคจรเข้าใกล้กันมากที่สุด
ผมเก็บของเข้ากระเป๋า  และพบว่ากล่องดินสอหายไป  เพื่อน ๆ กรูออกไปจากห้องกันหมดแล้ว  และบางคนใช้สีหน้ายิ้มเยาะจ้องมองผมก่อนออกจากห้อง  ผมแน่ใจ  ว่ามันไม่ใช่ฝีมือของธรรมชาติหรือความขี้หลงขี้ลืมของผม
แต่ผมจะไม่ถามพวกเขาหรอก...
ไม่จำเป็นต้องวอนขอ...
ไม่ต้องการความช่วยเหลือ...
      ผมพบว่า  หากต้องการอยู่รอดภายใต้ความเกลียดชัง  ก็เพียงแต่ทำตนให้แข็งแกร่งกว่าความเกลียดนั้น  เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้  ทำไมผมจะทนไม่ได้  ในเมื่อรองเท้าผมเคยระเห็จไปอยู่ในถังขยะนานาชนิดหลายต่อหลายครั้ง    และบางทีแม้แต่กระเป๋าเรียนยังหนีเที่ยวไปค้างตามซอกโพรงใต้บันได  เหนือคาคบไม้  หรือแม้แต่โพรงดินใต้อาคาร
ผมยิ้มบาง ๆ ให้กับเจ้าชะตากรรม  ตัวมันใส ๆ ราง ๆ ลอยล่องไปมาในอากาศ  และคอยเฝ้าดูผู้เคราะห์ร้ายพยายามดิ้นรน  ซึ่งผมก็เคยชนะมันมาแล้วทุกครั้ง  และครั้งนี้ผมจะเอาชัยเหนือมันให้ได้อีกครั้ง
เกมการซ่อนหาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เวลาพักเที่ยงล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมง  ผมไม่ได้ไปกินข้าว  เพราะไม่อยากดูเป็นตัวประหลาดเอาข้าวกล่องออกมารับประทาน  ขณะที่นักเรียนในโรงเรียนร้อยละเก้าสิบเก้าใช้บริการจากร้านอาหารภายในโรงเรียน
  แค่หลายเรื่อง  ที่ถูกใช้เป็นเป้าโจมตี  เป็นซากร่างซึ่งจะถูกรุมทึ้งด้วยความเกลียดชัง  มันก็เพียงพอแล้ว  ผมไม่นึกอยากจะย่างกรายเข้าไปในที่สาธารณะเช่นบริเวณรับประทานอาหาร  เพื่อไปเป็นเหยื่อของฝูงหมาป่าไฮยีน่าผู้มีแววตาชิงชังเหล่านั้น
        ผมดันแว่นตากลมโตและหนาหนักซึ่งมีรอยร้าวตรงขอบให้ชิดดวงตา  รอยร้าวที่จะหวนรำลึกถึงรอยแค้นเก่าซึ่งไอ้พลายเคยทำไว้
แต่ก็นับว่ายังดีกว่าอันก่อน  ซึ่งเลนส์สองคู่นั้นถูกทำลายด้วยการเอาขูดกับพื้น  แล้วส่งต่อเป็นทอด ๆ 
ทุกครั้งที่เลนส์แว่นผมถูกส่งผ่าน    คนที่ผมเรียกว่าเพื่อน  ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ  สร้างรอยขูดขีดราวกับงานศิลปะซึ่งจิตรกรชั้นเลวร่วมกันขีดเขียนไว้ตามผนังกำแพง
จนกระทั่ง  มันถูกส่งมาถึงมือผมในที่สุด  เพื่อให้ผมลองรส  และลิ้มชิมความงดงามอันประดับบนเลนส์เก่านั้น...
ผมจำได้  ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมนึกอยากจะร้องไห้...
...............
