ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเกินร้อย

    ลำดับตอนที่ #4 : การเริ่มต้นของสัญญาหนี้

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 55


    ตอนที่ 4

    “กรี้ด...ลาภปาก ใครจะคิดว่าในชีวิตนี้ ฉันจะได้มากินอาหารที่ร้านบรรยากาศเริ่ดๆแบบนี้” อลิสายังพร่ำพรรณาไม่หยุดปาก เพราะร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูแห่งนี้ตั้งอยู่บนตึกสูงชั้นที่ยี่สิบ ผนังทุกด้านกรุด้วยกระจกใสมองเห็นวิวกรุงเทพฯได้รอบทิศทาง ซ้ำตรงกลางร้านยังสร้างเป็นหอคอยสูงไว้สำหรับบรรจุไวน์

     “นั่นซี ผมก็ไม่คิดว่าจะได้กินอาหารที่ร้านหรูๆแบบนี้ คะน้าจะต้องมีความลับอะไรแน่ๆ” ปกรณ์พูดพลางจ้องหน้ามุทิตาอย่างจับผิด เพราะปกติแล้วหญิงสาวไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับอาหารมื้อแพงๆแบบนี้มาก่อน

    “จริงๆก็มีแหละ กินอาหารให้เสร็จก่อนดีกว่าไหม เพราะฟังแล้วอาจจะกินไม่ลง” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงไม่ที่ค่อยจะสดใสนัก

    “ขนาดกินไม่ลงเลยเหรอ แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายงั้นซี” อลิสาทิ้งส้อมที่จิ้มเนื้อเสต็กลงบนจานอย่างหมดอารมณ์ที่จะรับประทานต่อ

     “ก็ประมาณนั้นแหละ” มุทิตาหลุบตาลงแล้วตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก

    “พูดแบบนี้ก็คงกินไม่ลงแล้วล่ะ บอกมาเถอะ ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ฉันเห็นเธอทำท่าแปลกๆตั้งแต่เสร็จงานอีเว้นต์วันนั้นแล้ว เรื่องกล้องที่เสียหายนั่นก็เป็นอุบัติเหตุ ทางบริษัทกล้องเค้าไม่เอาความไม่ใช่เหรอ แล้วจะกลุ้มใจเรื่องอะไรอีก” อลิสาถามด้วยสีหน้างุนงน

    ไม่มีใครรู้ว่ามุทิตาต้องชดใช้หนี้กล้องถ่ายรูปที่เสียหายเป็นจำนวนเงินถึงสองล้านบาท ซ้ำยังต้องอ้อนวอนบรรดาสื่อมวลชนไม่ให้ลงข่าวเรื่องอุบัติเหตุที่หล่อนทำให้กล้องถ่ายรูปมูลค่าสูงนั้นเสียหาย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีภาพของมุทิตาหลุดออกมาอยู่ดี วันที่เกิดเรื่อง หญิงสาวยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องนี้ให้ปกรณ์และอลิสาฟัง เพราะไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองกังวลใจ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นที่หล่อนจะต้องวางมือจากงานเคเทอริ่งและย้ายไปอยู่ที่บ้านของคริสเป็นเวลาสามเดือนเต็มๆเพื่อฝึกการเป็นนางแบบตามเงื่อนไขที่ตกลงในสัญญาหนี้ มุทิตาจึงจำเป็นต้องสารภาพความจริงให้เพื่อนทั้งสองฟัง

    “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนกระทั่งครบสามเดือน ฉันต้องขอลางานเคเทอริ่ง เพราะจะต้องไปอยู่ที่บ้านของอีตาคริสเพื่อใช้หนี้ ความจริงแล้วตอนที่กล้องนั่นตกลงมาพัง ฉันต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทกล้องเป็นเงินถึงสองล้านบาท แต่ตอนนั้นมันเข้าตาจนไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากไหน ถ้าไม่มีเงินใช้หนี้ตอนนั้น ฉันก็คงถูกตำรวจจับก็เลยจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากนายนั่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอการเป็นนางแบบให้กับเขา”

     “นางแบบ!” อลิสาและปกรณ์ประสานเสียงลั่นพร้อมกัน ลูกค้าโต๊ะข้างๆต่างหันมามอง ทำให้มุทิตารีบยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากเป็นเชิงปรามให้เงียบเสียง

