ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เร้นแผ่นดิน (รีไรต์ สำหรับแจก E-book)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2: ชีวิตในราวป่า (2) รีไรต์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 394
      0
      18 ก.พ. 59

    บทที่ 2: ชีวิตในราวป่า (2)

     

    เนรัญหน้าเสีย เธออยากจะบอกฟาริดาว่า ข้าวผัดปลากระป๋องกับน้ำอัดลมน่ะรู้จัก...เพราะเป็นคนกรอกเสียงสั่งลงไปเอง แต่คนเอามาให้นี่ไม่น่าจะรู้จัก เพราะตั้งแต่จำความได้ เธอก็ไม่ได้มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนใกล้ชิดคนไหนทำงานในแวดวงกลาโหม!

    "ฮึ่ย! มาจริงๆ ด้วยพี่ตั๋ม..." เนรัญหันไปทำหน้าสยองกับคนขับรถ

    "หือ มีอะไรเหรอรัน" ฟาริดาเลิกคิ้วถาม

    "ก็เจ้ารันมันดันไปก่อเรื่องไว้น่ะสิฟ้า" พี่ตั๋มอธิบายให้ "รันมันจะวิทยุสั่งข้าวกับพี่ แต่ดันทะลึ่งไปใช้ผิดเครื่อง ไปเอาเครื่องที่เราไปขอยืมทหารเค้ามาใช้สั่งข้าวผัดซะงั้น แถมมีคนตอบมันกลับด้วยนะ คุยกันเออออห่อหมกอีท่าไหนไม่รู้ นี่แสดงว่าเค้าลงทุนไปซื้อข้าวผัดตามที่มันสั่งเลยเหรอเนี่ย..."

    "ตายแล้ว......" ฟาริดาทำตาโตเมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด "วิทยุผิดคลื่น... คุณทหารเค้าก็เลยต้องซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้รันเลยนี่นะ เวรกรรม...เอางี้มั้ยรัน เดี๋ยวพี่รับหน้าให้ก็ได้ รันจะได้ไม่ต้องออกไปเจอหน้าเขา"

    เนรัญส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยอยู่ในที

    "อย่าเลยพี่ฟ้า รันทำผิดเองรันก็ต้องกล้ารับ แค่ใช้ให้ซื้อข้าวผัดกับน้ำอัดลมมาให้ คง...ไม่จับหนูไปขึ้นศาลทหารหรอกมั้งคะ”

    ประโยคสุดท้ายหญิงสาวพึมพำเหมือนจะให้กำลังใจตัวเองเสียมากกว่า ทั้งนี้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอพบพานกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'คนมีสี' น้อยมาก โรงพักก็เคยไปแค่ครั้งเดียวด้วยเรื่องกระเป๋าสตางค์หาย ทหารยิ่งแล้วใหญ่... น่าจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวในสารบบชีวิตเธอเลยเสียด้วยซ้ำ นอกจาก...ตอนสมัยเรียนที่เคยลงวิชาว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยอยู่พักหนึ่ง แล้ววิชานั้นก็เคยมีพวกนักเรียนทหารโผล่มาเยี่ยมชม เลยพาลให้เธอเคยเถียงกับนักเรียนทหารอยู่คนหนึ่ง

    เนรัญรวบรวมความกล้าให้พาตัวเองมายังด้านหน้าประตูทางเข้าสำนักงานชั่วคราว กลืนน้ำลายเอื้อกหนึ่ง... ก่อนจะโผล่หัวออกมาด้านนอก อยู่ไหนล่ะข้าวผัดปลากระป๋องฉัน...

    เบื้องนอก... ร่างสูงของชายวัยหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีเขียวพรานยืนอ่านป้ายประกาศเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามอย่างใจเย็น ทว่าชั่วครู่ใบหน้านั้นหันเอี้ยวมาทางเธอ คิ้วเนรัญก็เกือบถึงขั้นกระตุก...

    ดวงหน้าคมเข้มนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยพบเคยเห็นที่ไหน ใบหน้ายาวรี... นัยน์ตาสีนิลเข้มจัด ริมฝีปากยามไม่เอ่ยอะไรดูนิ่งบาง... ผมสั้นตามระเบียบราชการ ใช้เวลาค้นหาข้อมูลจากคลังสมองของตนเองเพียงครู่เดียวเธอก็นึกออกแล้วว่า... เคยพบเขาที่ไหนมาก่อน...

