คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4: ชีวิตในราวป่า (4)
บทที่ 4: ชีวิตในราวป่า (4)
ในช่วงปลายสัปดาห์นั้น เนรัญก็ได้รับคำสั่งทางอีเมล์แน่นอนแล้วว่าพอหมดสัปดาห์นี้แล้วพื้นที่หมายต่อไปของเธอก็คือการไปปฏิบัติภารกิจที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีเพื่อนร่วมงานอีกราวสี่ห้าคนที่จะออกจากป่าแห่งนี้ไปพร้อมกัน ซึ่งสำหรับคนที่ขึ้นรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไปคันเดียวกับเนรัญในวันนี้คือเพื่อนชายหัวใจสีม่วงที่ชื่อ กระเป๋า กับ จุงโกะ
เนรัญลากกระเป๋าลงมาจากบ้านพักไปไว้ที่รถแล้วก็ยืนรออย่างใจเย็น จนกระทั่งเพื่อนอีกสองคนลากกระเป๋าใบงามมาลงมาถึงรถพร้อมกับเสียงโวยวาย
"ว้าย พี่ตั๋มขา... อย่าเอากระเป๋าหนูวางตรงนั้นสิคะมันเลอะ ว้าย วางเบาๆ ด้วยค่ะ นั่นหลุยส์วิตองส์เชียวนะคะพี่" กระเป๋าบ่นอู้เมื่อเห็นคนรถวางกระเป๋าตัวเองโครมใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวนั้นนอกจากชื่อกระเป๋าแล้วยังบ้ากระเป๋าแบรนด์เนมอีกด้วย
"ของจุงก็แพงนะพี่ตั๋ม" จุงโกะ เพื่อนคู่หูชาวเก้งกวางอีกคนลูบไล้กระเป๋าเดินทางตัวเองป้อยๆ "อดค่าขนมมานานกว่าจะซื้อได้ พี่ถนอมมันหน่อยนะ"
"ของแพง ใครเค้าให้เอามาใช้ในป่าละเอ้อ" พี่ตั๋มบ่นอู้ แต่ยังไม่ทันไรเนรัญก็แทรกขึ้นกลางอากาศอย่างหาเรื่อง
"ไม่ต้องไปแคร์หรอกพี่ตั๋ม เข้ามาทำงานในป่าแต่ดันเลือกกระเป๋าไม่ถูกกาละเทศะ หนูว่ามันหลุยส์ตลาดโรงเกลือเสียมากกว่า แต่ถ้าให้มันเป็นของจริงล่ะก็พี่ก็ไม่ต้องกลัวพังหรอก กระแทกแรงๆ มันไปเล้ย ของแท้ยังไงก็ต้องทนมือทนตีน ถ้ากระเป๋ามันแหกแสดงว่ามันใช้ของปลอม ชัวร์!"
"ไอ้รัน! เจือก! เดี๋ยวคนสวยตบปากจะหาว่าไม่เตือน!" ยัยกระเป๋าหันมาตาเขียวใส่
"ชิ ไม่กลัว จะเตะผ่าหมากกลับ!" เนรัญเบ้หน้าท้าทาย
เนรัญรู้ว่าเพื่อนซี้สองคนไม่มีทางโกรธจริงจังเพราะทั้งสองรู้เช่นเห็นชาตินิสัยปากกรรไกรของเธอมาแต่ไหนแต่ไร ความจริง...ชื่อเรียกยัยสองคนนี่ก็เป็นชื่อจัดตั้งเองที่เรียกติดปากกันในหมู่เพื่อนมาเนิ่นนานแล้ว กระเป๋านั้นเข้ามาทำงานหลังเนรัญเข้ามาหนึ่งปี ตอนแรกก็แอ๊บแมนมาอย่างดี สักพักก็ได้จุงโกะมาร่วมงาน ซึ่งจุงโกะเป็นคนแสดงความเป็นเก้งกวางของตัวเองออกนอกหน้า ดังนั้นเมื่อมีเพื่อนแสดงความสาว กระเป๋าจึงปลดปล่อยวิญญาณที่แท้จริงออกมา ทั้งสองจึงถูกเรียกว่าทีมสตรีเหล็ก เพราะถึงจะมีจิตใจเบี่ยงเบนแต่กลับทำงานบุกตะลุยและทนถึกเหมือนแร่ดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ไปกันได้แล้ว แวะทำงานครึ่งวันแล้วค่อยออกนะ” เนรัญบอกผองเพื่อน
เมื่อทุกคนพร้อม รถทุกคันก็เคลื่อนขบวนไปยังที่หมาย ตะลุยผ่านลำห้วยเล็กๆ ก่อนจะไปหยุดที่สำนักงานหลังคาตองตึง
"พี่ฟ้า เดี๋ยวบ่ายนี้รันจะออกไปข้างนอก พี่จะฝากคนรถที่จะกลับเข้ามาเอาอะไรมาฝากจากในเมืองแม่สะเรียงไหมคะ?"
