ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่5 นินทาว่าร้าย(2/2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      9
      2 พ.ย. 66

    หอเสี้ยวบุปผาเป็นโรงเตี้ยมชื่อดังของแคว้นเยี่ยน แม้มิใช่โรงเตี้ยมที่เลิศหรูที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของแว่นแคว้นเช่นเดียวกันหอชมสวรรค์ แต่ก็เป็นโรงเตี้ยมที่ดีไม่แพ้กัน อาคารสร้างขึ้นอย่างประณีต ตบแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าก็มองออกได้ว่าใช้วัสดุอย่างดีที่สุดในการตบแต่ง ทั้งอาหารเลิศรส สิ่งบันเทิงใจชั้นดี ทั้งบรรยากาศที่สบาย ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันอย่างประหลาดชนิดหนึ่งทำให้หอเสี้ยวบุปผานี้ได้รับความนิยมในแคว้นเยี่ยนเป็นอย่างยิ่ง และยังโด่งดังไปไกลยังงต่างแคว้นถึงบรรยากาศที่ครื้นเครงตลอดเวลาของโรงเตี้ยมแห่งนี้

    ว่ากันว่าหากต้องการทราบความเป็นไป หรือสถานการณ์ปัจจุบันในแคว้นเยี่ยน การมายังหอเสี้ยวบุปผาแห่งนี้จะได้ความมากกว่าที่ใดเป็นไหน ๆ

    เสิ่นหนงสังเกตทุกอย่างรอบตัว ประเมินทุกอย่างโดยเก็บทุกรายละเอียดมาใส่ใจ

    ได้ยินมาว่าคนบางคนมาที่นี่โดยเฉพาะเพื่อฟังมาเล่าเรื่องสนุก คนบางคนก็มาที่นี่เพื่อฟังเรื่องสนุกของผู้อื่นโดยเฉพาะ จบจากเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องนี้ เบื่อเรื่องนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้ คุยกันเบื่อก็มีงิ้วสนุกให้ชม หากเบื่องิ้วก็มีโรงพนันด้านหลักให้เข้าไปเดิมพัน หิวก็มีอาหารเลิศรส สุราชั้นยอดมาปรนเปรอ เมามายกลับเรือนไม่ไหวก็ยังมีห้องพักมากมายรับรองอีกต่างหาก

    ช่างเป็นสถานที่ที่สามารถใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินลืมเลือนเวลาและผลาญเงินเป็นอย่างมากโดยที่ไม่รู้ตัว

    “เป็นสถานที่เข้าท่าทีเดียว”

    เสิ่นเหวย ผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะเอ่ยขึ้น เขาปล่อยตัวตามสบายคล้ายคุณชายเจ้าสำราญ ด้านข้างมีบุรุษผู้หนึ่งใบหน้าละม้ายคล้ายกันติดจะเจ้าเล่ห์มากกว่า อายุไม่น่าจะต่างกันมานั่งอยู่ข้าง ๆ ด้านข้างยังมีพี่ชายของเสิ่นหนง นามว่าเสิ่นหนิงผู้ไม่ค่อยชอบเจรจานั่งประกบ

    “ก็สมราคาคุยดี” เสิ่นคุนตอบกลับญาติผู้พี่อย่างงไม่ใส่ใจมากนัก เขาหันมาใส่ใจญาติผู้น้องอายุน้อยที่สุดที่สำรวจทุกอย่าง อย่างอยากรู้อยากเห็น

    “หน่งหนงหิวหรือไม่ จะสั่งอะไรมาทานเล่นก่อนดีหรือไม่”

    “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” เสิ่นคุนยกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ เขาสั่งขนมทานเล่นมาให้เสิ่นหนงยาวเหยียด สั่งชาชั้นยอดมาให้น้องน้อยโดยเฉพาะ ก่อนสั่งอาหารสองสามอย่างและสุราอีกหนึ่งกา

    โรงเตี้ยมแห่งนี้มีแขกเหรื่อมากมายเข้าออกเป็นประจำทุกวัน การจองห้องส่วนตัวเป็นเรื่องที่ต้องชิงจังหวะเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาพลาดไปเพียงนิดจึงไม่ได้ห้องส่วนตัวอย่างที่พวกเขาต้องการนัก ทว่าหลงจู๊ก็ได้เลือกมุมสงบผู้คนไม่พลุกพล่านมุมหนึ่งให้กับคณะของพวกเขาแทน

    เสิ่นหนงจึงมองทุกอย่างได้อย่างเต็มตาไม่เคอะเขินมากนัก สายตาของดรุณีน้อยหยุดอยู่บนมุมหนึ่งของโต๊ะด้านข้าง

    จากโต๊ะที่เสิ่นหนงและพี่ ๆ นั่งอยู่ เยื้องไปทางด้านขวาของนาง สตรีร่างสูงโปร่งนางหนึ่งกำลังเพลิดเพลินกับอาหารบนโต๊ะของนางอย่างเต็มที่ ใบหน้างดงามสะกดวิญญาณ ดวงตาเจิดจ้าเป็นประกาย กับยิ้มที่สว่างสดใสตรึงสายตาเสิ่นหนงชะงัด

