คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3: ชีวิตในราวป่า (3) รีไรต์
บทที่ 3: ชีวิตในราวป่า (3)
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เดินทางกันไปทำงานตามปกติ โชคดีที่สภาพอากาศค่อนข้างแจ่มใส เส้นทางสายสั้นๆ จากบ้านพักไปสู่แคมป์ผู้ลี้ภัยจึงราบรื่น และเมื่อทุกคนมาถึงสำนักงานหลังคาใบตองตึง 'วิคเตอร์' หัวหน้าทีมจึงเรียกประชุมลูกน้องทุกคนในตอนเช้าก่อนเริ่มงาน อันเป็นการนัดพูดคุยเรื่องงานในแบบสั้นๆ
วิคเตอร์ หัวหน้าทีมคนนี้เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายสลาฟ ครอบครัวเขาเป็นอดีตผู้ลี้ภัยจากทางบอสเนีย-เฮอเซโกวินาที่ลี้ภัยไปอยู่ในสหรัฐฯ กว่าทศวรรษ แม้จะอายุมากกว่าลูกน้องในทีมแต่การวางตัวระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเหมือนเพื่อนร่วมงานที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
ในตอนท้ายวิคเตอร์เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้ตั้งคำถามหรือเสนอแนะ เนรัญจึงหยิบเอาหัวข้อที่ได้พูดคุยกับมีนาเมื่อวานนี้มาพูดคุยเป็นการเปิดประเด็น
"มีนาบอกว่ามีข่าวลือจากทางแม่หละค่ะว่า อาจมีคนพยายามมาสวมรอยกับคนในแคมป์นี้ ถึงมันก็เป็นเพียงข่าวลือที่ยังไม่ชัดเจน แต่ฉันคิดว่าเราควรต้องระมัดระวังให้มากขึ้น"
ผู้เป็นหัวหน้าทีมถึงกับพยักหน้าอย่างนึกยอมรับในข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา หลายคนเองก็มองเห็นความเป็นไปได้เพราะปัจจุบันผู้หนีภัยจากชายแดนพม่ามีแต่จะมากขึ้นทุกวัน... แต่การยอมรับลงทะเบียนผู้ลี้ภัยจากพม่าของรัฐบาลไทยสิ้นสุดลงเมื่อราวปี 2005 เท่านั้น จึงมีคนอีกมากที่หลุดกรอบเกณฑ์เวลาช่วงนั้นแต่ต้องการโอกาสไปต่างประเทศ วิคเตอร์จึงได้กำชับให้ทุกคนระแวดระวังขึ้นให้มากกว่าเก่า
และเมื่อการประชุมสิ้นสุดลง วิคเตอร์ก็เรียกตัวเนรัญไว้เพื่อพูดคุยกันเพิ่มเติมเล็กน้อย ตอนแรกเนรัญนึกว่าจะเป็นเรื่องข่าวลือจากทางแคมป์แม่หละที่เธอเพิ่งได้ยินมาจากมีนา
"คุณมีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ?"เนรัญรับแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
"เกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ น่ะ" คนเป็นหัวหน้าทีมเริ่มต้นด้วยท่าทีจริงจัง
“อ้อ ค่ะ ได้ยินว่าจะไปแม่สอด” เนรัญพยักหน้ารับทราบ เพราะฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองอเมริกาจะมาสัมภาษณ์เป็นระยะๆ ในแต่ละปี
"อย่างที่คุณรู้ อีกไม่นานคนจากในแคมป์เหล่านี้จะถูกส่งไปสัมภาษณ์รอบสุดท้ายที่อำเภอแม่สอด เพราะทางเจ้าหน้าที่จากอเมริกาตกลงแล้วว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาที่อำเภอสบเมยนี้ แต่จะให้ส่งคนไปที่แม่สอดแทนเพราะที่นั่นเรามีสถานที่ไว้รองรับอยู่แล้ว"