เนรัญเดินไปถามฟาริดา เพราะสำหรับพื้นที่พักพิงในป่าแห่งนี้แล้ว อำเภอที่ศิวิไลซ์ที่สุดและตั้งอยู่ใกล้ที่สุดแล้วคืออำเภอแม่สะเรียง อันเป็นที่ที่ทุกคนจะสามารถซื้อหาของกินของใช้ได้ตามอำเภอใจ แต่กระนั้นก็เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่มีถนนสายสำคัญอยู่เพียงไม่กี่เส้นเท่านั้น เรียกได้ว่าเดินวนไปวนมายังไงก็ต้องได้เจอคนรู้จักอยู่ดี
"อืม...ไม่มีหรอกรัน" ฟาริดาส่ายหน้า "เอ้อ รัน...ได้ยินว่าจะไปแม่สอดใช่ไหมเรา ไปทำงานตรงศูนย์ประสานงานตรวจคนเข้าเมืองสินะ"
"ค่ะพี่ฟ้า" เนรัญพยักหน้า "คงจะวุ่นทีเดียวล่ะเพราะรันจำได้ว่าตอนทำงานนี้เมื่อต้นปีวุ่นวายไงบ้าง เลยทำใจไว้ล่วงหน้า"
"เอาน่า วิคเตอร์เค้าไว้ใจเลือกรันด้วยตัวเองเชียวนะ ก็ทำงานมานานแล้วรู้อะไรมากขึ้นเยอะแล้ว เดินทางปลอดภัยก็แล้วกันนะ"
เนรัญพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่กึ่งจะเป็นคำชมเล็กๆ ของฟาริดา เธอกับฟาริดาเป็นเสมือนพี่น้องที่ดีต่อกัน
ก่อนจะกลับ เนรัญมีเวลาว่างเล็กน้อยจึงชวนล่ามคนสนิทพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้ภาษากะเหรี่ยงแบบง่ายๆ ไปในตัว
"คุณรันครับ เมื่อไหร่ครอบครัวผมจะได้ไปสัมภาษณ์รอบถัดไป คุณรันทราบไหมครับ?" ก่อนาย เอ่ยถามเธอขึ้นอย่างใคร่รู้
"ได้ยินว่าอาจจะเป็นเดือนหน้านี่ล่ะค่ะ ที่จะมีคนกลุ่มแรกได้เดินทางจากแคมป์ไปสัมภาษณ์ที่แม่สอด แล้วก็รันเองนี่ล่ะค่ะที่จะไปประสานงานตรงนั้น" หญิงสาวตอบตามที่ได้รับข้อมูล "แต่ทาง ตม. ของอเมริกา จะใช้เกณฑ์ยังไงเป็นคำตัดสินนี่... รันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"
"ผมรู้สึกตื่นเต้นจังครับ" ก่อนายรำพันออกมา "ไม่รู้ว่าขั้นต่อไปจะเจอกับอะไรบ้าง ได้ยินมาว่าทางอเมริกาก็เข้มงวดอยู่เหมือนกัน ถ้าประวัติไม่เคลียร์ก็อาจไม่ผ่านสัมภาษณ์ได้"
เนรัญยิ้มให้อีกฝ่ายน้อยๆ อย่างจะให้กำลังใจเต็มที่
"ทำใจให้สบายนะคะ ก่อนาย ถึงตอนสัมภาษณ์ก็แค่ตั้งใจตอบคำถามให้ดีที่สุดเพราะนั่นคือหน้าที่ของตัวเรา อะไรจะเป็นของเราแล้ว...มันก็จะเป็นของเราแน่ๆ แต่ถ้าเราพลาดจากสิ่งนั้นไป ก็อย่าไปเสียใจกับมันมากเถอะนะคะ เพราะบางทีฟ้าอาจกำหนดมาให้เราพลาดในสิ่งหนึ่ง... เพื่อจะเปิดทางให้เราได้ในอีกสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าก็ได้... รันเชื่ออย่างนั้น"
"คุณรันมองโลกแง่ดีจังครับ" คนเป็นล่ามยิ้มออกได้อย่างนึกยอมรับ