    สมัยเรียน เธอเคยประคารมกับเขามาแล้วในวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั่นล่ะ!!

    และเธอยังจำได้อีกถึงความแสบสันต์ของตัวเองที่ทำไว้กับเขาก่อนลาจากกัน ในครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้เจอกันด้วย....

    *  *  *  *

    ย้อนไปเมื่อตอนพบกันครั้งแรกนั้น...

    เนรัญก้าวออกมาจากห้องเรียนหลังจบชั่วโมง แต่ชะงักเล็กน้อยที่เห็นร่างสูงของคนที่เธอได้ประคารมด้วยยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าห้อง แถมยังเป็นพิกัดที่เปิดประตูออกมาแทบจะปะทะพอดี ในใจนึกจะหันหนีแล้วเดินเลี่ยงไปเสียดื้อๆ แต่...อินธนาที่เพิ่งตามออกมาดันสวมวิญญาณท้าวมาลีวราชจะสร้างความสมานฉันท์ รีบแถเข้ามาแนะนำตัวกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรยิ่ง

    'หวัดดีครับ ผมชื่ออินธนานะครับ นั่งข้างกะไอ้คนที่มันเพิ่งเถียงกับคุณน่ะครับ ส่วนคนนี้... ผมขอแนะนำให้คุณเลยละกัน มันเป็นเพื่อนผมเองครับ มันชื่อ รัน มาจากชื่อจริง เนรัญชรา ครับ โอ้ย!'

    อินธนาบ่นอุบเมื่อโดนศอกกระทุ้งสีข้างเข้าไปดอกหนึ่ง ก่อนที่เนรัญจะตัดบทเสียงเอาเรื่องว่า

    'ฉันชื่อ เนรัญ เฉยๆ ย่ะ'

    คนถูกล้อชื่อขึงตาใส่เพื่อนโทษฐานปากสว่างโดยมิบังควร เพราะอินธนาเคยได้รับการบอกเล่าจากเธอว่า ตอนแรกแม่เธออยากให้ชื่อลูกเหมือนแม่น้ำเนรัญชราอันเก่าแก่ในตำนานพุทธ แต่สุดท้ายแม่ก็ตัดสินใจตัดคำว่า ชรา ตรงท้ายออกเพราะมันทำให้ชื่อยาวและฟังทะแม่งแปลกๆ ไปบ้าง เธอจึงได้เหลือแค่ชื่อสั้นๆว่า เนรัญ ด้วยประการฉะนี้

    อีกฝ่ายในชุดนักเรียนทหารไม่ได้แสดงท่าทีอันใดเมื่อเห็นฝ่ายนักศึกษาสาวออกอาการเหวี่ยงได้ขนาดนี้ ซึ่งถึงตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องแปลกใจเท่าไหร่  เพราะเมื่อครู่ในห้องบรรยาย คุณเธอก็สอยคำพูดเขากลางอากาศมาแล้ว

    'ครับผม ผมชื่ออาคเนย์ครับ พวกคุณเรียกผมว่า คีย์ก็ได้' ร่างสูงกว่าเอ่ยแนะนำตัว และก็เป็นอินธนาจอมอัธยาศัยดีที่ตอบรับเขาก่อน

    'อ้อ... ครับ... เรียกผมว่าอิน ก็ได้ครับ ส่วนยัยนี่ก็เรียกว่า รัน ได้เลย'

    เมื่อเห็นอินธนาทำหน้าที่โฆษกได้ดีขนาดนี้ เนรัญจึงนิ่งเฉยไปเสีย

    'เมื่อสักครู่...' อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างจะพูดกับเนรัญตรงๆ 'เหมือนเราจะเถียงกันไปบ้าง... ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิด หวังว่า...คุณคงไม่โกรธผมหรอกนะครับ'

    เนรัญซึ่งเป็นคนต้นเรื่องรู้สึกหวั่นวูบอยู่ลึกๆ เหมือนกันที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว... อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรเธอเท่าไหร่เลย ทั้งที่เขาก็เจอถ้อยคำหนักหนาของเธอไปตั้งขนาดนั้น

