ตำนานเพชรอำพัน TypeMoon
ตอนที่ 6 : พบพาน
TypeMoon
ตำนานเพชรอำพัน
ตอนที่6 พบพาน
……………………………………………………………….
“ไม่น่าเชื่อ รามัน มิสเทอรี่คือพ่อของนายจริงๆรึ”
ฟิโอเร่ตกตะลึง
“ไม่โกหกหรอกน่า เพราะแบบนี้จึงอยากจะทำภารกิจนี้ด้วย” อเลนย้ำ
"_______"
“ก็จริงอยู่ว่าถ้าได้นายมาช่วยเรื่องมันก็ง่ายขึ้นมาก แต่เพียงแค่จะสืบเรื่องราวของพ่อที่ทิ้งตัวเองไป จนถึงกับต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง คิดดีแล้วสินะ...”
แต่เมื่อฟิโอเร่เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของอเลน เธอก็ไม่คิดที่จะคัดค้านอะไรอีก
“เอาแบบนั้นก็ได้…ชั้นจะให้นายช่วยทำภารกิจนี้แบบลับๆ เพียงแต่มีข้อแม้ว่า นายจะต้องทำตามคำสั่งของชั้นทุกอย่างเข้าใจไหม? ”
“แน่นอน!! ชั้นสัญญา”
เมื่ออเลนและฟิโอเร่ตกลงกนได้แล้ว อเลนก็มอบจดหมายภารกิจคืนให้หญิงสาวผมแดง
“งั้นขอตัว ไปทำธุระสำคัญก่อนนะ”
“ดึกป่านนี้เนี่ยนะ?”
"_______"
“อืม…มีนัดเคลียร์ปัญหากับเพื่อนนิดหน่อย แล้วก็ต้องเอาเจ้านี้ไปคืนเจ้าของที่แท้จริงด้วย ”อเลนโชว์แหวนสลักขึ้นมาให้ฟิโอเร่ดู
แต่เมื่อฟิโอเร่เห็นแหวนที่สลักภาษายูโทเซียถึงกับตกใจ
“แหวนวงนั้นมัน….”
“แหวนวงนี้มีอะไรงั้นหรอ?”
ฟิโอเร่พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นของแบบนี้ ที่นี่ เวลานี้เลยจริงๆ”
อเลนยกแหวนขึ้นมาพิจารณา
“เป็นของหายากหรอ?”
ฟิโอเร่ส่ายหน้า “ยิ่งกว่าหายากซะอีก”
“งั้นจะขอตามไปพบเพื่อนคนนั้นของนายด้วย คงไม่มีปัญหาใช่ไหม” ฟิโอเร่ร้องขอปนบังคับ ซึ่งอเลนก็ไม่มีปัญหา และคิดว่ายังดีอีกด้วย ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น สายลับสาวคนนี้จะต้องช่วยเค้าได้มากแน่ๆ
และนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่ทั้งสองคน จะไปที่คิตต้เฮ้าส์
……………………………………………………………….
ณ คิตตี้เฮ้าส์ เวลา 19.10 น.
“เมื่อกี้บอกว่าจะให้ได้พบกับ ของขวัญงั้นรึ” บอย เบิร์นเนอร์ ถาม ฟิโอเร่
“อเลนได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ชั้นฟังแล้ว ถ้าเป็นไปตามที่ชั้นคิด ชั้นสามารถที่จะทำให้นายได้พบกับ หญิง คนนั้นได้อีกครั้ง” ฟิโอเร่อธิบาย
เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของฟิโอเร่ ก็ทำให้บอย เบิร์นเนอร์มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเค้าเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมา
ห่วงนาทีนั้นภาพ'ของขวัญ'ก็ลอยเข้ามาในสมองของบอย เบิร์นเนอร์อีกครั้ง ภาพของสาวน้อยที่เข้ามาในชีวิตของบอย เบิร์นเนอร์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ภาพเหล่านั้นได้ดึงความทรงจำอันแสนหวานชื่นและทุกข์ทมของบอย เบิร์นเนอร์มออกมา
..................................................
