คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : ชีวิตในราวป่า (1) รีไรต์
Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life - Confucius
"จงเลือกจะทำในสิ่งที่คุณรัก แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต" สุภาษิตขงจื๊อ
บทที่ 1 : ชีวิตในราวป่า (1)
ศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หลบหนีภัยสงคราม อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
(15 กิโลเมตรจากชายแดนไทย-พม่า)
สำนักงานองค์กรระหว่างประเทศเพื่อผู้ลี้ภัยและการตั้งถิ่นฐานใหม่
(International Organization for Refugee and Resettlement-- IORR)
อาคารชั้นเดียวแห่งนั้นปลูกด้วยไม้ไผ่เป็นฝาข้างและมุงหลังคาด้วยใบตองตึง ตั้งอยู่บนปลายสุดของทางลูกรังที่พร้อมจะคุกรุ่นไปด้วยละอองฝุ่นหากมีรถราคันใดแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว ประตูด้านหน้าของอาคารชั่วคราวแห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งโดยมากเป็นครอบครัวเชื้อสายกะเหรี่ยงที่หลบหนีภัยสงครามจากประเทศพม่ามายังปลายทางคือชายแดนแคว้นสยามแห่งนี้
เนรัญเหลือบมองไปด้านนอกแล้วถึงกับถอนหายใจกับตัวเองยาว ด้านข้างเธอคือล่ามชายวัยกระทงที่ความสามารถมากล้นเพราะถนัดทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ส่วนเบื้องหน้าเธอยังคงง่วนกับการสัมภาษณ์กระทาชายชาวกะเหรี่ยงวัยค่อนคน และขั้นตอนทุกอย่างก็ยังไม่เสร็จสิ้นดีเพราะกระดาษใบสุดท้ายที่จะบรรจุเรื่องราวและเหตุผลในการหลบหนีภัยยังไม่อาจจบลงได้ เนื่องจากคำให้การของแกยังยังคงวกวนเหมือนพายเรือในอ่าง จนเธอยังนึกอยากขอยาดมมาแก้ขัด
เนรัญมองตรงที่สายตาลุงกะเหรี่ยงพร้อมถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่
"ลุงคะ ตกลงลุงแน่ใจเหรอว่าที่ต้องหนีมาจากพม่านั่นเพราะโดนทหารกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA)[1] บุกหมู่บ้าน?”
ชายมากวัยตรงหน้ารับฟังคำแปลจากล่ามที่อยู่ด้านข้างแล้วตอบรับ สีหน้าไม่สู้ดีนักแต่คำแปลก็คือ
“ใช่ครับ ลุงแกยืนยันว่าเรื่องเป็นอย่างนั้น" ล่ามหนุ่มหันมาแปลเสียงแหยน้อยๆ
เนรัญกุมขมับข้างหนึ่ง "คิดดีๆ ก่อนนะคะลุง เท่าที่รู้มา กองกำลัง DKBA นี่เพิ่งก่อตั้งประมาณปี 1994-1995 เองนะคะ แต่ปีที่ลุงหนีมาจากฝั่งโน้นน่ะ...มันก่อนปีที่ว่าอีกนะคะ ลุงคะ...ช่วยอธิบายให้หนูฟังได้ไหมว่ายุคนั้นมีทหาร DKBA มาบุกเผาหมู่บ้านลุงจริงๆ เหรอ?"