อันที่จริงเนรัญก็พอจะเข้าใจความกังวลของก่อนายในตอนนี้ เพราะเหล่าชาวกะเหรี่ยงหลายต่อหลายคนล้วนหลบหนีมายังฝั่งไทยเนื่องจากพลัดที่นาคาที่อยู่ จากบ้านเกิดเมืองนอนที่ถูกทหารพม่าเผาวอดวายทำลายสิ้น เมื่อหนีตายออกมาแล้วก็ไม่สามารถกลับไปอยู่ที่เดิมได้เพราะสงครามยังคุกรุ่น จึงต้องมุ่งหน้ามาอยู่ฝั่งไทย
บางครั้งเนรัญก็อดคิดไม่ได้ว่า นโยบายที่รุนแรงของรัฐบาลทหารที่กระทำต่อชนกลุ่มน้อยนั้นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปัญหาความมั่นคงในพม่าไม่ก้าวหน้าไปไหนสักที และยังส่งผลให้เพื่อนบ้านอย่างไทยต้องรับเอาผู้หลบหนีภัยสงครามจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก่อนายเองก็เคยเล่าให้เนรัญฟังเป็นการส่วนตัวว่าเหตุใดเขาจึงกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนตนเองไม่ได้
'ผมไม่อยากกลับไปที่นั่นแล้วครับคุณรัน เราไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านก็โดนเผา คุณรันรู้ไหมตอนที่ผมหนีมา พี่สาวผมไม่ยอมมาด้วย เธอบอกว่าเธอไม่อยากย้ายที่อยู่ไปไหน แล้วเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารกะเหรี่ยง ทหารพม่าคงไม่ทำอะไรเธอ... แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นที่ผมเริ่มเดินทางมาที่นี่ ผมได้ยินข่าวว่าพี่สาวผมคนนั้นถูกฆ่าตายเสียแล้ว พี่ผม...ถูกทหารพม่าฆ่าข่มขืนที่บ้านนั่นล่ะครับ....'
ตอนนั้น...เนรัญพยักหน้ารับอย่างเห็นใจ โศกนาฏกรรมแห่งความตายและการพลัดพรากเป็นสิ่งคู่กับคำว่า 'ผู้ลี้ภัย' เสมอ
บ่ายโมงเศษๆ รอจนทุกคนเคลียร์งานของตัวเองให้เรียบร้อย... ทีมย่อยที่เตรียมพร้อมจะเดินทางออกจากป่าก็พร้อมจะเดินทาง คราวนี้มีรถออกมาพร้อมกันสองคัน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่มากเลยเมื่อเทียบกับปกติแล้วจะต้องเข้าออกพร้อมกันไม่น้อยกว่าห้าหกคันรถ
เนรัญนั้นนั่งแท่นอยู่คันแรกเพราะเจ้าตัวนั้นเป็นขาประจำของรถที่พี่ตั๋มขับอยู่เสมอ และมีหน้าที่ต้องคอยถือวิทยุสื่อสารและติดต่อกับรถคันอื่นๆ ในด้านหลัง เพราะหากเส้นทางข้างหน้ามีอุปสรรคอะไรจะต้องรีบแจ้งให้รถคันอื่นทราบและเตรียมการหลบหลีกให้ได้ทันท่วงที
วันนี้ขบวนรถของพวกเธอดูจะติดขัดเล็กน้อยเพราะมีรถสวนทางค่อนข้างบ่อย หนทางออกจากป่านั้นเป็นดินลูกรังเล็กแคบขรุขระ อีกทั้งมีความคดเคี้ยวจึงไม่มีทางที่จะใช้ความเร็วสูงได้ คนขับที่จะผ่านด่านเหล่านี้ได้ต้องฝีเท้าพระกาฬกันทั้งสิ้น
แถมวันนี้ สภาพอากาศก็ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเพราะฟ้าปิดตั้งแต่ช่วงสาย ตอนนี้ฟ้าสลัวรางพร้อมเมฆครึ้มที่แผ่กระจายความทะมึนทั่วแผ่นฟ้า เนรัญรู้ว่าพี่ตั๋มเองเห็นสภาพท้องฟ้าภายนอกแล้วใจไม่ดีอยู่เหมือนกัน เพราะทางเดินรถในป่าลึกแห่งนี้จะกลายสภาพเป็นทางวิบาก(กรรม) ในทันทีหากมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา
"เอ๊ะ... ฟ้าแล่บ..." เนรัญอุทานอย่างใจไม่ดี ท้องฟ้าเริ่มหม่นหมองลงเรื่อยๆ ฟากฟ้าเริ่มมีประกายอสนีบาตรแปล้บปล้าบมาเป็นระยะ เป็นสัญลักษณ์ว่าพายุกำลังตั้งเค้าและพร้อมจะพรั่งพรูในไม่ช้านี้
"อย่าเพิ่งตกเลยว้า...." พี่ตั๋มปรารภขณะมองไปด้านนอก "ทางยิ่งไม่ดีอยู่ด้วย ถ้าตกช้าอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงพ่อจะไม่ว่าเล้ย"
แต่คำอธิษฐานดูจะไม่ศักดิ์สิทธิ์พอ เพราะไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เม็ดฝนก็หล่นเปาะแปะลงมาที่กระจกหน้ารถ นาทีถัดมาเม็ดพิรุณเหล่านั้นก็เพิ่มทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ปัดน้ำฝนเริ่มทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกับสีหน้าคนขับที่มีท่าทีหนักใจขึ้นเป็นลำดับ ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกได้ถึงความเหนียวของทางลูกรังที่ค่อยๆ กลายสภาพเป็นโคลนหนืด สิ่งที่ทุกคนทำได้ตอนนี้คือภาวนาให้การเดินทางครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
"อ้าว... นั่นมันคนนี่หว่า ใครลงมาโบกรถวะนั่น" พี่ตั๋มขมวดคิ้วเมื่อเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าระยะไม่เกินยี่สิบเมตร ส่วนกระเป๋ากับจุงโกะก็มัวแต่หวีดว้ายเพราะกลัวอีกฝ่ายจะมาร้ายมากกว่ามาดี
"ว้าย! พี่อย่าจอดนะ เกิดมันเป็นโจร พวกหนูจะทำยังไง!"
เนรัญเขม้นตามองตาม ใครสักคนกำลังเดินมาช้าๆ พอรถยิ่งใกล้เข้า ก็เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ชุดเครื่องแบบสีตุ่นๆ พร้อมกันนั้นพี่ตั๋มเองก็ลดกระจกลงเมื่อร่างสูงของคนนั้นมาถึงกระจกข้าง อีกฝ่ายค้อมหน้าลงมาเพื่อจะเจรจาด้วย
"อ้าว... หมวดคีย์เองเหรอครับ สวัสดีครับ!"
คำทักทายของพี่ตั๋มทำเอาเนรัญอยากเอาวิทยุขึ้นมาบังหน้า แค่ได้ยินชื่ออีกฝ่ายเนรัญก็ไม่ค่อยกล้าหันไปมองนักเพราะยังรู้สึกตงิดๆ เหมือนมีความผิดกับเขาซ้ำซ้อนหลายกระทง
"สวัสดีครับคุณตั๋ม" เสียงอีกฝ่ายเปล่งออกมาค่อนข้างดังเพราะต้องแข่งกับเสียงเม็ดฝน "จะมาแจ้งครับว่าทางข้างหน้าคงไปไม่ได้ มีกระบะจอดขวางทางอยู่ เห็นว่าเบรกไหม้ ตอนนี้เจ้าของก็ทิ้งรถเอาไว้เพราะพยายามไปตามชาวบ้านคนอื่นให้มาช่วยกันเข็นรถอยู่ครับ แต่คงยากหน่อยเพราะรถก็ติดหล่มด้วย รถพวกผมเองก็เลยติดแหง็กไปไหนไม่ได้เหมือนกัน"
"อ้อ ขอบคุณครับ" พี่ตั๋มพยักหน้าน้อยๆ "ว่าแต่หมวดยืนตากฝนอย่างนั้นไม่หนาวแย่เหรอครับ เอาร่มมั้ยครับ?"