บนโลกมีสิ่งที่เรียกว่า “ชีพจรพิภพ” อยู่
หากเปรียบแผ่นดินคือร่างกายของมนุษย์ ชีพจรพิภพก็คือจิตวิญญาณ
ชีพจรพิภพเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่คนโบราณก็เชื่อว่าชีพจรพิภพนั้นมีความคิดและจิตใจ แน่นอนรวมถึง "ชีพจรพิภพของเมืองนครบางนาคแห่งนี้"
ทุกๆวันเธอจะคอยเฝ้ามองการดำเนินชีวิตประจำวันของเหล่าผู้คนบนแผ่นดิน วันแล้ววันเล่า จนรู้สึกว่า
"ถ้าเราได้มีอิสระที่จะทำแบบนั้นบ้างก็คงดี"
1ปีก่อน
ที่โพรงใต้ดินที่อยู่ลึกลงไปหลายกิโล มีพญานาคเฒ่าตัวหนึ่งกำลังนอนจำศีลอยู่
“ช่วยทำให้ชั้นมีร่างกายหน่อยสิคะ” เสียงที่เกิดจากโทรจิตกำลังพูดหว่านล้อมงูยักษ์ชรา
“ไม่เบื่อบ้างรึไง ขอแต่เรื่องเดิมๆ ยังไงข้าก็ไม่ทำให้หรอก”พญานาคสวนกลับ
“มีเรื่องต้องทำนี่นา เหล่าผู้คนบนดินแดนของชั้นกำลังเดือดร้อนนะ”
"________"
“นั้นไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวลนี่นา ทำไมถึงอยากไปวุ่นวายกับพวกมนุษย์ที่มีแต่กิเลสนะ”
“โธ่ๆๆ ท่านปู่พญานาคช่วยหน่อยสิ แค่ครั้งเดียวนะ”
หลังจากที่วันนี้ใช้ความพยายามมากกว่าครั้งที่ผ่านๆมา ทำให้พญานาคเฒ่ายอมในที่สุด
พญานาคเฒ่าใช้พลังของตนเองสร้างกายหยาบขึ้นมา และชีพจรพิภพก็ได้ขึ้นไปสู่พื้นดินเป็นครั้งแรก ชีพจรพิภพรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก เธออยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก
“ข้างบนนั้น"ชื่อ"เป็นสิ่งจำเป็นนะ...” ปู่พญานาคส่งโทรจิตคุย
“งั้นปู่ก็ช่วยหาชื่อให้หน่อยสิ อะไรก็ได้”
“หึ... งั้นเจ้าก็ใช้ “ของขวัญ” เป็นชื่อไปก็แล้วกัน”
"เป็นชื่อที่ไพเราะค่ะ..." ของขวัญยิ้มอย่างมีความสุข ในที่สุดเธอก็ได้มีร่างกายและชื่อแล้ว
แต่ก่อนที่ของขวัญจะออกไปดูโลกภายนอก พญานาคก็ได้เตือนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
“อย่าไปทำอะไรสิ้นคิดอย่างการไปมีความรู้สึกผูกพันกับโลกข้างบนละ เจ้าจงอย่าหลงลืมรากเหง้าของตัวเอง ว่าที่จริงแล้ว เจ้าเป็นอะไร...”
ของขวัญรับคำเตือนนั้นท่องขึ้นใจ ก่อนจะออกเดินไปตามถนนเส้นใหญ่ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
.....................................................
เมื่อได้มาสัมผัสการดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้ของขวัญรู้สึกมีความสุขมากกว่าการเฝ้ามองเป็นไหนๆ วันแล้ววันเล่าที่เธอออกตระเวรเดินสำรวจไปทั่วเมือง
จนกระทั่งวันหนึ่งในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เธอก็สังเกตเห็นมนุษย์สามคนกำลังถกเถียงกันอยู่บริเวณริมถนน
เธอจึงเดินเข้าไปในระยะที่จะได้ยินเสียงของทั้งสามคนคุยกัน
"______"
“จิตใจของแกทำด้วยอะไร!! ถึงได้ทำร้ายพวกมันจนบาดเจ็บขนาดนี้!!” เด็กสาวผิวสีแทนกำลังโวยวายใส่ชายหนุ่มหน้าดุ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
“พูดอะไร!! พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอรึไง!! พวกมันเป็นแค่หมาจรจัด ถือเป็นโชคดีของพวกมันด้วยซ้ำที่ชีวิตไร้ค่าของพวกมัน ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาฝีมือมือการต่อสู้ให้กับชั้นคนนี้”
“ทุเรศที่สุด!! พัฒนาฝีมือบ้าบออะไร มันเป็นการทารุณสัตว์ชัดๆ!!”