    ทั้งที่เพียงสวมชุดผ้าฝ้ายคุณภาพกลาง ๆ บนร่างไม่ได้ประดับเครื่องประดับมากมาย นางปล่อยตัวเป็นอิสระอย่างธรรมชาติ ไร้จริตของสตรีชั้นสูงทว่าชวนมองและดึงดูดเสียยิ่งกว่าสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวงที่นางเคยเห็นมาทั้งชีวิตเสียอีก

    คล้ายรับรู้ได้ถึงการเพ่งมองอย่าเสียมารยาท สตรีผู้งดงามเป็นธรรมชาติผู้นั้นก็หันมามองด้วยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเป็นดรุณีน้อยที่อายุไม่น่าจะเกินสิบสี่สิบห้าปีนางจึงแย้มยิ้มตอบเป็นการทักทาย

    เสิ่นหนงหลบสายตาโดยพลัน นางงรู้สึกอายเล็กน้อยที่ถูกจับไว้ว่าแอบมองผู้อื่นอย่างเสียมารยาท

    “มีอะไรหรือ” สตรีผู้นั่งตรงข้ามกับสตรีผู้งดงามเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาหารผิดปกติ นางจึงหันมองไปยังทางที่คนตรงหน้าส่งยิ้มให้ แล้วพบว่าเป็นเด็กหญิงผู้หนึ่งที่เสมองไปทางอื่นในหน้าแดงเรื่อขึ้นนิดๆ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

    เด็กหญิงผู้นี้ผมดำขลับดวงตาคมกริบใสกระจ่าง ผิวพรรณนวลเนียน ตา จมูก ปาก เข้ารูปรับกันเป็นอย่างดี ติดที่ดวงตาดูลุ่มลึกไม่สดใสสมวัยซึ่งนั้นก็ไม่ทำให้นางหม่นแสงลงแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มเสน่ห์บางอย่างให้กับแม่นางน้อยผู้นี้

    ดูจากลักษณะภายนอกแล้วเด็กหญิงน่าจะยังไม่พ้นวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ ทว่าก็ฉายประกายโดดเด่นเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงยามเป็นสาวเต็มวัยก็ย่อมรู้ได้ว่านางต้องงามเป็นเอก เป็นอันดับหนึ่งในแว่นแคว้นเป็นแน่

    จุ๊ ๆ ๆ ไม่รู้ว่าเด็กผู้นี้จะเป็นวาสนาของผู้ใดกันหนอ

    นอกจากนี้ บนโต๊ะเดียวกันของดรุณีน้อยยังมีบุรุษหนุ่มลักษณะดี ใบหน้าคล้ายกันสามนาย ไม่ต้องใช้ความคิดให้มาก ก็ย่อมรู้ได้เองว่าเป็นคุณหนูคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์อย่างแน่นอน

    เพียงแต่ว่า

    ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าในแคว้นเยี่ยนมีตระกูลไหนที่มีลูกหลานลักษณะดีเช่นนี้อยู่ด้วย

    ว่าไปแล้วคุณหนูคุณชายกลุ่มนี้ก็ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ว่าคิดไม่ออกว่าเคยรู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยพบกันตอนไหน

    ระหว่างที่เจียวลู่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ทำท่าตรึกตรอง ทบทวนสารบัญชนชั้นสูงแคว้นเยี่ยนในหัวเองอย่างคิดไม่ตก คุณชายผุ้มีใบหน้าติดจะเจ้าเล่ห์จากโต๊ะด้านข้างก็ส่งเสียงขึ้นมาก่อน

    “ต้องขออภัยแม่นางทั้งแทนน้องสาวของข้าด้วยที่เสียมารยาท นาง นางเพียงรู้สึกชื่นชมท่านจึงเผลอเสียกิริยาออกไป” ขณะที่พี่ชายกล่าวเด็กหญิงที่ก้มหน้าก็ช้อนตาขึ้นมามองเล็กน้อย

    “ขออภัยเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างเอียงอาย

    ว่านเยว่เห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มเจิดจ้า

    “ช่างเถิด ๆ ข้างดงามถึงเพียงนี้ไปไหนมาก็ถูกจับจ้องเช่นนี้ตลอด รู้สึกชินอยู่บ้าง ทุกท่านเชิญยลตามสบายเถิด” นางชื่นชมตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังกล่าวอนุญาตให้มองได้อย่างโจ่งแจ้งเสียอย่างนั้น

    บุรุษทั้งสามบนโต๊ะยิ้มแข็งค้างไปแล้ว เจียวลู่เองก็มีสีหน้าละเหี่ยใจอย่างชัดเจน มีเพียงเสิ่นหนงที่แย้มยิ้มเต็มหน้า

