ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เร้นแผ่นดิน (รีไรต์ สำหรับแจก E-book)

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๕ : ชีวิตในราวป่า (๕)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.พ. 59


     


    บทที่ 5 : ชีวิตในราวป่า (5)

     

    ฝนยังตกลงมาอย่างไม่ยอมเลิกราแม้ถึงเวลาหัวค่ำ แม้สายฝนจะอ่อนแรงลงไปมากแล้ว แต่คนขับรถที่คอยฟังสถานการณ์กับเหล่าทหารพรานก็มาแจ้งข่าวกับสมาชิกองค์กรว่า แนวโน้มที่ทุกคนจะต้องขอพักค้างที่เรือนของผู้ใหญ่บ้านตรงนั้นเป็นความจริงไปแล้ว เพราะรถที่ติดหล่มนั้นยังคงไม่สามารถหลุดออกมาได้ จะต้องรอรถลากจูงอีกทอดหนึ่ง เส้นทางออกสู่เมืองแม่สะเรียงจึงเหมือนทางปิดตายชั่วคราว

    เมื่อรู้ว่ากำหนดการณ์ทุกอย่างต้องเลื่อนออกไปเช่นนี้ พี่ตั๋มจึงได้จัดเตรียมเอาอุปกรณ์สื่อสารที่จำเป็นในขณะนั้น คือโทรศัพท์เคลื่อนที่สัญญาณดาวเทียมมาที่บ้านพัก เพื่อแจ้งเรื่องไปยังหน่วยเหนือให้รับทราบ

    เนรัญเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อแจ้งเรื่องไปยังเจ้าหน้าที่ประจำกรุงเทพฯ โดยด่วน เพราะพวกเธอมีกำหนดจะไปขึ้นเครื่องบินที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็จะต้องรีบแจ้งแต่โดยดี

    "ตอนนี้รันกับพวกอีกห้าคนตามรายชื่อที่ทางคุณอู๋ทราบกำลังติดอยู่ในป่าค่ะ มีรถติดหล่ม ถนนแย่มาก เราออกไปไม่ได้ ตอนนี้อยากให้คุณอู๋ช่วยเลื่อนไฟลต์ไปก่อนเป็นวันพรุ่งนี้ไปเลยค่ะ ค่ะ...ค่ะ...  แล้วถ้าพวกรันออกจากป่าได้เมื่อไหร่จะคอนเฟิร์มอีกที ค่ะ...เป็นว่าตกลงตามนั้นก่อนค่ะ"

    เนรัญวางสายเหมือนโทรศัพท์ทั่วไป มันเป็นอุปกรณ์ที่เธอเคยใช้มาก่อน ในครั้งนี้พี่ตั๋มคงเห็นว่าเธอดูจะเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่เคยสัมผัสกับมันมามากที่สุด

    ช่วงค่ำของวันนั้น ทุกคนก็มานั่งร่วมกันรับประทานอาหารที่ห้องโถงกลางของเรือนไม้ของผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เล็กๆ อันห่างไกลในอำเภอสบเมยแห่งนี้ เดชะบุญที่บ้านของผู้นำโรงเรือนคนนี้มีเครื่องปั่นไฟใช้ ทุกคนจึงสามารถหยิบเอาอุปกรณ์จำเป็นที่ต้องใช้ไฟฟ้ามาใช้ขัดลำไปก่อน อาหารมื้อนั้นเป็นมื้อง่ายที่ได้รับอุปการะคุณจากครัวของผู้ใหญ่บ้าน ปลากระป๋องที่ใครบางคนหอบติดเป้มาด้วยกลายสภาพเป็นมื้อเย็นอันโอชะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรวมกับข้าวสวยและกับข้าวอีกเล็กๆ น้อยๆ จากภรรยาผู้ใหญ่บ้าน อาหารเย็นมื้อนั้นจึงน่าจะได้ชื่อว่าเป็นมื้อที่ประหยัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวเป็นชายวัยค่อนคนที่ท่าทางกระฉับกระเฉงเหมือนเป็นคนทำงานอยู่เสมอ ท่านมานั่งร่วมวงอาหารเย็นด้วยเพื่อโอภาปราศรัยกับอาคันตุกะ ซึ่งเจ้าบ้านก็บอกว่าการต้อนรับเช่นนี้ค่อนข้างปกติเพราะฤดูฝนมักมีคนเดินทางที่รถติดหล่มและหาทางไปไม่ได้จึงต้องมีการอาศัยชายคาอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง

    จากการพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านทำให้ทราบว่าคนในพื้นที่แถบนี้คุ้นชินกับชุมชนผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงที่อยู่ลึกในราวป่าชายแดนพม่ามานานแล้ว บ้างก็มีปัญหากันเล็กๆ น้อยๆ แต่บางครั้งก็เข้าอกเข้าใจพวกเขาเหล่านั้นดี และการที่ได้ทราบว่าหน่วยงานของพวกเธอกำลังดำเนินการส่งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นก็นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับทุกฝ่าย

    "ความจริงเราไม่ได้รังเกียจคนพวกนี้หรอก ได้ยินอย่างนี้ก็ดีใจนะที่พวกเขาจะได้ไปมีชีวิตใหม่ที่น่าจะดีกว่าเดิมสักที" ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยเล่า "เราก็รู้กันนะว่าความเป็นอยู่ในแคมป์มันก็น่าอึดอัด พวกนั้นถึงได้พยายามหาเรื่องจะเดินออกจากแคมป์ไปรับจ้างตามสวนตามนากันเรื่อย ถ้าคนพวกนี้ไปได้ดีเราก็ดีใจด้วย อยู่ในแคมป์นี่ก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ทำอะไร... มีแต่จะโดนฝ่ายโน้นฝ่ายนี้รังเกียจ ตำรวจก็คอยมองว่าจะค้ายารึเปล่า พวกทหารก็คอยลาดตระเวนอยู่ไม่ได้ขาด"

    “แล้วแถวนี้ถือว่าใกล้ฝั่งพม่ามากมั้ยครับ” เพื่อนร่วมงานของเนรัญจากรถอีกคันหนึ่งเอ่ยถาม “ผมได้ยินว่าวันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงการสู้รบจากฝั่งโน้นเหมือนกัน”

    "นั่นล่ะครับ พวกเราก็เกรงๆ กันอยู่ ไม่กี่ปีก่อนเคยมีลูกปืนใหญ่หล่นมาแถวนี้เหมือนกันครับแต่โชคดีไม่ลงที่หมู่บ้าน แต่ปีหลังๆ มานี้ก็สงบไปเยอะครับ พวกเราเลยโล่งใจไปบ้าง ทางทหารตำรวจเค้าก็คอยดูแลตรวจตราอยู่ด้วย ก็เลยยิ่งโล่งใจ"

    นี่ถ้าอาคเนย์อยู่ด้วย เนรัญว่าเขาต้องหันมามองเธอด้วยสายตามีชัยอีกแน่ๆ เลยว่า เห็นมั้ย... ผมบอกแล้วว่าทหารน่ะเป็นมิตรกับประชาชน...

    แต่เขาก็ไม่ป้วนเปี้ยนแถวนี้ เนรัญเพิ่งรับรู้ว่าเหล่าทหารที่มีกันสี่ห้านายจะไม่ขึ้นมาพักที่ด้านบนบ้านแห่งนี้ เพราะพวกเขาอาศัยเอาห้องเก็บของที่ใต้ถุนบ้านเป็นอู่นอนแทน โดยมีถุงนอนอันเป็นสัมภาระประจำกายของพวกเขาใช้เป็นที่หลับที่นอน

    คิดๆ ไป... เธอก็ชักจะเห็นใจและเข้าใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรั้วของชาติอยู่นิดๆ เธอว่าเธอเองก็ลำบากแล้วนะกับการบุกป่าฝ่าดงมาทำงานตรงนี้ แต่พวกเขาสิ... ยังต้องอยู่อย่างลำบากกว่าเลย

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    เสียงประตูบางๆ ที่กั้นตัวบ้านกับชานเรือนด้านนอกดังขึ้นเป็นจังหวะทำให้ทุกคนที่นั่งล้อมวงสนทนากันถึงกับชะงัก ก่อนที่เจ้าบ้านซึ่งดูจะไม่ตระหนกนักเอ่ยถามกลับไปว่า

    "ใครครับ?"