เงียบ... ลุงกะเหรี่ยงถึงกับเงียบเมื่อได้ฟังว่าเจ้าหน้าที่องค์กรซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ ยังรับรู้ข้อมูลกลุ่มติดอาวุธในฝั่งพม่าลึกกว่าที่แกเล่า ล่ามหนุ่มซึ่งนั่งแปลประโยคต่อประโยคก็รอจะฟังคำตอบจากลูกค้าตรงหน้าเช่นกัน
"เอ่อ... ลุงก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ" ชายสูงวัยเกาศีรษะแกรกๆ "เอ... เรื่องที่เล่าๆ ไปนี่ลุงเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะ เรื่องหมู่บ้านโดนเผาก็เหมือนกัน... แหะๆ รู้แต่ว่าอยู่ที่โน่นมันลำบากยากแค้นเอามากๆ แล้วก็ได้ยินคนเค้าบอกว่าหนีมาอยู่ในไทยจะสบายกว่าก็เลยหนีมา”
เนรัญลอบหันไปยักคิ้วให้ล่ามคนสนิท อีกแล้วไง... ผู้ลี้ภัยที่มองความลำบากเป็นหลักจึงดั้นด้นหนีจากบ้านเกิดมาอาศัยอยู่ในค่ายอพยพ ซึ่งเป็นสถานที่อันรับประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยและมีปัจจัยรองรับ เมื่อดูเผินๆ ในคำตอบของเขาจึงคล้ายกับการหนีความยากจนมาขุดน้ำบ่อหน้า... แต่เมื่อสาวลึกลงไปจะพบรากเหง้าของปัญหาคือชาติพันธุ์ของชนกลุ่มน้อยที่ผิดแผกไปจากกลุ่มรัฐบาลทหารพม่า
ทั้งนี้สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในพื้นที่สู้รบกับชนกลุ่มน้อย คือการที่ชาวบ้านมักถูกบังคับใช้แรงงานจากหน่วยงานทหารพม่า บางคนอาจเคยโดนทารุณกรรมขณะถูกใช้แรงงาน หลายคนหลบหนีได้แต่ก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตลำบากในบ้านเกิดเมืองนอน อาจกล่าวได้ว่าผู้คนชาติพันธุ์ชายขอบเหล่านั้นมักมีชีวิตที่ยากจนข้นแค้นเนื่องเพราะการบริหารของรัฐบาลทหารซึ่งดำเนินนโยบายกดดันและกวาดล้างฝ่ายต่อต้านมากว่าครึ่งศตวรรษ
"เอางี้ลุง...พูดกันตามจริงดีกว่านะ" หญิงสาวตั้งต้นใหม่อย่างใจเย็น "เล่าเรื่องจริงๆ ของลุงมาเถอะ ไม่ต้องพยายามสร้างเรื่องเอาเองหรอก เพราะหลังสัมภาษณ์รอบนี้กับองค์กรหนู ยังมีรอบสำคัญกว่านี้คือการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ อีก ซึ่งถ้าไม่เล่าความจริงตั้งแต่รอบนี้ รอบหน้าถ้าโดนถามแล้วเค้าจับได้ว่าไม่พูดความจริง หนูก็ไม่คิดว่าลุงจะมีโอกาสเล่าใหม่นะ”
ลุงสูงวัยเริ่มหน้าถอดสี เนรัญจึงรุกคืบต่อ
“แล้วยิ่งถ้าเค้าเห็นว่าลุงสร้างเรื่องขึ้นมาลอยๆ ก็จะนับว่าเป็นการให้ข้อมูลเท็จ เคสลุงก็จะโดนปฏิเสธอยู่ดี ตกลงลุงจะเอายังไงคะ"
เงียบ... เงียบไปกว่าเดิมอีก คราวนี้ลุงวัยกระทงแกคิดหนักหน่อยเพราะขนาดเจ้าหน้าที่สาววัยละอ่อนยังจับคำยกเมฆของแกได้ นึกๆ ไปแกก็ต้องยอมรับว่าลูกเมียฝันจะไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกา หากถูกปฏิเสธย่อมไม่ส่งผลดีแน่ คิดได้อย่างนั้นแกจึงค่อยๆ ตอบเสียงอ่อยว่า
"งั้น... ลุงจะเล่าเรื่องจริงก็ได้ เอาแต่เรื่องที่รู้ดีกว่า..."