นั่นสิ... เนรัญก็เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายเดินมาท่ามกลางสายฝนที่หนาเม็ดอย่างไม่สะท้านสักเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาตอนนี้เปียกปอนอย่างไม่เหลือสภาพ แต่ก็ได้ยินเสียงตอบรับอารมณ์ร่วนว่า
"ไม่หรอกครับ เปียกขนาดนี้แล้วคงเอาไม่อยู่" เขารับไม่อนาทร "ผมว่าพี่ก็อย่าเพิ่งเสี่ยงเลยนะครับ รอสักพักฝนอาจหยุดก็ได้ ไม่ก็รถกระบะอาจลากออกจากทางได้ ตอนนี้ผมแนะนำว่าให้กลับรถไปจอดพักที่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้จะดีกว่า เดี๋ยวจะไปเรียกเพื่อนมาช่วยดูทางให้"
"เอ๋..." เนรัญอุทานเพราะพออาคเนย์พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปที่รถของตัวเองทันที ราวกับคำแนะนำของเขาเป็นประกาศิตที่พวกเธอควรทำตาม แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เนรัญก็วิทยุไปบอกรถคันหลังว่าจะต้องย้อนกลับไปที่หมู่บ้านใกล้ๆ กันนั้นก่อน
ครู่เดียวจากนั้น คงเป็นอาคเนย์และเพื่อนของเขาที่ช่วยกันโบกรถและดูทางให้รถขับเคลื่อนสี่ล้อขององค์กรเธอค่อยๆ ถอยหลังกลับไปทางเดิมได้อย่างสะดวกโยธิน พอเสร็จแล้วพี่ตั๋มก็เอ่ยขอบคุณพวกเขายกใหญ่ ก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะเดินกลับไปที่รถของตนเองบ้างเพื่อเคลื่อนย้ายมาให้อยู่ในจุดปลอดภัยใกล้ๆ กัน
พอเห็นอย่างนี้ สองเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังถึงกับมีเสียงกรีดร้องและเพ้อละเมอ
"อร้าายย... เหล่าผู้ชายกลางสายฝน เลือดกำเดาจะกระฉูด บุญของเราแท้ๆ ที่ได้มาเห็นของดี...."
เนรัญหันไปมองเพื่อนด้วยสีหน้าปรามน้อยๆ ทีเมื่อกี้ยังกรีดร้องเสียงหลงกลัวพวกเขาจะมาปล้นอยู่หยกๆ แต่ตอนนี้ละเมอเพ้อหาเสียแล้ว ท่าจะเป็นเอามาก
"คิดว่า... วันนี้เราจะออกไปได้ไหมพี่ตั๋ม?" เธอหันมาถามพี่ตั๋มเสียงหวั่นอกหวั่นใจ
"ไม่แน่ใจน่ะ" ขนาดคนขับรถมาโชกโชนยังออกปาก "ต่อให้รถกระบะตรงด้านหน้าออกไปได้ ทางก็เหลืออีกหลายกิโล ไม่รู้จะมีอุปสรรคอีกตรงไหนรึเปล่า องค์กรเรายิ่งเน้นความปลอดภัยของพนักงานด้วย พี่สังหรณ์ใจว่าถ้าวันนี้เรายังออกไปไม่ได้ก็คงต้องขอค้างแถวนี้ล่ะ"
เป็นสังหรณ์ที่มีความเป็นไปได้สูง แต่ไม่มีใครอยากให้มันเป็นจริงเพราะถ้าออกจากป่าภายในวันนี้ไม่ได้ตารางการเดินทางที่จัดไว้แล้วก็จะต้องถูกเลื่อนออกไปอีก แต่...ในเมื่อทุกคนก็ยังต้องอยู่ใต้ฟ้าผืนนี้การจะฝืนชะตาฟ้าลิขิตก็คงเป็นสิ่งเลี่ยงได้ยากยิ่ง
สักพักใหญ่... เม็ดฝนก็เริ่มหนาตาน้อยลงแต่ก็ไม่ถึงกับขาดตอนไปเสียทีเดียว อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับร่างนายทหารสามสี่นายที่เดินดุ่มๆ มาที่รถองค์กร เนรัญจำได้ว่านอกจากอาคเนย์แล้วก็ดูจะมีเพื่อนเขาอีกคนที่ปรากฏตัวพร้อมกันในครั้งที่แล้ว และคนอื่นๆ ก็ดูท่าจะเป็นลูกน้องลดหลั่นกันไป