    “ได้พบคนงาม ใจกว้างเช่นแม่นางนับเป็นวาสนาของหน่งหนงแล้ว ไม่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” เสิ่นหนงยกน้ำชาขอขมาที่ตนเสียมารยาท

    ว่านเยว่ส่งยิ้มตอบแล้วจึงสนใจอาหารบนโต๊ะตนเองต่อ นางคีบอาหารบนโต๊ะทานอย่างคล่องแคล่ว ทานหนึ่งคำก็ออกท่าทางยินดี ชื่นชอบ เปรมปรีดิ์ ทั้งกล่าวชื่นชม ทั้งเจือความคิดถึงเหมือนไม่ได้ทานมานานแล้ว ทว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปอย่างธรรมชาติและชวนมองเป็นอย่างยิ่ง

    “นี่ ๆ ได้ยินเรื่องตำหนักเว่ยอ๋องหรือไม่”

    ระหว่างที่ว่านเยว่และเจียวลู่กำลังสนุกกับการทานอาหารบนโต๊ะ และกลุ่มของเสิ่นหนงก็เริ่มที่จะสนใจอาหารบนโต๊ะของตนเองบ้างแล้ว ไกลออกไปจากจุดของทั้งสองกลุ่มตรงกลางงลานกว้างของโรงเตี๊ยม ก็มีคนผู้หนึ่งเปิดเรื่องของเว่ยอ๋องขึ้นมา

    เมื่อคำว่า ‘เว่ยอ๋อง’ ถูกกล่าวออกมา คนเกือบทั้งหมดก็พุ่งความสนใจมายังเรื่องนี้ทันที

    แม้แต่กลุ่มของเสิ่นหนงเองก็เช่นนั้น แต่กระนั้นพวกเขาก็ยัง ‘แอบ’ ฟังอย่างเป็นธรรมชาติ

    เว้นแต่ว่านเยว่ที่ยังคงสนใจกับอาหารเลิศรสของตนเองอยู่เช่นเดิม

    “อะไรหรือท่านจินเป่า ท่านได้เรื่องอะไรมาใหม่ก็รีบๆ เล่ามาเถิด”

    “ใช่ ๆ อย่าช้า”

    “ก็เมื่อหลายวันก่อนน่ะซิ...คุณหนูตระกูลเจียงไปส่งของขวัญแทนไทเฮากับบิดา แต่ว่าพระชายาก็พูดจาทำร้ายจิตใจคุณหนูเจียงซู่สาระพัด ทั้งยังพลักนางล้มด้วย” จินเป่ากล่าวออกรสออกชาติ

    “หา!!/ว่าอย่างไรนะ!/เรื่องจริงหรือนี่!” เกิดเสียงอื้ออึงดังไปทั่วหอเสี้ยวบุปผา

    “คุณหนูเจียงซู่ผู้น่าสงสารล้มพับ นางร้องไห้น้ำตาอาบสองแก้มออกจากจากตำหนักเว่ยอ๋องเชียวนา”

    “เกิดอะไรขึ้นเหตุใดต้องทำร้ายกันถึงเพียงนั้นเล่า” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นทำทีเป็นสงสัยทั้งที่มีเป้าล่อให้คนโจมตีพระชายาของเว่ยอ๋อง

    “หื้อ! นางอาจจะโกรธแค้นละมั้ง ได้ยินว่าวันที่ไปคารวะไทเฮา ไทเฮาไม่ถูกใจนางและเจ็บใจแทนหลานสาวจึงทำร้ายนางจนได้แผลเชียว นางแก้แค้นไทเฮาไม่ได้เลยเอาอารมณ์มาลงที่คุณหนูเจียงเป็นแน่”

    “ฮ้าย! นั่นไม่ใช่ไม่รู้จักให้อภัย ไม่รู้จักยับยั้งช้ำใจหรอกหรือ”

    “ข้าว่านางต้องทั้งอิจฉาและหึงหวงแน่นอน”

    “ก็นะคุณหนูตระกูลเจียงผู้นั้นผู้ใดบ้างไม่ทราบว่านางเพียบพร้อมเพียงใด ทั้งรูปโฉมทั้งศาสตร์ศิลป์นางอยู่เหนือพระชายาทุกอย่าง นางจะอิจฉาจะหึงหวงก็ไม่แปลกหรอก”

    “เป็นสตรีที่ใจคอคับแคบโดยแท้”

    คนในโรงเตี๊ยมยังคงใส่ความคิดเห็นขอตนเองในเรื่องของคนอื่นอย่างออกรสชาติและสนุกสนาน

    เสิ่นหนิงที่นิ่งเงียบมานานแล้วยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

    “พอจะได้ยินมาว่าที่นี่เป็นดินแดนที่ค่อนข้างเสรี แต่ก็ไม่นึกว่าจะเสรีถึงขนาดนินทาชนชั้นปกครองได้อย่างเสรีเป็นปกติเช่นนี้...น่าสนใจไม่น้อย”