“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ”
"ที่ผมเรียกคุณมานี่ก็เพื่อจะถามว่าคุณจะโอเคไหมถ้าเราจะส่งให้คุณไปทำหน้าที่ประสานงานที่ศูนย์ประสานงานฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ในแม่สอด ความจริงที่นั่นจะมีคุณวิศาลคอยกำกับดูแลอยู่ แต่เขาคงอยากได้ผู้ช่วยอีกสักคนหนึ่ง... ซึ่งผมก็เห็นว่าคุณน่าจะทำได้"
เนรัญถึงบางอ้อว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเรียกเธอมาคุย เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเธอก็เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน
"พอเข้าใจล่ะค่ะ งั้นก็แสดงว่า ออกจากแคมป์รอบนี้แล้วฉันจะต้องเดินทางไปแม่สอดเร็วๆ นี้ใช่ไหมคะ"
"ถูกต้อง" หัวหน้าทีมรับคำ "อาจมีเพื่อนอีกสักสามสี่คนที่จะร่วมทริปไปกับคุณด้วยนะ แต่ว่าพวกนั้นจะไปร่วมทีมกับทีมสัมภาษณ์ที่แคมป์แม่หละ เพียงแต่คุณจะแยกไปทางศูนย์ประสานงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ในแม่สอดเท่านั้นเอง คุณพร้อมไหมล่ะกับการทำงานแบบคนเดียวน่ะ"
"โธ่ พร้อมสิคะ เนรัญคนนี้น่ะ สู้ตาย! ทำงานเพื่อผู้ลี้ภัย!” เนรัญรับคำเหมือนจะพร้อมรบเต็มที่ วิคเตอร์อดอมยิ้มกับอารมณ์ขันของลูกน้องมิได้
“โอเค ขอให้คุณโชคดี มันเป็นช่วงเวลาเรามีอะไรต้องทำมากมาย ผมเชื่อว่ามันจะเป็นงานที่ให้อะไรคุณเยอะเอาการ ดังนั้นขอให้คุณสนุกกับงานในช่วงเวลานี้”
“ค่ะ ฉันรู้...” เธอรับเสียงลอยเลื่อนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิด “และจากที่ฉันเคยเรียนรู้เกี่ยวกับงานส่งผู้ลี้ภัยนะคะ งานสายนี้มีวงจรชีวิตไม่นาวนาน เราคงไม่ได้จัดส่งผู้ลี้ภัยไปสหรัฐฯ กันตลอดชีวิตกระมังคะวิคเตอร์ มันต้องมีสักวันที่ปัญหาเหล่านี้คลี่คลายก็เป็นได้...และไม่มีการส่งไปประเทศที่สาม แต่เป็นการส่งกลับมาตุภูมิ"
"แน่นอน... รัน ทุกคนก็หวังเช่นเดียวกับคุณ" วิคเตอร์รับคำอย่างนึกเห็นด้วย "แต่ตอนนี้การส่งพวกเขาไปอีกที่หนึ่งคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ในเมื่อปัญหาการเมืองในประเทศต้นทางยังคงต้องใช้เวลาในการแก้ไข เราอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่มากนักในตอนนี้ แต่... สิ่งที่เราทำอยู่จะทำให้อนาคตคนพวกนี้ดีขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย...และหวังว่ามันจะส่งผลในทางดีต่อประเทศต้นทางด้วย"
* * * * *
เมื่อการสัมภาษณ์ครอบครัวแรกจบลง เนรัญก็ก้าวเท้าออกมาด้านนอกเพื่อเดินตัดผ่านอาคารชั่วคราวไปยังห้องน้ำที่สร้างไว้เยื้องๆ กับสำนักงานของเธอ ภายนอกยังมีผู้มารอสัมภาษณ์มากมายนั่งระแกะระกะเต็มไปหมด แต่พวกเขาก็มีมารยาทพอจะเว้นที่ให้เจ้าหน้าที่อย่างเธอได้เดินเข้าออกสะดวก
