ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเกินร้อย

    ลำดับตอนที่ #5 : แปลงโฉม

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 55


    บทที่ 5

    แม้พลอยชมพูจะกลับไปแล้ว แต่มุทิตากลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย เพราะการต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนที่ไม่สนิทคุ้นเคยอย่างคริสและอีวานั้นก็ทำให้อึดอัดไม่แพ้กัน
     
    ห้องพักที่คริสจัดให้หล่อนกับอีวาอาศัยนั้นเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างเลิศหรูคล้ายห้องสวีทตามโรงแรมห้าดาว เครื่องเรือนต่างๆไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า รวมทั้งโต๊ะเครื่องแป้งถูกจัดวางไว้อย่างเป็น

    เอกเทศคนละมุมเพื่อให้สะดวกต่อการจัดเก็บข้าวของและแต่งตัว จะมีก็เพียงแต่ห้องน้ำเท่านั้นที่ต้องใช้ร่วมกัน หลังจากจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว คริสก็สั่งให้โอเลี้ยงมาตามหล่อนและอีวาไปรับประทานอาหารกลางวัน

    ท้องของมุทิตาร้องโครกครากเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย จึงรีบไปประจำที่โต๊ะอาหารก่อนใครเพื่อน แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นอาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะ

    นี่มันอาหารคนหรืออาหารนกกันแน่ ถึงได้มีแต่อาหารสุขภาพจำพวก ข้าวซ้อมมือ ปลากระพงขาวย่างเกลือ สลัดผักและน้ำสลัดใส อาหารสุขภาพพวกนี้เป็นอาหารที่หล่อนไม่เคยนึกอยากรับประทานเลยแม้แต่น้อย
    อย่าบอกนะว่าตลอดระยะสามเดือนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่จะต้องรับประทานอาหารพวกนี้ทุกมื้อ ให้หล่อนขาดใจตายเสียยังดีกว่าหากปราศจากอาหารอร่อยๆอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอย่างข้าว ขาหมูคากิ ข้าวมันไก่พิเศษหนัง รวมทั้งขนมสุดโปรดอย่างเค้กเนยสดที่ปาดหน้าด้วยวิปปิ้งครีมหนานุ่ม

    “อาหารกลางวันมีแค่นี้หรือคุณ...มันจะพอยาไส้อะไร ฉันขอสั่งแฮมเบอร์เกอร์มากินเพิ่มได้ไหม” ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะเอ่ยอะไร อีวาก็ชิงพูดแทน

    “อาหารพวกนี้ดีต่อสุขภาพของเธอนะจ้ะ คิดตี้...ฉันเองก็เห็นด้วยว่าก่อนจะเริ่มต้นฝึกการเป็นนางแบบ สิ่งแรกก็คือต้องปฎิวัติการกินอาหารของเธอก่อน เพราะคนที่เป็นนางแบบจะต้องมีรูปร่างสมส่วนและสุขภาพดี ไม่มีนางแบบคนไหนหรอกที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนเผละเป็นก้อนไขมันเดินได้ แล้วฉันก็คิดว่าเธอคงไม่อยากออกสื่อในสภาพแบบนี้เหมือนกันจริงไหม”

    “ใช่...ที่อีวาพูดมาถูกทุกอย่าง นอกจากเรื่องอาหารแล้ว คุณจะต้องออกกำลังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ เชื่อผมเถอะว่าคุณจะหลงรักรูปร่างใหม่ของคุณอย่างแน่นอน อ้อ...เรื่องอาหารไม่ต้องกลัวว่าจะไม่อิ่ม เพราะข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยทำให้อิ่มเร็วขึ้นและขับถ่ายได้ดีด้วย ลองกินไปสักสองสามมื้อ คุณก็จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง”

    มุทิตาเบ้ปาก แม้ใจจะไม่อยากแตะต้องอาหารตรงหน้า แต่ความหิวที่จู่โจมเข้ามาทำให้หล่อนตักอาหารตรงหน้ารับประทานอย่างหิวโหย อาหารคำแรกที่กลืนผ่านลำคอช่างแห้งผากไร้ความนุ่มนวล แต่พอเป็นคำที่สองคำที่สาม หล่อนก็คิดว่ารสอาหารนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแม้แต่น้อย ผักสลัดปลอดสารพิษสดกรอบ น้ำสลัดแม้ไม่มันย่องแต่ก็เปรี้ยวอมหวานด้วยส่วนผสมของน้ำส้มสายชูบัลซามิคอย่างดี ส่วนเสต็กปลาแซลม่อนก็ย่างสุกกำลังพอดีจนได้รสชาติละมุนฉ่ำลิ้น ละเลียดทีละคำสองคำก็หมดจานพอดี