    “ใช่...นางแบบ ฟังไม่ผิดหรอก ฉันจะต้องไปอยู่ที่บ้านของเขา เพราะจะมีครูฝึกนางแบบชื่อดังมาช่วยเทรนให้ เพราะฉะนั้น ฉันคงต้องขอลางานเคเทอริ่งในช่วงนี้ พวกเธอคงไม่ว่าอะไรฉันใช่ไหม” มุทิตาถามเสียงอ่อยๆอย่างรู้สึกผิด เพราะหากขาดหล่อนไปสักคน งานที่บริษัทคงจะยุ่งมากทีเดียว

    “จริงเหรอ...ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ใช่ว่าแกไม่สวยนะคะน้า แต่ฉันสงสัยว่าเขาคิดยังไงถึงอยากได้แกเป็นนางแบบ แถมยังให้ไปอยู่ที่บ้านของเขาด้วย แล้วเงินสองล้านที่เขาใช้หนี้ให้แกก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ มันมากพอที่จะจ้างซูเปอร์โมเดลได้เลย เป็นไปได้ไหมว่าเขาแอบปิ๊งแกถึงได้ลงทุนขนาดนี้” อลิสาครุ่นคิด เช่นเดียวกับปกรณ์ที่มีสีหน้าวิตก

    “ผมว่ามันแปลกจริงๆด้วย หรือว่าหมอนั่นจะปิ๊งคะน้าจริงๆ ไม่ได้นะ คะน้า ผมไม่ยอม ผมจะพยายามหาเงินสองล้านบาทให้คะน้าไปใช้หนี้แทนให้ได้” ปกรณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

    “ขอบคุณแนนกับเคนมากนะ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยฉันได้หรอก เพราะในสัญญาระบุว่าฉันไม่สามารถชดใช้หนี้ด้วยเงิน หรือวิธีการอื่น นอกจากเป็นนางแบบให้เขาเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขามีแฟนแล้วเป็นถึงนางแบบดังชื่อ ‘พอลลี่’ ไงล่ะ” คล้ายกับมุทิตามีวาจาสิทธิ์ เพียงแค่เอ่ยชื่อ พลอยชมพูก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของหล่อนพร้อมกลุ่มนางแบบ

    “ต้าย…ไม่น่าเชื่อว่าจะพบพนักงานเสิร์ฟอย่างเธอที่ร้านหรูๆแบบนี้ได้ ถ้ารวยขนาดมีปัญญามากินอาหารที่นี่ ทำไมไม่จ่ายหนี้เองล่ะ ให้คริสจ่ายให้เธอทำไม” นางแบบสาวเปิดศึกกับมุทิตาทันที

    “ไม่รู้ซีคะ บางทีคุณคริสอาจจะแอบชอบฉันก็ได้ แถมสัญญาใช้หนี้ยังระบุให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขาเพื่อฝึกเป็นนางแบบอีกด้วย พอฉันบอกว่าจะหาเงินมาใช้หนี้ให้ เขาก็ไม่ยอม บอกว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องให้ฉันทำตามเงื่อนไขนี้ น่าแปลกนะคะ ทำไมคุณคริสถึงอยากได้ฉันเป็นนางแบบนักทั้งที่เขาเองก็มีคนรักเป็นถึงซูเปอร์โมเดลอย่างคุณ อุ้ย...นี่ฉันพูดอะไรให้คุณไม่สบายใจหรือเปล่าคะเนี่ยะ” มุทิตาแสร้งเอามือปิดปากทำท่าเหมือนตกใจที่หลุดปากพูดสิ่งซึ่งไม่ควรเอ่ยออกมา ทำให้พลอยชมพูเดือดดาลเพราะถูกจี้ใจดำที่แฟนหนุ่มมองข้าม

     “อย่าฝันไปเลยว่าคนอย่างคริสเขาจะชอบยายอ้วนอย่างเธอ หัดเจียมสารรูปตัวเองบ้างเถอะ ที่เขาอยากได้เธอเป็นนางแบบเพราะก็เธอมันเป็นของแปลก แล้วที่เขาขอเธอให้อยู่บ้านด้วย คงคิดจะใช้เธอทำงานบ้านล่ะมั๊ง จะได้คุ้มกับเงินก้อนใหญ่ที่เสียไป”พลอยชมพูพูดอย่างเยาะๆ แต่แววตากลับแสดงออกถึงความหวาดระแวงและหึงหวง มุทิตานึกสนุกจึงยั่วพลอยชมพูต่อ