ล่ามหนุ่มหันมาแปลพร้อมอมยิ้มขันๆ ให้กับเนรัญ อีกรายแล้ว... ที่โดนเนรัญ 'สกัดดาวรุ่ง' ให้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง เนรัญเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสามารถในการ 'กลั่นกรอง' เอาความจริงที่แม่นยำ ล่ามที่ชำนาญอย่าง ก่อนาย ยังยอมรับว่าเนรัญเป็นหนึ่งในจำนวนคนทำงานด้านนี้ไม่กี่คนที่รู้ลึกถึงภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศพม่า ชนิดที่ว่าบางคนที่มาจากพม่าเองยังไม่รู้ถึงความเป็นมาและภูมิศาสตร์ในประเทศตนได้ดีเท่าคุณเธอด้วยซ้ำ อย่างวันนี้ที่เธอจับได้ว่าคำให้การมันฟังดูไม่เข้าท่า จนเค้นไปเค้นมาแล้วความแตกเป็นต้น
เสร็จงานจากเคสดังกล่าว เนรัญก็หันไปออกปากกับคนเป็นล่าม
"ก่อนาย กลับบ้านไปกินข้าวก่อนเลยนะคะ เดี๋ยวตอนบ่ายค่อยมาทำงานต่อนะ วันนี้คนเยอะ รันสงสัยว่าเราต้องทำงานกับแบบ non-stop แน่เลย"
"ครับผม ไม่เป็นไรครับ งานเยอะสิดี ผมชอบ" ล่ามหนุ่มใหญ่ตอบยิ้มกว้าง "แล้วตอนบ่ายเจอกันครับคุณรัน"
เนรัญพยักหน้าให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดเก็บเอกสารมากมายที่ระเกะระกะบนโต๊ะให้พ้นตาไป ระหว่างนั้นเธอก็ต้องลุกไปห้องส่วนจัดเก็บเอกสาร ทางเดินตรงกลางค่อนข้างมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ก็อาศัยช่วงตัวที่ค่อนข้างโปร่ง... เนรัญจึงเดินหลบหลีกได้อย่างไม่ยากเย็น
ความจริงเนรัญไม่เคยคิดว่าตัวเองตัวเล็ก แต่เมื่อใครๆ ทราบว่าเธอจะมาทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยห่างไกลความเจริญเช่นนี้ก็ล้วนแสดงความแปลกใจกันทั้งนั้น
'ตัวแค่นี้น่ะเหรอ... จะไปทำงานชายแดนพม่า...' คนพูดเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานเก่า 'ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะวิ่งหนีทันเหรอ ระวังตัวนะทำงานซะไกลปืนเที่ยง เป็นสาวเป็นนางมันจะไม่ปลอดภัย'
นั่นล่ะ...ผู้คนโดยมากมักจะออกอาการพิศวงที่เธอตั้งใจจะละทิ้งหน้าที่การงานของบริษัทใหญ่โตในเมืองหลวงแดนฟ้าอมร เพื่อมารับตำแหน่งเล็กๆ ในองค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานเพื่อกลุ่มคนไร้แผ่นดินเหล่านี้ แต่ขณะเดียวกันเพื่อนฝูงวัยเดียวกันที่เข้าอกเข้าใจว่านี่คือความชอบส่วนตัวของเนรัญ
'งานอย่างนี้ก็ดีนี่หว่า ลุยๆ นี่ล่ะดี เหมาะกับแกแล้ว' อินธนา เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยเปรยกับเธอ 'ตัวเล็กๆอย่างแกนี่ล่ะที่จะวิ่งหลบกระสุนได้ดี คนตัวใหญ่สิเป็นเป้าใหญ่แถมวิ่งหนีก็ไม่ทันหรอก เออ... ถ้าแกมีข่าวเด็ดอะไรจากทางชายแดนก็บอกฉันด้วยนะ'
ทั้งนี้ ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ของเธอเป็นนักข่าวสายการเมืองที่ตะลอนทั่วสารทิศมามิใช่น้อย เขาจึงเข้าใจความรู้สึกเนรัญดีว่า... เธอมุ่งมั่นจะมาเส้นทางสายนี้อยู่นานแล้ว และเรื่องราวผู้ลี้ภัยหรือคนไร้ถิ่นคือความสนใจเธออยู่เสมอ
เนรัญเป็นคนที่ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วเธอก็จะมุ่งไปหามันอย่างแรงกล้า นิสัยอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายของเธอก็คือความเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ไปจนถึงกล้าบ้าบิ่นในบางครั้ง ทัศนคติอย่างนี้เองจึงทำให้เธอ 'อยู่ยาก' สักหน่อยในสังคมทำงานแบบไทยๆ ที่ผู้น้อยต้องไม่กล้าหือกับผู้ใหญ่
ทว่าการเปลี่ยนมาทำงานกับองค์กรต่างชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงนิวยอร์คอย่างหน่วยงานที่เธอทำอยู่ ก็ไม่ทำให้นิสัยตรงนั้นเป็นปัญหาแต่อย่างใด งานภาคสนามคือการทำงานอย่างเป็นทีมและแต่ละฝ่ายต้องช่วยเหลือกันได้ในยามจำเป็น วัฒนธรรมองค์กรมีความเป็นตะวันตกในแง่ที่ว่าคนทุกคนในองค์กรมีสิทธิ์จะพูดจะส่งเสียงออกมาได้... หากว่าสิ่งนั้นจะทำให้หน่วยงานได้แก้ไขปรับปรุงตนเองให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
