คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท: ในวารวัน กับการพบพานของวัยเยาว์ (รีไรต์)
ปฐมบท: ในวารวัน กับการพบพานของวัยเยาว์
อากาศยามเที่ยงวันที่แดดจ้าและลมแรงเช่นนี้ ประตูมหาวิทยาลัยยังคงเปิดกว้างสู่ลานเล็กๆ และท่าเรือสำคัญที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาสัญจรกันจนดูวุ่นวาย ในจำนวนนี้กว่าครึ่งเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่เดินกันกระจัดกระจาย แม้จะแต่งกายกันอย่างหลายหลากทั้งชุดนักศึกษาและชุดลำลอง แต่ก็เข้าใจได้ว่าโดยมากเป็นนักศึกษาของสถาบันที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแห่งนั้นเอง
หญิงสาวในชุดนักศึกษาเข้ารูปแต่ก็ไม่รัดรึงเกินไปคนหนึ่งเดินลิ่วๆ เข้าสู่ประตูมหาวิทยาลัยอย่างเร่งร้อน จนไม่ได้ใส่ใจกับผมยาวสยายที่โดนลมแม่น้ำเจ้าพระยาพัดพรู อาศัยช่วงตัวค่อนข้างโปร่งทำให้เจ้าตัวซอกแซกตามทางเดินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนได้อย่างคล่องตัว พอพ้นช่วงตึกคณะสูงใหญ่ติดริมน้ำมาได้ เจ้าตัวก็ใช้มือสางผมลวกๆ ขณะจะเดินเข้าไป
“รัน... รันเอ้ย ฉันอยู่นี่เว้ย...”
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้เธอชะงักฝีเท้ากระทันหัน คนเรียกเป็นชายวัยเดียวกันอยู่ในชุดกางเกงยีนส์เก่าๆ และเสื้อยืดมอซอ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บุคลิกดูซอมซ่อนักเพราะใบหน้าเขาค่อนไปทางขาวตี๋และมีแว่นตากรอบบางเสริมความเก๋ของวงหน้าอยู่
“เออ เจอพอดี ไอ้อิน นี่ใช่มั้ยที่แกรอจะขอยืมจากฉัน เอาไปเลย” หญิงสาวเปิดถุงหิ้วบรรจุหนังสือเรียน ก่อนจะหยิบสมุดเลคเชอร์เล่มหนึ่งออกมาให้
“โห ขอบใจว่ะ นี่ถ้าไม่ได้แกฉันแย่เลยนะเนี่ย ขอบใจว่ะรัน” คนพูดทำหน้าซาบซึ้ง “เออ... วันนี้แกใส่ชุดนักศึกษามาเรียนด้วยเหรอ มีธุระอะไรรึเปล่าน่ะ ทำยังกับเป็นเด็กคณะบัญชีแน่ะ”
คนฟังก้มมองสารรูปตัวเองรอบหนึ่ง
“อ้าว ทำไมจะใส่ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ขี้เกียจรีดเสื้อก็เลยไม่ค่อยได้ใส่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันดันนึกอยากใส่ขึ้นมาเพราะพวกเราก็นักศึกษาปีสี่แล้วนะแก ใส่ๆ ซะก่อนเรียนจบจะไม่ได้ใส่”
“แหม เพิ่งจะเห่อใส่ชุดเอาตอนนี้ ช้าไปป่าววะ” เพื่อนหนุ่มแซว
“ทำไม ฉันใส่ชุดนักศึกษาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกฮึ แล้วแกมัวพล่ามอะไรอยู่ล่ะ ยังไม่ไปเรียนอีกเหรอ”
“เออว่ะ ไม่ได้การแล้ว” ฝ่ายชายยกนาฬิกาข้อมือมาดูหน้าตื่นๆ “ไปก่อนนะรัน วันนี้ไม่รู้จะเข้าวิชาอาจารย์ทนงทันรึเปล่า ฝากแกจดเลคเชอร์ไปก่อนนะ บาย”
พูดจบเขาก็วิ่งปรู้ดออกไปชนิดไม่เห็นฝุ่น เนรัญไม่ได้คิดอะไรมากเพราะนิสัยของอินธนาเหมือนคนทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างนี้อยู่เสมอแล้ว เขาเป็นหนึ่งในจำนวนเพื่อนไม่มากนักที่เธอมี แม้จะเรียนคนละสาขา แต่ก็ได้เจอหน้าอินธนาอยู่ในทุกภาคเรียนแม้จะไม่ได้ตารางตรงกันแป๊ะเสียทีเดียว และยังมีเพื่อนอีกบางคนที่อยู่คนละสาขาแต่เธอกลับเข้ากับพวกเขาได้ดี อาจด้วยนิสัยที่เอกเทศของเธอเองก็ได้ที่ทำให้สนิทกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆ มากกว่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ในสาขาวิชาที่ตัวเองสังกัด