“… งั้นเธอก็เก็บพวกหมาจรจัดไปเลี้ยงให้หมดสิ!!!” ชายหน้าดุพูดแทงใจดำสาวน้อย
“กะ..ก็ที่บ้านมีเลี้ยงไว้สิบกว่าตัวแล้ว คุณพ่อก็เลยไม่ให้เลี้ยง…..” เด็กสาวทำหน้าจ๋อย
“หึ!! งั้นก็อย่ามาพูดมาก ” ชายหนุ่มไม่ทุกข์ร้อนอะไรแม้แต่น้อย
เมื่อเถียงไม่ออก เด็กสาวจึงมองไปที่ผู้ชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ปกครอง เพื่อให้ช่วยจัดการเรื่องให้
“พี่อเลนอย่ามัวแต่ยืนเฉยสิคะ”
เพราะเสียงเรียกร้องนั้น ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงจำต้องก้าวเท้าออกมาข้างหน้าเพื่อเคลียปัญหา
“บอย…นายอาจจะยังไม่รู้ แต่ไม่นานมานี้พึ่งจะมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ออกมานะ ดังนั้นต่อให้เป็นหมาจรจัดนายก็คงไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรพวกมันแล้ว ยังไงถ้านายอยากจะออกแรงก็ไปออกกับกระสอบทายแทนละกัน ถือว่าเห็นแก่ชั้นกับน้องจาวก็ได้”
แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง คนที่ชื่อบอยก็ดูเหมือนจะไม่ยอมฟังเหตุผลแม้แต่น้อย
แฮ่ แฮ่ แฮ่!!
เสียงของหมาจรจัดตัวหนึ่ง เดินแยกเขี้ยวเข้ามาหาชายที่ชื่อบอย ดูเหมือนมันอยากจะล้างแค้นให้กับเพื่อนของมันที่ถูก จัดการไป
น้องจาวพยายามตะโกนไล่ให้สุนัขตัวนั้นรีบหนีไปให้ไกล แต่ก็ไร้ผล
สุนัขจรจัดวิ่งเข้ามาบวกกับชายตาดุตรงๆ
“ตายซะ ไอ้หมาเวร!!!” บอย กวาดขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ฟาดขนาดกับพื้นถนน มันเป็นท่าจระเข้ฟาดหางที่รุนแรงมาก
เปรี้ยง!!!
พริบตาก่อนที่เจ้าหมาจรจัดจะถูกเตะ ของขวัญก็พุ่งเข้าไปผลักมันออก จนทำให้ตัวของเธอถูกซัดด้วยจระเข้ฟาดหางจนกระเด็นไปไกล
การกระทำที่บ้าบิ่นของ ของขวัญ ทำให้เจ้าของลูกเตะอันรุนแรงทำอะไรไม่ถูก และยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อเลนกับน้องจาวรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของขวัญทันที
“นี่..คุณเป็นยังไงบ้าง!”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เจ็บแขนนิดหน่อย”
ของขวัญเอามือจับบริเวณแขนที่มีอาการบวมแดงน่ากลัว
ชายหนุ่มทรงผมไถ่ข้างเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด แม้ว่าเค้าจะทำรุนแรงกับพวกสัตว์แต่เค้าก็ไม่เคยคิดจะใช้กำลังกับคนด้วยกัน โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง
ดังนั้นบอยจึงขอเป็นคนพาของขวัญไปโรงพยาบาล ซึ่งอเลนกับน้องจาวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร โดยอเลนจะไปส่งน้องจาวที่บ้านก่อน แล้วจะตามไปสบทบที่โรงพยาบาล
“______”
ที่โรงพยาบาล ของขวัญเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมคุณหมอซึ่งบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง มีเพียงรอยช้ำเล็กน้อยเท่านั้น
“ขอโทษนะ…” บอย เดินเข้ามาขอโทษของขวัญ
“ถ้ามีอะไรที่จะทำเพื่อไถ่โทษได้ ก็จะทำให้”
ของขวัญกวาดสายตาไปในอากาศ ก่อนจะทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก
“งั้น…เพื่อเป็นการไถ่โทษ จากนี้ต่อไปห้ามเธอไปทำร้ายสัตว์ที่ไม่ทางทางสู้อีก และจะต้องคอยปกป้องพวกมันด้วย โอเคไหม”
“ ขอปฎิเสธ” บอยตอบเสียงแข็ง
“อ่าว…ทำไมอะ?”