มันจึงเป็นสถานที่ทำงานที่เนรัญพบว่า... เธอได้เป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจนที่สุด หากไม่นับห้วงเวลาในการเรียนมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา
เมื่อแรกเริ่มที่ก้าวเท้าเข้ามาเริ่มงานในศูนย์พักพิงผู้หลบหนีภัยสงครามตามตะเข็บชายแดน ทุกสิ่งดูเหมือนจะเป็นโลกใหม่สำหรับเธออยู่บ้าง แรกๆนั้นเธอเกิดอาการเมารถอยู่บ้างเพราะต้องนั่งรถร่วมชั่วโมงในการผ่านทางลูกรังขรุขระขนาดโลกพระจันทร์เรียกพี่ เพราะแคมป์ผู้ลี้ภัยมักตั้งอยู่ลึกในราวป่า
เธอเคยชะโงกมองหุบเหวด้านข้างถนนเพราะรถกำลังไต่ระดับอยู่บนไหล่เขา และพี่ตั๋ม... คนขับรถมือพระกาฬคนหนึ่งของหน่วยงานก็เคยแหย่ว่า
'จะมองลงไปทำไมละรันเอ้ย ถ้าตกลงไปก็ไม่ต้องงมหาให้เสียเวลาหรอก น่าจะไม่เหลือซาก'
'พี่ตั๋ม...' ฟาริดา รุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเนรัญร่วมสิบปีเอ่ยปรามแก 'อย่าไปขู่รันมันสิ เดี๋ยวเด็กมันจะกลัวหมด... ยิ่งไม่ค่อยมีคนอยากมาทำงานที่แคมป์นี้ด้วย'
พี่ฟ้าหรือฟาริดา เป็นรุ่นพี่ที่ทำงานด้านนี้มาก่อนเนรัญหลายขวบปี เรียกได้ว่าอาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ เนรัญสนิทกับฟาริดาเพราะตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาทำงานที่นี่ ฟาริดาก็เป็นคนคอยสอนงานให้เธอบ่อยๆ จนแตกฉานได้แทบทุกเรื่อง ปัจจบันนี้เนรัญก็มีความแม่นยำในการทำงานเบอร์ต้นๆ ขององค์กร เป็นลูกหม้อที่ฟาริดานึกยอมรับอยู่ในตัว
"หว๋าาาา....ตายแล้ว เที่ยงแล้วยังไม่ได้สั่งข้าวเลย ลืมได้ไงนะเรา!"
เนรัญบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย เพราะมัวเสียเวลากับเคสคุณลุงพายเรือในอ่างเสียจนลืมเดินมาสั่งกับข้าวที่ห้องกลางขององค์กร แต่เนรัญก็หวังว่าจะยังทันเวลาสั่งอาหารเที่ยงของเธอ
"พี่ฟ้าคะ รันขอใช้วิทยุหน่อยนะค้า"
เนรัญเดินมาหาฟาริดาที่ห้องกลางอันเป็นคล้ายศูนย์บัญชาการของหน่วยงาน เป็นที่ซึ่งคนทำงานระดับหัวหน้าจะใช้ในการควบคุมการทำงาน รวมถึงเป็นที่ติดตั้งอุปกรณ์สำนักงานและอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างคล้ายออฟฟิศทั่วไป... เพียงแต่ว่าออฟฟิศแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่า
"อ้าว เค้าออกไปกันแล้ว รันลืมสั่งข้าวล่ะสิ" ฟาริดาเงยหน้ามาท้วงถาม
"ค่ะ มัวแต่ยุ่งๆ กะงานบนโต๊ะอ่ะพี่ เลยลืมเดินมาฝากสั่งข้าว นี่...พี่ตั๋มแกคงขับรถไปร้านข้าวใช่ไหมคะ รันจะได้ฝากแกซื้อข้าวเที่ยงหน่อย" หญิงสาวยิ้มแหยๆ
ฟาริดาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วหันกลับไปจดจ่อกับงานตนเองต่อ เนรัญหันไปคว้าเอาวิทยุสื่อสารที่นิยมใช้กันตามหน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลนี้ มันเป็นเครื่องมือสื่อสารเดียวที่เป็นที่พึ่งในยามยากเนื่องจากพื้นที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาและห่างไกลตัวเมืองอย่างอักโข แม้แต่สัญญาณมือถือยี่ห้อที่ว่าแรงๆ ก็ยังไม่ย่างกรายมาทะลวงสักแอะ
หญิงสาวกดปุ่มเปิดและทดลองสัญญาณอยู่ชั่วครู่ จึงได้ยินเสียงซัดซ่าเหมือนมีใครสักคนรับสัญญาณอยู่ปลายทาง
"พี่ตั๋ม รันเองนะคะ" หญิงสาวกรอกเสียงลงไปอย่างคุ้นเคย "พี่ตั๋ม รันฝากซื้อข้าวกล่องนึงดิ"
ซ่า... เงียบ... สัญญาณติดๆ ดับๆ เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้รับฟัง
"พี่ตั๋ม..." เนรัญกรอกเสียงลงไปให้ดังกว่าเดิม "ได้ยินเสียงรันรึเปล่า ตอบด้วย"
ซ่า.... สัญญาณดังชัดถี่ขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ยินใครตอบรับ หญิงสาวเกือบกดปุ่มเป็นรอบที่สามแล้วหากไม่ได้ยินเสียงจากกระบอกสื่อสารดังขึ้นในสุดท้ายว่า
"ขอโทษ... ผมคิดว่าคุณกำลังคุยผิดช่อง..."
