คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บันทึกสิบราชวงศ์สิบสองแคว้น
ขออนุญาติพูดคุยก่อนเข้าสู่เนื้อหา
หลังจากที่หายไปอย่างยาวนาน นุกลับมาแล้วพร้อมกับเนื้อหาและจักรวาลที่สมบูรณ์ บันทีกนี้เป็นบันทึกปูมหลังของแค้วนต่่างๆในเส้นเรื่องนี้ ซึึ่งในตอนแรกไรต์คิดว่าไรต์ จะไม่เขียนรวบรวมขึ้นมาเพราะอย่างไรก็จะค่อยๆกล่าวถึงในเนื้อหาอยู่แล้ว แต่เนื่องจากการหายไปอย่างยาวนานของไรต์เอง(และไม่รู้ว่าจะหายไปอีกเมื่อไหร่)จึงคิดว่ารวบรวมไว้เป็นบันทึกอ่านประกอบน่าช่วยให่้นักอ่านที่น่ารักของไรต์อ่านง่ายขึ้น
ซึ่งจะอ่านหรือข้ามไปก็ได้นะคะ(แต่ถ้าอ่านก็อาจจะเดาปมหลักได้เลอ เพราะก็แอบสปอยล์แรงอยู่ )
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ขอเชิญรีดเดอร์ทุกท่านเอ็นจอยจ้าาาาา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
บันทึกสิบราชวงศ์สิบสองแคว้น
ประพันธ์โดย ตือฮวนเนี่ยไถ
ภาพประกอบโดย หวยเซียงกูกู
1.ตำนานประวัติศาสตร์โดยสังเขป
ท่อนหนึ่งของพงศาวดาร สามพันดารากล่าวถึงการก่อกำเนิดของจักรวาลและโลกมนุษย์ ความว่า ครั้งหนึ่งแดนพ้นโศกหรือที่มนุษย์กล่าวนามว่าสวรรค์นั้นแต่เดิมไม่แบ่งแยกเทพมาร สวรรค์ถูกปกครองอย่างทรงธรรมโดยเทพนภาราตรีเมี่ยวจี๋ รัชศกเมี่ยวจี๋ที่สามพัน ดาวหายนะแห่งสวรรค์นามดาราแดงหงเยว่ ทำการกบฏสังหารเมี่ยวจี๋ผ่่าจักรวาลเป็นสองส่วน สวรรค์ล่มสลายเทพและมารล้มตาย ธุลีแดงนองด้วยเลือด หกพิภพลุกท่วมด้วยทะเลเพลิง หกมหาเทพร่วมมือขับไล่ดาราแดงไปยังปลายสุดเส้นขอบฟ้าได้ ทว่าไม่อาจฟื้นฟูสวรรค์ขึ้นมาได้ พวกเขาจึงนำชาวฟ้าตั้งสวรรค์แห่งใหม่ ณ อีกฝากของเส้นขอบฟ้า สวรรค์ที่ปราศจากพลังของเมี่ยวจี๋ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ในที่สุดก็สลายสู่ฟ้าดิน กระจัดกระจายในห้วงกาล ก่อเกิดเป็นจักรวาลใหม่นับแสนล้านภายในจักรวาลนับล้านเป็นที่อยู่ของสรรพชีวิตใหม่นานับชนิดชาวสวรรค์ขานนามแดนใหม่นี้ว่าเขตห้วงเวหาของเมี่ยวจี๋
กล่าวกันว่าห้าร้อยปีก่อนมหาบุรุษจูเซวียนแซ่เซี่ย ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ทำให้สามารถรวมใต้กล้าเป็นหนึ่งเดียว สถาปนาตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่ง “ต้าจง” สามร้อยปีให้หลังสายเลือดแห่งจูเซวียนไม่อาจคงรักษาพรที่ได้รับจากสวรรค์ไว้ได้ มหาสงครามจึงได้จึงอุบัติขึ้นอีกครั้งโดยสิบตระกูลใหญ่แห่งต้าจง สิบราชวงศ์สิบสองแคว้นแห่งต้าจงจึงได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก
2.สิบตระกูลแห่งต้าจง