    “เห็นไหม...ผมบอกคุณแล้วว่าอาหารสุขภาพก็ไม่ได้รสชาติเลวร้ายอย่างที่คุณคิด แทนที่จะตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างพวกเค้กหรือไอศกรีม ผมสั่งให้โอเลี้ยงทำเลม่อนกรานิต้า ไว้ให้ลองชิม”
    คนรับใช้หนุ่มเดินประคองถาดถ้วยขนมหวานซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วทรงสูงมาวางเสิร์ฟตรงหน้ามุทิตาพลางยิ้มกว้างอย่างภูมิใจเสนอ เมื่อหญิงสาวตักขนมหวานนั้นรับประทานก็รู้สึกชอบใจกับรสเปรี้ยวอมหวานเหมือนกินน้ำแข็งใสราดด้วยน้ำเชื่อมรสมะนาวจนขนมนั้นหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา หากความชื่นมื่นของมื้ออาหารก็มลายไปพลัน เมื่อคริสบอกให้อีวาเริ่มต้นฝึกหล่อนหลังมื้ออาหารนี้ทันที

     “คริส ฉันฝึกคิตตี้ตอนนี้ไม่ได้หรอก นางแบบก็เหมือนกับสินค้า เราต้องเสริมจุดเด่นให้กับนางแบบก่อน เท่าที่ดูตอนนี้ ฉันว่าคิดตี้ควรจะเปลี่ยนทรงผม และเปลี่ยนการแต่งตัวเสียใหม่ นายพอจะรู้จักช่างผม ช่างแต่งหน้า และห้องเสื้อดีๆบ้างไหม ถ้าคิตตี้ได้แปลงโฉมเสียหน่อย รับรองเลยว่าเธอจะต้องกลายเป็นคนใหม่ที่สวยจนชวนตะลึงเลยทีเดียว” อีวาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

    “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก...เดี๋ยวผมจัดการให้”คริสจัดแจงเป็นธุระให้ ก่อนจะพาหล่อนและอีวาไปยังร้านเสริมสวยเป็นแห่งแรก

    “ฉันไม่ตัดผมไม่ได้เหรอคะ” มุทิตาท้วงขึ้นมาเมื่อรู้ว่าจะต้องเปลี่ยนทรงผม หล่อนไว้ผมยาวกลางหลังแบบนี้มาตลอดชีวิตเพราะมั่นใจว่าผมจะยาวจะช่วยบิดบังอำพรางแก้มกลมอูมของหล่อนได้

    “ยังไงเธอก็ต้องตัดผมจ้ะ คิดตี้ เพราะผมยาวเฟื้อยนี้ทำให้เธอมองดูคล้ายตัวตุ่นใส่วิก”
    มุทิตาสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดขวานผ่าซากของอีวา ‘นี่หล่อนดูแย่ขนาดนี้จริงๆเหรอเนี่ยะ’

    “อ้อ...อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของนางแบบทุกคน เธอจะต้องทิ้งรองเท้าแตะแบนราบที่ทำให้ตัวเตี้ยตะแมะแคระนี้ไปซะ แล้วหัดเดินด้วยส้นสูงสามนิ้วครึ่งเพราะมันจะช่วยให้เธอสูงชะลูดดูดีขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ”

    “แหม...ถ้าต้องโมดิฟายทั้งตัวขนาดนี้ ไม่จับฉันไปทำศัลยกรรมเลยล่ะ” มุทิตาอดประชดไม่ได้

    “นี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเองนะ แล้วเวลาขมวดคิ้วแบบนี้จะทำให้หน้าผากย่นเกิดริ้วรอยไม่สวยรู้ไหม” มุทิตาอยากจะคำรามออกมาดังๆ หล่อนเริ่มจะเข้าใจถึงความร้ายกาจของอีวาก็ตอนนี้เอง ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่ฝึกด้วยกันจริงๆ หญิงสาวจะน่ากลัวกว่านี้สักขนาดไหน

    ร้านเสริมสวยที่คริสพาหล่อนไปนั้นชื่อร้าน ‘โบเต้’ ตั้งอยู่แถวย่านทองหล่อ มุทิตารู้จักร้านนี้ดีเพราะเป็นร้านดังที่มีดารา นักร้องและเหล่าบรรดาคนดังในแวดวงสังคมนิยมมาใช้บริการเสริมความงามกันอย่างคับคั่ง หุ้นส่วนของร้านนี้มีสองคนคือ คุณเป็ก ช่างผมที่มีประสบการณ์ทำงานที่สถาบันสอนทำผมชื่อดังที่อเมริกันมาหลายปี และ ลูกไก่ เมคอัพอาร์ติสมาดตุ้งติ้งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน
    เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ลูกไก่ก็ยิ้มแป้นแล้นเดินมาทักทาย