    "หมวดพลกับหมวดคีย์เองครับ ผู้ใหญ่... ขอเข้าไปข้างในแป้บได้ไหม" เสียงตอบดังฟังชัดท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นไรไรที่ดังขรมรอบบ้าน

    "อ้อ นึกว่าใคร เชิญๆ เลยครับ" ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นไปเปิดประตูให้อย่างเร็วรี่

    ร่างที่ก้าวเข้ามานั้นอยู่ในสภาพเรียบร้อยกว่าตอนช่วงบ่ายที่ตัวเปียกมอล่อกมอแล่ก อาคเนย์ก้าวเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของเขาที่เนรัญมักเห็นว่าไปไหนมาไหนพร้อมกันเป็นนิจ หญิงสาวเองนั่งอยู่ใกล้ประตูมากที่สุดจึงขยับตัวให้ผู้มาใหม่ได้เดินเข้ามาอย่างสะดวกขึ้น แน่นอนว่า... ไม่จำเป็นเธอจะไม่มองหน้าเขาให้เป็นเรื่อง เพราะรู้อยู่ว่าต่างคนต่างกินแหนงแคลงใจกันอยู่ทั้งคู่

    "สวัสดีครับผู้ใหญ่ รบกวนนิดนะคร้าบ" บุรุษที่ชื่อหมวดพลเอ่ยกับเจ้าบ้านท่าทีคุ้นเคย "ขอแบ่งน้ำดื่มสักนิดหน่อยนะครับ น้ำที่พวกผมเอาติดมามันเหลือน้อยเต็มที"

    "อ๋อ... ได้เลยครับหมวด เดี๋ยวผมให้แม่อำไพไปกรอกน้ำให้เดี๋ยวนี้เลย" ผู้ใหญ่บ้านรีบเป็นธุระให้ทันที "ต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกกันเลยนะหมวดนะ ไม่ต้องเกรงใจ"

    "คงไม่หรอกครับ ก็มีแค่นี้ล่ะที่เป็นของจำเป็น" นายทหารคนเดิมตอบ

    แปลก... เนรัญสังเกตว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก อาคเนย์จะเป็นคนที่อยู่นิ่งๆ และไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยอะไรสักคำตั้งแต่ก้าวเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยของเขาแสดงอารมณ์สงบอยู่เป็นนิจ และดูเรียบนิ่งเสียจนใครหลายคนในนั้นคงไม่กล้าจะเข้าใกล้ ร่างสูงของเขายังคงยืนนิ่งในพิกัดที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ข้างๆ กายเธอนั่นล่ะ ว่าจะแอบแหงนไปมองอีกฝ่ายอยู่สักหน่อย ปลายสายตาก็เหลือบอะไรบางอย่างที่แปลกตาไป...

    มือข้างหนึ่งของเขามีเลือดไหลซึม...

    หญิงสาวเบิกตากว้าง กะพริบตาว่าสิ่งที่เห็นคือโลหิตสีแดงจริงหรือไม่ และมันก็ยังคงเป็นสีแดงจริงๆ ฉับพลันนั้นเธอก็แหงนมองมาที่เจ้าตัว ซึ่งยืนเฉยๆ ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่าไร

    "คุณคีย์ มือคุณโดนอะไรมารึเปล่า?!"

    เจ้าของมือดูจะตกใจกับเสียงถามสูงปรี้ดของเธอมากกว่าอย่างอื่น ก่อนจะยกมือข้างที่เกิดเหตุมาดูแล้วค่อยเอ่ยเสียงตอบไม่ยี่หระ

    "อ้าว ได้แผลด้วยเหรอแฮะ ไม่น่าเลย" เสียงเขาเอ่ยเรียบเหมือนไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่

    "เลือดคุณไหลอย่างเนี้ย ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอคะ?" หญิงสาวถามเสียงขัดใจที่เห็นเขายังนิ่งเฉยเสีย ไม่ตื่นเต้นตูมตามไปกับเธอด้วย ก่อนผุดลุกขึ้นแล้วฉวยมือข้างหนึ่งของเขามาเพ่งโดยอัตโนมัติ "นี่ไง ไปทำอะไรมา มีแผลที่มือเนี่ยเห็นมั้ย”

    "คงเป็นตอนช่วยกันขยับข้าวของเพื่อจัดที่จะนอนน่ะ ต้องขยับแผ่นสังกะสี รู้สึกเหมือนกันว่าเจ็บแปล้บๆ แต่ไม่คิดว่าเลือดจะซึมอย่างนี้" ชายหนุ่มตอบไม่เป็นเดือดเป็นร้อน

    "สังกะสี?" เนรัญเสียงสูง "ตายล่ะ แล้วคุณยังไม่ล้างแผลเลยเนี่ยนะ รีบทำแผลสิคุณ"

    "เดี๋ยวก่อนก็ได้มั้ง..."