เสียงที่ตอบมาชัด แสดงว่าฝ่ายโน้นได้ยินเธอน่าจะชัดเจนเช่นกัน
พี่ตั๋มแหงเลย... ทำเก๊กเสียงเข้มเชียว เนรัญจำได้แม่นเพราะคนขับรถผู้นี้เป็นคนอารมณ์ขันตัวพ่อ ขี้เล่นขี้อำก็ทำบ่อยๆ เวลาติดต่อกันทีไรพี่แกก็จะมีลูกไม้แปลกๆ มาแหย่ชาวบ้านอย่างนี้ล่ะ
"พี่ตั๋ม...ไม่ต้องมาทำเสียงหล่อเลยพี่ รันแค่ฝากซื้อข้าวแค่เนี้ย อย่ามาบิดพลิ้ว ยังไงตอนนี้พี่สั่งข้าวผัดหมูยอให้รันหน่อยสิ ด่วนเลยนะคะ"
ปลายทางไร้วี่แววเสียงตอบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงตอบมาว่า
"ขอโทษนะคุณ... ที่นี่ไม่มีข้าวผัดหมูยอให้..." ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบหญิงสาวก็สวนทันควันว่า
"บ๊ะ! ไม่รู้ละ งั้นพี่ต้องเอาข้าวผัดปลากระป๋องมาให้รันแทนละกันกล่องนึง อ้อ ยิ่งพูดมากหนูยิ่งหิวจัด ขอโค้กเย็นๆ กระป๋องนึงด้วยนะคะ อย่างด่วน...ย้ำว่าด่วน ก่อนที่รันจะโมโหเพราะความหิวไปมากกว่านี้"
นี่แน่ะ... กับพี่ตั๋มน่ะต้องเล่นไม้นี้ล่ะ ไม่รู้ว่าพี่ตั๋มจะรับทราบแค่ไหน แต่ครู่เดียวถัดมา เนรัญก็ได้ยินเสียงเรียบนิ่งสไตล์เดิมตอบกลับมาแบบเหมือนจะยอมแพ้ว่า
"งั้น... รอเดี๋ยว จะให้เอาไปให้ที่ไหน?"