ที่ค่ายผู้อพยพในชายป่าอำเภอสบเมยนี้ มีอยู่สองแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้กันชนิดที่เดินไปมาหากันด้วยเท้ายังได้ นั่นคือพื้นที่พักพิงชั่วคราวชื่อแม่ละอูน กับแม่ลามาหลวง ซึ่งเป็นศูนย์พักพิงที่เกิดจากการย้ายที่ตั้งใหม่เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรโดยมากมักเป็นผู้หลบหนีภัยสงครามเชื้อชาติกะเหรี่ยงและมีชาติพันธุ์อื่นๆ อีกเล็กน้อยประปราย อย่างไรก็ตามคนภายนอกจะรับรู้ถึงค่ายอพยพทั้งสองน้อยมากเพราะตั้งอยู่ลึกในป่าเขาลำเนาไพร
หลายต่อหลายคนใช้ชีวิตแบบเงียบเชียบ บางคนพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่เพราะไม่ต้องหนีภัยสงครามใดๆ แต่โดยมากของผู้มาสมัครไปประเทศที่สามมักเป็นคนหนุ่มสาว หรือเป็นครอบครัวที่มองการณ์ไกลว่าอยากให้ลูกๆ ได้ไปเติบโตในประเทศที่พัฒนาแล้ว มากกว่าปล่อยชีวิตไปวันๆ เช่นนี้
ยามเนรัญทอดสายตามองไปทั่วค่ายอพยพของผู้ลี้ภัย เธอมักระลึกเสมอว่าอย่างน้อยตัวเองก็ยังโชคดี เพราะเธอได้รู้แจ้งแก่ใจว่ายังมีคนอีกมากมายที่ 'ขาดแคลน' กว่าเธอหลายเท่า พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ขาดแคลนกระทั่งสิทธิ์จะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป...
บนถนนลูกรังเส้นแคบๆ มีฝุ่นคลุ้งเล็กน้อยเมื่อเนรัญเดินออกมาจากห้องน้ำ ปกติแล้วก็มักเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อขององค์กรต่างชาติที่ผลัดกันเข้าออกเป็นประจำ แต่วันนี้... หญิงสาวเขม้นตามองแปลกๆ เมื่อเห็นว่ามันเป็นรถจี้ปสีเขียวพราน
และพอรถจอดลงเบื้องหน้าสำนักงานของตน เนรัญก็หรี่ตาลงเป็นรอบที่สอง...
มีทหารในเครื่องแบบสามนายก้าวลงมาจากรถ แน่นอนว่าเธอไม่ทราบยศทราบตำแหน่งเพราะไม่สันทัดเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทราบแต่มีคนอายุมากสุดเดินนำหน้ามาแล้วก็มีผู้อ่อนวัยกว่าอีกสองนาย แต่ที่ทำให้เนรัญสะดุดกึกก็คือหนึ่งในสองคนหลังคืออาคเนย์... ที่เพิ่งมีคดีกับเธอเมื่อวานหยกๆ
เมื่อเดินตามหลังผู้หลักผู้ใหญ่ เขาดูกลายเป็นอีกคนที่มาดนิ่งและนอบน้อม ราวกับเป็นบุรุษอีกคนหนึ่งที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อน
วินาทีนั้นเนรัญก็คิดจะหาทางหนีทีไล่ แต่ก็ไม่ทันเพราะเธอดันเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรเพียงคนเดียวที่ยืนหัวโด่อยู่ภายนอกตรงนั้น คนสูงวัยและน่าจะยศสูงสุดจึงก้าวเท้าเข้ามาหาเธอแล้วเอ่ยว่า
"ขอโทษทีนะหนู ทางเราขอมาพบหัวหน้าทีมสักครู่ได้ไหม"
คนถูกเรียกว่า 'หนู' สะดุ้งเล็กน้อย เขาคงเป็นนายทหารยศสูงที่ดูแล้วน่าจะเคี่ยวประสบการณ์มากที่สุดเมื่อเทียบกับสองนายหน้าละอ่อนที่ตามมาด้านหลัง
"อ๋อ เชิญค่ะ วิคเตอร์เค้าทำงานอยู่ด้านในนี้" เธอชี้ไปยังเรือนไม้ที่ปลูกติดกันตรงหน้า แต่ก็อดซักถามราวเป็นเลขาฯ หน้าห้องมิได้ "ไม่ทราบว่า...มีธุระอะไรพิเศษรึเปล่าคะ?"