    ที่บ้านเกิดของพวกเขาเพียงการกล่าวถึงชื่อของเชื้อพระวงศ์ออกมาโดยตรงก็เพียงพอที่จะหาเรื่องให้โดยตัดหัวทั้งตระกูลได้แล้ว

    แม้ว่าเชื้อพระวงศ์ผู้นั้นจะสวะแค่ไหนก็ตาม

    ว่านเยว่ได้ยินเข้าก็หัวเราะร่วนจนเกือบพ่นหมูน้ำค้างที่ยังกัดคาปากอยู่

    ความผาสุกของราษฎรคือพันธกิจของตระกูลเยี่ยน หากความสุขของราษฎรจะเป็นการจับกลุ่มคุยเรื่องในบ้านในมุ้งของราชวงศ์ เช่นนั้นก็นับได้ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีเยี่ยมล่ะมั้ง

    “เสียดายที่คนหนุ่มเช่นคุณชาย น่าจะไม่มีโอกาสไปที่แคว้นเว่ย ที่นั้นถึงจะเรียกว่าแดนเสรีโดยแท้” ว่ายเยว่เอ่ยยิ้มแย้ม

    แคว้นเยี่ยนในยุคสมัยของเยี่ยนหลงฮ่องเต้มีความก้าวหน้าในหลาย ๆ อย่าง เสรีในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็ยังไปไม่ถึงจุดที่บรรพบุรุษปูทางไว้ให้

    ก่อนหน้านี้ต้าจงมีดินแดนหนึ่งที่โอบรับผู้ถูกทอดทิ้ง เป็นบ้านของผู้ที่ไม่ถูกยอมรับ เป็นสวรรค์ของเหล่าคนบาปที่ใต้หล้าปฏิเสธ แคว้นเว่ยคือสถานที่แบบนั้น

    ดินแดนของเสรีชนแห่งนั้นเคยมีอยู่จริงในต้าจงอันกว้างใหญ่นี้ ก่อนที่จะถูกเจ้าสารเลวอู่เหวินฉีกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี แม้ปัจจุบันก็ยังไม่อาจพลิกฟื้นได้

    “แม่นางเคยไปที่แคว้นเว่ยด้วยหรือขอรับ” ได้ยินคำว่าแคว้นเว่ย สี่พี่น้องตระกูลเสิ่นก็สนใจขึ้นมาโดยพลัน แต่เป็นเสิ่นเหวยที่เอ่ยต่อบทสนทนา

    “สมัยสาว ๆ มีโอกาสได้ๆ ไปเยือนบ้าง”

    กล่าวให้ถูกคือแคว้นเว่ยเป็นบ้านหลังหนึ่งต่างหาก

    “แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว สมัยสาว ๆ อะไรกัน” เสิ่นเหวยแก้ไขให้ นางน่าจะหมายถึงเช่นนั้นมากกว่า

    เป็นเจียวลู่หัวเราะร่วน สมัยยังสาวนั่นแหละถูกต้องแล้ว แม้คนตรงหน้าท่านผู้นี้จะมีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากสาวงามอายุน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นสาววัยกลางคน วัยน่าจะใกล้เคียงกับมารดาของคุณชายเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ...หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย

    “อ้อ...เป็นเช่นที่คุณชายกล่าว จากบ้านเกิดไปนาน จึงหลงลืมภาษาไปบ้าง ขออภัย ๆ”

    กล่าวสนทนาลมฟ้าอากาศต่อกันเล็กน้อย ทั้งสองกลุ่มจึงหันมาสนใจโต๊ะของตนเองเช่นเดิม

    ทว่ากลางลานโล่งที่ตั้งโต๊ะตั่งมากมาย รายล้อมไปด้วยผู้คนในหอเสี้ยวบุปผาพวกเขายังไม่ออกจากบทสนทนาเรื่องในตำหนักเว่ยอ๋องและพระชายา และดูท่าว่าจะไม่จบลงโดยง่าย

    “ที่จริงแล้วข้านึกว่าเว่ยอ๋องจะแต่งองค์หญิงซื่อผิงจากแดนเหนือผู้นั้นเป็นชายาเอกเสียอีก”

    “องค์หญิงที่ว่ากันว่างดงามมากความสามารถผู้นั้นน่ะหรือ ได้ข่าวว่านางได้รับการเชิดชูเป็นอย่างมากในแดนเหนือ”

    “องค์หญิงผู้นั้นชื่อเสียงดีงาม มีเมตตา หากเว่ยอ๋องได้แต่งย่อมต้องเหมาะสมอย่างกับกิ่งทองใบหยก น่าเสียดายนัก”

    “พวกเจ้าอย่าลืมองค์หญิงซินเซียงจากแคว้นอู่เล่า ผู้นั้นก็มีข่าวลือหนาหูมาจากแดนไกลว่านางชอบพอท่านอ๋อของพวกเราเป็นอย่างมาก องค์หญิงผู้นั้นทั้งมากอำนาจวาสนา หากแต่งเข้ามายังแคว้นของเราย่อมเป็นเกียรติของเรา เฮ้อ...ก็น่าเสียดายอีกนั่นแหละ”