“มันเป็นแนวทางในการเพิ่มพลังการต่อสู้ของชั้น”
“มันมีตั้งหลายวิธีไม่ใช่หรอ ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้สักนิด”
“เธอไม่รู้อะไรก็เงียบเถอะน่า”
หลังจากที่ฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่นาน อเลนที่นั่งอยู่เงียบๆจึงพูดเบรกทั้งสองเอาไว้
“ว่าแต่…คุณของขวัญนี่เป็นคนที่ไหนครับ ดูยังไงก็ไม่ใช่คนแถวนี้นะ ”
อเลนคิดว่า ถ้าเป็นคนในเมืองนี้ ไม่มีทางที่เค้าจะไม่รู้จัก
ของขวัญตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างจริงจังออกไป
“ชั้นเป็นคนของที่นี้ เมืองนี้คือบ้านของชั้นค่ะ”
“_____”
“แล้วบ้านคุณของขวัญอยู่แถวไหนหรอครับ”
“ก็แถวๆนี้ละค่ะ” ของขวัญยิ้ม
แม้จะได้คำตอบสุดแสนกำกวม แต่เนื่องจากเริ่มมืดแล้ว อเลนจึงบอกให้ทั้งบอยและของขวัญแยกย้ายกันกลับบ้าน โดย อเลนเดินไปทางซ้ายเพื่อเข้าสู่เขตเมืองใหม่ ส่วนบอยก็เดินไปทางขวาเข้าสู่เขตเมืองเก่า
หลังจากเดินมาเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นว่าของขวัญเดินตามหลังตนมาตลอด
‘บ้านของยัยนี่อยู่เขตเมืองเก่างั้นเรอะ…’ บอยคิดในใจ
บอยยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันไปคุยกับของขวัญ
“อยากแข็งแกร่งจนถึงขนาดต้องทำร้ายพวกสัตว์ไม่มีทางสู้เลยหรอ” เป็นหญิงสาวที่เปิดปากพูดก่อน
"______"
“ใช้วิธีการธรรมดาๆมันไม่ทันหรอก ชั้นหมายถึงอีกไม่กี่วันก็จะถึงการแข่งไทยแลนด์ไฟท์แล้ว” บอยพูดไปเดินไปโดยไม่ได้หันไปสนใจของขวัญ
“อยากชนะหรอ” ของขวัญวิ่งแซงหน้าชายหนุ่ม
.อะไรของเธอ…ก็ต้องอยากชนะสิ”
“ชั้นนึกออกแล้ว!!”
“นึกอะไรออกไม่ทราบ?”