ผู้อาวุโสส่ายหน้าอย่างให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
"ไม่มีอะไรหรอก แค่จะมาพบปะกันตามธรรมดาน่ะ คงจะคุยกันสักครู่เดียวก็ขอลากลับแล้วล่ะ"
"อ๋อ... ค่ะ" เธอพยักหน้ารับ "เดี๋ยวหนูจะพาเข้าไปพบแล้วกันนะคะ"
"แล้วหนูเป็นไงบ้าง ทำงานมานานแล้วเหรอ?" อีกฝ่ายยังชวนคุยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่สนใจจะคุยเรื่องของผู้น้อย
"เอ่อ... ก็นานแล้วล่ะค่ะ หลายปีได้"
"สนุกมั้ย มาทำงานแบบนี้ เก่งนะเป็นผู้หญิงแต่เข้ามาทำงานในป่าได้" อีกฝ่ายเอ่ยชม
"ไม่เก่งหรอกค่ะแค่ชอบงานแนวนี้ แล้วการมาอยู่ในป่าก็ไม่ได้ลำบากมากนะคะ อาศัยว่ามากันหลายคนก็เลยรู้สึกว่าสนุกมากกว่า" เธอตอบฉับไวเพราะเจอคำถามเฉกนี้มามาก
"แล้วที่บ้านไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยเหรอหนู มาทำงานซะไกลปืนเที่ยง?"
"เค้าก็... คงจะห่วงนะคะ ที่มาทำงานซะไกลผู้ไกลคนอย่างนี้" ตอบไปตอบมาชักรู้สึกกันเอง "แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็คิดว่าคงจะไม่ค่อยมีอะไรแล้วล่ะค่ะ อีกอย่างก็เห็นว่าทางทหารก็คอยลาดตระเวนอยู่ตลอดนี่คะ มั่นใจในความปลอดภัยได้เยอะ"
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านนั้นพยักหน้ารับอย่างนึกเอ็นดู และถ้าเธอตาไม่ฝาด ก็เห็นอาคเนย์ซึ่งเดินติดตามในตอนหลังแอบคลี่ยิ้มที่มุมปาก
"ใช่แล้ว... ถ้ามีอะไรหนูก็เรียกพวกเราได้เสมอล่ะ ทหารน่ะ... เป็นมิตรกับประชาชน" ผู้อาวุโสคนดังกล่าวที่เอ่ยเสียงดังฟังชัดและเป็นกันเอง
จึ้กกกก.........
ประโยคสุดท้ายของนายทหารยศสูงผู้นั้นเหมือนมีดปักเข้ากลางหลังคนฟังอย่างจัง เพราะเมื่อเธอมาส่งพวกเขาถึงห้องทำงานของวิคเตอร์แล้ว เนรัญก็เห็นสายตาของอาคเนย์ที่มีแววล้อเลียนราวกับจะสื่อว่า
....เห็นไหม... ผมบอกแล้ว... ทหารน่ะเป็นมิตรกับประชาชน...
พอพ้นพวกเขาไปแล้ว เนรัญยังมาบ่นงึมงำกับตัวเอง
"แหวะ... พูดอะไรไปวะเรา เมื่อก่อนไม่ค่อยถูกกับคนมีสีแท้ๆ วันนี้กลับมาเห็นดีเห็นงามเสียได้ อรึ๋ย...."
คนมีสี... ในความหมายของเนรัญครอบคลุมไปทุกสีทุกเหล่าที่มีอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ เพราะจากบทเรียนในตำราและประสบการณ์ที่ผ่านมา เธอพบว่าแวดวงราชการมักมีส่วนในการใช้อำนาจรัฐอย่างผิดรูปอยู่เนืองๆ ผลร้ายที่เกิดตามมาคือคนที่ไม่มีความรู้และคนอ่อนแอตกเป็นเบี้ยล่าง โดยเฉพาะคนไร้รัฐที่ไม่มีอำนาจต่อกรใดๆ
เนรัญเดินกลับเข้าไปยังคอกทำงานของตัวเอง และจะสวนทางกับลุงก่วยเย ล่ามสูงวัยหัวใจสะออนอีกคนหนึ่งที่กำลังฟุ้งฝอยกับล่ามคนอื่นๆ อย่างจับคำไม่ค่อยได้นัก
"ตายละวาๆๆ วันนี้พ่อมา พ่อมา..."