เท้าสองคู่  พาร่างของผมมาหยุด  ณ  หน้าอาคารอันเป็นที่ตั้งของหอสมุด    สถานที่ซึ่งผมสามารถหลบหนีโลกอันแสนจะน่ารังเกียจ    และต้องระมัดระวังทั้งตนเองและทรัพย์สิน    ให้พ้นจากการกลั่นแกล้ง  ฉวยโอกาสกระทำสำหรับความสะใจเล็ก ๆ ของผู้มุ่งร้าย
อาจารย์บรรณารักษ์ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง    เมื่อผมก้าวเข้ามา
  เธอจำผมได้แม่น  เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา  ไม่มีวันไหนที่ผมไม่มาห้องสมุด
ผมปลีกตัวออกมา    และหามุมนั่งลงพร้อมกับเพชรพระอุมาในมือ
เป็นเวลาชั่วครู่  ที่ผมได้รู้สึกเหมือนกับว่าตนคือ  รพินทร์  ไพรวัลย์    ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับในความสามารถตลอดแนวป่าชายแดนไทยพม่า  ผู้ซึ่งฉลาดเฉลียว  สุขุมนุ่มลึก  เป็นสุภาพบุรุษ  และมีเพื่อนพ้องซึ่งยอมตายแทนได้ตลอดเวลา
เพื่อนรึ?  ผมยิ้มเย้ยให้กับคำคำนี้  และนึกขำในใจว่า  นอกจากเพื่อนที่ตายแทนกันได้แล้ว  ยังมีเพื่อนชนิดที่พร้อมเสมอในการลอบแทงข้างหลัง  หรือหาโอกาสฆ่าให้ตายไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายย่อยยับที่สุดบันทึกไว้ในหนังสือบ้างหรือเปล่านะ
เมื่อผมมีโอกาสอยู่เงียบ ๆ และคุยกับตนเอง  ความฝันเมื่อคาบเรียนก่อนหน้าก็ผุดขึ้นมารบกวน  พร้อม ๆ กับหนังสือปกแข็งสีแดงหม่นซึ่งค้างเติ่งอยู่ในมือ
  ...เธอเป็นใครกันแน่นะ  ชาดาริกา  ราวกับว่าผมเคยรู้จักมาก่อนนานนับอนันตชาติ
ความคิดถึงคนึงหาอย่างบอกไม่ถูก  ขณะเดียวกัน  ก็เจ็บปวดรวดร้าวดวงใจ  ราวกับถูกขยี้เป็นชิ้น ๆ เมื่อแรกพบ
  ผมสลัดศีรษะเพื่อไล่ดวงหน้า  รวมทั้งฉากปราสาทเก่าแก่ในคืนหมองหม่นนั้นออกไปจากห้วงความคิด
เจ้าปรารถนาที่จะพบเรา
ทว่าเสียงในความทรงจำนี้ยังติดแน่นไม่จางหาย  ราวกับเธอยังคงกระซิบพร่ำรำพันอยู่ข้างใบหูของผม
ผมยิ้มฝืด ๆ เมื่อออดหมดเวลาดังขึ้น  แล้วจึงลุกขึ้นเอาหนังสือเก็บที่  พร้อมกับสร้างหน้ากากเฉยชาออกมาสำหรับเผชิญโลกภายนอกอีกครั้ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปั่ก!!  แรงกระแทกปะทะมาจากด้านหลัง  สีหน้าสะใจแกมชิงชังจากแววตาของผู้ชน  ช่วยให้ผมไม่ต้องตัดสินใจนานนักที่จะเดินหนี
“เดี๋ยว  ไอ้แว่น  จะไปไหน”
ผมไม่ตอบ  แต่เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น  เพื่อเข้าไปในอาคารโรงยิมขนาดใหญ่    ทว่านักเรียนชายร่างใหญ่อีกสองคนดักไว้ที่ข้างประตู
“กูได้ข่าวว่ามึงเก๋ามาก  เลยรับปากใครบางคนมาช่วยจัดการ”