"ก็ออฟฟิศ IORR ของเราไงพี่ ลืมที่ทำงานตัวเองแล้วเหรอไง เกือบสุดทางของหมู่สิบน่ะ มาเร็วๆ น้าพี่ รันจะรอ"
ว่าแล้วหญิงสาวก็ยุติบทสนทนาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง... จะได้กินสักทีข้าวเที่ยงอันแสนสุขของเรา ก่อนจะกลับมานั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาเพื่อสะสางงานเป็นการฆ่าเวลา
ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้จนเธอได้ยินเสียงรถมาจอดใกล้ๆ สำนักงาน พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบพี่ตั๋มเดินเข้ามาข้างในแบบตัวเปล่าไร้วี่แววข้าวผัดปลากระป๋อง ในมือมีเพียงวิทยุสื่อสารเครื่องเก่งเท่านั้น
"อ้าว ไหนข้าวผัดของรันล่ะพี่?" หญิงสาวถามอีกฝ่ายงงๆ
"หา ข้าวผัดอะไร?" คนเพิ่งเข้ามาใหม่ถามกลับด้วยความงงกว่า
"ก็ข้าวผัดที่รันวิทยุไปบอกพี่ให้ซื้อมาให้ไงคะ พี่ตั๋มลืมเหรอ" หญิงสาวทวงหน้าหงิก
"เฮ้ย ข้าวผัดอะไร เธอวิทยุไปบอกพี่ตอนไหน ไม่เห็นได้ยินเลย" พี่ตั๋มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
"อ้าว! จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ก็รันเพิ่งว. ไปบอกพี่ให้ซื้อข้าวเที่ยงมาฝากไง แล้วพี่ก็เพิ่งบอกหนูว่ารอเดี๋ยว... เดี๋ยวจะซื้อมาให้” เนรัญยกวิทยุสื่อสารที่เพิ่งใช้เมื่อสักครู่มาเป็นภาพประกอบ “ถ้าที่หนูคุยด้วยไม่ใช่พี่แล้วหนูเพิ่งคุยกับแมวที่ไหนมาล่ะเนี่ย"
พี่ตั๋มซึ่งอยู่ในสภาพงงจัดไม่ต่างกันรับเอาวิทยุสื่อสารเครื่องนั้นมาพินิจ แต่พอเห็นตัวเครื่องเต็มๆ แกก็หลุดปากออกมาว่า
"ไอ้รัน! ก่อเรื่องแล้วเอ็ง... ดันหยิบผิดเครื่อง!"
"หา? พี่ว่าไงนะ?"
"พี่บอกว่า เธอหยิบผิดเครื่องไปใช้ไงแม่ตัวดี ปกติเราจะใช้กันน่ะเครื่องสีแดงๆ แบบนี้ แต่เธอดันผ่าไปหยิบไอ้เครื่องรุ่นนี้มา ซวยแล้วมั้ยล่ะ"
เนรัญมองตาม จริงแฮะ...เธอไม่ได้หยิบเครื่องสีแดงที่เคยใช้ปกติ แต่หยิบเครื่องสีดำที่อยู่ติดกันไปใช้
"แล้วมันจะซวยยังไงพี่?"
"ก็ดันผ่าไปใช้ของหลวงโดยไม่ขออนุญาตน่ะสิ วิทยุที่เธอเพิ่งใช้ไปเนี่ย ทางทหารลาดตระเวนของที่นี่เค้าให้เรายืมไว้เผื่อใช้เวลาฉุกเฉิน จะได้รู้ข่าวจากฝ่ายทหารที่ลาดตระเวนทันเวลา แต่เธอดันทะลึ่งหยิบมาใช้สั่งข้าวเนี่ยนะ... ยัยตัวดีเอ้ย!"
"ฮู้ย... เรื่องปากเรื่องท้องหนูนะพี่ตั๋ม จะไม่สำคัญได้ยังไง" เนรัญค้านหัวชนฝา มัวแต่ห่วงเรื่องอาหารการกินของตัวเองจนเห็นเรื่องช้างๆ ตัวเท่ามด "จะโดนอะไรก็โดนเหอะ แต่ตอนนี้หนูห่วงอยู่อย่างเดียว ว่าหนูจะได้กินข้าวมั้ยเนี่ย?"
แล้วจู่ๆ ฟาริดาก็เดินรี่เข้ามาหาเนรัญด้วยสีหน้าตื่นๆ
"รัน... มีคนมาหาน่ะ รออยู่หน้าออฟฟิศเรา "
"ใครคะ?" เนรัญฉงนสุดๆ แค่มีใครสักคนแจ้งความประสงค์ว่าจะมาพบเธอกลางป่าเขาก็เป็นเรื่องแปลกเอาการแล้ว แต่ทำไมฟาริดายังต้องทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่อย่างนั้นด้วย
"พี่ก็ไม่รู้จักเขา แต่รู้สึกว่าเขาจะเป็นทหารลาดตระเวนแถวนี้ มาติดต่อบอกว่าขอพบคนชื่อรัน แล้วก็เอาข้าวผัดปลากระป๋องกับน้ำอัดลมมาด้วย พี่ก็จะมาถามรันเนี่ยล่ะว่ารู้จักเขารึเปล่า?"
[1] DKBA= Democratic Karen Buddhist Army เป็นกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธที่แยกมาจากสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU แต่ได้ไปเข้าพวกกับทางรัฐบาลทหารพม่า จึงมีอำนาจข่มเหงผู้คนในรัฐกะเหรี่ยง
ความคิดเห็น