    “คุณคริสคงไม่คิดจะใช้ฉันทำงานบ้านหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงทุนจ้างคุณอีวาให้บินจากอเมริกาเพื่อมาเป็นครูฝึกนางแบบให้ฉัน แถมคุณอีวายังพักอยู่ที่บ้านของคุณคริสเพื่อช่วยดูแลฉันอีกด้วย”

    “อีวาจะมาอย่างนั้นเหรอ...ทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ”พลอยชมพูร้องเสียงหลง เช่นเดียวกับเพื่อนนางแบบอีกสองคนที่พลอยทำหน้าตกใจเมื่อได้ยินชื่อครูฝึกนางแบบผู้นี้

    “อยากรู้อะไรก็ไปถามคุณคริสเองแล้วกันนะคะ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันกับเพื่อนขอตัวกินอาหารอย่างสงบๆตามลำพัง” มุทิตาเอ่ยปากไล่

    “บ้า...บ้าที่สุด ทำไมคริสถึงทำแบบนี้กับฉัน ยิ่งรู้อยู่ว่าฉันไม่ถูกกับแม่นั่น ฉันไม่ยอมจริงๆด้วย” พลอยชมพูกรีดร้องพลางเต้นเร้าๆ

     “พอลลี่...ฉันว่าเธอกลับไปนั่งที่โต๊ะเพื่อสงบจิตสงบใจก่อนดีกว่า ดูซี คนมองเธอกันใหญ่แล้ว เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวหรอก” เพื่อนนางแบบสาวคนหนึ่งเอ่ยปากเตือน พอลลี่จึงยอมนิ่งเงียบ แต่พอจะเดินกลับไปก็ยังไม่วายหันมาขู่มุทิตา

    “เธอเองก็ระวังอีวาไว้ให้ดี นังนี่มันอสรพิษชัดๆ รับรองว่าเธอจะเละยิ่งกว่าขาหมูคากิซะอีก” มุทิตาเริ่มใจเสีย แต่ก็ยังยิ้มสู้

    “ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะยังไงคุณคริสก็ต้องปกป้องฉันในฐานะนางแบบของเขาอยู่แล้ว ดีไม่ดี คุณอีวาอาจจะชอบฉันก็ได้

    “ไม่มีทางหรอกย่ะ คนอย่างอีวาไม่เคยถูกชะตากับผู้หญิงคนไหนที่อยู่ใกล้คริส มื้อนี้ก็กินให้เต็มที่ล่ะ เพราะอีกไม่นานเธอจะกินอะไรไม่ลงเลยล่ะ” พลอยชมพูจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่บาดแก้วหู
     
    “คะน้า...แก อย่าไปฟังยายนางแบบนั่นเลยนะ มันคงไม่แย่อย่างที่พูดหรอกมั๊ง” อลิสาให้กำลังใจ
    “นั่นซี แต่ถ้าคะน้าถูกผู้หญิงคนนั้นแกล้ง ก็โทรบอกผมได้เลยนะ ผมจะมาช่วยคุณทันที แต่แน่ใจจริงๆเหรอว่าคะน้าจะทนอยู่บ้านหมอนั่นได้”

    “ต้องอยู่ให้ได้ซี เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น รีบกินกันดีกว่า ก่อนที่อาหารจะเย็นชืด ไหนๆมื้อนี้ฉันจะเลี้ยงแล้วก็กินให้คุ้มเลยนะ” มุทิตาพูดเพื่อให้เพื่อนทั้งสองคลายกังวล เช่นเดียวกับปลอบตัวเองว่าอย่าได้กลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เอาเข้าจริง หล่อนเองกลับไม่รู้สึกเจริญอาหารแม้แต่น้อยเพราะคำพูดของพลอยชมพูนั้นคอยรบกวนจิตใจ

    *************************

    ทำไมคริสถึงไม่บอกพอลลี่ว่าอีวาจะมาเมืองไทย แล้วยังจะมาเป็นครูฝึกนางแบบให้ยายช้างพังอีก นี่คุณตั้งใจจะปิดบังพอลลี่ใช่ไหมคะ”