อาคเนย์เดินแยกตัวออกมาแจ้งกับพี่ตั๋มที่รถเธอ เนรัญเห็นสภาพเขาโทรมจัดเสียยิ่งกว่ารอบแรกที่เห็นเขาเปียกชุ่มเสียอีก แสดงว่าในช่วงเวลาที่พวกเธอนั่งเอ้อระเหยกันในรถ... พวกเขาก็ยังเดินทำโน่นทำนี่กันได้อย่างไม่หวั่นดินฟ้าอากาศ
"เดี๋ยวไปพักที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่นี่ก่อนนะครับ" ชายหนุ่มยื่นหน้ามาบอกพี่ตั๋ม "ไม่ไกลหรอก เดินไปนิดเดียว พวกผมเดินไปคุยกับแกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีคนหลายคนมาขอหลบฝนชั่วคราวก่อน ส่วนรถองค์กรคุณจะจอดเลียบไว้ตรงนี้ก็ได้ หรือจะขับขึ้นไปที่หมู่บ้านก็ได้ครับเพียงแต่ทางเข้าอาจยากหน่อยเพราะเป็นทางเนิน"
"เดี๋ยวผมว่าจอดเอาไว้ตรงนี้ดีกว่าครับ เวลาเข้าออกจะได้ง่ายๆ ส่วนคนก็เดินเท้าเข้าออกเอาเองน่าจะดีกว่า" พี่ตั๋มตัดสินใจเร็วรี่ "เอาล่ะ เด็กๆ ลงไปกันก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เอารถชิดไหล่ทางก่อนแล้วจะตามน้องๆ ไป"
"เอางั้นเหรอพี่?" เนรัญถามสุ้มเสียงไม่มั่นใจ
"เออน่า พวกเธอไปกันก่อน ไปพักที่บ้านของผู้ใหญ่ก่อนเผื่อจะได้อาบน้ำอาบท่ากันด้วย พี่จะเอารถจอดแล้วต้องเช็คสภาพด้วยว่ามันจะไปต่อไหวไหม" พี่ตั๋มพูดอย่างคนขับรถที่เชี่ยวชาญในการเดินรถในทางวิบากเป็นอย่างดี
โชคดีที่พี่ตั๋มเป็นคนรอบคอบ จึงมีร่มติดรถอยู่ด้วยถึงสองสามคันให้เนรัญและเพื่อนใจสาวสองคนหยิบติดมือไปได้ ซึ่งปรากฏว่าพอลงมาจากรถแล้วกระเป๋ากับจุงโกะก็กลายร่างเป็นนางงามมิตรภาพ พากันกรูเข้าไปขอบคุณกับอาคเนย์แทบจะกราบหน้าตัก
"หมวดคีย์ใช่ไหมฮะ ขอบคุณมากฮะที่ช่วยพวกเรา ถ้าไม่ได้หมวด...พวกเราคงแย่แน่เลย" กระเป๋าเอ่ยกระวีกระวาด
"นั่นสิค้า เอ้ย! นั่นสิฮะ รถติดหล่มอย่างนี้พวกเราก็ไม่เคยพบเจอ พวกทหารหาญช่างเป็นบุณคุณกับเราฮ่ะ" จุงโกะรับเป็นลูกคู่ ส่วนอาคเนย์ก็พยักหน้ารับงงๆ ปรับสีหน้าแทบไม่ทันเมื่อโดนสองหนุ่มร่างบึ้กมะรุมมะตุ้ม
เขาส่งสายตามาที่เนรัญอย่างเหลอหลาเหมือนจะขอความช่วยเหลือ เนรัญมองเพื่อนเกย์สองคนแล้วตาขวางดุใส่... หิวโหยมาจากไหนกันฟะไอ้พวกนี้ จึงได้แต่เดินไปตีขนาบข้างอาคเนย์ ก่อนจะเอ่ยอย่างมีน้ำใจกับเขาเป็นครั้งแรกนับแต่รู้จักกัน
"ใช้ร่มกับฉันได้นะ คุณน่ะ... เปียกไปหมดแล้วนะ"
มุกนี้เมื่อรวมกับทางเดินเท้าแคบๆ ก็ทำให้กระเป๋ากับจุงโกะที่ถือร่มมาคันเดียวกันต้องหลบทางให้โดยดี หญิงสาวหันไปเบ้หน้าใส่เพื่อนให้รีบเดินไปอย่าได้ชักช้า ถึงจะโดนกระเป๋ากับจุงโกะชักสีหน้าใส่ เธอก็หาได้แคร์