    “กรี้ด...คุณคริส ทำไมไม่บอกก่อนว่าวันนี้คุณอีวาจะมาด้วย ดูซี วันนี้คุณพี่แต่งตัวโทรมขืนถ่ายรูปคู่ออกสื่อกับคุณอีวาลงเฟสบุ๊คคงขายหน้าเขาตาย” ลูกไก่มีสีหน้ากลัดกลุ้มก่อนจะหันหลังไปเช็คหน้าผมของตัวเองที่กระจกบานใหญ่ด้านหลัง

    “พี่ลูกไก่ดูดีทุกวันอยู่แล้วล่ะครับ ขนาดดาราบางคนหนังหน้ายังเด้งสู้พี่ไม่ได้เลย” คริสป้อย้อจนทำให้อีกฝ่ายหัวเราะอย่างสบอารมณ์ที่ได้ยินคำหวาน

    “แหม ก็ครีมหน้าเด้งของคุณพี่ดีนี่คะ ขนาดเอาไปทดสอบทาผิวจระเข้ที่หยาบกระด้างยังทำให้นุ่มเนียนเหมือนผิวทารกเลย แล้วส่วนผสมก็พิเศษไม่เหมือนใครเพราะสกัดมาจากดอกหน้าวัวจนได้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์ที่สุด ขนาดครีม มาแมร์ของฝรั่งเศสกระปุกละหลายหมื่นที่คุยว่าทำมาจากสาหร่ายทะเลสองพันปียังสู้ครีมของคุณพี่ไม่ได้เลย ไหนๆวันนี้ได้พบคุณอีวาแล้ว อย่าลืมถ่ายรูปครีมของคุณพี่ลงเฟสบุ๊คให้ด้วยนะคะ”

    พูดเสร็จลูกไก่ก็หยิบเซ็ทผลิตภัณฑ์ครีมดอกหน้าวัวยัดใส่มืออีวาที่รับไว้ด้วยท่าทางงงๆ เป็นที่รู้กันว่า นอกจากลูกไก่จะเป็นเมคอัพอาร์ติสแล้ว ยังทำกิจการเครื่องสำอางครีมหน้าเด้งอีกด้วย ครีมของลูกไก่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเพราะลูกไก่หัวใสนิยมยัดเยียดผลิตภัณฑ์ของตนให้กับเหล่าบรรดาคนดัง ซึ่งเมื่อได้รับของมาแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้จริงก็ต้องมีมารยาทช่วยโฆษณาขายของให้เป็นน้ำใจตอบแทน ทำให้เหล่าแฟนคลับของคนดังที่อยากสวยอยากหล่อพากันซื้อใช้ตาม

    “อีวาว่าเอาครีมนี้ให้น้องคิตตี้ใช้แทนดีกว่า เธอเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของอีวาที่พามาให้คุณลูกไก่กับคุณเป๊กช่วยเมคโอเวอร์ให้ รับรองได้ว่าอีกหน่อยเธอจะต้องกลายเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่ดังเปรี้ยงปร้างอย่างแน่นอน” อีวาพูดพลางส่งครีมของลูกไก่ให้มุทิตารับไว้แทน ลูกไก่หันมามองมุทิตาอย่างพิจารณาก่อนจะพึมพำออกมา

    “สวยแปลกดีนะคะ หรือว่าเทรนด์ใหม่ของแฟชั่นซีซั่นหน้าจะนิยมสาวเจ้าเนื้อ คุณพี่ว่าต้องให้คุณน้องคนนี้ตัดผมก่อนเพราะผมยาวสังกะตังยังกะเป็นมนุษย์ถ้ำ ขืนให้คุณพี่แต่งหน้าให้ตอนนี้คงเผลอคิดว่าแต่งหน้าเอฟเฟคให้กับสาวยุคหินแน่ๆ” มุทิตาได้กัดฟันกรอดๆด้วยความแค้นในใจ โชคดีที่หล่อนไม่ต้องทนฟังคำระคายหูจากลูกไก่นานนัก เพราะถึงคิวที่หล่อนจะได้ทำผมพอดี