“ก็ที่นายบอกว่าจะไถ่โทษไง สิ่งที่ชั้นต้องการก็คือต่อจากนี้ให้ชั้นไปอยู่ที่บ้านของนายด้วยยังไงละ ”
“ว่าไงนะ!! แล้วเธอจะมาบ้านชั้นทำไมเนี่ย!!” บอยทำหน้าเหวอ
“เอาน่า! หรือว่าคำขอนี้ก็ทำให้ไม่ได้ นี่นายตั้งใจจะไถ่โทษจริงๆรึเปล่าเนี่ย ดูสิแขนเริ่มปวดอีกแล้วเนี่ย”
“ชิ!อยากจะทำอะไรก็ทำละกัน” ต่อหน้าหญิงสาวหัวแข็งอย่างของขวัญ ดูเหมือนนักสู้บอย จะทำได้เพียงบ่นงุบงิบคนเดียว และเดินหนี
แต่สุดท้ายของขวัญก็แค่มาอยู่ช่วงกลางวันและกลับออกไปในช่วงเวลากลางคืน
หลังจากนั้นในทุกๆวัน ของขวัญก็จะคอยตามติดบอยไปยังทุกๆที่ โดยของขวัญจะพยายามขัดขวางไม่ให้บอยไปลงไม้ลงมือกับพวกสัตว์จรจัด ทำให้สุดท้ายบอยก็ต้องไปฝึกเตะกระสอบทรายตามปกติ
นั้นสร้างความอึดอัดใจให้บอยไม่น้อยเลย
และไม่กี่วันต่อมา การค้นหาสุดยอดนักสู้อันดับหนึ่งที่ ที่จะจัดทุกสี่ปี ก็ได้เริ่มขึ้น
‘การแข่งขัน ไทยแลนด์ไฟท์ครั้งที่69’
นี้คือการแข่งแบบแพ้คัดออก โดยนักสู้ทั่วประเทศกว่า300คน จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด
การแข่งรายการนี้แม้แต่รอบแรกๆก็ยังมีผู้เข้าชมจำนวนมาก เป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของการแข่งนี้เป็นอย่างดี และตอนนี้ผู้บรรยายก็ประกาศชื่อผู้เข้าแข่งขันคู่แรก
“เป็นการพบกันระหว่าง มุมซ้าย บอย เบิร์นเนอร์ VS มุมขวา กอล์ฟฟี่ หมัดเหล็ก!!!”
บนลานประลองที่เป็นพื้นราบ พื้นที่ประมาณ100ตารางเมตร ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆทั้งสิ้น นักสู้จะต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อโค่นคู่ต่อสู้
บอย เบิร์นเนอร์มองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็น ของขวัญนั่งอยู่ทางอัฒจันทร์ฝั่งตะวันตก ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามาเชียร์ หรือแค่มาจับตามอง
แกร๊ง!!! เสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้
ในช่วงแรกนักสู้ทั้งสองต่างยังดูเชิงกันอยู่ แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปสักพักทั้งคู่ก็เริ่มออกอาวุธใส่กัน
กอฟฟี่หมัดเหล็กเป็นนักสู้ที่มีจุดเด่นคือความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังโจมตีอันหนักหน่วง เค้าเข้าจู่โจมบอย เบิร์นเนอร์แบบไม่ให้หายใจ
“บอย เบิร์นเนอร์ฝีมือตกลงไปจากครั้งก่อนนะเนี่ย..” คนดูที่อยู่ข้างๆของขวัญพูดขึ้นมา
“หมายความว่ายังไงคะ…” ของขวัญหันไปถามเจ้าของคำวิจารณ์
“เมื่อสี่ปีก่อน บอย เบิร์นเนอร์ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สามารถเข้าถึงรอบชิงได้เลยนะ นอกจากความว่องไวแล้ว เค้ายังมี"ความดุดัน"ที่หาได้ยากในนักสู้สมัยนี้”
“ความดุดัน…” ของขวัญครุ่นคิด ก่อนจะหันกลับไปชมการแข่งขันต่อ
หลังเสียงระฆังของยกที่3ดังขึ้น นั้นคือสัญญาณที่บอกว่าการต่อสู้จบลงแล้ว และผู้ชนะก็คือ บอย เบิร์นเนอร์ที่ชนะคะแนนแบบหืดจับ 25-22คะแนน
และในรอบต่อมา บอย เบิร์นเนอร์ก็ยังทำผลงานไม่สมกับที่เป็นตัวเต็ง แม้จะชนะคู่แข่ง แต่ตัวเค้าเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักเอาการ
และเย็นวันนั้น ของขวัญก็ตัดสินใจที่จะพูดบางอย่างกับบอย เบิร์นเนอร์
ก๊อกๆ…
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"________"
"นาย... ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย"
“มีธุระอะไร…” เสียงตอบกลับมาจากด้านหลังของประตู
“ชั้นพึ่งจะเข้าใจ ที่นายต้องออกไปทำร้ายพวกสัตว์ ก็เพราะต้องการจะเพิ่ม "ความดุดัน" ให้ตัวเองสินะ”
“…..”