เนรัญเตรียมฆ่าเวลาเพื่อรอเรียนชั่วโมงถัดไปในห้องคอมพิวเตอร์ของคณะ ในคาบเวลาต่อไปเธอจะไปเข้าวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยอันแสนเข้มข้นของอาจารย์ทนง ดอกเตอร์สติเฟื่องที่ปราดเปรื่องเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองและลึกซึ้งในเนื้อหาคอมมิวนิสต์ชนิดที่นักศึกษาเคยเป็นห่วงแกว่า หากประเทศไทยยังไม่เลิก พรบ. ป้องกันการกระทำว่าด้วยคอมมิวนิสต์แล้วล่ะก็... เหล่านักศึกษาคงได้หอบข้าวผัดกับน้ำโอเลี้ยงไปเยี่ยมแกที่มุ้งสายบัวเป็นแน่
พอก่อนถึงเวลาเล็กน้อย เนรัญก็ไปที่ห้องบรรยาย แน่นอนว่ายังไม่มีเพื่อนนักศึกษาคนใดไปถึง แต่ก็แปลกเพราะที่ระเบียงโล่งนั้นกลับมีร่างคนแปลกหน้าคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ก่อนแล้ว ที่เธอแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนแถวนี้ก็เพราะท่าทีเขาผิดไปจากนักศึกษาทั่วๆ ไปโดยสิ้นเชิง ก็นักศึกษาที่ไหนจะมาตัดผมสั้นเกรียน ยืนตรงแน่ว และสวมชุดเครื่องแบบอะไรสักอย่างที่เธอดูไม่ออกด้วยเล่า...
เธอคิดว่าเขาเป็นยามหน้าใหม่เลยไม่ได้สนใจนัก แต่พอจะเอื้อมมือไปบิดประตูก็ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยใกล้ตัวว่า
“ขอโทษครับคุณ นี่เป็นห้องบรรยายวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยของท่าน ดร.ทนง ใช่ไหมครับ?”
เนรัญหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจว่าเขาถามเสียงสุภาพเชียว
“ใช่ค่ะ แต่อีกราวๆ สิบนาทีโน่นล่ะถึงจะเริ่ม”
“แล้ว... เข้าไปรอในห้องได้รึยังครับ?” เขาถามอีก แต่ก็ดูทั้งเกร็งและขึงขัง
“ความจริงก็ได้แล้วนะคะ เพราะไม่มีใครใช้ห้องนี้อยู่แล้ว เอ่อ... คุณ... จะมาเข้าเรียนเหรอคะ?” เนรัญถามงงๆ เอ... คุณยามหน้าใหม่คนนี้ท่าจะรักการเรียนแฮะ
‘ยามหน้าละอ่อน’ ยิ้มจางแบบไม่รู้จะตีหน้ายังไงดีก่อนตอบอุบอิบว่า
“จะมานั่งฟังบรรยายครับ”
ไม่เพียงเท่านั้น ขณะที่เธอจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ก็ถูกตัดหน้าอย่างสุภาพด้วยการเปิดประตูให้เธอเป็นฝ่ายก้าวไปก่อนเสียด้วย ทำเอาเนรัญชักรู้สึกขนลุกเมื่อหันไปขอบคุณเขาเบาๆ... สงสัยว่าก่อนมาเป็นยามเคยเป็นดอร์แมนตามโรงแรมมาก่อนนะนี่
พอก้าวเข้ามาได้ เธอและเขาก็ต่างคนต่างอยู่ เนรัญนั่งอ่านหนังสือด้านหน้าห้องบรรยายขณะที่เขาก็ไปนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านหลังห้องอย่างสงบ และไม่นาน... เธอก็สังเกตได้ว่ามีคนแปลกหน้าก้าวเข้ามาอีกระลอก เป็นบุรุษอีกสองนายที่แต่งกายลักษณาการคล้ายกับพ่อคนแรกที่พูดคุยกับเธอเมื่อครู่นี้ เพียงแต่คนหนึ่งดูสูงอายุและคุณวุฒิ และอีกคนก็ดูจะวัยใกล้เคียงกับพ่อยามหน้าละอ่อนคนนั้น
เนรัญหันไปเห็นคนแปลกหน้าตั้งสามคนก็หน้าตื่น ตายละวาอยู่ในห้องคนเดียวเสียด้วย ออกไปดีไหมนะ...