    เป็ก ผู้เป็นช่างผมชื่อดังไม่ใช่คนพูดมาก เธอพินิจใบหน้าและรูปทรงศีรษะของมุทิตาเพียงครู่หนึ่งก็คว้ากรรไกรมาตัดผมของหล่อนจนสั้นกุด มุทิตาน้ำตาซึมด้วยความเสียดาย ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจคือเมื่อผมของหล่อนถูกหั่นออกก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าแลดูอูมใหญ่อย่างที่คิด ผมทรงใหม่ของหล่อนเป็นผมซอยสั้นที่มีลูกผมล้อมกรอบใบหน้ายาวเลยติ่งหู เพียงเท่านั้นไม่พอ ผมของหล่อนยังย้อมใหม่ให้เป็นสีน้ำตาลอมแดง ทำให้ใบหน้าใสกระจ่างแลดูเด็กลงกว่าเดิมมาก นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งหน้ายังดูเปลี่ยนเป็นคนละคน
     
    “ว้าว...สวยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอตัดผมรุงรังนั่นออก คุณน้องคิตตี้จะกลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้”

     ลูกไก่รีบเอามือปิดปากตัวเองเมื่อเห็นมุทิตาหันมามองด้วยตาเขียวปั้ดอย่างเอาเรื่อง ถึงมุทิตาจะไม่พอใจกับคำพูดจิกกัดของลูกไก่ แต่หล่อนก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเมคอัพอาร์ติสผู้นี้มากนักเพราะกลัวว่าเกิดลูกไก่แค้นขึ้นมาอาจจะละเลงหน้าหล่อนจนเละ

    ลูกไก่จับใบหน้ามุทิตาโยกไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างพิจารณาก่อนจะเริ่มลงครีมบำรุงผิวละเลงทั่วใบหน้าของหล่อน ตามด้วยเมคอัพเบสและรองพื้น เมื่อใบหน้าเรียบเนียนแล้ว ลูกไก่จึงเริ่มแต่งแต้มสีตาให้กับหล่อนด้วยสีน้ำตาลอมทอง กรีดอายไลเนอร์ทำให้ดวงตาของหล่อนที่คมเฉี่ยวได้รูปสวยอยู่แล้วคมเข้มกว่าเดิม แล้วจึงใส่ขนตาปลอม ปัดมาสค่าร่า เติมสีแก้มด้วยสีส้มระเรื่อคล้ายต้องไอแดด ริมฝีปากอวบอิ่มของหล่อนเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีนู้ดด้านๆ ก่อนจะลงแรเงาที่คางทั้งสองข้างเพื่อให้กรอบหน้าของหล่อนดูเรียวเล็กพร้อมกับลงไฮไลท์ให้ดั้งจมูกของหล่อนดูโด่งกว่าเดิม ใครจะเชื่อว่าภายในเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ ลูกไก่จะช่วยร่ายมนต์ให้ใบหน้าของผู้หญิงอ้วนธรรมดาๆอย่างมุทิตาแลดูน่าทึ่งไม่ต่างไปจากนางแบบชื่อดังทั้งหลาย

    “ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าจะสวยได้ขนาดนี้” ลูกไก่ทำหน้าตื่นตะลึงโดยเฉพาะที่คริสจ้องมองหล่อนอย่างชื่นชมจนทำให้มุทิตาใจเต้นแรง พลางมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่หน้ากระจก แม้ว่าหล่อนจะดูสวยสะคราญเพียงใดก็มันไม่ใช่ตัวหล่อนอยู่ดี มุทิตาจึงอดไม่ได้ที่จะเปรยออกมาด้วยความไม่มั่นใจในรูปโฉมใหม่

    “ฉันว่ามันดูแปลกๆยังไงไม่รู้”

    “แปลกตรงไหนกัน...พูดแบบนี้หมายความว่าคุณน้องไม่ชอบฝีมือแต่งหน้าของคุณพี่หรือไงคะ” ลูกไก่แผดเสียงลั่นด้วยอารมณ์ติสต์แตกเพราะไม่เคยมีใครกล้าวิจารณ์ฝีมือแต่งหน้าขั้นเทพมาก่อน

    “เธอไม่ได้ความอย่างนั้นหรอกครับ อาจจะแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย” คำพูดของคริสทำให้ลูกไก่อารมณ์เย็นลง

    “คุณพี่ก็ไม่อยากจะคุยหรอกนะ แต่จะบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณพี่เป็นคนแต่งหน้าให้ คุณน้องคิตตี้ก็คงไม่ดูเจิดแบบนี้หรอก จะว่าไปแล้วตอนนี้คุณน้องคิตตี้ก็ดูคล้ายๆกับโมน่าเหมือนกันนะ”