"อะไรกันลุง?" หญิงสาวแทรกตัวขึ้นกลางวง "พ่อลุงแก่ขนาดนั้นแล้วยังเดินมาหาลุงแถวนี้อีกเหรอ?"
"โธ่...ป่าวค้าบ ลูกพี่รัน พ่อผมนอนอยู่บ้าน" ลุงก่วยเยเรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนว่า 'ลูกพี่' เสมอด้วยความนับถือ ไม่ว่าคนนั้นจะอายุอ่อนกว่าหรือแก่กว่า
"อ้าว? แล้วลุงหมายถึงอะไรล่ะค่ะ?" เนรัญถามงงๆ
ลุงก่วยเยเฉลยเสียงแหย "ผมก็หมายถึง... พวกลูกพี่ทหารที่เค้ามาวันนี้น่ะครับ ผมเรียกท่านๆ พวกนั้นว่า 'พ่อ' เวลาพวกท่านแวะเข้ามาทีนึงก็เรียกว่า พ่อมา..."
"อ๋อ... งั้นหนูเข้าใจแล้ว งั้นคนที่เป็นพ่อลุงน่ะต้องเป็นทหารคนที่อายุมากที่สุด ที่รันเป็นคนพาเดินเข้ามาแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ?" เนรัญเย้าเล่น
"ว้าก...ผมไม่บังอาจคร้าบลูกพี่" ลุงก่วยเยรีบปฏิเสธแบบเสียวสันหลัง "ไอ้ผมมันก็แค่กะเหรี่ยงลี้ภัยคร้าบ ไม่กล้าไปยุ่งกับพ่อท่านหรอก เวลาพวกพ่อๆ เข้ามาในแคมป์ทีนึงเนี่ย พวกผมก็ต้องทำตัวเรียบร้อยครับ ทำตัวไม่ดีเดี๋ยวจะโดนพ่อจับ"
"แหม... เค้าจะจับลุงไปทำไมล่ะค่ะ ลุงไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ลุงเนี่ย...กลัวไปเองนะเนี่ย"
"ไม่ได้หรอกครับ... ยังไงก็กลัว..." นั่น... ลุงก่วยเย ยังคงยึดติดกับความรู้สึกเดิมๆ
"กลัวทำไมกันคะลุง... นี่ลุง รันจะบอกให้นะ คนเราถ้ายิ่งกลัว อีกฝ่ายก็จะยิ่งได้ใจและจะใช้อำนาจบาตรใหญ่เบ่งใส่เราได้ตามอำเภอใจไปเรื่อย รันว่าคนเราต้องรู้จักลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์ตัวเองบ้างนะคะ เราก็คนๆ นึง เค้าก็คนเหมือนๆ กับเรา ทำไมเค้าจะมาอยู่เหนือเราได้ ลุงต้องอย่าไปยอมนะ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นเบี้ยล่างไปตลอด"
ลุงก่วยเยฟังเธอแล้วก็เหมือนจะไม่เข้าใจเท่าไหร่เพราะแกก็ไม่ได้การศึกษาสูงมาจากไหน ชายสูงวัยชาติกะเหรี่ยงทำหน้าปั้นได้ยาก ก่อนจะโอดครวญว่า
"ถึงลูกพี่รันจะบอกว่าเป็นคนเหมือนกันก็จริง แต่...ผมว่า... ยังไงเค้าก็เป็นทหารนะครับ มีอาวุธ เหนือกว่าเห็นๆ โอ้ย ไม่กล้าพูดครับ"
พูดจบสีหน้าลุงก่วยเยก็ดูจะซีดลงๆ เพราะแกเหลือบมองมาที่เนรัญแล้วก็ตาเบิกโพลง ก่อนที่แกจะหลุดประโยคสั่นๆ ออกมาอีกรอบ
"อ่ะ...เอ่อ... พ่ะ.... พ่อมาคร้าบบบ ลูกพี่...."