สิบตระกูลที่กล่าวไปข้างต้น ประกอบด้วย ตระกูลเหลียง(1) บันทึกโบราณบันทึกไว้ว่า ในบรรดาสิบสองตระกูลใหญ่ ตระกูลเหลียงเป็นตระกูลนักปราชญ์ที่ซื่อตรงเป็นที่สุด ยึดหลักยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ทำให้ได้รับความเชื่อถือจากเหล่าขุนนาง ประชาชนยกย่องและราชวงศ์ให้ความไว้วางใจ มีเรื่องเล่าลือกันว่า ตระกูลที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตระกูลเซี่ยล่มสลายลงและการแบ่งแยกดินแดนลุล่วงไปได้นั่นคือตระกูลเหลียงนั้น ความเที่ยงธรรมของแซ่เหลียงประจักษ์แจ้งแก่ใจของผู้คน ภายหลังมหาสงครามแบ่งแยกดินแดนอีกหนึ่งร้อยปี เจตจำนงแห่งตระกูลเหลียงเกิดเปลี่ยนแปลงไปทำให้ราชวงศ์แตกแยกเป็นสามสาย เพื่อความอยู่รอดของตระกูลทำให้ราชวงศ์เหลียงตัดสินใจแบ่งดินแดนเป็นสามแคว้นได้แก่ แคว้นยง แคว้นโจว และแคว้นฉี
ตระกูลที่สองได้แก่ตระกูลเฉิน(2) ตระกูลเฉินเป็นหนึ่งในตระกูลที่ยิ่งใหญ่และมีประวัติศาสตร์ยาวนานพวกเขามีบทบาททางการเมืองเป็นอย่างมากเนื่องจากฮองเฮาราชวงศ์เซี่ยมาจากตระกูลเฉินเป็นส่วนมากด้วยถือว่าตระกูลเฉินมีความดีความชอบในการสนับสนุนให้จูเซวียนรวบรวมแผ่นดิน นอกจากนี้ตระกูลเฉินครอบครองดินแดนส่วนที่ความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในต้าจง พวกเขาครอบครองทั้งเหล็กกล้า พื้นที่ป่าไม้และพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ ความน่าเกรงขามและคุณงามความดีของตระกูลเฉินทำให้จูเซวียนไม่อาจเรียกคืนทรัพยากรเหล่านั้นจากตระกูลเฉินได้ทั้งหมด ยิ่งเมื่อการเวลาผ่านไปสกุลเซี่ยเริ่มร่วงโรย สกุลเฉินยังคงยืนยง การเรียกคืนทรัพยากรเหล่านั้นยิ่งนับเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิมมาก นอกจากนี้พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องมองการไกลและใช้คนได้ถูกงานเป็นอย่างยิ่ง กว่าที่ตระกูลอื่นจะตระหนักได้ว่าไม่อาจพึ่งพาสายเลือดของจูเซวียนได้อีกต่อไป คนแซ่เฉินก็ล่วงหน้าไปก่อนตระกูลอื่นมากนักแล้ว ส่วนนี้เองที่ทำให้สามร้อยปีให้หลังเมื่อมหาสงครามได้อุบัติขึ้น ตระกูลเฉินจึงสามารถผงาดเหนือเก้าตระกูล
ตระกูลที่ต่อมาคือตระกูลอู่(3) เดิมตระกูลอู่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านม้ามากกว่าตระกูลใดในต้าจง พวกเขามีวิทยาการและทักษะการรบบนหลังม้าที่ยอดเยี่ยมผลพวงจากองค์ความรู้ของบรรพบุรุษและการต่อยอดของลูกหลาน ทำให้เมื่อราชวงค์อู่ถูกสถาปนาขึ้น แคว้นอู่จึงเป็นแคว้นที่มีกองทัพเกรียงไกร แต่หากเมื่อเอ่ยถึงตระกูลอู่แล้ว ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ เห็นทีจะเป็นนิสัยเหย่อหยิ่งและอวดดีที่กลบฝังความเก่งกาจของพวกไว้จนมิด กล่าวกันว่าพวกเขาอ้างตนว่ามีสายเลือดของเทพสงครามไหลเวียนอยู่ในกายย่อมเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่หนึ่งขั้น ซึ่งทั้งความเชื่อ ความสามารถและการเลี้ยงดูล้วนหล่อหลอมให้คนแซ่อู่ไม่เห็นหัวผู้ใด ความเย่อหยิ่งก็ส่วนหนึ่งทว่าความเก่งกาจด้านการรบก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งเช่นกันตราบเท่าที่ชาวอู่นั่งอยู่บนหลังม้า ในมือถือดาบไม่มีการรบใดที่พวกเขาพ่ายแพ้