“ถ้านายไม่ชนะการแข่งขัน มันคงจะเป็นความผิดของชั้น ที่ไปขัดขวางนาย ซึ่งเจตนาของชั้นไม่ใช่แบบนั้น”
“หมายความว่าจะไม่มาขัดขวางการซ้อมของชั้นแล้วสินะ ขอบคุณมาก!”
“ไม่ใช่!! การที่นายไปทำเรื่องโหดร้ายกับพวกสัตว์นั้นก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เหมือนกัน”
“งั้นต้องการจะบอกอะไรกันแน่!!” บอยเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับของขวัญ
แต่แล้วบอยก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพของขวัญที่กำลังแบกของพะรุงพะรัง หนังสือที่ซ้อนกันจนสูงพอที่จะบังร่ายกายของสาวน้อยได้ สิ่งที่ของขวัญขนมาก็คือหนังสือความรู้ด้านการต่อสู้แขนงต่างๆ
“นับตั้งแต่นี้ชั้นจะอาสาเป็นเทรนเนอร์ให้นายเอง จะทำให้นายได้ที่หนึ่งโดยไม่ได้ไปทำร้ายพวกสัตว์ให้ดู”
“หะ..ให้มันน้อยๆหน่อย!! ที่ให้เธอมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ ก็เพราะว่า เป็นการไถ่โทษที่ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บหรอกนะ แต่ถ้าถึงขนาดมาวุ่นวายเรื่องการแข่ง ก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ!!”
ของขวัญสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเธอเองก็พึ่งจะเคยถูกคนตวาดแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ชั้นก็แค่อยากจะทำให้ทั้งความฝันของชั้นกับของนายเป็นจริงก็เท่านั้นเอง”
“ความฝัน?”
“ใช่…ความฝันของนายก็คือการเป็นที่หนึ่งในการประลองใช่ไหมละ”
“ก็ใช่...”
“ ส่วนความฝันของชั้นก็คือ การที่ทุกชีวิตบนแผ่นดินแห่งนี้ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ชั้นอยากจะให้นายชนะการประลอง โดยการไม่ทำร้ายใครนะ” ของขวัญตีหน้าเศร้า
คำพูดที่ออกมาจากใจของ ของขวัญทำให้บอย เบิร์นเนอร์ใจอ่อน
“..ช่วยไม่ได้ ก็อยากจะรู้ว่ายังจะมีวิธีไหนที่จะดีกว่าวิธีที่ชั้นทำอยู่เหมือนกัน” พูดจบบอยก็เดินเข้าไปในห้อง และก่อนจะปิดประตู เค้าก็หันมาบอกของขวัญ
“พรุ่งนี้6โมงเช้าเราจะเริ่มฝึกกันเลย”
“อืม!!” ของขวัญตอบรับด้วยรอยยิ้ม
บอย เบิร์นเนอร์เริ่มฝึกฝนร่างกายตามคู่มือต่างๆที่ของขวัญนำมาให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคู่มือธรรมดาๆที่ยืมมาจากห้องสมุด
ในเรื่องอาหารการกิน ของขวัญจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองตามคู่มือเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา ทุกๆวันทั้งสองคนก็จะมานั่งกินข้าวพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกสำหรับวันพรุ่งนี้
วันเวลาเดินผ่านอย่างรวดเร็ว และก็ถึงวันสุดท้ายก่อนการแข่งขันแข่งขันรอบ3 ทั้งคู่อยู่ซ้อมกันจนดึกดื่น
“เธอ….”
“มีอะไรหรอ?”
“คือว่า… นี้ก็ดึกแล้ว พักที่บ้านนี้เลยก็ได้นะ..”
“เอ๋..”