    'เช่นกันค่ะคุณ ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธคุณหรอก คุณเสียอีก... มีสิทธิ์จะโกรธฉันก็ได้นะ... ฉันไม่ว่าคุณหรอก มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขอโทษเหมือนกันนะคุณที่อาจพูดแรงไปบ้าง' เอ่ยเสร็จก็ยกนาฬิกาขึ้นมาพิศดู 'ขอโทษนะคะ ต้องไปเรียนต่อแล้ว อิน...ฉันไปละนะ'

    การเอ่ยลาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้นอกจากอินธนาถึงกับอ้าปากค้างแล้ว ยังผลให้คู่กรณียืนอึ้งเป็นคำรบที่สองเมื่อโดนตัดไมตรีแบบดื้อๆ หญิงสาวก้าวเดินออกมาจากจุดนั้นอย่างตัดสินใจแล้วว่าเธอไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้

    อินธนาได้สติและวิ่งตามฝ่ายที่เดินจ้ำอ้าวออกไปพร้อมเอ่ยถามอย่างเว้าวอนว่า

    'ไอ้รัน แกจะไม่พูดอะไรกับเค้าอีกสักหน่อยเหรอวะ เค้าอุตส่าห์มาดีขนาดนี้นะเว้ย'

    เนรัญไม่ได้หยุดหันมาหาคนเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเอ่ยขึ้นขณะที่ขายังก้าวต่อไปเรื่อยๆ ว่า

    'ก็ขอโทษแล้วก็จบแล้วนี่ ช่างเหอะ... ยังไงชีวิตนี้คงไม่เจอกันอีกแล้ว...'

    * * * * *

              ทำไมไม่มีบุญเหมือนพระร่วงเลยนะเรา พูดอะไรแทนที่มันจะเกิดขึ้นจริง... ดันกลายเป็นว่าการณ์มันเป็นในสิ่งตรงข้ามเสียอย่างนั้น

    ตอนนี้เนรัญบอกไม่ถูกว่าสีหน้าตัวเองมันตะลึงตะลานไปขนาดไหนเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือโจทก์เก่าเมื่อหลายขวบปีก่อนโน่น... สมัยที่เธอยังเยาว์วัยและห่ามห้าว ทำอะไรแบบไม่คิดกว่านี้เยอะ การพบกันอย่างไม่น่าเชื่อจงทำให้เธอต้องตั้งหลัก ก่อนจะพยายามนึกประมวลข้อมูลในหัวอีกรอบว่า... เขาชื่ออะไรกันนะ....

    แต่ดูเหมือนว่าเขาจะนึกหน้าเธอได้เร็วกว่า เพราะพอเขาหันหน้ามาเจอเนรัญเข้า เขาก็คลี่ยิ้มออกมานิดหนึ่ง ที่ดูออกว่าเขาก็แปลกใจไม่น้อยที่ทฤษฎีโลกกลมมาสัมฤทธิ์ผลขึ้นอยู่ตรงหน้า แถมยังมาเจอกันอีกครั้งในที่ที่ไม่น่าเชื่อ... เพราะนี่คือราวป่าชายแดนไทย-พม่า ที่ไม่น่าจะมีใครเข้าออกได้ง่ายๆ

    "อ้าว... ใช่คุณจริงๆ ด้วย นานมากแล้วสินะครับที่เราเจอกัน" เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนทั้งที่หญิงสาวยังคงอึ้งรับประทาน "ไม่น่าเชื่อนะครับคุณ มาเจอกันในป่าอำเภอสบเมยอย่างนี้ อ้อ... ผมมัวแต่พูด นี่...ข้าวผัดกับน้ำของคุณ หวังว่าคุณคงจะไม่โมโหหิวใส่ผมนะ"

    หญิงสาวเอื้อมมือไปรับข้าวของจากเขาอย่างว่าง่าย แต่ดวงตาก็จ้องหน้าเขาไม่กะพริบ อ้อ...พอนึกออกแล้วว่าเขาชื่ออะไร...