เพียงครู่เดียวประตูห้องก็เปิดออกเหมือนระฆังช่วยชีวิต และผองเพื่อนที่คุ้นหน้าเธอก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาทำเอาใจชื้นไปมากโข
แต่กระนั้นการปรากฏกายของเหล่าบุรุษแปลกหน้าก็ทำให้เพื่อนนักศึกษาทุกคนที่ก้าวเข้ามาต้องเลิกคิ้วอย่างฉงนตามๆ กันไป โบว์... เพื่อนสาวที่คุ้นเคยกันดีถึงกับเข้ามากระซิบกระซาบถามเนรัญว่า
“เอ๊ะ แก...ที่นั่งด้านหลังห้องเรียนเรานี่มันพวกนักเรียนทหารรึเปล่านั่น”
“อ้าว! เขาไม่ใช่ยามหรอกเหรอ?” หญิงสาวหน้าเหลอหลา
“หล่อนจะบ้าเหรอ! มีตาหามีแววไม่” โบว์สะบัดสายตามองเธอครั้งใหญ่ “มาดนั่งตรงอย่างกับแท่งหินนี่มันเป็นพวกอยู่ในวินัยชัดๆ น่าจะเป็นนักเรียนทหารเสียมากกว่า นั่งอยู่ในห้องนี่กับเขาตั้งนานดูไม่ออกเหรอ”
เนรัญส่ายหน้าดิก ของอย่างนี้ถ้าเขาไม่บอกเธอก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้หรอกนะ
พอนักศึกษายิ่งเขามาเยอะขึ้น เสียงซุบซิบก็งึมงำเสียจนคนนั่งหลังห้องทั้งสามคนคงรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้าสายตา และสุดท้ายคนที่เข้ามาไขทุกอย่างให้กระจ่างคืออาจารย์เจ้าของวิชา
ดอกเตอร์ทนงเป็นชายไทยวัยสี่สิบเศษที่แต่งกายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอันเก่าแก่แห่งนี้ เพราะแกนิยมจะสวมแค่เสื้อโปโลเรียบง่ายกับกางเกงสีเข้มๆ เท่านั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้แกดูน่าเชื่อถือได้คือแว่นตาหนาเตอะที่ช่วยขับให้แกดูมีมาดเป็นนักวิชาการมากขึ้นเท่านั้น
“เชิญอาจารย์คมกริชมานั่งข้างหน้านี้ก็ได้นะครับ เด็กที่เรียนวิชาผมมีไม่มากหรอก”
ประโยคนั้นทำให้นักศึกษาทุกคนในห้องหันขวับไปมองด้านหลังเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่ผู้มีอาวุโสสูงสุดในสามคน ซึ่งคงจะมีนามว่า อาจารย์คมกริช จะตอบกลับมาเรียบๆ และสุภาพยิ่งว่า
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ทนง ผมกับเด็กๆ นั่งข้างหลังนี่ได้”
อาจารย์เจ้าของวิชาจึงพยักหน้า ก่อนจะแนะนำนักศึกษาทุกคนในห้องให้ได้ยินว่า
“เอาล่ะ วันนี้เรามีแขกพิเศษนิดหน่อยนะเพราะมีแขกคืออาจารย์คมกริชและลูกศิษย์อีกสองคน จากโรงเรียนนายร้อย จะมาขอร่วมฟังบรรยายวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยกับเราเป็นเวลาหนึ่งคาบเรียน ฉะนั้น...นักศึกษาทั้งหลาย ขอร้องห้ามทะลึ่งตึงตัง ห้ามโวยวาย ไม่อย่างนั้นเสียหน้าเค้าหมด”
จบคำสั่งของคนเป็นอาจารย์ เพื่อนักศึกษาหลายคนก็หันหน้ามาซุบซิบกันฮือฮาเหมือนว่าวันนี้จะมีของแปลกมาร่วมแจมในคลาสเรียน
อินธนาลอบเดินเข้ามาในห้องบรรยายในจังหวะที่คนเป็นอาจารย์ยังไม่ทันเริ่มดี แต่ทั้งนี้เขาก็แปลกใจอยู่โขที่เห็นอาจารย์เจ้าของวิชาปรากฏตัวได้ไวเกินคาด พอซุบซิบถามเนรัญ ก็ได้คำตอบว่ามีแขกแปลกหน้ามาเยือน บรรยากาศในห้องบรรยายจึงเกิดภาวะครึกครื้นเป็นพิเศษ