    “เฮ้อ...ไม่รู้ว่าอันเจี๋ยผู้นี้วาสนาใดหนุนนำถึงได้ชิงตำแหน่งอันสูงศักดิ์จากเหล่าโฉมงามมากความสามารถในใต้หน้าได้”

    “พวกท่านก็กล่าวกันเกินไป คุณหนูใหญ่ตระกูลอันผู้นั้นถึงจะหน้าตาธรรมดาไปบ้าง แต่ความสามารถของนางก็เก่งกาจ อายุเพียงเท่านี้แต่ก็ควบคุมกิจการของตระกูลได้อย่างเบ็ดเสร็จ ว่ากันว่าฝีมือทางการแพทย์ยังยอดเยี่ยมอีกต่างหาก” นานเท่านานกว่าจะมีผู้กล่าวออกตัวแทนอันเจี๋ยหรือพระชายาอัน

    “หื้อ! ใต้หล้านี้มีสตรีมากความสามาถเยอะแยะไป เซียวจื่อเถิงนั้นอย่างไร แต่ละนางก็ล้วนโดดเด่นกว่าพระชายาทั้งนั้น...”

    เสิ่นหนงที่นิ่งฟัง ไม่เอ่ยความเห็นใด ๆ มองรอบตัวอย่างเต็มตา ความรู้สึกย่ำแย่ขุมหนึ่งตีขึ้นมาในหัวใจของนาง เหล่าคนพวกนี้เพียงหาความสนุกกับเรื่องราวของผู้อื่น พวกเขาไม่คิดจะหาความจริงจากเรื่องราวเสียด้วยซ้ำ เชื่อในเรื่องที่ตนเองอยากเชื่อ ยิ่งไม่ได้คิดไปถึงว่าข่าวลือย่ำแย่เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของอีกผู้หนึ่งได้อย่างไร

    ข่าวโคมลอยที่ไม่ได้รับการแก้ไข เป็นอาวุธร้ายที่สุดที่จะทำให้คนผู้หนึ่งตายทั้งเป็น การถูกเข้าใจผิด การถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม การถูกเหยียบย่ำ การถูกถ่มถุย ความรู้สึกเช่นนั้นเสิ่นหนงเผชิญมาทั้งชีวิต นางเข้าใจดีว่ามันทรมานใจ คับแค้นใจเพียงใด

    “หึ ๆ ๆ ” ดรุณีน้อยหัวเราะเสียงหวาน เสียงหวานๆ ของนางค่อย ๆ ทำให้ผู้คนโดยรอบหันมามองต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถูกทำให้ตกตะลึงด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามและบรรยากาศสูงส่ง

    ดรุณีน้อยผู้นี้ ดูอย่างไรก็ยังไม่ถึงวัยออกเรือน ทว่าความงามกลับโดดเด่นดถึงเพียงนี้ บรรยากาศรอบตัวก็ดูลุ่มลึกสูงส่งถึงเพียงนี้

    ลูกหลานบ้านใดกัน เหตุใดไม่เคยพบหน้า

    ทั่วทั้งหอเสี้ยวบุปผาที่มีเสียงจอแจวุ่นวายไม่เคยสงบ พลันถูกสาวงามอายุน้อยทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งลงในทันตา

    “ตอนแรกข้าแปลกใจนักว่าเหตุใดโรงเตี๊ยมที่เล่าลือกันว่ายอดเยี่ยม รวบรวมข่าวสารต่าง ๆ อย่างครบถ้วนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเสี้ยวบุปผา เสี้ยวบุปผาแปลว่าอะไร ใช่เศษเสี้ยวของดอกไม้หรือไม่ ฟังดูน่าน้อยเนื้อต่ำใจนักไม่ค่อยจะสมเกียรติเอาเสียเลย พอมาวันนี้งจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้”

    “...”

    “ที่แท้ เสี้ยวบุปผา อาจจะหมายถึง ‘ท่านจะได้รับความจริงจากสถานที่แห่งนี้เพียงเสี้ยว’ เช่นนั้นก็เป็นได้” เสียงหวานใส ทว่าแผ่ไอบางอย่างซึ่งกดข่มขวัญผู้คนได้ ทำให้ผู้ที่กล่าวถึงผู้อื่นอย่างสนุกปากรู้สึกเก้อกระดาก ละอายแก่ใจเล็กน้อย

    เจียวลู่รู้สึกขนลุกชันโดยไม่รู้ ก่อนที่จะตกใจอย่างมากเมื่อพบว่าตนเองถูกปลุกสัญชาตญาณระวังภัยโดยเด็กหญิงผู้งดงามน่าเอ็นดูผู้หนึ่ง