ต่อมาคือตระกูลคือตระกูลฉู่(4) ตระกูลฉู่เป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตระกูลอู่และตระกูลเฉิน แต่เดิมต้นตระกูลมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มากที่สุดในบรรดาสิบสองตระกูลใหญ่ ว่ากันว่าในยุคสมัยของจูเซวียนผู้นั้นผู้นำตระกูลฉู่รุ่นที่สามเป็นผู้ต่อยอดศาสตร์การแพทย์ของตระกูลให้รุ่งเรืองและนับถือจากทั้งใต้หล้า จนทั่วต้าจงต่างก็กล่าวขานกันว่ายอดยาเทวดาล้วนกำเนิดจากฉู่ ยอดยา พิษจากยมโลกก็ล้วนกำเนิดจากฉู่ คนแซ่ฉู่มีมันสมองอันฉลาดเลิศเหนือตระกูลใดในสิบตระกูล ทว่าเป็นประเภทไม่ใคร่จะใช้ความฉลาดในท่างที่ถูกที่ควรเท่าไหร่นัก เช่นว่า สรรค์ประทานพรสวรรค์ทางการแพทย์มาให้แทนที่พวกเขาจะมุ่งสนใจการการรักษากับฝักใฝ่และหลงไหลในยาพิษเป็นสำคัญ แทนที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อการคิดค้นยารักษาโรค พวกเขากลับขวานขวายที่จะคิดค้นสุดยอดยาวิเศษที่เอาไว้พรากชีวิตผู้คนเป็นอันดับแรกแล้วจึงหาทางคิดค้นยาถอนพิษเป็นลำดับถัดไปทำให้ในเวลาต่อมาแคว้นฉู่มียาพิษระดับสูงมากมายที่ไร้ยาถอนพิษเนื่องจากบ้างผู้คิดค้นก็ล้มตายไประหว่างการทดลองยาหรือบ้างก็จงใจให้ไร้ยาถอนพิษ แม้ในหลายร้อยปีให้หลังจะมีสำนักแพทย์อิสระเกิดขึ้นมากมายในยุทธภพทำให้ศาสตร์การแพทย์มิอาจะกระจุกอยู่ภายในแคว้นใดหรือเป็นสมบัติของตระกูลใดเป็นพิเศษได้ การแพทย์ของแคว้นฉู่จึงมิได้รุ่งเรืองเช่นเดิม ทว่ายังคงร่องรอยความยิ่งใหญ่และความน่านับถือต่อผู้ที่ศึกษาศาสตร์แพทย์ ดังที่ได้กล่าวไปว่าสวรรค์ประทานสมองอันชาญฉลาดให้ทว่าไม่ได้มอบพลังกายที่แข็งแกร่งมาให้ ด้วยความฉลาดอันบ้าคลั่งของพวกเขาจึงทำให้พวกชุบเลี้ยงเหล่านักฆ่ามากฝีมือเป็นจำนวนมากและกลายเป็นกองกำลังที่สำคัญที่สุดของแคว้นฉู่ในเวลาต่อมา
กล่าวถึงตระกูลที่ห้า ตระกูลหาน(5) เมื่อเทียบกับตระกูลอื่นๆคนแซ่หานไม่อาจะเรียกได้ว่าโดดเด่น ทว่าก็เป็นประเภทที่ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน โดยพื้นฐานพวกเขาสุขุมรอบและรอบคอบเสมอ รู้ว่าควรทำอย่างใด ในสถานการณ์ใดยุคสมัยของราชวงศ์เซี่ยพวกเขาจึงมักจะได้รับมองหมายให้ทำการใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ตระกูลหานและตระกูลเฉินมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นอย่างมาก