    พลอยชมพูอาละวาดใหญ่โต จนคริสกุมขมับ ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งเคลียร์ปัญหาเรื่องที่แฟนสาวไม่พอใจที่เขาใช้หนี้ให้มุทิตาด้วยการซื้อกระเป๋าหนังจระเข้ที่พลอยชมพูอยากได้เพื่อง้องอน แต่พอครั้งนี้เป็นเรื่องของอีวาซึ่งหญิงสาวถือว่าเป็นศัตรูหมายหนึ่ง พลอยชมพูจึงเป็นเดือดเป็นแค้นกว่าครั้งอื่นๆที่ผ่านมา

    “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” คริสเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    “พอลลี่รู้เรื่องนี้จากยายอ้วนนั่น เราเจอกันโดยบังเอิญที่ร้านอาหาร บอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าพอลลี่ไม่ยอมให้อีวามาอยู่ที่บ้านของคุณ สารภาพมาซะดีๆว่าคุณกับคุณอีวาแอบเป็นกิ๊กกันหรือเปล่า” สายตาของพลอยชมพูเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

    “ผมพูดเรื่องนี้กับคุณเป็นร้อยครั้งพันครั้งแล้วว่า ผมกับอีวาเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวอย่างที่คุณคิด และผมจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าคุณจะเข้าใจและเลิกถามเรื่องนี้กับผมซะที”                                                                                                                                                                                                                                                                        “พอลลี่ก็พยายามเข้าใจคุณแล้ว แต่ลองคิดในมุมกลับกันดูบ้างซีคะว่าถ้าคุณเป็นพอลลี่ คุณจะทนได้หรือเปล่า แต่ทุกวันนี้ที่พอลลี่อดทนก็เพราะรักคุณมาก แต่ความอดทนของคนเราก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะคะ ถ้าคุณแคร์พอลลี่ ก็ต้องให้อีวาไปอยู่ที่อื่น ส่วนเรื่องฝึกยายหมูตอนนั่น พอลลี่ช่วยฝึกให้เองก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ยอมตกลง เราก็เลิกกัน”

    ความบาดหมางระหว่างพลอยชมพูกับอีวาถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ยากต่อการประสาน มูลเหตุนั้นเกิดขึ้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพาพลอยชมพูไปแนะนำให้รู้จักอีวาที่บาร์แห่งหนึ่งในแอลเอ คืนนั้นมีการจัดกิจกรรมแข่งเต้น รางวัลของผู้ชนะคือเงินสดมูลค่าราวสามพันห้าร้อยเหรียญยูเอสดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกราวๆแสนกว่าบาท

    “ลองมาแข่งเต้นกันไหม ดูสิว่าระหว่างฉันกับเธอ ใครจะชนะ” อีวาท้าให้พลอยชมพูแข่งเต้นหลังจากที่พลอยชมพูคุยนักคุยหนาว่าลีลาการเต้นของเธอเด็ดดวงไม่แพ้ใคร

    “ผมว่าอย่าแข่งเลย ดูคนที่มาแข่งซี พวกคุณสู้ไม่ได้หรอก” คริสรีบห้ามเพราะไม่ค่อยไว้ใจอีวานักว่าจะมีแผนการอะไรหรือเปล่า

    “แหม อย่ามองฉันแบบจับผิดอย่างนั้นซี คริส เราก็แค่สนุกกันนิดหน่อยตามประสาสาวๆเท่านั้นเอง” อีวาพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แต่คริสกลับไม่ไว้อีวาเลยแม้แต่น้อย เพราะที่ผ่านมาอีวาก็คอยรังควาญคนรักเก่าของเขา หากใครทนไม่ได้ก็ต้องเลิกราไปเอง ครั้งนี้พลอยชมพูก็คงไม่แคล้วถูกรับน้องจากอีวาด้วยเช่นกัน

    “ลองแข่งดูก็ได้ค่ะ ถ้าฉันชนะคุณ สัญญาได้ไหมว่า คุณจะไม่กันท่าฉันเหมือนที่คุณเคยทำกับผู้หญิงคนอื่นๆของคริส” พลอยชมพูต่อรอง