    มีเพียงว่านเยว่ที่ยกมือข้างหนึ่งเท้าคางอมยิ้มมองหน้าเด็กสาวอย่างตั้งใจฟัง

    “น้องสาว เหตุใดเจ้า...” เสิ่นคุนอดไม่ได้ที่หลุดปากถาม

    ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่แปลกใจ เหล่าพี่ชายทราบดีว่าน้องน้อยของพวกไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ยิ่งเป็นเรื่องที่อาจจะสร้างความยุ่งยากขึ้นมาในภายหลังเช่นนี้ด้วย

    “น้องเพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้นว่า เหตุใดผู้ที่ถูกขวางขบวนกลับบ้านเดิมจึงเป็นฝ่ายถูกครหา เหตุใดผู้ที่ไปขวางขบวนกลับบ้านเดิมของผู้อื่นทั้งยังไปพบสามีที่พึ่งแต่งงานของผู้อื่นในที่รโหฐานจึงถูกยกย่องได้เล่า”

    เรือนรับรองของพี่น้องตระกูลเสิ่นอยู่ในตรอกเดียวกับจวนของเว่ยอ๋อง วันนั้น ระหว่างที่นางกับพี่ชายกำลังจะไปเยียมชมเมืองจึงเห็นเหตุการณ์เข้าและบังเอิญได้รู้เรื่องราวหลังจากนั้นเข้า ‘ทั้งหมด’

    นางย่อมรู้ว่าเหตุการณ์ที่พวกเขาพูดถึงออกรสชาติถึงเพียงนี้ห่างไกลความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

    “เหตุใดสตรีดี ๆ ผู้หนึ่งจึงถูกด้อยค่าเพียงเพราะนางงามไม่พอเล่า”

    “...”

    “แล้วเหตุใด ทุกท่านในที่นี้จึงได้นินทาว่าร้ายผู้อื่นได้อย่างสนุกปากเช่นนี้เล่า”

    คนทั้งหลายรู้สึกบื้อใบ้ บ้างก็อยากกล่าวแย้งบางอย่าง ทว่าสัญญาติญาณกลับร้องเตือนพวกเขาว่าไม่อาจล่วงเกินเด็กสาวตรงหน้าได้แม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงนิ่งเงียบหน้าแดงก่ำ ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะอับอาย รู้สึกผิด หรือว่าโกรธเกรี้ยวกันแน่

    หลังจากที่กล่าวบริภาทผู้อื่นไปเสียยกใหญ่ นางก็ยกชาขึ้นจิบอย่างเฉยเมย คนทั้งหลายรู้สึกไม่อยากยุ่งกับนางมากนักจึงเพียงเงียบเสียงของตนและชำเลืองมองนางเป็นระยะ ๆ

    ยังเป็นว่านเยว่ที่ยิ้มพรายเต็มใบหน้า มองเสิ่นหนงอย่างพึงพอใจ

    “คุณหนูท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีสัญญาหมั้นหมายกับผู้ใดหรือไม่...ผู้อาวุโสเช่นข้าถูกใจเจ้าเป็นอย่างยิ่ง อยากจะทาบทามให้เจ้าหลานชายซื่อบื้อของข้าเสียหน่อย” ทั้งโต๊ะของตระกูลเสิ่นยิ้มแข็งค้าง

    “ย่อมมีอยู่แล้วขอรับ” เสิ่นหนิงบบอกปัดในทันที

    มีเสียที่ไหน

    เสิ่นหนงเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเสิ่นการคัดเลือกสามีของนางพวกเขาจึงใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าเชื้อพระวงศ์พวกเขาตระกูลเสิ่นจะเห็นอยู่ในสายตา

    เพียงแต่ว่าเขาสัมผัสได้จริงๆ ว่า สตรีผู้นี้ไม่ได้เย้าเล่นแต่อย่างใด และไม่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้มีกำลังมากพอจะทำให้มันเป็นจริง เขาจึงรีบปฏิเสธออกไปตามสัญชาตญาณเพียงเท่านั้น

    ว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง

    “เป็นวาสนของผู้ใดกันหนอ ที่จะมาเคียงคู่คนดี ๆ เช่นคุณหนูผู้นี้” กล่าวจบก็ทอดถอนใจ

    คนตระกูลเสิ่นยิ้มแข็งค้างยิ่งกว่าเดิม เสิ่นหนงตั้งสติได้ก่อนใคร จึงเป็นฝ่ายที่เอ่ยตอบ

    “ขอบคุณแม่นางที่กล่าวชมผู้น้อย -แต่ได้พบคนรูปงาม ผู้มีไมตรี สนทนาถูกคอเช่นนี้นับเป็นวาสนาของผู้น้อยมากกว่า ผู้น้อยอยากจะสนทนากับท่านให้นานกว่านี้เสียหน่อย เพียงแต่วันนี้ออกมาเที่ยวเล่นมานาน เกรงว่าจะสมควรแก่เวลากลับแล้ว” นางกล่าวแล้วก็ลุกขึ้น เมื่อเหล่าพี่ชายเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นตามนาง