ในสงครามแบ่งแยกดินแดนครั้งนั้นตระกูลหานเลือกที่จะติดตามตระกูลเฉินมากกว่าต้องการที่จะแยกตัวเพื่อสร้างแว่นแคว้นของตนเอง ทว่าในหลายสิบปีให้หลังเมื่อแคว้นเฉินเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เฉินเลือกที่จะเฉือนดินแดนส่วนหนึ่งของตนเองมอบให้แก่ตระกูลหานทั้งยังแต่งตั้งเป็นอ๋องครองดินแดนท่ามกลางข้อครหามามาย ในอีกหนึ่งชั่วอายุคนให้หลังแคว้นหานจึงถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ แม้ในกาลต่อมาทั้งสองแคว้นจะมีร่องรอยบาดหมางบ้างทว่ายังมีการเชื่อมสัมพันธ์กันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเสมอจากรุ่นสู่รุ่น และหากแคว้นหานมีเรื่องบาดหมางกับแค้วนใดแค้วนเฉินมักจะเลือกข้างแคว้นหานเสมอ เช่นเดียวกันหากว่าแคว้นเฉินมีข้อพิพาทกับแคว้นใดแคว้นหานก็จะเลือกข้างแคว้นเฉินเสมอ สองแคว้นไม่อาจแยกจาก
ต่อมาตระกูลที่หก ตระกูลหนาน(6) ในอดีตตระกูลหนานเป็นตระกูลหางแถวในชนชั้นพ่อค้า ในยุคสมัยก่อนที่จูเซวียนจะรวมแผ่นดินได้ พวกเขามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วยุทธภพเรื่องความเจ้าเล่ห์ กลับกลอก หน้าด้าน ไร้ยางอายและสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเงินทอง ครั้งหนึ่งในการรบจูเซวียนถูกลอบทำร้ายโดยคนเถื่อนกลุ่มหนึ่งบาดเจ็บสาหัส ระหว่างที่หลบหนีมหาบุรุษพบเข้ากับกองคารวานส่งสินค้าของตระกูลหนาน เรื่องราวจึงกลายเป็นว่าคนโฉดมีวาสนาช่วยวีรบุรุษ โชคลาภและวาสนาจึงมาตกแก่ตระกูลหนานนับตั้งแต่นั้น ในช่วงมหาสงครามตระกูลหนานเลือกที่จะหอบสมบัติมหาศาลของพวกเขาลี้ภัยขึ้นไปยังยังที่ราบสูงค่อนไปทางเหนือของต้าจงและอาศัยความหน้าด้านหน้าทนผิดธรรมชาติซึ่งเป็นอัตลักษณ์พิเศษของพวกเขาแย่งชิงดินแดนที่ราบซึ่งแต่เดิมเป็นของตระกูลจิ้นกึ่งหนึ่งและตระกูลเหลียงอีกส่วนหนึ่งเอามาไว้ครอบครองไว้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว นับว่าเป็นการแย่งชิงดินแดนที่ฉาวโฉ่และไร้เกียรติที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าจง
เมื่อกล่าวถึงตระกูลจิ้น(7) ตระกูลที่เจ็ดนั้นเป็นตระกูลที่มีสมาชิกน้อยทว่ามีอิทธิพลต่อต้าจงอย่างมากด้วยว่าตระกูลจิ้นเป็นนักพยากรณ์และผู้บำเพ็ญตนจึงเหล่าผู้ศรัทธาเป็นจำนวนมาก สามารถกำหนดทิศทางหรือความเป็นของบ้านเมืองได้พวกเขาเป็นประเภทเรียบง่ายทว่าถือตนและไว้ตัวเป็นอย่างยิ่งด้วยระลึกเสอมาว่าตนเป็นผู้กุมความลับสวรรค์จึงไม่ค่อยสมาคมผู้ใด