    “ตกลงตามนั้น” ทันทีที่พูดจบอีวาก็คว้าข้อมือพลอยชมพูขึ้นไปบนเวที โดยไม่บอกให้รู้ก่อนว่าการแข่งขันเต้นที่ว่านี้คือการแข่งขันเต้นสกา ซึ่งเน้นความฮาเป็นหลัก คนที่เต้นได้ฮาที่สุดถึงจะเป็นผู้ชนะ พลอยชมพูอึ้งด้วยความเสียรู้ เพราะไม่คาดคิดว่าอีวาจะให้แข่งเต้นท่าพิเรนท์ๆแบบนี้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเพลงสกาบรรเลงขึ้น ผู้ร่วมแข่งขันแต่ละคนต่างเต้นยึกยือประกวดประกันด้วยท่าทางประหลาด

    พลอยชมพูยืนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยักไหล่สองข้างกระตุกไปมา ผสมมั่วกับลีลาเบรกแดนซ์ ทำให้ผู้คนในผับต่างพากันปรบมือและหัวเราะให้กับท่าเต้นอันแหวกแนวของพลอยชมพูที่ขัดกับใบหน้าสวยๆของเธอโดยสิ้นเชิง

    เสียงเชียร์ที่กึกก้องทำให้พลอยชมพูหึกเหิมเต้นเพลินจนไม่ทันได้สังเกตว่า อีวาไม่ได้เต้นอยู่บนเวทีแล้วแต่กลับลงไปนั่งดูเธอเต้นพลางหัวเราะลั่น หญิงสาวถึงได้รู้ว่าตัวเองเสียรู้อีวาเข้าให้แล้ว ใครต่อใครในผับต่างจำได้ว่าพลอยชมพูเป็นนางแบบดังจึงพากันถ่ายภาพและอัดคลิปวิดีโอไว้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ภาพและคลิปวิดีโอการแข่งเต้นสกาของพลอยชมพูที่ผับแห่งนั้นก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต รวมทั้งถูกตีพิมพ์ในนิตยสารก็อตซิปดาราและนิตยสารแฟชั่นหลายเล่ม

    พลอยชมพูไม่เพียงแต่อับอายจนไม่กล้าออกไปไหนร่วมเดือน แต่ยังทำให้ห้องเสื้อชั้นสูงแบรนด์หนึ่งยกเลิกสัญญาให้หญิงสาวเป็นแบบเสื้อคอลเลคชั่นใหม่โดยให้เหตุผลว่าภาพลักษณ์ของพลอยชมพูขัดต่อแบรนด์เสื้อที่เน้นความไฮคลาส ผลจากการพลาดงานใหญ่ยิ่งกลายเป็นเหตุให้พลอยชมพูแค้นอีวามากกว่าเดิมจนจัดอันดับให้อีวาเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่รอเวลาชำระแค้น ดังนั้นเมื่ออีวาจะมาเมืองไทย ซ้ำยังจะมาอยู่ที่บ้านของเขาอีก พลอยชมพูเลยยิ่งคลั่งหนักด้วยความแค้นที่ยังสุมอยู่ในใจ

    คริสปวดหัวกับปัญหานี้เหลือเกิน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางออกให้กับเรื่องนี้เลยจริงๆ

    “พอลลี่ ผมขอโทษ ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออก ที่สำคัญอีวาก็กำลังเดินทางมาเมืองไทย ผมคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ที่ผมไม่ได้ขอให้คุณเป็นครูฝึกของมุทิตา เพราะรู้ว่าคุณกำลังมีงานชุกเลยไม่อยากรบกวนเวลาทำให้คุณต้องเสียรายได้ อีกอย่าง ช่วงนี้อีวากำลังลาพักร้อนและงานฝึกนางแบบก็เป็นงานที่เธอถนัด ผมก็เลยขอให้เธอช่วยเทรนมุทิตาเพื่อแลกกับค่ากินอยู่ พอลลี่ คุณก็รู้ว่าผมตั้งใจกับงานนิทรรศการภาพถ่ายครั้งนี้มาก แล้วมันก็เป็นแค่ระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ผมสัญญาว่าครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้อีวาแกล้งอะไรคุณได้อีก หากเธอทำอะไรให้คุณต้องเดือดร้อน ผมจะส่งเธอกลับอเมริกาทันที”

    คริสให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกำราบอีวาไม่ให้เที่ยวรังควานผู้หญิงที่เขาคบอีก ทั้งยังมั่นใจว่าอีวาจะไม่กลั่นแกล้งมุทิตาอย่างแน่นอน เพราะมุทิตาไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาในเชิงชู้สาวเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆที่อีวาเคยพบ