    "ทำซะตอนนี้ล่ะ" เนรัญสั่งเสียงเด็ดขาด "เสี่ยงเป็นบาดทะยักน่ะมันไม่คุ้มกับชีวิตคุณหรอกนะ เอ้า... ทิชชู่เนี่ยซับไว้ก่อน รอแป้บนะฉันจะไปเอายากับผ้าปิดแผลมาให้"

    โดยลืมจะสนสายตาใครในที่นั้น เนรัญผลุนผลันไปหยิบชุดอุปกรณ์พยาบาลที่ตกอยู่ในครอบครองของเธอเนื่องจากหญิงสาวเป็นเสมือนลูกสมุนมือขวาของพี่ฟาริดาผู้รั้งตำแหน่งธุรการของทีมภาคสนาม ทำให้การเดินทางครั้งนี้เธอมีหน้าที่ดูแลกล่องปฐมพยาบาลไปด้วย ความเคยชินทำให้เธอหยิบโน่นจับนี่ได้อย่างรวดเร็วและปฏิบัติงานได้โดยไม่ลังเลท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ออกจะฮือฮาของเหล่าเพื่อน

    อาคเนย์ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย เพื่อนอีกคนของเขาก็ดูจะสนอกสนใจปฏิกิริยาของเนรัญที่มีกับอาคเนย์เช่นกัน หญิงสาวลากเขามาที่ห้องน้ำก่อนจะจับมือเขาล้างน้ำให้สะอาด ตามด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หยดแรกของน้ำยาทำให้อาคเนย์กระตุกมือวูบหนึ่ง แต่เขาก็ใจแข็งพอจะปล่อยให้เธอทำงานให้ต่อไป เนรัญตบท้ายด้วยการปิดแผลด้วยผ้าก็อตซ์และพันมันอย่างแน่นหนาชนิดที่คนเจ็บเองยังอิดออดมิได้

    "โห... คุณเล่นพันซะแน่นอย่างนี้ เดี๋ยวผมก็ตายเพราะมือขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหรอก"

    "เว่อร์ไป ถ้าเป็นงั้นจริงฉันคงรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เรี่ยวแรงแค่นี้มีส่วนทำให้คุณลาโลกได้เร็วขนาดนั้น" เธอค่อนพร้อมถลึงตาใส่ แน่นอนว่าอาคเนย์ไม่รู้สึกยำเยง

    "อืม...นั่นสิ ถ้าตายเพราะฝีมือคุณ คงรู้สึกดีกว่าบาดทะยักเป็นกอง อย่างน้อยก็ได้รู้ก่อนตายว่าใครเป็นคนทำ"เขาส่งสายตาพรายยิ้ม

    "นี่ มันจะดีกว่านี้มากนะถ้าคุณจะช่วยหยุดพูดสักที" เนรัญเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด ทีเมื่อกี้ต่อหน้าคนอื่นละปิดปากเงียบกลัวดอกพิกุลจะร่วง แต่พอเธอพามานั่งทำแผลให้นี่ต่อความยาวสาวความยืดจริง

    เขายิ้มออกมาและไม่เอ่ยอะไร นอกจากปล่อยให้เธอจัดการดูความเรียบร้อยก่อนจะปล่อยมือโดยง่าย

    "ยังไงก็ขอบคุณมาก คุณใจดีกับผมจังนะวันนี้" เขาเอ่ยแบบไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะยอมญาติดีด้วย

    "ใครว่าละคุณ ค่ายาคิด 20 บาท ค่าพันแผลคิดถูกๆ 20 บาท รวมแล้วเป็น 40 บาท หักลบกับค่าข้าวผัดปลากระป๋องที่วันนั้นฉันติดคุณอยู่น่าจะประมาณ 45 บาท เป็นว่าหมดวันนี้แล้วฉันจะเหลือหนี้คงค้างอยู่กับคุณอีกนิดเดียวเอง"

    "โห....คิดได้นะ..." สีหน้าอาคเนย์บ่งบอกความทึ่งจัด

    "ใครบอกคุณล่ะคะว่าฉันใจดี ก่อนทำน่ะคิดคำนวณล่วงหน้าไว้แล้วต่างหาก หึๆ... เป็นว่าอีกนิดเดียวก็จะไม่เหลือหนี้อะไรกับคุณอีกแล้วนะจะบอกให้" เธอตอกกลับเสียงสาใจ

    แทนที่เขาจะทำหน้าเหลอหลา แต่เธอกลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะหึๆ ในลำคอ และโดยไม่ทันคาดคิด ชายหนุ่มก็ใช้มือข้างที่มีผ้าพันแพลนั้นคว้าที่ข้อมือเธอเบาๆ โดยที่ไม่มีใครมองเห็นเพราะเขาหันหลังให้มหาชนอยู่ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเบาจนแทบกระซิบ

    "ไม่เอาด้วยหรอก ผมจะไม่ให้วันนั้นมาถึง..."