    “จริงด้วย...ทำไมฉันถึงไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของเธอมีส่วนบางอย่างที่คล้ายกับโมน่า” อีวารำพึงออกมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันมาซักมุทิตา

    “สารภาพกับฉันมาดีๆนะคิตตี้ว่าเธอคือโมน่าปลอมตัวมาใช่ไหม แล้วที่เธอหายตัวไปจากวงการนางแบบก็เพราะน้ำหนักล่ะสิ” คำถามของอีวา ทำให้มุทิตาหน้าซีด ยิ่งทุกคนในร้านฯต่างหันมารอฟังคำตอบด้วยความอยากรู้ มุทิตาก็ยิ่งอ้ำอึ้งพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูก จึงหันไปมองคริสเพื่อขอความช่วยเหลือ

    “จะเป็นไปได้ยังไงอีวา คนเราหน้าตาเหมือนกันมีถมถืดไป” คริสช่วยแย้ง

    “แต่คุณพี่ก็ว่าเหมือนจริงๆนะคะ ตา คิ้ว จมูก ปาก ถอดแบบกันมาเด๊ะ” ลูกไก่ย้ำอย่างมั่นใจ

    “ผมว่าพวกคุณสองคนคิดไปเองแล้วล่ะ” คริสพูดตัดบทเหมือนรำคาญ ทำให้อีวากับลูกไก่รู้ตัวว่าควรจะเลิกถกเรื่องนี้ได้แล้ว

    “จะเหมือนหรือไม่เหมือนก็ช่างเถอะ แต่ที่แน่ๆฉันมั่นใจว่าต่อไปคิตตี้จะต้องเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน” อีวาเอ่ยพลางมองหน้ามุทิตายิ้มๆ

    “คุณพี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ถ้าคุณน้องคิตตี้ดังเมื่อไหร่ก็อย่าลืมช่วยโฆษณาครีมบำรุงผิวของคุณพี่ด้วยนะคะ ถือว่าช่วยเมคอัพอาร์ติสตัวเล็กๆคนนี้ก็แล้วกัน” ลูกไก่รีบเสริมขึ้นมาอย่างเอาใจ ซ้ำยังนวดเฟ้นต้นคอและแขนให้มุทิตาอย่างประจบประแจง
    เมื่อเสร็จธุระเรื่องเสริมความงามแล้ว คริสก็หันไปพูดกับอีวา

    “ผมจะพาคิตตี้ไปตัดเสื้อที่ร้านบาลินี่ของแมททิว ถ้าคุณอึดอัดไม่อยากพบหน้าเขา ผมจะพาคุณไปส่งที่ร้านกาแฟใกล้ๆแล้วค่อยแวะมารับ”

    “ทำไมฉันจะต้องอึดอัด ในเมื่อเรื่องนั้นก็จบไปตั้งนานแล้ว”

    “ผมดีใจที่คุณไม่คิดมากเรื่องแมททิวแล้ว...แต่หวังว่าถ้าได้หน้าเขา คุณจะเก่งอย่างที่ปากพูดจริงๆ”
    บทสนทนาของคริสกับอีวาทำให้มุทิตาสงสัยว่าแมททิว เจ้าของห้องเสื้อบาลินี่กับอีวาจะต้องเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันอย่างแน่นอน

    ****************************

    บรรยากาศภายในรถตึงเครียดตลอดการเดินทางไปร้านบาลินี่ โดยเฉพาะอีวาที่นิ่งเงียบไม่ช่างพูดช่างคุยอย่างเคย ส่วนคริสก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ มุทิตาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมคริสถึงต้องเจาะจงไปร้านบาลินี่ทั้งที่ในกรุงเทพฯมีห้องเสื้อดังๆอีกตั้งมากมาย คล้ายกับคริสจงใจอยากให้อีวาได้พบกับแมททิวและยิ่งทำให้มุทิตาสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของอีวากับดีไซน์เนอร์หนุ่มผู้นี้มากขึ้น