    "คุณ... ชื่ออาคเนย์... ใช่ไหมคะ?" เธอหลุดปากถามเป็นคำแรกอย่างไม่แน่ใจในความแม่นยำของความจำตัวเองนัก

    "ถูกต้องครับ ดีจริงที่คุณยังอุตส่าห์จำผมได้" เขาพยักหน้ากับตัวเองน้อยๆ "แปลกจริง... ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าจะมาเจอคุณอีกทีก็ชายแดนพม่าอย่างนี้ ตอนที่คุณวิทยุแล้วเรียกแทนตัวเองว่ารัน ผมก็ไม่ทันคิดว่าเป็นคุณแฮะ เจอกันอีกทีเกือบจำกันไม่ได้นะคุณ"

    ใช่... เธอนึกรับ เพราะเธอเองก็เกือบจำเขาไม่ได้ทีเดียวในแวบแรกที่ได้พบกันอีก เขาดูแตกต่างไปจากการพบกันในครั้งนั้น เพราะในวัยเรียนนั้นต่างคงก็ต่างยังเด็ก ยังไม่ได้เติบโตเป็นคนวัยทำงานเต็มตัวกันเช่นวันนี้ เนรัญรู้สึกว่า...เขาจะผิวคล้ำขึ้นจากเดิมที่เป็นคนหน้าเข้มๆ อยู่แล้ว รูปร่างก็ดูจะตัวใหญ่ขึ้นยังไงบอกไม่ถูก ท่วงท่าการพูดคุยก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม... ในขณะที่ตัวเธอเองกลับก๋องแก๋งคล้ายเดิมไม่ค่อยจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่

    "นี่เรา... ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วครับ คุณจำได้ไหม?" เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างชวนคุยเมื่อเห็นเธอยังเงียบสงบ

    "หลายปีเหมือนกันแล้วนะคะคุณ... จำได้ไม่แม่น" เนรัญว่าตามเนื้อผ้าเพราะเจอกับเขาก็สมัยเธอเรียนปริญญาตรีโน่น แต่ถ้าจะให้นับจริงๆ ก็สี่ห้าปีได้ทีเดียว "แล้ว...คุณมาทำอะไรตรงนี้เหรอคะ..." หลุดปากถามไปแล้วนึกได้... ก็เขาใส่ชุดอะไรอยู่ตำตาก็ไม่น่าจะถามเล้ย

    "ผมเหรอ? ก็เป็นทหารแถวนี้น่ะคุณ เพียงแต่ที่ผมมาอยู่ตรงนี้น่ะเป็นการรักษาการณ์ชั่วคราว ว่าแต่...คุณล่ะ มาทำงานอะไรแถวนี้เหรอ?"

    "ฉันเหรอ... ก็ทำงานกับองค์กรนี้ไงคะคุณ" เธอชี้ป้ายภาษาอังกฤษตัวโตที่อยู่หน้าสำนักงาน อันเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการด้านช่วยเหลือผู้อพยพในการสมัครไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังสหรัฐอเมริกา

    "อ๋อ... IORR ผมเคยได้ยินเรื่ององค์กรคุณเหมือนกัน เห็นว่าหน่วยงานคุณมีพนักงานเยอะใช่เล่น คนเค้าบอกว่าเวลาพวกคุณเข้ามาในป่าทีนึงอย่างกับขบวนเสด็จแน่ะ" เขาเอ่ยกลั้วยิ้ม

     เนรัญถลึงตานิดหนึ่ง เขารู้เสียด้วยแน่ะว่าองค์กรเธอน่ะมีขนาดใหญ่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่นที่ทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยเล็กๆ ในป่าเขาแห่งนี้ และการเดินทางเข้าออกแต่ละครั้งก็จะต้องไปด้วยกันเป็นขบวนเสมอ จนได้ข่าวว่าองค์กรอื่นจะเริ่มหมั่นไส้หน่วยงานเธอเข้าไปทุกที

    "เป็นกฎขององค์กรเราค่ะว่าต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถ้ารถคันไหนเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันทัน" เนรัญอธิบาย

    "แล้วคุณทำงานด้านนี้นานหรือยัง?" เขายังชวนคุยได้เรื่อย

    "ก็หลายปีอยู่ล่ะค่ะ ก่อนนี้ที่เคยทำก็ไปแคมป์อื่นมาพอควร ฉันเคยลาไปเรียนต่อปริญญาโทปีนึงก่อนกลับมาทำงานในองค์กรเดิมด้วย แต่ว่าเพิ่งทำงานที่แคมป์ในอำเภอสบเมยนี้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง"

    "งานคุณเกี่ยวกับอะไร" เขาเริ่มเล่นเกมยี่สิบคำถาม

    "ก็เกี่ยวกับการส่งผู้ลี้ภัยไปประเทศที่สามน่ะคุณ ของเราเน้นส่งไปที่สหรัฐฯ" เนรัญตอบก่อนชักนึกฉุกใจ "ถามจริงๆ เถอะค่ะคุณ คุณไม่รู้เหรอคะว่าข้างในแคมป์น่ะใครฝ่ายไหนทำอะไรกันอยู่บ้าง?"