    "ห๋า?"

    อาศัยจังหวะที่เนรัญกำลังมึนๆ กับความหมายที่พยายามจะตีความ อาคเนย์ก็ส่งยิ้มแฝงนัยยะแปลกๆ ก่อนจะค้อมตัวให้แล้วผลุบหายหนีกลับไปหาเพื่อนของเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เนรัญเดินตามกลับไปอย่างงงๆ เพื่อนของเขาที่ชื่อหมวดพลหันมาเอ่ยกับเธอด้วยดวงตาระยิบระยับ

     "ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์ทำแผลให้เพื่อนผม สงสัยได้ยาดีขนาดนี้ ไอ้คีย์มันคงหายเร็วแน่ๆ ครับ กำลังใจดี"

    ...เดี๋ยวก็โดนเฉ่งอีกคน... เนรัญคิดนึกค่อนขอดในใจ... คนอย่างฉันเนี่ยนะจะใจดีกับหมอนั่น พูดเป็นนิยายไปได้

    คนเป็นผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอดยังเอ่ยปากไม่ได้ "โอ้โห... เก่งเหมือนกันนะหนู สงสัยเป็นพยาบาลประจำสำนักงานใช่มั้ยเนี่ย?"

    "โอ้ย... ไม่ใช่เลยครับผู้ใหญ่" พี่ตั๋มโพล่งขึ้นกลางปล้อง "รันมันก็เป็นพนักงานรธรรมดานี่ล่ะครับ ปกติแล้วมันจะอยู่หน่วยทำลายความสงบเรียบร้อยเสียมากกว่า"

    พี่ตั๋มหันไปหานายทหารทั้งสองคน พร้อมเอ่ยถามเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น

    "หมวดครับ พรุ่งนี้ไม่ทราบพวกคุณจะออกเดินทางกันตอนกี่โมงเหรอครับ?"

    "อาจจะออกเช้าหน่อยครับ เพราะเราไม่คิดว่าจะมาติดที่นี่เหมือนกัน" คราวนี้อาคเนย์เป็นฝ่ายตอบบ้าง เหมือนว่าเพิ่งได้รับการไขลาน "ถ้ายังไงตอนเช้าอาจจะได้เจอกันนะครับ"

    "อ๋อ เข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ" พี่ตั๋มรับคำ "จะได้บอกเด็กๆ ไว้น่ะครับว่าจะออกตอนไหน เพราะมันมีบางคนที่เป็นบังอรเอาแต่นอน กว่าจะแงะจากเตียงได้ก็อาจสายโด่ง"

    เนรัญมองคนพูดอย่างนึกตงิดๆ พี่ตั๋มหมายถึงเรารึเปล่าหว่า ไม่นะ... เธอแค่ตื่นสายเสมอในวันหยุดสุดสัปดาห์ และลุกจากเตียงได้ยากเย็นเข็ญใจในวันทำงานเท่านั้นเอง!

    อาคเนย์พยักหน้าหน้าเหมือนรู้ทันกับพี่ตั๋มว่านั่นหมายถึงใคร แต่พอเจอสายตา 'เตรียมเอาเรื่อง' ของหญิงสาวเข้า ชายหนุ่มและเพื่อนของเขาได้ทีตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการหลบฉากลงไปข้างล่างอย่างเงียบกริบ ทิ้งให้เนรัญต้องเป็นจำเลยเผชิญหน้ากับกองทัพนักแซวที่ดาหน้าเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว

    "วี้ดวิ้วววว ไอ้รันมันใช้ได้แฮะ" พี่ตั๋มนำทีมแซว "เผลอแป้บเดียวก็ไปผิดผีถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว ครั้งต่อไปเอาให้ได้อย่างนี้นะไอ้น้อง แกนี่พัฒนา"

    "เอ๊ะ พูดงี้หมายความว่าไงพี่ รันช่วยเขาทำแผลนะ ทำคุณบูชาโทษเสียนี่" หญิงสาวโวย

    "ต๊าย... ไอ้รัน เป็นนางเอกหนังบู๊ที่ต้องทำแผลให้พระเอกเชียวนะยะ" กระเป๋าสำทับตาขวางๆ "ทำแผลอย่างกับอยู่บนโลกนี้กันแค่สองคน หนอย...คนสวยอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้ว..."