    ร้านบาลินี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านเสริมสวยนัก ด้านหน้าร้านมีชุดราตรีปักเลื่อมตั้งโชว์อยู่สี่ชุด แต่ละชุดสวยสะดุดตาจนหากใครเดินผ่านต้องหยุดยืนมอง แมททิวเป็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ในการออกแบบชุดราตรีได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ร้านของเขามีสาขาในหลายประเทศและจ้างดีไซน์เนอร์จบใหม่ไฟแรงในประเทศนั้นๆให้เป็นลูกทีมช่วยออกแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นต่างๆเพื่อให้ถูกใจและเจาะตลาดลูกค้าทุกกลุ่ม ส่วนตัวเขาจะผลัดเปลี่ยนไปประจำตามสาขาในประเทศต่างๆครั้งละเดือนหรือสองเดือน เพื่อจะได้ดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง อย่างช่วงนี้แมททิวจะมาประจำที่สาขากรุงเทพฯและอยู่นานกว่าปกติเพื่อเตรียมเสื้อผ้าสำหรับงานบางกอกแฟชั่นวีคซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า

    ทันทีที่ประตูร้านถูกเปิดออกพร้อมสัญญานที่แจ้งให้คนร้านรู้ว่ามีลูกค้ามาเยือน ก็มีหญิงสาวร่างผอมสูงชาวตะวันตก เดินมาต้อนรับ และเมื่อเธอผู้นั้นเห็นอีวาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะทักทาย

    “ไม่เจอกันนานเลยนะ อีวา ไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีก...โดยเฉพาะที่นี่”อีวานิ่งเงียบคล้ายไม่ได้ยินคำถามนั้น

    “ผมนัดแมททิวไว้จะให้ออกแบบเสื้อให้คุณผู้หญิงคนนี้ “ คริสทำลายบรรยากาศที่อึดอัดด้วยการเอ่ยถึงธุระของวันนี้

    “งั้นก็เชิญรอที่โซฟาก่อน ตอนนี้แมททิวคงจะสอนลูกทำการบ้านอยู่” หญิงสาวคนนั้นจงใจเน้นคำว่า ‘ลูก’ให้อีวาได้ยิน ทำให้ใบหน้าขาวเผือดของอีวาซีดเซียวกว่าเดิม เมื่อลับตาภรรยาของแมททิวแล้ว มุทิตาก็เอ่ยถามอีวาด้วยความเป็นห่วง

    “คุณโอเคหรือเปล่าคะ หน้าซีดเหมือนจะเป็นลม”

    “ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย อาจจะยังเพลียจากการเดินทาง”

    “ถ้าคุณไม่ไหวต้องบอกฉันนะคะ เราค่อยมาตัดเสื้อทีหลังก็ได้” มุทิตาท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางอ่อนแรงของอีวา