    “ตกลงคุณจะไม่ยอมทำตามที่พอลลี่ขอใช่ไหมคะ” พลอยชมพูตัดพ้อ เมื่อเขายืนกรานทำตามความตั้งใจเดิมโดยไม่สนใจคำขู่ของเธอ

    “ผมขอเวลาแค่สามเดือนนี้ไม่ได้เหรอ แล้วหลังจากนั้นจะยอมตามใจคุณทุกอย่าง” คริสอ้อนวอน พลอยชมพูนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่ยังบูดบึ้ง

    “ก็ได้ค่ะ พอลลี่จะยอมทำตามคำขอของคุณอีกสักครั้ง...แต่ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าคุณผิดสัญญาอีก พอลลี่ก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”

    คริสถอนใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยพลอยชมพูยังไม่สะบั้นความสัมพันธ์กับเขาในตอนนี้ ขอเพียงช่วงเวลาสั้นๆนี้เท่านั้นเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองแล้วหลังจากนั้นเขาจะชดเชยทุกอย่างให้กับเธอ

     “แต่พอลลี่มีข้อแม้ค่ะ” จู่ๆพลอยชมพูก็โพล่งขึ้นมา “พอลลี่จะยอมทำตามเงื่อนไขของคุณ แต่ว่าคุณจะต้องให้พอลลี่เป็นครูฝึกยายอ้วนนั่นด้วย อย่าลืมซีว่าพอลลี่เป็นถึงซูเปอร์โมเดลที่ดังที่สุด เพราะฉะนั้นไม่มีใครเหมาะจะเป็นครูฝึกนางแบบเท่ากับพอลลี่อีกแล้ว”

    พลอยชมพูพูดอย่างทะนงตน คริสรู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาดว่าหญิงสาวคิดจะหาทางคุมเชิงอีวาแน่ๆ และปัญหาอื่นๆก็จะตามมาเป็นหางว่าวไม่จบสิ้น แต่หากเขาไม่ยอมให้พลอยชมพูช่วยสอนมุทิตาก็คงจะเป็นเรื่องอีก คริสจึงพยายามหาทางออกที่ละมุนละม่อม

    “ก็ได้พอลลี่ แต่คุณจะต้องเลิกเรียกมุทิตาว่า ยายอ้วน หรืออะไรก็ตามที่เป็นการดูถูกเพราะมุทิตาเป็นนางแบบของผม และข้อที่สองก็คือคุณห้ามทะเลาะกับอีวาและอย่าก้าวก่ายเวลาที่อีวากำลังฝึกมุทิตา ผมจะแบ่งเวลาสอนให้กับคุณกับอีวาอย่างเท่าเทียมกันจะไม่ได้มีปัญหา หวังว่าคุณคงจะเข้าใจและทำตามที่ผมขอร้อง”

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้คุณอย่างแน่นอน” พลอยชมพูรับคำอย่างว่าง่าย แต่คริสก็ยังคงหวั่นวิตก เวลานี้ขอเพียงแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ก่อนเป็นพอ เพราะไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ อีวาจะมาถึงเมืองไทยแล้ว และการต้องรับมือกับอีวาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยเช่นกัน

    *****************************

    บริเวณผู้โดยสารขาออก ณ สนามบินสุวรรณภูมิเวลานี้ มีผู้คนขวักไขว่มากเป็นพิเศษทำให้มองเห็นผู้โดยสารที่เดินออกมาไม่ถนัด ผู้โดยสารจากเที่ยวบินเดียวกันกับอีวาเริ่มทยอยออกมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาว จนกระทั่งมีรถเข็นกระเป๋าเดินทางที่ตั้งซ้อนกันเลื่อนหยุดตรงหน้า ทำให้ทั้งคริสและมุทิตาต่างหันไปหาผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังกองกระเป๋านั้น
     
    อีวานั่นเอง...หญิงสาวมีรูปร่างผอมบางกว่าที่เคยเห็นในรายการโทรทัศน์ เธอสวมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวกรอมข้อเท้า ผมมัดตลบเป็นมวยสูง เผยให้เห็นใบหน้าเรียวและดวงตาที่อำพรางไว้ด้วยแว่นตาดำกรอบหนา ลุคของเธอดูง่ายๆสบายๆต่างจากที่มุทิตาคิดไว้ว่าอีวาจะต้องแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดังนั้นหญิงสาวจึงคลายกังวลขึ้นมาก เพราะคำขู่ของพลอยชมพูที่บอกว่าอีวาเป็นคนร้ายกาจทำให้มุทิตาคิดจินตนาการไปต่างๆนานาจนนอนไม่หลับแทบทั้งคืน