    "แต่ผมว่าเมื่อกี้หมวดคนนั้นก็ดูชอบอกชอบใจอยู่นะ" นายโอ้ค เพื่อนร่วมงานที่มากับรถอีกคันเอ่ยขึ้นมาบ้าง "สงสัยจะกลับไปทำมีดบาดแขนอีกสักรอบสองรอบ แล้ววิ่งขึ้นมาให้รันพันแผลใหม่อีกหลายยกแน่เลย"

    ...ได้เพื่อนบังเกิดเกล้ากันทั้งนั้นเลยตู... เนรัญนึกบ่นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจกับเหล่าเพื่อนที่รวมหัวกันเผาเธอจนไม่เหลือซาก

     "อ้อ ผู้ใหญ่ครับ เมื่อกี้เห็นผู้ใหญ่คุ้นกับหมวดทั้งสองคนนั้นจัง รู้จักกันนานแล้วเหรอครับ?" พี่ตั๋มนึกสนใจจะถามเรื่องราวของฝ่ายนั้น

    "กับหมวดพลน่ะรู้จักนานแล้วครับเพราะเค้าเข้ามาแถวนี้บ่อย ส่วนหมวดคีย์ยังไม่ค่อยคุ้นหรอกครับ เพราะเห็นว่ามาราชการแถวนี้ชั่วคราว แต่พักหลังก็เห็นหน้าทั้งสองคนบ่อยนะครับ หมวดคีย์แกจะดูไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่ก็มีน้ำใจครับ อาทิตย์ก่อนโน้นเห็นว่ากลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงรายแล้วเอาผลไม้จากไร่ของพ่อแม่มาฝากผมเยอะเลย"

    "อ๋อ... หมวดคีย์นี่เป็นคนเชียงรายเหรอครับ?" พี่ตั๋มถามอย่างออกจะพิศวง ซึ่งเนรัญก็เห็นด้วย เพราะเห็นหน้าเข้มๆ คล้ำๆ อย่างนั้น บอกว่าเป็นคนใต้ยังจะน่าเชื่อเสียกว่า

    "เอ เห็นว่าเป็นครอบครัวชาวสวนชาวไร่ครับ แต่ก็ขยันจนมีสวนผลไม้เป็นของตัวเอง ในจำนวนพี่น้องก็คงมีหมวดคีย์คนเดียวที่แหวกแนวมารับราชการ พ่อแม่แกคงดีใจมากครับที่ลูกได้เป็นทหาร"

    เนรัญนิ่วหน้า... อ้าว... งั้นฉันก็ทำให้วงศ์ตระกูลหม่นหมองสิ พ่อรับราชการในตำแหน่งเล็กๆ ส่วนลูกกลับผ่าเหล่ามาทำงานองค์กรเอกชนไกลผู้ไกลคนเสียได้ มันเป็นงานที่หลายคนมองอย่างค่อนขอดว่าเป็นพวกรับเงินต่างชาติ แต่เนรัญก็ภูมิใจว่ามิได้ทำความเสียหายใดๆ ให้บ้านเกิด ซ้ำยังเอาเงินที่ได้รับจากทุนต่างชาติมาใช้จ่ายในประเทศด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้ระหว่างคนไทยที่รับเงินไทยแล้วแห่กันไปซื้อของนอก กับคนไทยที่รับเงินจากต่างชาติแต่ซื้อของไทยแถมยังเสียภาษีให้เมืองไทยอย่างเธอ... อย่างไหนมันน่าถูกประณามมากกว่ากัน?

    * * * * *

    เช้าวันถัดมา เนรัญและเพื่อนก็พากันลุกมาอาบน้ำตั้งแต่เช้ามืด เพราะต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการขับทะลวงทางป่าออกไปสู่ตัวเมืองข้างนอก

    เนรัญเดินฉายเดี่ยวลงมาก่อนเพื่อนร่วมทางสองคนคือกระเป๋าและจุงโกะ เพราะสองคนนั้นจะใช้เวลานานกว่าเธอนิดหน่อยในการเตรียมสวยในช่วงเช้า แต่ก็ต้องชะงักเพราะทางเดินแคบๆ อันนำไปสู่ลานจอดรถหน้าหมู่บ้านมีร่างใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่เหมือนแท่งหิน

    "เอ๋..." เนรัญอุทาน เพราะอาคเนย์นั่นเองที่ยืนขวางลำโดยหันหลังให้เธอเหมือนหยุดรออะไรบางอย่าง แต่ความที่ไม่อยากเสวนาด้วยนักเนรัญจึงทำท่าจะเดินแทรกตัวแซงเขาไปด้านหน้าทันที

    จู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้าข้อแขนเธอไว้มั่นแล้วเอ่ยเสียงเบาแบบกระซิบ

    "เดี๋ยวคุณ... อย่าเพิ่งไป มีงูเขียวหางไหม้เลื้อยผ่านทางอยู่ ให้มันไปก่อน"

              "ฮ้า!"