    “ผู้น้อยขอตัวก่อน คารวะแม่นาง” เสิ่นหนงโค้งคารวะว่านเยว่และลืมที่จะหันมาโค้งคารวะเจียวลู่ กิริยาของนางสง่างามเป็นธรรมชาติยิ่งนัก

    คุณชายทั้งสาวเห็นน้องสาวคารวะพวกเขาก็ทำตามอย่างไม่อิดออด

    แล้วน้องสาวจึงเดินนำหน้าเหล่าพี่ชายออกไปจากหอเสียวบุปผาท่ามกลางการสังเกตของผู้คนที่อยู่ด้านใน ทันทีคนทั้งสี่ออกไปพ้นจากหอเสี้ยวบุปผาเสียงอื้ออึงจอแจก็กลับมาดังขึ้นอย่างเดิม

    พวกเขาสงสัยว่าคุณหนูผู้งดงามที่ใจกล้าขวางกระแสน้ำเชี่ยวผู้นั้นเป็นคุณหนูบ้านไหน แต่ก็จนด้วยไม่มีผู้ใดรู้จักนางเลย กระทั่งคุณชายทั้งสามคนที่ติดตามมาพวกเขาก็ยังไม่รู้จักแม้แต่น้อย

    จึงสรุปว่าอาจจะเป็นคุณหนูจากต่างแค้วนที่เดินทางผ่านมา แล้วเหตุใดจะต้องออกตัวช่วยพระชายาอันด้วยเล่า เพียงผ่านมาเท่านั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวมากคุณธรรมไปเพื่อสิ่งใด ทำราวกับว่าที่พวกเขากำลังสนทนากับอย่างสนุกสนานเป็นเรื่องผิดบาปเสียงอย่างนั้น

    แต่กระนั้นก็ยังมีผู้กล่าวแย้งบ้างว่าที่นางกล่าวจะบอกว่าไม่ถูกทั้งหมดก็ไม่ได้ พวกเขาก็ดูเหมือนจะกล่าวหาพระชายาอันเกินจริงไปบ้าง นางเป็นคุณหนูผู้งดงาม เหมือนคุณตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมมาอย่างดี

    ถึงเพียงนั้นย่อมมิอาจทนเห็นเรื่องไม่เป็นธรรมได้เป็นธรรมดา จะกล่าวโทษนางก็ไม่ได้

    วงสนทนาเริ่มกว้างขึ้นความเห็นก็หลากหลายมากขึ้น บางคนฟังแล้วไม่ถูกใจจึงมีการปะทะฝีปากกันเล็กน้อย

    เกือบทุกคนในหอเสี้ยวบุปผาสังเกตเห็นเสิ่นหนงและคณะอย่างชัดเจนทว่าพวกเขาไม่มีความสนใจหญิงงามที่สนทนากับเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยนั่นเป็นเพราะจุดที่ว่านเยว่และเจียวลู่นั่งอยู่เป็นมุมอับสายตาอีกทั้งนางยังแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายธรรมดาซึ่งมองไกลๆ แล้วไม่มีจุดไหนดึงดูดแม้แต่น้อย

    “อ๊ะ ข้าลืมถามชื่อแซ่นางเสียได้” ว่านเยว่นึกขึ้นได้แล้วตบเข่าฉาดอย่างเสียดาย

    “ข้าว่า พวกเขาก็ดูท่าไม่ได้อยากจะเผยตัวแต่อย่างใดนะ”

    “เช่นนั้นข้าน่าจะชิงแนะนำตัวไปเสียก่อน” นางรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ง่ายที่จะเด็กที่ถูกใจถึงเพียงนั้น อย่างน้อยๆ ก็อยากทราบชื่อแซ่บ้าง เผื่อให้พี่ชายของนางส่งเทียบเชิญไปทำความรู้จักเสียหน่อย

    เจียวลู่ได้ยินแล้วก็ทำหน้าเมื่อย

    “ท่านเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะแนะนำตัวกับผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาได้หรอกนะ ยิ่งกับผู้ที่พึ่งจะเคยพบกับยิ่งแล้วใหญ่”

    “นั่นสิ...แต่ว่านะ...ข้าถูกชะตานางอย่างยิ่ง คุ้นเคยดั่งเจอสหายเก่าเชียว” ว่านเยว่ยังเท้าคางครุ่นคิด

    “นางน่าจะยังไปได้ไม่ไกล เสียดายถึงเพียงนั้นก็ตามไปแนะนำตัวกับนางเสียสิ”

    “...อืม...ข้าจำไม่ได้ว่าแคว้นเยี่ยนมีคุณหนูคุณชายตระกูลไหนที่มีลักษณะดีถึงเพียงนี้ คงจะเป็นคนต่างแค้วนอย่างที่คนพวกนี้สงสัย” นางกำลังนั่งคำนวณบางอย่างในใจ ก่อนจะยกยิ้มเมื่อคิดตก