    “คริส นายจะยืนบื้ออยู่อย่างนี้อีกนานไหม ไม่เห็นเหรอว่ารถเข็นกระเป๋าคันนี้นี้มันหนักขนาดไหน” อีวาถอดแว่นตาดำออกเผยให้เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ดูเฮี้ยวเอาเรื่อง ริมฝีปากที่เคลือบไว้ด้วยลิปกลอสสีส้มอ่อนๆยื่นออกมาน้อยๆอย่างคนเอาแต่ใจ

    “โทษที ก็ผมไม่เห็นคุณนี่นา ขนอะไรมาตั้งมากมายยังกะจะย้ายที่อยู่” คริสกวาดตามองกองกระเป๋าที่สุมเป็นตั้งแล้วโคลงศีรษะอย่างระอา

    “ก็ถ้าจะย้ายมาอยู่จริงๆ นายจะว่ายังไงล่ะ ว่าแต่คนไหนคือลูกศิษย์ที่นายบอกว่าจะพามารับฉัน” อีวามองหาลูกศิษย์คนใหม่ที่คิดว่าน่าจะมีรูปร่างสูงยาวเข่าดีเช่นเดียวกับนางแบบคนอื่นๆที่เคยสอน

    “คนนี้ไง...เธอชื่อมุทิตา ชื่อเล่น คะน้า ทำความรู้จักกันเสียสิ” คริสชี้มาที่หล่อน มุทิตาพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุดให้กับว่าที่คุณครูสาวที่กำลังเพ่งมองหล่อนด้วยสีหน้ายากต่อการคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่

     “โอ้ มายกูดเนส...นายไปเจอเธอคนนี้ที่ไหน สายตานายนี่แหลมคมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ ฉันรับรองกับนายได้เลยว่าเธอคนนี้จะต้องกลายเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของวงการแฟชั่นอย่างแน่นอน” คำชมของอีวาทำให้มุทิตาประหลาดใจ เพราะเคยคิดว่าเมื่ออีวาพบหล่อน หญิงสาวจะแสดงปฏิกิริยาในทางตรงกันข้าม

    “ตกลงเธอชื่ออะไร ฉันฟังไม่ค่อยถนัด” อีวาถามชื่อหล่อนซ้ำ

    “ฉันชื่อมุทิตา ชื่อเล่น คะน้า” หล่อนตอบเป็นภาษาอังกฤษอย่างช้าๆ

    “ฉันไม่ค่อยคุ้นกับชื่อคนเอเซียสักเท่าไหร่ ขอเรียกเธอว่า ‘คิตตี้’ ก็แล้วกัน

    “คิตตี้!” ทั้งมุทิตาและคริสแทบจะประสานเสียงพร้อมๆกันเพราะมันช่างไม่เข้ากับขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์ของหล่อนเลยสักนิด แล้วภาพตุ๊กตาแมวติดโบว์ ‘Hello Kitty’ ก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว อีวาจะเรียกหล่อนว่า ‘คิตตี้’ เนี่ยะนะ ขืนใครได้ยินเข้าคงจะขำตายชัก ถ้าเรียกหล่อนว่า ‘ไจโกะ’ อาจจะเข้าท่ากว่า

    “ทำไมล่ะ ชื่อนี้มันไม่ดีตรงไหน ลองดูดวงตาของเธอซีเย้ายวนเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยๆ” อีวามองหล่อนด้วยความเอ็นดู ทำให้มุทิตารู้สึกเขินและก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอีวาคงจะต้องมีความผิดปกติทางสายตาหรือไม่ก็การรับรู้แน่ๆถึงได้เทียบตัวหล่อนกับสิ่งที่จุ๋มจิ๋มน่ารักขนาดนั้นได้

    “ผมว่าไปกันเถอะ นี่คนก็เริ่มหันมามองกันแล้ว ถึงอยู่กรุงเทพฯก็ต้องระมัดระวัง เพราะปาปารัซซี่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง” คริสยุติบทสนทนาก่อนจะลากรถเข็นของอีวาเดินนำไปยังลานจอดรถ