    หญิงสาวอุทานเบาๆ มองไปทางข้างหน้าก็เห็นเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวสีเขียวตองความยาวราวเมตรกว่ากำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มันตัดผ่านเส้นทางเดินข้างหน้าที่มีแต่หญ้าเขียวขจีไปอย่างใจเย็น

    โชคดีที่อาคเนย์เห็นมันมาแต่ไกลจึงหยุดรอในระยะห่างพอควรที่มันจะไม่รู้สึกตัว เนรัญกลืนน้ำลายเอื้อกลงคอ......นี่ถ้าอาคเนย์ไม่ดึงไว้ป่านนี้คงเดินทะเล่อทะล่าไปเหยียบหางสีน้ำตาลไหม้มันแล้วละมั้ง!

    มัวแต่ยืนอึ้งกับเจ้าอสรพิษนั่นจนลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายยังเกาะกุมข้อแขนเธอไว้ไม่คลาย พอแน่ใจว่ามันไปแล้ว... เธอก้มมองที่แขนแปลกๆ เนรัญคิดว่าเขาต้องรู้ตัวแล้วแน่ๆ ว่ามันไปแล้ว จึงเอ่ยตัดบทเสียงเย็นว่า

    "แล้ว ปล่อยแขนฉันได้รึยังล่ะคะคุณ?"

    "อ้าว โทษทีครับ" เขายอมปล่อยการเกาะกุมแต่โดยง่าย แล้วเขาก็อมยิ้มอีกแล้วที่ทำเธอไม่สบอารมณ์ได้แต่เช้า

    เนรัญสะบัดแขนน้อยๆ ราวจะถือตัว เพราะชักรู้สึกว่าอาคเนย์คนที่เห็นเธอเป็นลูกล่อลูกชนกลับมาแล้ว

    "เข้าเมืองคราวนี้ พวกคุณไปทางไหนกันหรือ?" เขาเริ่มต้นบทสนทนาก่อน อันเป็นการเปิดฉากคุยที่เนรัญไม่ค่อยได้เห็นเวลาเขาอยู่กับคนทั่วๆ ไป

    "ไปทางแม่สะเรียงน่ะคุณ แล้วรถก็จะวิ่งไปส่งพวกฉันที่เชียงใหม่เลย ต้องไปขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพกันที่นั่น" เนรัญตอบตรงๆ

    "โอ้โห... เดินทางในประเทศยังนั่งเครื่องบินกันด้วยเหรอ ไฮโซจังนะคุณ" อีกฝ่ายทำหน้าทึ่ง

    "ก็ที่นี่มันไกลจากกรุงเทพฯ มากนี่คุณ เค้าก็เลือกการเดินทางที่เร็วที่สุดให้แหละ ถ้ามัวแต่เดินทางด้วยรถก็เสียเวลาทำงานกันพอดี"

    "แล้วออกจากป่ารอบนี้ คุณไปไหนหรือ?" เขายังคงถามต่อ ราวกับเนรัญมีปริศนามากมายให้เขาถาม

    "กลับกรุงเทพฯ ก่อน จะไปไหนค่อยว่ากันอีกทีหรอกค่ะ อาจโดนส่งไปท้องที่อื่นก็ได้" เนรัญอุบไว้ก่อนแม้รู้ว่าตัวเองจะต้องไปที่ไหน "ก็...ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่เราได้เจอกันตรงนี้นะคะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจคุณก็แล้วกัน ไว้มีโอกาส... ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่นะคุณ เดี๋ยวค่อยมาคิดบัญชีเรื่องข้าวผัดกันอีกที คุณตกลงนะ?"

    "ตามสบายครับ อย่างที่คุณว่าเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้วละมั้ง แต่ถึงยังไงก็... น่ายินดีนะที่เราสองคนได้พบกันอีก ถึงมันจะเป็นเวลาสั้นๆ ไปหน่อย” เสียงเขามีร่องรอยเสียดายอยู่ลึกๆ

    "แล้วก็..." หญิงสาวเริ่มต้นเอ่ยเหมือนคิดอยู่นาน... แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไปสักที "ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา...ฉันอาจหยาบคายกับคุณไปบ้าง ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ หวังว่า...คุณคงไม่ว่ากัน"