เป็นเช่นนั้นยิ่งทวีแรงศรัทธาในใจของผู้คนต่อคนแซ่จิ้นแม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ยังต้องไว้หน้าตระกูลนักพยากรณ์นี้กึ่งหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นประเภทถือตัวแต่กลับหน้าบางเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาของการช่วงชิงดินแดนพวกเขาจึงเสียพื้นที่กึ่งหนึ่งให้กับตระกูลหนานอย่างง่ายดายเพราะไม่อาจสู้ความด้านได้อายอดของคนแซ่หนาน ชัยภูมิของแคว้นจิ้นจึงเป็นภูมิประเทศที่ทรหดมากที่สุดทั้งหนาวเหน็บและเป็นร่องภูเขาสูงชัน มีแต่ผู้ที่ต้องการละทางโลกเท่านั้นแลที่จะติดตามพวกเขาไปยังดินแดนเช่นนั้น
ตระกูลจ้าว(8) ตระกูลจ้าวคือตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากในดินแดนแถบเหนือ ทางตอนเหนือของต้าจงเป็นดดินแดนที่มีสภาพอากาศโหดร้าย ทั้งหนาวเหน็บและเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปีจึงเพาะปลูกได้น้อย พืชพรรณขาดแคลน ความโหดร้ายของสภาพแวดล้อมทำให้ผู้คนในแถบนั้นให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งมากกว่าสิ่งใด ซึ่งตระกูลจ้าวคือตระกูลที่แข็งแกร่งจนได้รับการนับถือจากชาวแดนเหนือมากที่สุด ว่ากันว่าทัพม้าของตระกูลอู่หรือเหล่านักฆ่ายอดฝีมือจากแคว้นฉู่ยังไม่อาจต่อกรกับความแข็งแกร่งของคนตระกูลจ้าวได้ ในยุคสมัยรวมดินแดนผู้นำตระกูลในขณะนั้นพ่ายแพ้แก่จูเซียงจึงยอมติดตามจูเซวียนทำการใหญ่จนสำเร็จได้รับการทูลบำเน็จครองยศเป็นอ๋องครองดินแดนแถบเหนือตั้งแต่นั้น จนกระทั่งตระกูลเซี่ยล่มสลายตระกูลจ้าวที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เซี่ยมาโดยตลอดตัดขาดสายสัมพันธ์จากตระกูลอื่นและก่อตั้งรัฐจ้าวขึ้นมาในทันทีเพื่อแยกตัวจากราชวงศ์ใหม่ที่อาจะก่อตั้ง แม้ในท้ายที่สุดหลายตระกูลจะแยกดินแดน ตั้งตนเป็นใหญ่เช่นเดียวกันทว่าราชวงศ์จ้าวใช้เวลาหลายชั่วอายุคน เก็บตัวไม่สมาคมกับแค้วนใด ๆ ทำให้ในกาลหลังสายสัมพันธ์ระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นอื่น ๆ จึงยังมีช่องว่างอยู่มากนัก
ตระกูลต่อมาได้แก่ ตระกูลเยี่ยน(9) ผู้นำตระกูลเยี่ยนคนแรก เยี่ยนหวั่นติดตามจูเซวียนตั้งตามหาบุรุษยังเป็นเพียงนายกองผู้หนึ่ง เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากจูเซวียนมากที่สุด ร่วมเป็นร่วมตายกับมหาบุรุษมานับไม่ถ้วน ในศึกสำคัญเขาและเหล่านักรบแซ่เยี่ยนพลีชีพเพื่อจูเซวียน ด้วยประการนั้นตระกูลเยี่ยนจึงมีน้ำหนักในใจของจูเซวียนเป็นอย่างมาก ทั้งที่ได้รับความโปรดปราณทว่าผลงานในราชสำนักกลับมิได้โดดเด่นมากนัก ยิ่งเมื่อเทียบกับตระกูลอู่ หรือตระกูลเฉินแล้วนับว่าห่างไกลยิ่งนัก ที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดเห็นจะมีเพียงรูปลักษณ์ที่งดงามเป็นต่อตระกูลอื่นมากโข ทั้งบุรุษและสตรีแซ่เยี่ยนล้วนงดงามประดุจภูติพราย คนโฉดแซ่หนานมักมีคำกล่าวหาเมื่อพบหน้าคนแซ่เยี่ยนเสมอว่าคนแซ่เยี่ยนดื่มเลือดปีศาจร้ายเป็นอาหารเพื่อรักษารูปลักษณ์งดงามบาดตาเช่นนี้เอาไว้ ด้วยความที่ไม่อาจะเอาดีในราชสำนักได้แล้ว คนแซ่เยี่ยนจึงเริ่มห่างไกลจากราชสำนักมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วเหล่าผู้ที่รับราชกาลก็ค่อยๆลาออกจากราชการกลับไปยังบ้านเกิด เป็นดินแดนเล็กๆติดชายฝั่งทะเลทางตะวันออกสุดของต้าจง
ตระกูลสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือตระกูลเว่ย(10) ความที่เป็นพรรคมารในยุทธภพมาก่อน มาตรวัดหรือตรรกะทั่วไปจึงไม่สามารถที่จะนำมาใช้กับพวกเขาได้ กล่าวให้ถูกคือไม่ยอมอยู่ใต้กฎของผู้อื่น และด้วยความที่เป็นคนในยุทธภพมาก่อนนี่เองทำให้คนแซ่เว่ยมิได้ผูกพันธ์กันทางสายเลือดแต่เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณเดียวกัน แซ่เว่ยจึงเป็นการรวมตัวกันของเหล่าตัวประหลาดมากมายที่ยุทธภพไม่ยอมรับ ประมุขพรรคคนแรกเว่ยเจียหรานเลือกสนันสนุนจูเซวียนทำการใหญ่ สูญเสียพวกพ้องและใช้ศักดิ์ศรีไปอย่างสิ้นเปลืองเพื่อผลักดันการใหญ่ของจูเซวียน ดังนั้นเมื่อจูเซวียนสามารถรวมแผ่นดินได้จึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าตระกูลเว่ยจะเลือกหันหลังให้จูเซวียนอย่างไม่ใยดี หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างบ้าคลั่ง ล่องลอยไปมาในยุทธภพอย่างอิสระจวบจนกระทั้งเมื่อช่วงเวลาแห่งการแบ่งแยกดินแดนมาถึงจึงรู้สึกว่าตนควรจะมาส่วนร่วมบ้างในฐานะที่บรรพบุรุษมีความดีความชอบ พวกเขาเลือกที่จะยึดครองดินแดนเล็ก ๆ ส่วนหนี่งริมชายฝั่งทะเลซึ่งนอกจากทางออกทะเลแล้วก็ถูกล้อมเอาไว้ด้วยดินแดนในครอบครองของตระกูลอู่ ชัยภูมิเช่นนั้นและนิสัยช่างยั่วยุของคนแคว้นเว่ยสร้างความกวนใจแก่แคว้นอู่เป็นอย่างมาก ฮ่องเต้อู่หลายรัชกาลใช้ความพยายามอย่างมากที่จะชิงดินแดนแคว้นเว่ย ทว่าอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะยึดเอามาไว้ครอบครองได้ ความน่าเหลือเชื่อของคนพรรคเว่ยเจียหรานคือพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับตระกูลเยี่ยนและตระกูลที่ไม่ใคร่จะมีใครคบค้าอย่างตระกูลหนาน กระทั่งหลายร้อยปีผ่านไป ทั้งที่โดนขนาบข้างโดยทะเลและแคว้นอู่พวกเขาก็ยังสู้อุตส่าห์รักษาสายสัมพันธ์อันแนบแน่นนั้นเอาไว้ได้ การมีเป็นพันธมิตรต่อแคว้นหนานที่มั่งคั่งที่สุดและแคว้นเยี่ยนที่เป็นแคว้นที่มีพันธมิตรมากที่สุดจึงทำให้พวกเขาสามารถทำเก่งยั่วโทสะแค้วนอู่ไปได้อีกหลายชั้วอายุคนทีเดียว