เนรัญแย้งกลับอย่างเหลืออด "บ๊ะ! ลุงก็... เลิกเรียกทหารพวกนั้นว่าพ่อสักทีสิคะ หนูละเบื่อแล้วนะเนี่ย"
"ครับ... เลิกเรียกพ่อก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ยังไม่ได้เป็นพ่อใครสักหน่อย"
เสียงนี้ไม่ได้มาจากลุงก่วยเยที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ดังมาจากด้านหลังเธอ!
"เฮ้ย!"
เนรัญหันขวับ ก่อนจะพบว่า 'พ่อ' ที่ทำให้ลุงก่วยเยแทบตาถลนก็คืออาคเนย์ที่แอบมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ หญิงสาวเองก็ใจหายวูบเพราะเขาแอบเดินมาอยู่เบื้องหลังเธอได้อย่างเงียบเชียบ และไม่รู้ว่าที่เธอพูดๆ ไปเมื่อสักครู่นี้เขาจะได้ยินมาตั้งแต่บทสนทนาไหนกัน...ชิบหายแล้วเรา
"คุณ! มายังไงเนี่ย...มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" เนรัญออกปากด้วยสายตาตำหนิน้อยๆ... มาไม่บอก... ปล่อยให้เราโพนทะนาอยู่ตั้งนาน
"ก็ไม่นานหรอกครับคุณ แต่ก็ทันได้ยินลูกสาว เช กูวาร่า กำลังปลุกระดมพลังมวลชนให้ต่อสู้กับอำนาจอะไรนั่น" เขาแอบพรายยิ้ม
"เอ๊ะคุณ... ฉันไม่ได้มาปฏิวัตินะ" คนถูกแซวเริ่มเดือดร้อน
"ฮื่อ ใช่... คุณไม่ได้มาปฏิวัติ แต่รู้สึกจะทำงานได้ดีเกินไปนิด" เขารับใจเย็น
"เกินตรงไหนไม่ทราบ ตามระเบียบขององค์กรฉัน ไม่ได้มีเขียนห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่แวะคุยกับลูกจ้างที่เป็นผู้ลี้ภัยนี่นา"
"อืม แต่ผมก็คิดว่า... เค้าก็คงไม่สนับสนุนให้คุณมาสั่งสอนคนอื่นให้กระด้างกระเดื่องโดยใช่เหตุ จริงไหม?"
"นี่... คุณอาคเนย์" เนรัญเรียกเขาด้วยชื่อจริงเสมอแม้จะรู้แต่ครั้งแรกว่าเขามีชื่อเล่นให้เรียก "กระด้างกระเดื่องนะ มันเป็นคำที่ชนชั้นปกครองใช้เรียกเวลาชาวบ้านที่เคยเชื่องเปลี่ยนมาเป็นรู้วิธีโงหัวขึ้นจากความไม่รู้ที่ทำให้ตัวเขาเองต้องตกเป็นเบี้ยล่าง แต่ถ้าเรามองในมุมกลับจากมุมล่างแล้ว มันก็คือการปลดแอกคนจากภาพลวงตาต่างหาก"
"เฮ้อ... คุณก็ยังเหมือนเดิม..." อาคเนย์ถอนใจ... แต่ไม่เหนื่อยใจ "แต่สำหรับผมนะ ผมคิดว่าถ้าการปฏิวัติเป็นสิ่งจำเป็นล่ะก็ คุณไม่จำเป็นต้องไปเสี้ยมสอนใครหรอก เพราะถ้าคนเราถูกกดดันจริงๆ สุดท้ายแล้วถ้าเขาตัดสินใจได้เขาก็จะสู้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่เหมาะกับกาลและเวลา การไปพยายามยัดเยียดให้มันเร่งสุกงอมก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะหรอก จริงมั้ย"
ท่ามกลางสองสายตาที่มองประสานกันอย่างคุมเชิง... ลุงก่วยเยก็กลืนน้ำลายเอื้อก
"เอ่อ... ลูกพี่รันคร้าบ..." ลุงก่วยเยค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ
"อะไรละคะลุง?" หญิงสาวสะบัดเสียงถาม แต่สายตายังจ้องอยู่ที่อาคเนย์
"คือ... ผมขอไปทำงานต่อก่อนนะครับ..." คนเป็นล่ามเอ่ยขอตัวเสียงแหย เพราะชักทนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิไม่ไหว
"ก็เชิญสิคะลุง หนูไม่ได้ห้ามลุงนี่" เนรัญพยักหน้าแบบไม่ยี่หระ