“ยะ..อย่าเข้าใจผิดไป ก็แค่เห็นว่ามันดึกมากแล้ว ข้างนอกมันไม่ปลอดภัยต่างหาก”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
“งั้นชั้นจะไปนอนที่ห้องรับแขกเอง ส่วนเธอไปนอนในห้องนอน”
“อืม…ขอบคุณนะ ต้องมองนายใหม่แล้วละ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ Goodnight” ของขวัญยิ้ม ก็จะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน
และในวันรุ่งขึ้น การแข่งรอบที่สาม บอย เบิร์นเนอร์ ก็สามารถเอาชนะน็อคคู่แข่งได้อย่างขาดลอย
เย็นวันนั้น บอยพาของขวัญออกมาเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ เพื่อฉลองให้กับการเข้าใกล้ความฝันอีกหนึ่งก้าวของพวกเค้า
ของขวัญด้วยความที่เป็นคนคออ่อน เพียงแค่ดิ่มสปายก็ทำให้เมาแอ๋แล้ว จนบอยต้องพาไปนอนที่บ้าน
“เฮ้อ..คออ่อนแล้วยังไม่รู้จักเจียม เป็นสาวเป็นแส้ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยสิ” บอย บ่นกับร่างไร้สติของสาวน้อย ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใต้ผ้าน่วมผืนใหญ่
เมื่อออกมาสูดอากาศที่ระเบียง ก็มองเห็นดาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า บอยยืนดูดวงดาวและคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่มีของขวัญเข้ามาในชีวิต เค้าก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป
อย่างในการแข่งวันนี้ เค้าสามารถชนะน็อคคู่ต่อสู้ด้วยฟอร์มอันสุดยอดได้ ก็เป็นเพราะในตอนนั้นเค้าไม่ได้สู้อยู่คนเดียว แต่สู้พร้อมกับของขวัญ เค้าไม่ได้สู้เพื่อความปรารถนาของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เค้าสู้เพื่อความปรารถนาของของขวัญด้วย
ในหัวของบอยตอนนี้มีแต่ภาพของสาวน้อยน่ารัก ขี้เล่น อ่อนโยนแต่ก็แข็งแกร่ง “ของขวัญ” อยู่เต็มหัวไปหมด
“หรือว่าเราจะตกหลุมรักของขวัญเข้าแล้ว”
บอย เบิร์นเนอร์พูดถามหัวใจหัวเอง แต่เค้าก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ เหมือนกับ ดาวบนท้องฟ้าที่ถึงแม้จะเห็น แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคือดาวอะไรบ้าง
…………………………………………………
และแล้วรอบชิงชนะเลิศของศึก ไทยแลนด์ไฟท์ก็มาถึง
ณ ห้องแถลงข่าว คู่ต่อสู้คนสุดท้ายนั่งรออยู่ก่อนแล้วและจ้องมองมายัง บอย ที่พึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง
เดอะไททาเนี่ยม นักสู้ที่คว้าอันดับหนึ่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว ชายรูปร่างกำยำและน่ากลัวราวกับยักษ์ไททัน ผู้ที่บอย เบิร์นเนอร์พ่ายแพ้เมื่อการแข่งครั้งที่แล้ว
บอย เบิร์นเนอร์เดินผ่านเดอะไททาเนี่ยมอย่างไม่กลัวเกรงและเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะแถลงข่าว
“จะถอนตัวตอนนี้ก็ยังทันนะ…”
“…..”
เมื่อเห็น บอย เบิร์นเนอร์แสดงท่าทีเฉยเมย เดอะไททาเนี่ยมจึงพล่ามต่อ
“เฮ้!!อย่าเมินกันสิ นี่ข้าเตือนด้วยความหวังดีนา เพราะเห็นฝีมือของแกในรอบแรกแล้ว มันก็เก่งกว่าเมื่อสี่ปีก่อนไม่เท่าไรนี่ถึงรอบต่อๆมา ก็สู้ได้ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา แต่แค่นั้นเอาชนะ เดอะไททาเนี่ยม คนนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“อยากจะเห่าอะไรก็เชิญเห่าไปเถอะ เพราะว่าพรุ่งนี้หลังการแข่งขันจบลงนายก็จะไม่ได้เห่าแบบนี้อีกแล้ว ” บอย เบิร์นเนอร์ ตอกกลับซะจนเดอะ ไททาเนี่ยมโมโห