ผมจ้องหน้าไอ้หัวโจกที่กระแทกผมเมื่อครู่นิ่ง  ด้วยแววตาไร้ความรู้สึกใดใด    ใครบางคนที่มันกล่าวถึงนั้นคงจะเป็น  คนที่คุณก็รู้ว่าใครอย่างแน่แท้
น่าขำที่แต่ละฝ่ายต่างก็ขนานนามของกันและกันด้วยคำว่า  คนที่คุณก็รู้ว่าใคร  คงแตกต่างกันแต่เพียงไอ้พลายสามารถกล่าวนามนี้แล้วหัวเราะร่ากับกลุ่มของเขาพร้อมกับส่งสายตามีเลศนัยมาทางผมได้
แต่ผม    คงทำได้แค่เพียง  บอกกับตนเองว่า  คนที่คุณก็รู้ว่าใคร  นั้นร้ายกาจมากแค่ไหน  และเก็บกักกลั้นน้ำตาเอาไว้ในหัวอกเท่านั้น
ไม่ใช่หรอก  เจ้าไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว
เสียงกระซิบเล็ก ๆ เหมือนดังแว่วในหัว 
ทันใด    ความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาจากปลายประสาทบริเวณท้อง  การกระทบกระเทือนที่เกิดจากหมัดหนัก ๆ  ของอันธพาลร่างใหญ่ในปัจจุบันขณะ  ปลุกผมให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย
ไอ้พวกเวรอีกสองตัวเข้าชาร์จและเตะร่างผมให้กองลงกับพื้น  ผมเจ็บและจุกจนแทบร้องไม่ออก  ทำได้ก็เพียงแต่เอาแขนกุมหัว  และคู้งอตัวไม่ให้ได้รับบาดเจ็บมาก
ผมปิดตาสนิท  และปล่อยให้มันเตะจนกว่าจะพอใจ
ผมรอ  เตรียมใจรับความเจ็บปวด...
แต่มันไม่มา
ความเงียบราวกับทุกอณูของอากาศถูกแช่แข็ง    มันผิดปกติจนผมต้องลืมตาช้า ๆ
และเบื้องหน้านั้น  สาวงามผู้เปล่งประกายสีแดงชาด  แสงทับทิมอ่อน ๆ ทาทาบทับสิ่งแวดล้อมหยุดนิ่งรอบ ๆ ตัว
ปีกโปร่งใสกลางหลัง  และเค้าหน้าซึ่งผมมิอาจลืมเลือน...
นางยิ้มให้  ด้วยรอยยิ้มที่งดงามชวนลุ่มหลง   
ชาดาริกาขยิบตาเบา ๆ    พลันแสงจาง ๆ ซึ่งผนึกสภาพบรรยากาศรอบ ๆ ก็จางหายไป  พร้อม ๆ กับร่างของนางด้วย
ผมยิ้มรับกำลังใจนั้น  แต่แล้วก็กัดฟันกรอด  เมื่อเห็นพวกอันธพาลเริ่มขยับร่าง
ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  และสวนหมัดเข้าที่ใบหน้าของมัน  ไอ้หมูตอนผงะ  มันพยายามหลบ  และร้องให้พวกของมันจับตัวผมเอาไว้
แต่ผมไม่ยอมหยุดง่าย ๆ  แขนที่ถูกจับไว้ผมก็สะบัดราวกับหมาบ้า  และพุ่งเข้าชาร์จคนที่ใกล้ที่สุดทันที
เสียงเอะอะโวยวายเล็ดรอดเข้ากระทบโสตประสาท  ทว่าผมกลับได้รับเพียงความมึนงงจับศัพท์ไม่รู้เรื่อง    คงเพราะฤทธิ์หมัดที่กระแทกกระทั้นเข้ามาที่ใบหน้าเรื่อย ๆ
ในที่สุด    ม่านหมอกอันมืดมิด  ก็เข้าครอบคลุมอนุสติเป็นผลตอบแทนจากความบ้าบิ่นนั้น....
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
To be continued
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น