"งั้นผมไปละคร้าบ เชิญคุณรันคุยต่อตามสบายครับ ไปนะครับพ่อ เอ้ย! ไปนะครับคุณทหาร ผมลาแล้วคร้าบ"
"ครับลุง... โชคดีนะครับ" อาคเนย์หันไปเอ่ยสุภาพให้ผู้สูงวัยแม้ว่าจะไม่ได้คุ้นเคยกับอีกฝ่ายมาก่อนแม้แต่น้อย ก่อนจะหันมาส่ายหน้ากับเนรัญเบาๆ "เห็นมั้ยคุณ ลุงเค้ากลัวเราสองคนเลย"
"ไม่นี่ ลุงแกต้องกลับไปทำงานต่างหาก" หญิงสาวเถียงแบบไม่ยอมรับข้อกล่าวหา "นี่ว่าแต่ คุณมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงมาที่นี่เนี่ย?"
"อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ทางหัวหน้าผมเค้าอยากแวะมาคุยกับหัวหน้าคุณอย่างที่แจ้งไว้นั่นล่ะ นานๆ ทีท่านจะแวะเข้ามาเยี่ยมลูกน้องในป่า พอทราบว่ามีองค์กรมาสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยไปอเมริกาก็เลยสนใจเข้ามาร่วมสังเกตการณ์"
"แล้ว...คุยเสร็จแล้วหรือไงคะ แล้วทำไมคุณถึงเดินเข้ามาถึงในที่นี้ได้?" เนรัญถามตรงๆ
"ก็... นึกได้น่ะว่า ยังไม่ได้ทวงหนี้ใครบางคนน่ะสิ เอ...ข้าวผัดปลากระป๋องกับน้ำอัดลมนั่นใครฝากผมซื้อก็ไม่รู้นะ"
จึ้กกกก....
เนรัญรู้สึกเหมือนชนักมาปักหลังอีกรอบหนึ่ง
"โธ่คุณ แค่นี้ก็ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลย มา...เดี๋ยวฉันจ่ายคืนคุณเองตอนนี้เลยดีไหมคะ เดี๋ยวแถมทิปให้เลยด้วยเอ้า" หญิงสาวว่าอย่างใจป้ำ ตอนนี้ถ้าทำอะไรเพื่อล้างหนี้ก้อนนี้ได้นะก็ยอมหมดล่ะ!
"เดี๋ยวก่อนครับ..." เสียงรั้งของอาคเนย์บ่งบอกความถือไพ่เหนือกว่า "จำไม่ได้เหรอครับว่าผมรอให้คุณเป็นฝ่ายเลี้ยงผมตอบแทนจะดีกว่า เอาไว้ก่อนก็ได้นะ ไม่ว่ากัน"
เนรัญเม้มปากอย่างขัดใจ "แหม... ยังไงคุณก็เจ้าหนี้นี่นา จะมาตั้งแง่ยังไงก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันมีงบให้คุณจำกัด มูลค่าห้ามเกินข้าวที่คุณซื้อมาให้ฉันด้วย"
"แหม... คงไม่ขนาดนั้นหรอกคุณ เงินเดือนพวกคุณนี่ก็ได้ข่าวว่าไม่น้อย เลี้ยงคืนนิดหน่อยคงไม่กระเทือนหรอกมั้งครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นรื่น
"นี่คุณ... ไปสืบทราบมาจากไหนว่าองค์กรไหนให้เงินเดือนกันเท่าไหร่ ขอบอกว่ามันไม่ได้มากมายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ พวกเราไม่ใช่องค์กรใหญ่อย่างยูเอ็นนะจะได้มีเงินเดือนสูงๆ น่ะ"
"ครับ ไม่มากสำหรับพวกคุณ แต่ยังไงก็มากกว่าราชการทหารจนๆ อย่างผมอยู่ดี"
งกจริงเชียวหมอนี่... เนรัญนึกเข่นเขี้ยวในใจ
อาคเนย์คลี่ยิ้ม เห็นอาการเดือดปุดๆ ของเธอเป็นเรื่องสนุก
"เอาล่ะ ผมไม่รบกวนเวลาคุณแล้ว แล้วก็ไม่ต้องเครียดมากนะครับ ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นก็ได้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว... ผมไม่คิดบุญคุณอะไรกับคุณหรอก อันนี้พูดจริง"
เนรัญสะดุดกึก มองเขาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ แล้วทำไมไม่พูดแต่แรกละยะ...