    "อ้าว ผมก็ถามเพราะไม่รู้จริงๆ น่ะสิ" เขาทำหน้าซื่อ "ที่ผมถามเพราะงานผมมันอยู่วงนอกของพวกคุณเลยไงล่ะ หน้าที่ทหารน่ะเป็นพวกลาดตระเวนชายแดนเสียมากกว่า ส่วนเรื่องภายในของแคมป์น่ะเป็นหน้าที่ของทางมหาดไทยครับ... ไม่เกี่ยวกับทางผมเท่าไหร่หรอก"

    หญิงสาวกำลังคิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ เพราะตอนเจอกันในวัยนักศึกษาคะนองนั้น... ก็ไม่ได้เป็นการรู้จักกันที่น่าอภิรมย์นัก ทำให้เนรัญอดรู้สึกไม่ได้ว่าเธอยังมีคดีติดตัวอยู่กับเขาหลายกระทง ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่าเจอกันในครั้งนี้... เขาจะตามมาชำระความหรือไม่

    "อาจารย์คุณเป็นยังไงบ้างล่ะ คนที่สอนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองนั่น" เขาถามถึงอาจารย์ทนงที่เธอทั้งเคารพรักและสนิทสนม ผู้เป็นเจ้าของวิชาที่ทำให้เธอและเขาได้พบกัน

    "ก็ยังขวางโลกเหมือนเดิม" เธอยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงอาจารย์สติเฟื่องคนนี้ "เห็นว่าตอนนี้แกก็จะมีรวมเล่มบทความทางวิชาการเร็วๆ นี้ ว่างๆ เห็นว่าแกก็ชอบไปป่วนตามงานสัมมนาวิชาการเหมือนเดิม"

    "แล้วเพื่อนคุณคนนั้น... คนผู้ชาย... เป็นยังไงบ้าง" เขายังจำได้อีกถึงเพื่อนคนที่พยายามจะเป็นทูตสันถวไมตรีให้เขาและเธอ

    "อ้อ... อินธนา ตอนนี้เขาเป็นนักข่าวค่ะ" เธอเอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทยที่อินธนาสังกัดอยู่ "อินเค้าชอบงานด้านนี้ เค้าเป็นนักข่าวสายการเมือง วันๆ เห็นว่าจะวุ่นอยู่แถวทำเนียบรัฐบาล"

    "ฟังแล้วก็คิดว่าเหมาะกับเขาดีนะครับ" อาคเนย์เอ่ยอย่างนึกยอมรับ ก่อนจะมองหน้าเธอตรงๆ แล้วเสริมว่า "ผมว่า... คุณกับเพื่อนนี่คล้ายๆ กันนะ เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตอนนี้ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะที่มาเจอคุณที่นี่ คิดอยู่เหมือนกันว่าคนประเภทคุณคงทำอะไรที่โลดโผน"

    เนรัญสบตาเขาอย่างจะตีความหมายอยู่ในที... พูดอย่างกับว่ารู้จักเราดีอย่างนั้นล่ะ ทั้งที่เคยเจอกันแค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง

    "เป็นว่า... ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องลำบากซื้อข้าวเที่ยงมาให้ แล้วก็ขอบคุณมากที่เอามาให้ อ้อ...นี่ค่ะ ค่าข้าว" หญิงสาวยื่นธนบัตรให้เขาเป็นค่าอาหาร

    "ไม่เป็นไร ถือว่าผมเลี้ยงเพื่อนเก่า" ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ

    "ฉันไม่อยากลำบากใจกับการรับของใครมาฟรีๆ แล้วก็ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครด้วยค่ะ" คนพูดดึงดัน จนอีกฝ่ายถอนใจน้อยๆ กับความรั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเธอ

              "ผมขอย้ำว่าผมไม่เคยคิดจะทวงบุญคุณใคร แต่...ถ้าคุณจะยังรู้สึกลำบากใจกับของฝากครั้งนี้ล่ะก็..." คนพูดมีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก "ไว้รอเจอกันอีกทีแล้วคุณเลี้ยงผมตอบแทนก็แล้วกัน"