และในเมื่อหัวข้อการสอนในวันนั้นคือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังยุคประชาธิปไตย บทบาทของทหารและการเมืองจึงเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะพัฒนาการของการเมืองไทยยุคใหม่นี้มีบทบาทของสถาบันกองทัพเกี่ยวข้องด้วยเสมอ พร้อมตั้งคำถามกับนักศึกษาว่า แต่ละคนคิดว่าเหตุการณ์ทางการเมืองใดมีความสลักสำคัญในความคิดตัวเอง
หลายคนก็ตอบต่างๆ กันไป แต่อินธนาซึ่งแอบมีความเฟื่องอยู่ในตัวไม่น้อย ก็ตอบปิดท้ายกับคนเป็นอาจารย์ว่า
“สำหรับผมนะฮะอาจารย์ ถึงจะเกิดไม่ทัน แต่ผมก็คิดว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา มันยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน จบลงอย่างสวยงามเพราะเหมือนเป็นชัยชนะประชาชน ส่วน 6 ตุลา มันจบลงอย่างโหดร้ายไปหน่อยที่มีนักศึกษาถูกฆ่าอย่างทารุณ ส่วนพฤษภาทมิฬก็เป็นม็อบมือถือของคนชนชั้นกลาง ก็จบสวยเหมือนกันล่ะ แต่ผมว่า 14 ตุลามันเป็นตำนานไปแล้ว”
“ขอบคุณมาก อินธนา” อาจารย์ทนงดีดนิ้วเปาะแล้วหย่อนก้นลงนั่งกับโต๊ะ “ความจริงทุกเหตุการณ์ คุณก็จะเห็นว่ามันคือการลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐของประชาชน ซึ่งบางครั้งก็สำเร็จเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ดี 14 ตุลาเนี่ยมันเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญระดับมาสเตอร์พีซ คุณจะเห็นว่าทุกคนจะยกย่องมันในแง่ที่ว่า เป็นการลุกขึ้นต่อสู้ของเด็กวัยเรียนอันบริสุทธิ์จริงๆ”
ทุกคนในห้องนิ่งฟังตามอย่างตั้งใจ
“แต่ถ้าจะให้เรามองถึงอำนาจปกครองจริงๆ 14 ตุลาก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเมืองเท่านั้น แม้ขับไล่ทรราชได้ แต่อำนาจทหารก็ยังคงพัวพันกับการเมืองอยู่เสมอ เอาล่ะผมขอข้าม 6 ตุลาไปก่อนเพราะบทบาททหารไม่ชัด แต่ผมขอพูดถึงบทบาทของทหารที่ดำรงอยู่จนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งกับการเมืองไทย”
คราวนี้...บุรุษทั้งสามนายด้านหลังมีท่าทีตั้งใจฟังยิ่ง
“แม้นายพลแม็คอาเธอร์จะพูดไว้ว่า ทหารที่แท้จริงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความจริงจะเป็นไปได้ และในบริบทการเมืองของประเทศแถบนี้นั้น...ทหารมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองทั้งนั้น ดูอย่างประเทศเพื่อนบ้านเราคือพม่าเป็นตัวอย่าง นั่นคือทหารอาชีพการเมืองจริงๆ เลย และคุณก็คงเห็นแล้วว่า...ประเทศที่ปกครองด้วยทหารในโลกนี้นั้น แทบไม่มีประเทศไหนเรียกว่า...ก้าวหน้าในทางประชาธิปไตยเลย”
เนรัญกระตุกยิ้ม... อาจารย์นี่ช่างกล้าแฮะ ป่านนี้ด้านหลังห้องคงจะนึกอยากกินหัวแล้วมั้ง
“ว่ากันด้วยสภาพเศรษฐกิจ หลังเหตุการณ์ตุลาช่วงนั้นประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมไปทุกที อาจกล่าวได้ว่าช่วงพฤษภาทมิฬคือยุคแห่งการเติบโตของชนชั้นกลางที่พัฒนามาจากยุคตุลา พวกเขาเริ่มมีบทบาททางสังคมเพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ส่วนทหารก็กลายเป็นสถาบันที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ทหารที่เคยมีอำนาจและยังอยู่ในวังวนของตัวเองจึงเริ่มอ่อนแอลงจากการเมือง”