3.ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ต้าจงเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากมาย ทั้งป่าไม้ น้ำ สรรพสัตว์ รวมถึงสินแร่ต่าง ๆ ที่พบได้ในพื้นที่ต่าง ๆ กระจายตัวอยู่ทั่วแผ่นดิน ทั้งที่อุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนั้น ต้าจงกลับแวดล้อมไปด้วยดินแดนที่รกร้าง แห้งแล้ง เดียวดาย คล้ายดั่งว่าต้าจงช่วงชิงความอุดมสมบูรณ์จากดินแดนรอบข้างมาหมดเสียแล้ว
ทางเหนือสุดมีกำแพงหิมะสูงเทียมฟ้าขวางกั้นระหว่างต้าจงและดินแดนที่มีแต่สีขาวโพลนของของหิมะ ชาวเหนือของต้าจงเรียกดินแดนหลังกำแพงหิมะนั้นว่าแดนพ้นโศก แดนพ้นโศกหนาวเหน็บ หิมะปกคลุมตลอดทั้งปี นานเท่าประวัติศาสตร์ที่ชาวเหนือพยายายมข้ามขีดจำกัดเพื่อสำรวจยังดินแดนเดียวดาย นอกจากสูญเสียล้วนไม่ได้สิ่งใดกลับมา จึงอนุมานไปว่าพื้นที่หลังปราการสีขาวนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่มนุษย์จะสามารถอยู่อาศัยได้ ดังนั้นแดนพ้นโศกจึงเป็นพื้นที่ต้องห้ามและน่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับชาวชาวแดนเหนือ
ข้ามมาฝั่งทางใต้ เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณประหลาด หากไม่ใช่ต้นไม้กินคนก็มักจะเป็นพืชพรรณที่มีพิษร้าย อากาศไม่บริสุทธ์ไอพิษรุนแรง ชาวทิศใต้เรียกดินแดนแถบนั้นว่าทุ่งมรณะ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพิสูจน์แล้วว่า ทุ่งมรณะเป็นดินแดนที่มนุษย์ไม่สามารถเอามีชีวิตรอดได้โดยสมบูรณ์
ทางฝั่งตะวันออกเป็นมหาสมุทรเวิ้งว้าง แม้จะสามารถทำการประมงได้ ทว่าเมื่อเดินเรือข้ามไปยังช่องแคบสุ่ยหลงก็ไม่สามารถมีผู้ใดได้กลับบ้านตลอดกาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รับทราบโดยทั่วกันว่าในท้องทะเลแล้ว ช่องแคบสุ่ยหลงคือความเมตตาจากสวรรค์ที่คอยเตือนพวกเขาถึงเส้นแบ่งระหว่างความเป็นหรือตาย
ส่วนฝากตะวันตกนั้นเป็นดินแรงรกร้าง เต็มไปด้วยผืนทรายสุดลูกหูลูกตา เป็นแดนอสงไขยอยู่เหนือกาลเวลา ทั้งอ้างว้าง ทั้งเดียวดาย ไร้พืชพรรณ ไร้น้ำ ไร้อาหาร ทว่ากลับซ่อนสัตว์มีพิษร้ายไว้มากมาย มนุษย์มิอาจเอาชีวิตรอดเช่นเดียวกับดินแดนอื่น ๆ ที่แวดล้อมต้าจงอยู่
สภาพแวดล้อมโหดร้ายที่รายล้อมต้าจงก็พอจะเป็นประโยชน์กับชาวต้าจงในพื้นที่นั้น ๆ อยู่บ้าง เช่น ตระกูลฉู่ที่เป็นคนแดนใต้จะมีความเชี่ยวชาญด้านศาสตร์แพทย์และพิษสูง เนื่องจากมีพืชพรรณให้ศึกษามากมายครั้นเมื่อก่อตั้งเป็นแคว้นฉู่ยังครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งที่มีพรมแดนติดกับทุ่งอสงไขยกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ในการศึกษาสัตว์พิษในทุ่งอสงไขยด้วยถึงแม้จะเต็มไปด้วยอันตรายและความเสี่ยงก็ตาม หรือจะเป็นตระกูลเยี่ยนที่มีบรรพบุรุษเป็นคนทิศตะวันออกก็มีทักษะการเดินเรือที่เชี่ยวชาญมากกกว่าตระกูลอื่น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็ย่อมทำให้แต่งละแค้วนมีจุดเด่นในแต่ละด้านที่แตกต่างกันด้วยประการฉะนี้