    “เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จากต่างแคว้น หากเป็นเช่นนั้นต้องได้พบกันในเร็วๆ นี้เป็นแน่”

    เจียวลู่เองคิดเช่นนั้น

    เร็วๆ นี้แคว้นเยี่ยนจะมีงานรับรองราชทูต ไม่แน่ว่าอาจจะพบกันที่งานนั้นก็เป็นได้

    “ว่าแต่ ท่านจะปล่อยข้ากลับไปได้หรือยัง ข้าเองก็มีงานการที่ต้องทำเช่นนั้น ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นกับท่านมากนักหรอกนะ”

    เจียวลู่กอดอก ขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยติดจะไม่พอใจเล็ก ๆ นับตั้งแต่ที่คุณหนูเรียกตัวนางกลับพร้อมกับแจ้งข่าวการแต่งงานนางตาลีตาเหลือกเดินทางข้ามแม่น้ำ ข้ามภูเขามาจากแดนใต้ ระหว่างทางก็พบเข้ากับคนผู้นี้โดยบังเอิญจึงเดินทางมาด้วยกัน แม้ว่ารีบถึงเพียงนั้นก็มาไม่ทันวันสำคัญของคุณหนูจนได้

    กระนั้นนางก็ยังอยากรีบกลับไปกอดคุณหนูเสียหน่อย แต่เป็นคนผู้นี้ที่รั้งนางเอาไว้เพราะอยากกินหมูน้ำค้าง

    “อะไรเล่า ไปพร้อมกันก็ได้นี่”

    “ไม่ล่ะ ข้าไปล่ะ มีเรื่องด่วนต้องรายงานคุณหนู”

    กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

    เรื่องอะไรจะไปหาคุณหนูพร้อมกับนาง หากไปพร้อมกันนางต้องโดนคนผู้นี้แย่งความสำคัญไปแน่!

    “อย่าเอาเรื่องงานมาอ้างหน่อยเลย จะกลับไปเอาหน้ากับเสี่ยวเจี๋ยล่ะสิ” ว่านเยว่ยู่หน้าหมั่นไส้ ทว่าไม่ได้จริงจังนัก นางมองเจียวลู่ที่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักมองไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนอยู่ครู่หนึ่ง

    เจียวลู่แบมือข้างหนึ่ง นางดีดเม็ดบางอย่างในมือขึ้นฟ้าแล้วเดินจากไปไม่เหลียวหลัง

    ว่านเยว่เห็นทุกอย่างก็ชะงักค้าง คิดในใจว่าแย่แล้ว นางวางก้อนเงินไว้บนโต๊ะแล้วรีบจากไปในทันที

    ภายในหอเสี้ยวบุปผาที่เต็มไปด้วยเสียงเอ็ดอึง ยามนี้ได้ยินเสียงประหลาดเสียงหนึ่ง เป็นเสียงบินหึ่ง ๆ แรกเริ่มยังไม่มีผู้ใดสังเกตจนกระทั่งเสียงเหล่านั้นดังขึ้นมาเรื่อย ๆ คนผู้หนึ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกาะแก้มของเขาจึงจับดู พลัน เขารู้สึกเจ็บอย่างยิ่ง

    “อ๊าก!!” เขาโดนผึ้งต่อย! ได้อย่างไรกัน ในหอเสี้ยวบุปผาจะมีผึ้งได้อย่างไร

    เขาร้องโวยวายจนเป็นที่สนใจ ไม่นานก็มีผู้ที่ร้องขึ้นตามติดติด ๆ เกิดการชุลมุนขึ้นในทันที

    ยังไม่ทันที่จะได้มีผู้ใดได้ตั้งสติ เสียงหึ่ง ๆ ก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน พวกเขาจึงเห็นฝูงแมลงนับหมื่นบินวนอยู่ด้านบน พวกมันเริ่มโจมตีผู้คนในที่นี้โดยทันที!

    ไม่มีผู้ใดที่หลบพ้นการจู่โจมจากฝูงแมลงนับหมื่น ๆ แม้กระทั่งห้องส่วนตัวชั้นบนสุดก็ตาม

    เกิดความวุ่นวายขนาดใหญ่ในหอเสี้ยวบุปผาอันงดงาม ผู้คนหนีตายจ้าละหวั่นบ้างก็ทำร้ายกันเพื่อแย่งชิงทางออก พวกเขาทั้งถีบ ทั้งผลักสิ่งของกีดขวางให้พ้นทาง พังประตู พังหน้าต่างเพื่อหาทางหนีที่เร็วที่สุด ไม่นานโรงเตี๊ยมชื่อดังแห่งแคว้นเยี่ยนก็พับราบเป็นหน้ากลอง!

    ....................................

    มาต่อแล้วจ้า 

    พร้อมกับการเปิดตัว ตัวละครโปรดของไรต์หลายๆคน ฮี่ ๆ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×