อาจารย์ทนงปรายตามองทั่วห้อง และไปหยุดที่ด้านหลัง
“ดังนั้น จุดจบของการขับไล่ผู้นำทหารจากการเมืองในช่วงพฤษภาทมิฬ จึงเป็นเสมือนจุดหักเหครั้งสำคัญของอำนาจทหารจากการเมืองไทย ที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจตลาดทุนนิยมที่กำลังครองระบอบการเมืองและการทหาร” อาจารย์ทนงพักจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายอย่างจงใจว่า “แต่... ก็ไม่ได้หมายความว่า ทหารจะไม่มีอำนาจก่อรัฐประหารอีกในทางการเมืองไทย คุณคิดอย่างนั้นไหมครับ? อาจารย์คมกริช”
อึ้ง... นักศึกษาทั้งชั้นเรียนถึงกับเหวอเมื่อคนเป็นอาจารย์ของพวกตนกระตุกหนวดเสือถามฝ่ายทหารเอาโต้งๆ ผู้เป็นอาจารย์ทหารมีสีหน้าหนักใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็โดนโยนเผือกร้อนมาให้ ได้แต่ตอบอ้อมๆ แบ่งรับแบ่งสู้ว่า
“เล่นถามกันอย่างนี้คงตอบไม่ถนัดนะครับ...อาจารย์ทนง มันคงต้องดูบริบทอื่นๆ ประกอบกันด้วย”
“ขออนุญาตครับ!”
จู่ๆ เสียงทุ้มจัดหลังห้องก็ดังขึ้นเรียกร้องความสนใจของทุกคนในห้อง เนรัญกลับเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว เพราะเห็นคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นพ่อยามหน้าละอ่อนยกมือขึ้นขอแสดงความเห็น ซึ่งแม้แต่อาจารย์ทนงเองก็คาดไม่ถึงว่าคนเป็นนักเรียนทหารจะกล้าลุกขึ้นพูด
ชายหนุ่มคนนั้นลำตัวตั้งตรง มองเพ่งมาตรงหน้าและเอ่ยอย่างชัดถ้อยคำยิ่งว่า
“คำถามเมื่อสักครู่ของคุณ ผมขอตอบในความคิดผมว่าโอกาสที่ทหารจะปฏิวัตินั้นมีน้อยมากในปัจจุบัน เว้นแต่จะมีปัจจัยเกื้อหนุนจริงๆ เท่านั้น เพราะทหารไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง และอย่างที่อาจารย์ว่า...ทหารอาชีพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา”
น่าแปลกที่คนอ่อนวัยกว่าเสียอีกกลับกล้าลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันตนเอง คงเป็นเพราะเขายังเป็นนักเรียนหนุ่มเลือดร้อน
“โอ้... ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ คุณชื่ออะไรนะ? ขอโทษที” อาจารย์ทนงพยักหน้าอย่างสนใจ
“อาคเนย์ ครับผม” คำตอบดังฟังชัด และยังต่อท้ายอีกด้วยว่า “สำหรับผม ในยามบ้านเมืองระส่ำระสาย สถาบันทหารย่อมทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ประเทศโดนภัยคุกคาม เราจึงต้องยื่นมือเข้ามาปกป้องบ้างเมื่อจำเป็น ผมว่าปัจจุบันทหารก็เหมือนอำนาจที่สามที่จะถูกดึงเข้ากระแสการเมืองเมื่อถึงคราวฝ่าทางตัน แต่พอทุกสิ่งสงบ... ทหารก็จะถูกเขี่ยออกจากการเมืองอย่างไร้ค่า”
“อืม...” เสียงนักศึกษาหลายคนพึมพำอย่างจะเห็นด้วย
“ขออนุญาตเหมือนกันค่ะ!”