    "ไม่เลย ไม่ว่าหรอก ผมพอเข้าใจว่าธรรมชาติคุณเป็นอย่างนี้" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเข้าใจอะไรง่ายดาย แววตาเขายังคงฉายแววรื่นรมย์อย่างที่เนรัญไม่เข้าใจนักว่าทำไมเจอกันทีไรเขาต้องทำเหมือนยิ้มให้เธอทางสายตาทุกที

    "อ้าว! หมวดคีย์ฮ้า กำลังจะออกเหมือนกันเหรอฮะ"

    เสียงแหลมของสองเพื่อนซี้ใจสาวแว่วมาทำให้เธอและเขาต้องละสายตาจากกันพลัน อุปปาทานรึเปล่าไม่รู้ที่เห็นอาคเนย์ทำหน้าปั้นได้ยากเมื่อเห็นกระเป๋ากับจุงโกะเดินลิ่วๆ มาหา

    "อ้อ ครับ ทางพวกผมจะไปแล้ว" ชายหนุ่มตอบรับตามมารยาท แต่เนรัญมองออกว่าเขาชักจะอึดอัดแล้วล่ะ

    "ทางโล่งแล้ว คุณไปที่รถคุณเถอะค่ะ" เนรัญตัดบทให้ เพราะรู้ว่าเขาจะมารยาทดีพอจะไม่ตัดไมตรีเพื่อนใจสาวเธอได้เอง "แล้วก็...โชคดีนะคะ"

    อีกฝ่ายค้อมหน้าให้เหมือนเป็นการขอบคุณเธอไปในตัวด้วยที่จัดแจงตัดบทให้เสร็จสรรพ กระเป๋าและจุงโกะดูจะเสียอกเสียดายไม่น้อยที่ผู้หมวดเดินจากไปแต่พวกเขาตามไปทำอะไรไม่ได้ มีหันมามองเนรัญเคืองๆ นิดหนึ่งแล้วค่อยถอยทัพไปขึ้นประจำที่นั่งบนรถ จากนั้นรถทุกคันก็พร้อมจะออก

    "เออ รันเอ้ย” จู่ๆ พี่ตั๋มก็เอ่ยขึ้นเมื่อรถวิ่งออกมาได้สักพัก "พี่ว่านะ... ใช้ได้นะหมวดคีย์เนี่ย เล็งๆ จากสายตาแล้วใช้ได้มากๆ เออ แล้วพี่ก็ไปสืบมาแล้วนะว่าหมวดแกยังโสดนะเฟ้ย โอกาสดีของแกแล้วนะไอ้รัน ต้องคว้าไว้ก่อนจะโดนใครงาบไป"

    พอได้ยินอย่างนี้เข้ากระเป๋ากับจุงโกะก็รีบกระโจนลงสนามแข่งทันทีว่า

    "ไม่ได้นะพี่ตั๋ม!" กระเป๋าเอ่ยขึ้นก่อน "ของอย่างนี้ใครดีใครได้นะคะ หนูกับนังจุงตกลงกันแล้วว่าขึ้นกับเสน่ห์ส่วนบุคคล อย่างอื่นอย่าได้แคร์..."

    "แล้วถามเค้าสักคำยังว่าเค้าแคร์แกสองคนเหรอ?" เนรัญจวกเพื่อนแบบไม่รอไว้หน้า "เมื่อกี้ตอนแกสองคนมาเทียวไล้เทียวขื่อ ฉันเห็นเค้าทำหน้าปูเลี่ยนๆ สงสัยเค้ากลัวแกจะตุ๊ยท้องแล้วลากเข้าถ้ำ เลยรีบเผ่นหนีก่อนเลย ไม่นิยมกินถั่วดำว่ะ"

    "อร้าย! ดูปากมันนะพี่ตั๋ม" กระเป๋าหวีดร้อง "ขนาดหนูเป็นแค่เพื่อนมันนะ มันยังโขกสับหนูได้ขนาดนี้ แล้วนี่พี่ยังเห็นดีเห็นงาม... จะยกหมวดคีย์ไปไว้ในอุ้งมือมันอีกเหรอค้า พี่นี่ช่างใจร้ายกับหมวดเหลือเกิน...."

    "ช่ายๆ พี่ตั๋มใจร้าย ไอ้รันมันโหดแค่ไหนพี่ก็รู้" จุงโกะรับหน้าที่ลูกคู่ตลอดศก "ถ้าหมวดคีย์ไปตกล่องปล่องชิ้นกับไอ้รันนะ จะต้องโดนโขกสับจนคางเหลืองแน่ๆ เผลอๆ ต้องคอยกราบตีนเช้าเย็นกันเลยมั้งพี่!"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×