ภาพที่1.แผนที่ต้าจงโดยสังเขป
4.ระบบเงินตรา การ ค้า และความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น
ต้าจงมีหน่วยเงินตราเป็นตำลึงเงินและตำลึงทองเพียงเท่านั้น แม้ภายหลังจะมีการแบ่งแยกดินแดนแล้วแคว้นต่าง ๆ ในต้าจงก็ยังคงระบบเงินตราแบบเดิมไว้ เพื่อความสะดวกในการค้าระหว่างแคว้น เพราะแม้ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาแต่ละแคว้นจะมีช่วงเวลาของความขัดแย้งระหว่างแคว้น ทว่าการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แคว้นต่างๆยังงต้องการเหล็กกล้าซึ่งพบได้มากสุดในแคว้นอู่ อาหารและธัญพืชคุณภาพดีจากแคว้นเฉิน ยาและทักษะการแพทย์ขั้นสูงจากแคว้นฉู่ หรือเกลือและสิ้นค้าทางทะเลคุณภาพสูงจากแคว้นเยี่ยน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีแค้วนในในต้าจงที่ตัดขาดจากกันได้โดยสมบูรณ์โดยมีแคว้นหนานเป็นตัวกลางในการเชื่อมแต่ละแคว้นไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
5.ศาสนาและความเชื่อของชาวต้าจง
แต่ไหนแต่ไร ต้าจงไม่เคยปิดกั้นด้านความเชื่อของผู้คน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดในดินแดนแห่งนี้จึงปรากฏลัทธิต่าง ๆ มากมายนับร้อยนับพันที่มีผลต่อความเชื่อของผู้คน ในแต่ละภูมิภาคของต้าจงมีความเชื่อท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเมี่ยวจี๋ ลัทธิธิดาเทพ ลัทธิเทพปราการน้ำแข็ง พุทธ เต่า แม้ว่าในกาลหลังลัทธิพุทธและเต๋าจะเข้ามมามีอิทธิพลกับชาวต้าจงมากถึงมากทีสุด ทว่าลัทธิต่าง ๆ ดังเช่นที่ยกตัวอย่างไปก็มิได้ล้มหายไปตามกาลเวลา แม้แต่ลัทธิจอมมารดาราแดงก็ปรากฏสานุสิทธิ์ในเห็นมากมายตามประวัติศาสตร์อันยาวนานของต้าจงแห่งนี้
6.ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ภาคหลังการแบ่งแยกดินแดน
หนึ่งร้อยปีให้หลังของสงครามแบ่งแยกดินแดน แคว้นเหลียงอันสง่างามประสบปัญหาภายใน ทำให้ไม่อาจรักษาเอกภพของแว่นแค้วนเอาไว้ได้เพื่อความอยู่รอดจึงต้องแบ่งเป็นสามรัฐซึ่งล้วนเป็นสายสืบทอดจากตระกูลเหลียง ได้แก่รัฐโจวโดยเหลียงโจวจื่อเป็นผู้ปกครองคนแรก ต่อมาคือรัฐฉีนำโดยเหลียงฉีเออร์ และรัฐย่งโดยเหลียงย่งเออร์เป็นผู้นำ จนกระทั่ง รัชศกต้าจงที่ห้าร้อยเทพสงครามพิโรธ แซ่เหลียงกระทำการล้ำเส้นเกินไป แซ่อู่ต้องการกำราบ ผู้ทรงปัญญาไม่อาจสู้รบกับเทพแห่งสงคราม สายเลือดตระกูลเหลียงทั้งสามถูกควบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นอู่นับตั้งแต่นั้นกูลเหลียงทั้งสามถูกควบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นอู่นับตั้งแต่นั้น
ความคิดเห็น