การแข่งขันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งขันแบบDeathmatch ไม่มีพักยก สู้กันจนกว่าอีกฝ่ายจะพูดยอมแพ้หรือหมดสภาพที่จะสู้ต่อ ซึ่งเดอะ ไททาเนี่ยมกะเล่นงานบอยให้สาหัส จนปากดีไม่ได้
หลังจากจบงานแถลงข่าว บอยก็เดินทางกลับมายังที่บ้าน ตลอดเส้นทางบอยคิดถึงแต่แผนการที่จะเอาชนะ เดอะ ไททาเนี่ยม เค้ารู้ดีว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน เพราะเมื่อได้ดูคลิปการต่อสู้ที่ผ่านๆมาของเดอะไททาเนี่ยม เค้าก็รู้ตัวว่าเปอเซ็นที่จะเอาชนะนั้นมีเพียงสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น
“การฝึกของของขวัญยังไม่เพียงพอ”
เค้าอาจจะต้อง "แอบไปฝึกฝนกับพวกสัตว์จรจัด" อีกครั้ง มันเป็นการฝึกที่จะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นในการเอาชนะเค้าจำเป็นต้องเพิ่มการดุดันและความโหดเหี้ยม
“ทางนี้ๆรีบมาเร็วๆ วันนี้อาหารอร่อยๆเพียบเลยนะ ” ของขวัญตะโกนมาจากหน้าบ้าน เธอยืนรอบอยกลับมาจากงานแถลงข่าว
เมื่อเดินเข้าไปถึงที่โต๊ะอาหาร บอยก็ต้องตะลึงเพราะอาหารบนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยของน่ากิน อย่างขาหมูทอด เบียร์และอื่นๆ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย…นึกว่าจะเป็นอาหารแบบพวกอกไก่ผสมกล้วยปั่นแบบที่แล้วๆมา”
“ก็พรุ่งนี้เป็นรอบชิงแล้วนี่นา ที่ผ่านมาก็กินอาหารเสริมสร้างกล้ามเนื้อมามากพอแล้วถึงคราวต้องเพิ่มกำลังใจด้วยอาหารหรูๆนี่แหละ” ของขวัญยิ้มก่อนจะตักข้าวและขาหมูชิ้นโตใส่ในจานของบอย
"_______"
สำหรับบอยแล้ว เค้าคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ตัวเค้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เค้านั่งกินและพูดคุยกับของขวัญอย่างสนุกสนาน และแล้วเค้าเลิกคิดที่จะไปฝึกกับพวกสัตว์จรจัด
เพราะ ”มันคงจะไร้ความหมายหากในชัยชนะนั้น จะต้องทรยศความไว้ใจของของขวัญ”
“นี่…ถ้าหากพรุ่งนี้ชั้นชนะได้เป็นที่1 ชั้นอยากจะขอรางวัลจากเธอจะได้ไหม”
“ได้สิ…นายอยากได้อะไรหรอ” ของขวัญพูดขณะข้าวอยู่เต็มปาก
“ไว้ชนะแล้วค่อยขอก็แล้วกัน” บอยยิ้มก่อนจะเริ่มกินข้าวต่อ
สำหรับบอยแล้ว เค้าอยากจะหยุดช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เอาไว้จริงๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้
และแล้วรุ่งเช้าแห่งศึกตัดสินก็มาถึง
ในสนามประลองเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มากกว่ารอบที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว
เดอะ ไททาเนี่ยมยืนอยู่บนเวที ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
ตามมาด้วยบอย เบิร์นเนอร์ที่กำลังจะขึ้นไปบนเวที แต่เค้าก็หยุดและหันกลับมาพูดกับของขวัญที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“ที่มาช่วยเทรนตลอดสองเดือนขอบคุณมากนะ สนุกมากๆเลยละ”
“อืม…ชั้นสนุกเหมือนกัน ที่สำคัญตอนนี้ไปคว้าอันดับ1มาให้ได้นะ”
บอย เบิร์นเนอร์ พยักหน้าเล็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังและเดินขึ้นไปบนเวที
ขณะนี้บนเวที นักสู้ทั้งสองได้ยืนประจันหน้ากัน
“________”
แกร๊ง!!!
เสียงระฆังดังกังวานได้ยินทั้งสนามประลอง การต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้น เสียงของผู้ชมดังไปทั่วทั้งสนาม
นักสู้ทั้งสอง เดอะไททาเนี่ยมและบอย เบิร์นเนอร์ พุ่งเข้าหากันท่ามกลางเสียงเชียร์อันบ้าคลั่ง
0 ความคิดเห็น