เพื่อนนักศึกษาในห้องเบิกตากว้างเป็นคำรบที่สองเมื่อเห็นเนรัญยกมือขึ้นพร้อมลุกขึ้นแบบไม่แคร์สายตาใคร อินธนาเองถึงกับอ้าปากค้างที่เพื่อนสาวข้างกายเอี้ยวตัวไปทางนักเรียนในเครื่องแบบด้วยสายตาท้าทาย
“แต่คุณก็อย่าลืมนะคะว่า ที่ผ่านมาในประวัติการเมืองไทยสมัยใหม่ ประชาชนไม่ได้ขอให้ทหารไปยุ่งกับการเมือง ช่วงก่อนพฤษภาทมิฬนั้นทหารเข้ามาทำรัฐประหารเอง ส่วนภัยคุกคามจากภายนอกที่คุณว่าน่ะมันห่างไกลเกินไป ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่น่ะ ศัตรูของทหารคือประชาชนภายในด้วยซ้ำ”
ประโยคนั้นของเธอทำให้เขาหน้าหงายไปมิใช่น้อย แต่ตาต่อตาทั้งสองคู่ก็ยังผสานกันอย่างไม่ประนีประณอม
“ขอโทษเถอะครับคุณ” เสียงเขายังคงสุภาพและมีแววว่าใช้ความอดทนยิ่ง “แล้วที่บรรพบุรุษเรารักษาดินแดนได้จนทุกวันนี้ คุณจะบอกว่าไม่ใช่เพราะทหารหรือครับ?”
เนรัญคลี่ยิ้ม แต่ก็เป็นยิ้มที่เชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
“ก็คงจะบอกอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากนะคะ คุณอย่าลืมว่าทหารอาชีพเพิ่งเกิดสมัยรัชกาลที่ห้า ก่อนนั้นการรบโบราณก็จะเป็นการเกณฑ์ไพร่...ก็คือชาวบ้านทั่วไปไปออกรบ แล้วการเกิดกองทัพสมัยรัชกาลที่ห้า ก็เพื่อรักษาความสงบภายใน เพื่อปราบกบฏตามหัวเมืองที่แข็งข้อกับส่วนกลาง ยิ่งหลัง 2475 คุณคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทหารมีบทบาทในการเมืองตลอด โดยเฉพาะการปราบปรามประชาชนที่แข็งข้อกับอำนาจรัฐบาลทหาร เอาเข้าจริงๆ คำขวัญทหารที่ว่า ‘เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน’ นั้น คำสุดท้ายเพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาทีหลังต่างหาก ไม่ได้มีมาแต่แรก”
“โห...” เสียงเพื่อนบางคนในห้องเรียนอ้าปากค้าง
อินธนารีบคว้าตัวเพื่อนสาวเพื่อให้คุณนั่งลงแต่โดยดี นั่นล่ะ...เนรัญจึงยอมยุติก่อนเรื่องจะบานปลาย เธอนั่งกอดอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อาจาย์เจ้าของวิชามีท่าทีปวดเศียรเวียนเกล้าน้อยๆ ที่ลูกศิษย์เฮี้ยวได้ใจ
“เอ่อ...ขอบคุณสำหรับความเห็นคุณนะเนรัญ แล้วก็...ขอโทษนะครับอาจารย์คมกริช ลูกศิษย์ผมพวกนี้อาจดูดื้อด้านไปบ้าง แต่ในห้องเรียนเราเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พูดได้คิดเต็มที่ครับ”
“ตามสบายครับ ผมว่ามันก็เป็นบรรยากาศทางการศึกษาอีกแบบนึงที่...น่าชม” อาจารย์คมกริชรับคำ “ได้ยินว่าที่แห่งนี้มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ท่าจะจริงนะครับ”
“แต่ผมว่าเด็กที่มาเรียนกับผมนี่คงมีแนวโน้มจะเพี้ยนเหมือนอาจารย์มากกว่าครับ” อาจารย์ทนงเปลี่ยนสายตามายังศิษย์วัยหนุ่มสาวในห้อง “ใช่ไหมละ เด็กรุ่นพวกเธอนี้มีใครมั่งเรียนเรื่องประวัติศาสตร์การเมือง ทุนนิยม สังคมนิยม เด็กสมัยนี้ต้องทันโลกเทคโนโลยี ต้องมีแบรนด์เนมติดตัว จริงมั้ย?”