    “เลื่อนไม่ได้หรอก..เราต้องตัดชุดวันนี้ เพราะแมททิวมีคิวแน่นตลอดทั้งเดือน ที่สำคัญผมต้องการให้เขาตัดชุดให้คุณ” คริสพูดเสียงเข้ม มุทิตาจึงได้แต่เบ้ปากแล้วนั่งรออย่างเซ็งๆ
    “ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอ” เสียงทุ้มเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้น พร้อมกับการปรากฎตัวของชายหนุ่มตะวันตกร่างสูงแต่ผอมบาง เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกแข็งแรง ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงแสล็คสีดำ ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลไหม้ดูยุ่งเหยิงหน่อยๆคล้ายคนที่เพิ่งตื่นนอน แต่ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากเป็นสีชมพูอย่างคนที่มีสุขภาพดี
    “ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบคุณที่นี่นะ อีวา” รอยยิ้มคลี่กระจายบนใบหน้าคมสันของแมททิวยามจับจ้องที่หญิงสาว
    “เมื่อกี้มาเรียก็พูดแบบนี้กับฉัน แสดงว่าคุณทั้งคู่คงจะไม่ได้ยินดีที่จะพบหน้าฉันสักเท่าไหร่” อีวาเหน็บแนม
    “ไม่จริงเลย ผมอยากพบคุณมาโดยตลอด แต่ก็คุณก็หายตัวไปและไม่เปิดโอกาสให้ผมได้อธิบายอะไรกับคุณเลย” แมททิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
    “ไม่จำเป็น ที่ฉันมาที่นี่ไม่ได้ต้องการเสียเวลามาฟังนิทานหลอกเด็ก คุณเล่าเรื่องพวกนี้ให้มาเรียกับลูกของคุณฟังเถอะ” อีวาพูดพลางสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่แยแส
    “ไม่เป็นไรอีวา...ถึงวันนี้คุณจะไม่ยอมฟังผม แต่อีกหน่อย ผมจะต้องทำให้คุณเข้าใจผมให้ได้” แมททิวเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินนำมุทิตาเข้าไปในห้องซึ่งมีเสื้อผ้ามากมายแขวนอยู่ ชายหนุ่มวัดตัวให้หล่อนพลางพินิจพิจารณา
    “ผมว่าผิวขาวอมเหลืองอย่างคุณใส่สีเข้มๆคงดูไม่เหมาะ น่าจะใส่โทนสีเบจหรือพาสเทลจะทำให้ดูสว่าง ส่วนแบบเสื้อ ผมจะตัดให้เข้ารูปมากขึ้นเพราะชุดที่ใหญ่โคร่งจะทำให้คุณดูอ้วนกว่าเดิม จะว่าไปแล้วรูปร่างของคุณกับอีวาสมัยก่อนก็ใกล้เคียงกันนะ ตอนนั้นผมมีความสุขมากที่ได้ตัดเสื้อให้เธอ จนถึงขนาดคิดว่าอยากจะเปิดร้านเสื้อบูติคสำหรับสาวไซส์ใหญ่โดยเฉพาะ แต่ว่า...” แมททิวพูดยังไม่ทันจบ อีวาก็สวนขึ้นมาทันที
    “แต่ในที่สุดคุณก็เลือกที่จะเปิดร้านเสื้อสำหรับผู้หญิงผอมๆแทน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามสร้างภาพให้ตัวดูเองดีหน่อยเลย” แมททิวหน้าจ๋อยเมื่อถูกแขวะ ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด มาเรียก็จูงเด็กชายอายุประมาณหกขวบเดินเข้ามา
    “พ่อครับ...ผมอยากให้พ่อช่วยต่อรถบังคับให้”เด็กชายสลัดมือจากเกาะกุมของมาเรีย ถลาเข้าไปเกาะแขนแมททิวอย่างประจบประแจง
    “ตกลง อเล็กซ์ แต่ลูกจะต้องรอจนกว่าพ่อจะทำงานเสร็จ ลูกให้แม่พาไปดูการ์ตูนก่อนก็แล้วกัน” แมททิวพูดกับลูกชายอย่างอ่อนโยน
    ภาพเบื้องหน้าที่แมททิวแสดงความรักต่อลูกชายอย่างอ่อนโยน ทำให้อีวานิ่งเงียบกว่าเดิม มุทิตาสังเกตเห็นความปวดร้าวที่ปรากฎในแววตาของหญิงสาว ทว่าเพียงครู่เดียวแววตาของอีวาก็กลับมาสงบนิ่งตามเดิม และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ
    “นี่ลูกชายของคุณเหรอ ห้าขวบแล้วซีนะ”
    “ครับ...เขาชื่ออเล็กซ์” แมททิวตอบไม่เต็มเสียงนัก
    “อเล็กซ์เค้าติดพ่อของเขามาก.. ครอบครัวเราก็แบบนี้แหละจ้ะ ห่างกันได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นเวลาที่แมททิวทำงาน เราสองคนแม่ลูกก็เลยต้องตามมาดูแลให้กำลังใจ” มาเรียพูดพลางเดินมากอดแขนของแมททิวไว้อีกข้างอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
    “ฉันดีใจด้วยที่พวกคุณมีความสุข...ถ้าคุณวัดตัวของคิตตี้เสร็จแล้ว ฉันก็ขอตัวก่อนไปรอข้างนอกก่อน เพราะรู้สึกว่าอากาศในร้านจะอับๆ ฉันหายใจไม่ออก” อีวาพูดเสร็จก็เดินผลุนผลันออกจากร้านไป โดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของคริส
    มาเรียยิ้มน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา
    “ฉันว่าเธอยังรักคุณอยู่นะแมททิว”
    “ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคุณแกล้งอีวาทำไม รู้ไหมว่าคุณจะทำให้เรื่องของผมกับอีวายิ่งยุ่งยากไปกว่าเดิม” แมททิวตำหนิ มาเรียที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
    “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าอีวายังรักคุณอยู่ คุณน่าจะขอบคุณฉันมากกว่านะคะ ต่อจากนี้คุณก็หาทางปรับความเข้าใจกับเธอเองก็แล้วกัน” พูดจบมาเรียก็พาอเล็กซ์เดินออกไปจากห้อง
    มุทิตางงกับคำพูดของมาเรียเมื่อครู่ ตกลงมาเรียกับแมททิวมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ ซ้ำมาเรียยังเอ่ยทำนองว่าให้แมททิวกลับไปคืนกับอีวาอีก ดูเหมือนความสัมพันธ์ของสามคนนี้จะซับซ้อนกว่าที่คิด
    เมื่อมาเรียเดินลับตาไปแล้ว คริสจึงปลอบใจแมททิวที่ทำหน้าจ๋อย
    “ใจเย็นๆนะแมททิว ทุกอย่างต้องมีทางออก วันหนึ่งอีวาจะต้องยอมรับฟังและเข้าใจคุณ แต่คุณอาจจะต้องพยายามให้มากหน่อย ส่วนเรื่องชุดของคิตตี้...ผมฝากให้คุณช่วยจัดการให้เธอด่วนหน่อยนะครับ” คริสย้ำเพื่อไม่ให้ดีไซน์เนอร์หนุ่มผู้กำลังมีจิตใจว้าวุ่นลืมเรื่องงานของวันนี้
     “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจะตัดชุดของคุณคิตตี้ให้เสร็จภายในอาทิตย์หน้า...เมื่อกี้ ผมก็ลืมถามคุณไปว่า คุณพบกับคุณคิตตี้ที่ไหน คนสวยๆอย่างเธอไม่น่าหลุดสายตาแมวมองไปได้ ยิ่งมองผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอคล้ายกับคุณโมน่ามาก นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า” แมททิวพูดพลางเพ่งพิศใบหน้าของหล่อน
    ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง มีคนทักหล่อนว่าหน้าคล้ายโมน่าถึงสองคนแล้ว มุทิตาไม่ต้องการให้ใครรื้อฟื้นเรื่องของโมน่าขึ้นมาอีก ดังนั้นหล่อนจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
    “ฉันคงหน้าโหลมากกว่าค่ะ รูปร่างของฉันก็ไม่ผอมบางเหมือนนางแบบสักนิด จะไปเหมือนกับคุณโมน่าได้ยังไง แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำชมและฉันจะรอชุดสวยๆจากคุณนะคะ” มุทิตายิ้มหวานให้กับดีไซน์เนอร์หนุ่ม
    “ยินดีครับคุณคนสวย...ผมมั่นใจว่าคุณจะแจ้งเกิดอย่างแน่นอนเพราะมีอีวาเป็นครูฝึกและได้คริสเป็นช่างภาพ ไว้ถ้ามีโอกาส ผมจะขอให้คุณเป็นนางแบบให้ผมบ้างนะครับ” แมททิวหยอดกลับ