    "เอ๋...." เนรัญชะงักเมื่อถูกตลบหลัง เดี๋ยวนะ... พูดอย่างนี้หมายความว่ากะว่าเขาและเธอจะมาพบกันอีกงั้นเหรอ

    "เป็นว่าคุณตกลงตามนี้ก็แล้วกัน อย่าลืมนะครับว่าครั้งหน้า คุณอาจจะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงผมเป็นการตอบแทนข้าวผัดกับน้ำกระป๋องนี้ แล้วเจอกันนะคุณรัน"

    ว่าแล้วเขาก็เดินจากไปโดยที่ยังไม่ถามความสมัครใจของเธอเลยสักนิด เนรัญมองตามอย่างของขึ้น... กะแล้ว... นี่เขาคงยังไม่ลืมความแสบของเธอที่เจอกันสมัยเรียนแน่ๆ เลยถึงได้ตามมาคิดบัญชีกันถึงสุดหล้าฟ้าเขียวขนาดนี้ หรือที่เขาบอกว่าเวรกรรมนั้นตามทันเหมือนเงาตามตัวจะเป็นจริง?

    * * * * *

    เนรัญกลับมาที่บ้านพักอันเป็นเรือนไม้ที่ทางองค์กรก่อสร้างแล้วจัดแบ่งห้องให้เป็นส่วนย่อยๆ หญิงสาวอยู่ห้องรวมกับพี่ฟาริดา เวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้ที่บ้านพักแห่งนี้ต้องปั่นไฟใช้เอง เพราะหมู่บ้านในป่าแห่งนี้ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง กระนั้นเครื่องปั่นไฟก็จะทำงานถึงเพียงแค่สี่ทุ่มเท่านั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องเตรียมเข้านอน ดังนั้นช่วงหัวค่ำจึงเป็นเวลาที่ทุกต่างเข้าถึงความบันเทิงกับสัญญาณอินเตอร์เนทที่หน่วยงานจัดไว้ให้ได้ ออกจะเป็นสิ่งที่อัศจรรย์สำหรับคนภายนอกเมื่อได้เห็นว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานเธอนั้นเข้าถึงอินเตอร์เนทได้แม้กลางป่ากลางเขา

    "เป็นไงรัน ผู้หมวดคนนั้นที่เจอน่ะ เคยเป็นเพื่อนกับรันมาก่อนเหรอ เห็นคุยกันนานเชียว" ฟาริดาเอ่ยขึ้นขณะอ่านหนังสือที่เตียงนอน และเนรัญก็กำลังนั่งใช้คอมพิวเตอร์พกพาที่โต๊ะปลายเตียง

    หญิงสาวทำหน้ายากจะอธิบาย "จะว่าเพื่อน... ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวหรอกค่ะพี่ เป็นคนรู้จักสมัยเรียนมากกว่า"

    "ตอนนี้ยศร้อยโทนี่"

    "พี่ฟ้าดูออกเหรอคะ?" เนรัญตาโต เธอไม่สันทัดเรื่องกองทัพเท่าไหร่เลย

    "ได้ยินพี่ตั๋มเล่าให้ฟังน่ะว่าพี่ตั๋มก็เคยเจอเค้ามาก่อน รู้สึกว่า... เค้าอายุใกล้ๆ เคียงๆ กันกับรันเลยนี่ พี่เลยนึกว่าเป็นเพื่อน" ฟาริดาเล่าตามที่ได้ยินมา "แล้วจะไม่เล่าให้พี่ฟังเลยเหรอว่าเจอกันยังไง วันนี้รันทำออฟฟิศเราแตกตื่นเลยรู้ไหมที่จู่ๆ มีหนุ่มในเครื่องแบบเอาข้าวเอาน้ำมาให้"

    "เว่อร์ไปม้าง... พี่ฟ้า เค้าไม่ได้หล่อลากดินเสียหน่อย" เธอถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสี เพราะยุคนี้มาตรฐานคนหล่อต้องขาวตี๋สไตล์เกาหลีหน่อยๆ ส่วนอาคเนย์นั้นหลุดกรอบไปง่ายดายเพราะเขาผิวค่อนข้างคล้ำและโครงหน้าเข้มอยู่ในที แต่ก็นั่นล่ะ... อะไรหลายๆ อย่างที่มันดูเรียบง่าย มันก็ไปกันได้ดีกับบุคลิกเขา