"ก็ขอบคุณนะคะที่วันนี้อุตส่าห์แวะมาเยี่ยมกัน แล้วเรื่องหนี้สินที่ติดค้างกันไว้น่ะ... ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันมันคนไม่ลืมว่าติดหนี้ใครไว้ ถ้ามีโอกาสรับรองจะคืนให้คุณแน่"
ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ดูออกว่ามีร่องรอยขบขันที่เห็นอารมณ์บูดบึ้งของอีกฝ่าย
"แล้วแต่คุณก็แล้วกันครับ ถ้าคุณเห็นเป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องว่าตามคุณไป แต่สำหรับผม... มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น" เขาทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจริงๆ "อ้อ...แล้วคุณก็ไม่ต้องห่วงนะ ผมน่ะอยู่รอบนอก ไม่ได้เข้ามาในแคมป์บ่อยๆ หรอก ไม่ต้องกังวลว่าจะได้เจอหน้าผมอีกง่ายๆ หรอกครับ"
เนรัญมองหน้าเขาเหมือนจะนึกสะอึก แต่ไหนแต่ไรมาแล้วสินะที่เธอไม่เคยญาติดีกับเขา... แต่อีกฝ่ายก็ยังวางเฉย อาการนิ่งสงบของเขายิ่งทำให้เนรัญตอกย้ำตัวเองว่า เธอชักจะทำตัวเหมือนนางร้ายในละครไปทุกขณะ...(ไม่ใช่นางเอกเลยสักกะนิด)
อาคเนย์จากไปโดยทิ้งให้เนรัญอยู่ในภวังค์นิ่งและเหวอ ลืมไปถนัดใจที่จะเอ่ยอำลากับดีๆ กับเขาสักคำในตอนนั้น เหลียวไปที่ร่างสูงที่พ้นประตูไปแล้วก็ใจหายวูบ...เพราะอยากจะเอ่ยขอโทษบ้างสักคำแต่ก็ดูจะสายไป
แต่ทันทีทีอาคเนย์ก้าวพ้นออกไป เรื่องราวในออฟฟิศเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะตอนนี้ร่างสองเพื่อนซี้ก็โผล่ออกมาจากคอกทำงานเพื่อถามไถ่ด้วยสายตาที่ปกปิดความอยากรู้ไว้ไม่มิด เป็นร่างสูงของเพศชายแต่จิตใจหญิงแท้ยิ่งกว่าเนรัญ ที่กรูกันเข้าถามอย่างระริกระรี้
“นั่นคุณทหารที่แวะเข้ามาเอาข้าวผัดให้แกเมื่อวานใช่มั้ยรัน ใครอ่ะ? เล่าให้เค้าฟังเดี๋ยวนี้เลยน้า" คนแรกอยากรู้จนตัวสั่น
“นั่นสิ เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับผู้ชายในเครื่องแบบด้วย เห็นเงียบๆ นี่ไม่เบานะตัว” คนที่สองแอบจิกสายตาใส่
เนรัญนับหนึ่งได้ถึงแค่สาม ก่อนจะตวัดสายตากลับผองเพื่อนอย่างเอาเรื่อง
"นี่ยัยกระเป๋า ยัยจุงโกะ! พวกแกจะไม่รู้สักเรื่องได้ไหมวะเนี่ย โอ้ย...ปวดกบาล"
ความคิดเห็น