    “เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลังนะแมททิว ขอบใจคุณมากที่ช่วยเป็นธุระเรื่องเสื้อให้คิตตี้ แต่ผมคงต้องไปแล้วเหมือนกันเพราะป่านนี้อีวาคงไปรอข้างนอกนานแล้ว ไว้ค่อยพบกันตอนเสื้อเสร็จ” คริสตัดบทก่อนจะคว้าข้อมือของมุทิตาให้รีบเดินตรงไปที่รถ ซ้ำยังบีบรัดข้อมือของหล่อนแน่นจนระบมไปหมด

    “โอ้ย...เจ็บนะ บีบข้อมือฉันแรงๆทำไม” มุทิตาแผดเสียงลั่นด้วยความโมโห

    “ถ้าไม่จำเป็นคุณก็ไม่ควรพูดจาหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชายให้มันมากนัก เพราะดูไม่ดี หรือว่าเห็นว่าตัวเองสวยขึ้นเลยอยากทดสอบเสน่ห์”

    “พูดให้มันดีๆหน่อยนะคุณ หรือที่คุณฉุนเฉียวแบบนี้เพราะหึงฉัน” มุทิตาพูดพลางหรี่ตามองคริสอย่างเจ้าเล่ห์

    “ผมเนี่ยะนะหึงคุณ มันไม่มีทางเป็นไปได้” คริสพูดพลางยื่นหน้ามาใกล้มุทิตาหัวใจเจ้ากรรมของหล่อนก็เกิดเต้นตูมตามจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เลือดลมสูบฉีดจนแดงแปร้ดไปทั้งตัว แข้งขาก็พลอยไร้เรี่ยวแรงไปเสียอย่างนั้น

     “เธอสองคนจะทะเลาะอีกนานไหม ฉันเหนื่อย อยากจะกลับบ้านเต็มที” เสียงของอีวาคล้ายเสียงระฆังที่ช่วยแยกหล่อนออกจากคริสได้ทันเวลาก่อนที่จิตใจของหล่อนจะวูบวาบไปกับช่างภาพหน้าหล่อผู้นี้
    คริสและมุทิตาต่างแยกย้ายประจำที่ในรถ ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยตลอดการเดินทาง ทว่าท่ามกลางความเงียบนั้น มุทิตาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นโครมครามยิ่งกว่าเพลงร็อคในคอนเสิร์ตใดๆ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×