    เพราะเห็นว่าสนิทกัน เนรัญจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องให้ฟาริดาฟังโดยดุษณี ว่าเริ่มต้นจากวันที่เคยพบเจอสมัยก่อนโน้น ซึ่งแม้จะฟังดูแก่นกะโหลกไปบ้างแต่ฟาริดาก็พยักหน้ารับรู้ว่านั่นล่ะนิสัยเนรัญของแท้

    เล่าจบแล้วพี่ฟาริดายังอดขำไม่ได้ แต่เนรัญก็ไม่มีเวลาโวยวายนัก เพราะในขณะเดียวกันหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่วนตัวก็ปรากฏโปรแกรมสนทนาออนไลน์เด้งขึ้นมา ดูชื่อก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ 'มีนา' คู่ซี้อีกคนหนึ่งของเธอที่ตอนนี้ปฏิบัติภารกิจที่อำเภอแม่สอด อันเป็นการณ์ปกติของหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะกระจายตัวกันทำงานในจุดไหนก็ได้

    "Hi Run! I heard you have a great meal today!!"

    มีนากระเซ้ามาทางโปรแกรมสนทนา เพื่อนเธอคนนี้เป็นคนไทยถือสองสัญชาติเพราะพ่อแม่เป็นไทย แต่เจ้าตัวเกิดและเติบโตในสหรัฐฯ เวลาสนทนาออนไลน์จึงมักรัวภาษาอังกฤษเพราะอ่านเขียนภาษาไทยไม่คล่อง แต่ฟังพูดไทยได้ชัดแจ๋ว

    เนรัญกดปุ่มสนทนาด้วยเสียงเพราะมันจะสะดวกกว่าพิมพ์คุยทีละประโยค

    "ข่าวไปไวนะยะ ใช่... วันนี้มีทหารใจดีเอาข้าวเอาน้ำมาให้ย่ะ" เนรัญตอบกลับเซ็งๆ เรื่องหน้าแตกน่าจะโดนล้อยันลูกบวช

    "เอ... แต่ได้ข่าวว่ามี something wrong เล่าให้ฟังหน่อยสิ" มีนายังถามต่ออีก

    "โอ้ย... ทำไมวันนี้ต้องรีเพลย์บ่อยจังนะ" เนรัญบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยอมเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้มีนาฟังอีกรอบ

    เนรัญซี้กับมีนาก็ตอนเนรัญลางานไปเรียนต่อปริญญาโท ด้วยความที่มันเป็นหลักสูตรนานาชาติ คนไทยที่มาเรียนจึงนับคนได้ เมื่อแรกพบกับมีนานั้นอีกฝ่ายตัดสินใจมาอยู่เมืองไทยแล้วเรียนต่อปริญญาโท แถมเนรัญยังพบว่าทักษะการพูดภาษาไทยของมีนานั้นถือว่าน่าทึ่งเพราะกระทั่งร.เรือ ล.ลิง อีกฝ่ายก็ชัดเป๊ะ

    'ถามจริง เกิดที่อเมริกาจริงๆ เหรอ ทำไมพูดไทยชัดกว่าบางคนที่ไปเมืองนอกไม่กี่ปีเสียอีก?'

    'ก็ที่บ้านพูดกันภาษาไทย แล้วก็กลับมาเยี่ยมเมืองไทยทุกปี ก็เลยพูดได้เยอะ'

    มีนากับเนรัญอายุค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยเนรัญนั้นเกิดก่อนมีนาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ตอนแรกมีนาก็ถามว่าจะให้เรียกว่าพี่รัน หรือไม่เพราะคนไทยยังค่อนข้างนับอาวุโส แต่เนรัญกลับไม่ใส่ใจเรื่องอายุ จากนั้นทั้งสองจึงกลายมาเป็นสองสหายตรากตรำเรียนด้วยกันจนจบ

    ตอนเรียนจบนั้นออฟฟิศก็เปิดตำแหน่งภาคสนามเพิ่มเติม เนรัญจึงไปชักชวนมีนาซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ทำงานประจำอะไรมาสมัคร โชคดีที่องค์กรเลือกมีนาเข้าทำงาน ทั้งสองจึงได้ตามกันมาเป็นคู่หูอีกคู่หนึ่งในออฟฟิศได้สำเร็จ

    "อะโห สมัยเรียนนี่เธอไปกล้าเถียงกับนักเรียนทหารเนี่ยนะ คนละแนวคิดเลย เธอนี่...เปรี้ยวน่าดู" มีนาวิจารณ์ขำๆ

    "เออ... ฉันมันเป็นงี้มานานแล้ว ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมอยู่" เนรัญยอมรับ

    "แต่มันก็ไม่น่าเชื่อนะรัน ต่างคนต่างไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี แต่เจอกันอีกทีก็บังเอิญเจอในป่า เนี่ยละมั้ง destiny เอ... ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ บุบๆ..."