ร่างสูงกว่าคลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรจากเนรัญเป็นครั้งแรก แต่เขาก็ไม่เชิงจะเข้ามาอยู่ใต้ร่มกับเธอเสียทีเดียว
"ขอบคุณ แต่ผมคงไม่ต้องใช้หรอกครับ เปียกมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณใช้ไปคนเดียวเลยดีกว่า" เขาว่าพลางมองไปเบื้องหน้าแล้วถามแหยงๆ "ว่าแต่... เพื่อนคุณสองคนนี่ ทำไมมองผมแปลกๆ"
เนรัญอมยิ้มกับคำถามของเขา “คุณดูไม่ออกหรือไงว่าพวกมันจ้องจะงาบคุณ”
“หา...อย่าบอกนะว่าเพื่อนคุณเป็น...” เขาตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ เนรัญยิ่งขันไปกว่าเดิม
“โหคุณ ดูไม่ออกเหรอว่าสายตาเจ้าพวกนี้มันจ้องผู้ชายตาเป็นมันแค่ไหน ชัดขนาดนี้ไม่ต้องรอใบรับรองเพศแล้วคุณ”
“หือ คนทำงานแนวนี้มีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย...” อาคเนย์พึมพำ ดูจะมีแววประหลาดใจไม่น้อย
"อะไรก็เกิดขึ้นได้น่ะกับออฟฟิศฉัน คนทำงานแนวนี้ไม่ใช่จะตะลุยทุกคนหรอก" เธอเอ่ยแล้วมองเขาซึ่งยังเดินตากฝนอย่างนึกรำคาญ "นี่คุณ ตกลงจะปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนอย่างนี้เหรอ? หวัดกินไม่รู้ด้วยนะ"
"แค่ตากฝนหน่อยน่ะ หนักกว่านี้ผมก็เจอมาเยอะแล้ว" สุ้มเสียงเขาไม่ได้โอ้อวด แต่ฟังออกจะเนือยทำนองว่าเขาเจอมาเยอะจริงมากกว่า
"อ๋อ...ค่ะ รู้ว่าคุณทหารน่ะแข็งแรง” เธอเปรยไม่รู้ไม่ชี้
"แต่คุณเองก็อึดใช่ย่อยนะเนี่ย" อีกฝ่ายเอ่ยชม "ต้องเดินฝ่าฝนฝ่าโคลนขนาดนี้ก็ยังทนมาได้ อดทนอีกนิดนะครับ จะถึงบ้านของผู้ใหญ่แล้วล่ะ"
"ทำไงได้ล่ะคุณ เลือกทำงานห่างไกลความเจริญเองก็ต้องทำใจเรื่องความลำบากไว้ล่ะ ใครๆ รู้ก็อาจสมน้ำหน้าฉันก็ได้นะที่ต้องมาเดินตากฝนลุยโคลน เฮ้อ... ตลกตัวเองเนอะ"
"นั่นสิ บางทีผมก็อยากรู้นะว่าทำไมคุณถึงเลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้?" อาคเนย์เปรยถามเสียงนิ่ง เนรัญนิ่งคิดอยู่แวบหนึ่งก่อนตอบมาด้วยแววตาทอประกาย
"อาจเป็นเพราะ... ฉันเป็นคนที่เลือกจะมาทำอะไรอย่างนี้ด้วยตัวเองละมั้งคุณ คุณยังจำคำของอาจารย์ทนงที่พูดไว้ในชั่วโมงนั้นได้ไหมว่า... เราควรรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วเราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร แล้วจงมุ่งไปหามัน ฉันเคยถามตัวเองด้วยคำถามนั้น ตำตอบมันก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้ไงล่ะ"
คนด้านข้างหันมายิ้มให้เธอนิดหนึ่ง "คุณนี่สมเป็นลูกหม้ออาจารย์คุณนะ... ดูท่าจะเฮี้ยวได้ใจ"
เนรัญไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงวัยมหาวิทยาลัยของเธอเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้มุมมองในการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปมากมาย และได้ส่งผลให้เธอกล้าที่จะเลือกเส้นทางเดินอันสวนกระแสสังคมเฉกนี้
"หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน คุณทำอะไรมาบ้าง?" เขาเอ่ยอย่างจะชวนคุยต่อ
"สัพเพเหระน่ะคุณ เคยทำงานบริษัทข้ามชาติอยู่แห่งหนึ่ง... แต่รู้สึกกดดัน ไม่รู้นะ ฉันเป็นคนตรงๆ อาจไม่เหมาะกับคิดอะไรแบบธุรกิจ เลยดิ้นรนจนมาได้งานองค์กรที่นี่ ทำอยู่เป็นปีก็ขอไปเรียนต่อโท พอจบมา ฉันก็ยังภักดีกับองค์กรตัวเองเลยกลับมาทำที่เก่า อาจเพราะฉันยังสนุกอยู่กับมันก็ได้"
"ผมว่าคุณนี่ดูคล้ายๆ บุบฝาชนนะ เป็นพวกวัยแสวงหาความหมายชีวิตอะไรพวกนั้น" เขาอดวิจารณ์ขึ้นมาไม่ได้
"แสวงหา? จะหาอีกทำไมล่ะคุณในเมื่อชีวิตมันมีความหมายในตัวเองอยู่แล้วต่างหาก" เนรัญแย้ง ก่อนย้อนความกลับใส่เขาว่า"ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอ คุณจะตั้งหน้าตั้งตาถามฉันอยู่ฝ่ายเดียวนะ นี่แล้วถ้าฉันถามคุณกลับ คุณตอบได้อย่างเดียวละมั้งว่าเรียนจบมาแล้วเป็นทหาร"
"ก็แน่ล่ะ ชีวิตผมมันจืดชืด" ชายหนุ่มยิ้มฝืดๆ เมื่อโดนดักทางคำตอบไว้เรียบร้อย "ผมจบมาอย่างนี้ก็เลยทำได้อยู่อาชีพเดียว ไม่น่าหวือหวาตื่นเต้นเหมือนอย่างชีวิตคุณหรอก"
"ใช่ ตื่นเต้นมากเลยคุณ ฝนตกหนัก รถออกจากป่าไม่ได้ ติดโคลนเละเทะ ติดต่อใครก็ไม่ได้ เฮ้อ... นี่ถ้ากลับเข้าไปในเมืองได้ มีหวังพ่อแม่รีบโทร.ตามตัวพร้อมบ่นอีกกระบุงโกยแน่" เนรัญบ่นอย่างปวดหัว
"พ่อแม่คงห่วงคุณมากสิ ลูกสาวแท้ๆ ต้องมาทำงานในที่ลำบากแบบนี้"
"ก็คงห่วงตามประสาพ่อแม่นั่นล่ะคุณ แต่ในเมื่อมันเป็นทางที่ฉันลือกแล้วเค้าก็ต้องยอมรับ เห็นว่าพ่อแม่เข้าใจแล้วนะที่ฉันเลือกทำงานแนวนี้ งานที่ส่วนใหญ่อยู่บ้านนอก ไม่ก็ถูกส่งไปเมืองนอก ติดต่อยากทั้งนั้น"
อีกฝ่ายเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
"แล้ว... แฟนคุณล่ะ? เค้า... ห่วงคุณมั้ย?"
คนถูกถามเหลียวมามองอีกฝ่าย พบว่าคนกล้าตั้งคำถามน่ะเสมองไปทางอื่นแบบไม่ยอมมองหน้า เนรัญนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
"...ไม่..." หญิงสาวหลุดปากตอบอย่างลังเลอยู่ว่าจะว่ายังไงดี...แต่ก็ช้าไปเมื่ออีกฝ่ายแทรกถามดักคอ
"ไม่ สั้นๆ ที่คุณว่านี่คือ ไม่ห่วง...หรือว่า...ไม่มี?" เสียงเย้าบอกชัด...เขาทันเกมเธอเสมอ
"ไม่ใช่เรื่องของคุณต่างหาก!"
หญิงสาวถลึงตาตอบด้วยเสียงกระแทกกระนั้นหน่อยๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินตัวปลิวทิ้งเขาไปดื้อๆ จึงไม่ได้หันมาเห็นสีหน้ายิ้มเอ็นดูอย่างไม่ถือสาที่ทอดมองมาจากเบื้องหลัง...
ความคิดเห็น