คราวนี้โบว์ นักศึกษาสาวที่เป็นสาวกแบรนด์เนมแเกิดอาการร้อนตัวขึ้นทันที
“แหม... อาจารย์ก็... โลกมันยังเปลี่ยนอยู่ตลอดเลยนี่คะ หนูล่ะเบื้อ...เบื่อกับพวกที่ชอบพูดว่านักศึกษาสมัยนี้ไม่มีจิตอาสาเหมือนสมัยโน้น ก็จะไปเหมือนกันได้ไงล่ะค่ะในเมื่อมันคนละเวลา คนละสมัย สังคมยังเปลี่ยนไปเลย นักศึกษาก็คนนะคะไม่ใช่โบราณวัตถุจะได้คงทนอยู่กับที่ เด็กสมัยนี้ก็ต้องปรับเปลี่ยนกันบ้าง”
เนรัญนึกขำน้อยๆ แต่ก็พยักหน้าให้กับเพื่อนสาวคนดังกล่าว บรรยากาศของห้องเรียนจึงค่อยคลายอุณหภูมิลงมามากทีเดียว
“อ้อ... พูดได้ดีคุณภารินธร” อาจารย์ทนงพยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนจะยืดตัวตรงและเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย...แต่ทรงความหมาย
“ในทุกยุคทุกสมัย พลังของคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างสังคมใหม่เป็นที่คาดหวังของสังคมเสมอมา อาจเพราะถ้าเป็นวัยอย่างผมมันคงหมดไฟไปแล้วล่ะ โลกของความจริงมันมักไม่เป็นอย่างที่เราหวัง เมื่อคุณเติบโต... เรี่ยวแรงของคุณจะหมดไปกับการผ่อนบ้านผ่อนรถ ดูแลครอบครัว คุณอาจไม่มีเวลาคิดถึงความทุกข์ยากของคนรากหญ้าหรอกเพราะคุณก็ต้องเอาตัวเองให้รอด แต่ด้วยวัยนักศึกษาอย่างคุณ... คุณยังไม่มีภาระ คุณเพิ่งเปลี่ยนผ่านจากความฝันในวัยเด็กและอยู่กึ่งกลางกับความเป็นผู้ใหญ่ คุณจึงเป็นวัยที่มีพลังที่สุดเพราะคุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยซ้ำไป”
นักศึกษาทุกคนล้วนนิ่งฟังเพราะคนเป็นอาจารย์มีท่าทีจริงจังขึ้น และน้ำเสียงของแกก็เอ่ยอย่างคนผ่านโลกกว้างมาโชกโชน
“คุณไม่ต้องแปลกใจเลยที่เมื่อหลายสิบปีก่อน เช กูวาร่า จึงปฏิวัติโลกในแบบของเขาจนกลายเป็นอมตะท้ายรถสิบล้อ จิตร ภูมิศักดิ์ จึงกลายเป็นปัญญาชนแหกคอกจนต้องเข้าป่าและตายอย่างเดียวดาย หรือคนหนุ่มสาวยุคตุลาที่สร้างประวัติศาสตร์สงครามประชาชน พวกเขาต่างมีในสิ่งเดียวกันคือความหวังของวัยหนุ่มสาวที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่มีปัญหาให้เป็นไปตามอุดมคติที่พวกเขาใฝ่ฝัน แล้วพวกคุณก็ไม่ต้องไปเทิดทูนให้พวกเขาเป็นตำนานหรอกนะ เขาเพียงทำในสิ่งที่เขาอยากทำเท่านั้น พวกคุณก็เหมือนกัน ลองถามตัวเองให้ดีว่าท่ามกลางโลกทุนนิยมใบนี้ คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร ใฝ่ฝันจะทำอะไร เมื่อรู้แล้วก็อย่าลังเลที่จะทำเพื่อสิ่งนั้น ก่อนที่คุณจะหมดไฟแล้วละทิ้งตัวตนไว้กับกรอบของสังคมที่จำกัดเราเอาไว้”
ความคิดเห็น