    "บุพเพอาละวาด!" เนรัญทำให้เขว

    "No! เค้าเรียกบุพเพสันนิวาสต่างหาก!" ขนาดคนโตในเมืองนอกยังนึกออก

    "เอาเหอะๆ มันก็แค่ไม่กี่อาทิตย์หรอกเธอ ต่อไปฉันก็อาจต้องไปจุดอื่นแล้วไม่อยู่เจอหน้าเขาหรอก" เนรัญพูดไม่ผิดความจริงมากนัก เพราะตารางงานของพวกเธอจะสับเปลี่ยนเวียนกันไปเสมอ

    "ว้า เสียดายนะ"มีนายังล้อเลียนต่อ "ว่างๆ เธอมาทางนี้สิ ที่แม่หละกำลังงานเยอะได้ที่เลย"

    แม่หละ... ที่ว่าก็คือค่ายผู้ลี้ภัยบ้านแม่หละ อันเป็นพื้นที่พักพิงฯ ที่กล่าวได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เข้าออกได้ง่ายที่สุด จำนวนประชากรมากที่สุด และเป็นอะไรที่สุดในหลายๆ อย่างรวมถึงที่สุดของปัญหาในการดำเนินงานตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม

    "ตอนนี้เรื่องปลอมแปลงกำลังเป็นประเด็นใหญ่เลยรัน" มีนาเล่าให้ฟังเพิ่ม "พักหลัง คนที่สวมรอยจะพยายามหาเอารูปคนที่โครงหน้าเหมือนกันมาเข้าสัมภาษณ์ ทำให้ดูยากขึ้น ขบวนการพวกนี้รอบคอบขึ้นมาก ทางเรากับองค์กรอื่นกำลังตรวจสอบอยู่ว่าต้นตอมาจากไหนบ้าง"

    มีนาได้ทีเอ่ยปากเล่าถึงสิ่งที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้เกี่ยวกับขบวนการทุจริตบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น เพราะมีการ 'สวมรอย' บุคคลที่ลงทะเบียนเพื่อผ่านขั้นตอนลี้ภัยในประเทศที่สามอย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อสาวลึกลงไปก็พบว่ามีการ 'จัดซื้อ' ใบทะเบียนเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อส่งคนที่เป็นตัวปลอมมาเข้ารับสัมภาษณ์ อันเป็นความไม่ชอบมาพากลที่ทำให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา

    "ร้ายกาจขึ้นแฮะ นี่ถ้าแถวนั้นมีคลีนิคศัลยกรรมนะ สงสัยว่าพวกนี้คงเร่ไปเฉาะให้หน้าเหมือนในรูปแน่ๆ" เนรัญยังนึกทึ่ง "ไอ้ขบวนการพวกนี้มันต้องมีเบื้องหลังเป็นพวกตัวเบ้งๆ ในแคมป์ เผลอๆ บางทีเจ้าหน้าที่ไทยนั่นล่ะที่รู้เห็นเป็นใจด้วย"

    "อีกอย่างนึงนะรัน" มีนาเอ่ยในตอนท้าย "ล่ามบอกข่าวลือกับฉันว่าคนพวกนี้บางคนอาจหาทางไปซื้อใบทะเบียนที่แคมป์ทางอำเภอสบเมยที่เธอทำอยู่ก็เป็นได้ เพราะทางแคมป์นี้เราระวังกันมากขึ้นอยู่แล้ว ล่ามบอกคนพวกนี้ยอมจ่ายเงินเพื่อจะหาทางไปอเมริกาให้ได้ เธออยู่ทางนั้นก็ระวังดูหน้าคนก่อนสัมภาษณ์ดีๆ ด้วยนะอย่าลืม"

    “รับทราบ ขอบใจที่เตือนกัน”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×