    ตลอดการเดินทางไปบ้านของคริส อีวาพูดจาเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องของเธอไม่หยุดปาก เมื่อนั่งฟังมาตลอดทาง มุทิตาก็คิดว่าหญิงสาวไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่พลอยชมพูขู่เอาไว้ อีวาดูเป็นคนตรงๆ อาจจะติดตรงที่พูดจาโผงผางไปนิด ทว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้มุทิตารู้สึกว่าตัวหล่อนเป็นส่วนเกินในรถคันนี้อย่างช่วยไม่ได้ เพราะเรื่องที่คริสและอีวาสนทนากันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่พวกเขารู้กันแค่สองคนเท่านั้น มุทิตาจึงได้แต่นั่งเงียบอย่างอึดอัด ไม่สามารถร่วมสนทนาได้เลย แต่หล่อนก็บอกตัวเองว่าอย่าใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหล่อนเลยสักนิด เพราะสิ่งที่หล่อนควรจะกังวลมากที่สุดในเวลานี้ก็คือเรื่องที่จะต้องย้ายเข้าไปอยู่ร่วมบ้านกับชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้ต่างหาก

    ทั้งตัวหล่อนเองในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพจมานที่กำลังหิ้วชะลอมเข้าบ้านทรายทอง ไม่มีใครรู้ได้ว่าชีวิตของหล่อนที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของคริสและอีวาจะเป็นอย่างไร แต่มุทิตาก็หวังเอาไว้ว่ามันคงจะไม่เลวร้ายเหมือนในนวนิยายที่เคยอ่าน

    ไม่นานนัก รถของคริสก็เลี้ยวเข้าสู่หมู่บ้านคฤหาสน์หรูที่มีชื่อโครงการว่า ‘คฤหาสน์ร่ำรวยมหาศาล’ เพียงแค่ชื่อก็บอกให้รู้เป็นนัยแล้วว่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่แค่รวยธรรมดา แต่เข้าขั้นอภิมหาเศรษฐี เพราะเท่าที่เคยได้ยินคำร่ำลือมาคฤหาสน์แต่ละหลังมีมูลค่าตั้งแต่ห้าสิบล้านบาทไปจนถึงสองร้อยล้านบ้าน
    รถคันงามหลายคันที่ขับสวนไปทำให้มุทิตาอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิม หล่อนเคยเห็นรถยนต์พวกนี้ในหนังฮอลีวูด แต่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็นของจริงที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาทำมาหากินอะไรกันหนอถึงได้ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้ขนาดนี้

    แม้จะตื่นเต้นกับรถหรูแล้ว มุทิตาก็ต้องตะลึงอีกครั้งเมื่อรถของคริสขับผ่านสนามกอล์ฟเขียวชอุ่ม และอาคารอเนกประสงค์ที่ด้านข้างของตัวอาคารมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ นอกจากนี้แล้วยังมีสนามเด็กเล่น ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารชื่อดังหลายร้านที่ตั้งเรียงรายซึ่งเปิดให้บริการลูกค้ากระเป๋าหนักรสนิยมวิไลในหมู่บ้านแห่งนี้โดยเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องขับรถฝ่าการจราจรติดขัดและหิ้วท้องไปถึงใจกลางเมือง

    เมื่อรถของคริสขับผ่านคลับเฮาส์ของหมู่บ้านไปได้ไม่ไกลนักก็แล่นตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ที่ประตูบ้านเปิดรอไว้แล้ว คฤหาสน์ของชายหนุ่มดูแตกต่างไปจากคฤหาสน์หลังใกล้เคียง เพราะมีลักษณะเป็นอาคารร่วมสมัยคล้ายอพาร์ตเม้นต์สองชั้น ทาด้วยสีขาวทั้งหลัง ตัวเสาก่อด้วยอิฐแดง มีแผงไม้ระแนงพาดติดตัวอาคาร หน้าบ้านเป็นสนามหญ้าสีเขียวที่ตัดแต่งไว้เป็นอย่างดีเพื่อใช้สำหรับซ้อมกอล์ฟ อาคารด้านซ้ายมือที่ต่อเพิ่มจากตัวอาคารหลักมีลักษณะเป็นตัวแอลและมีป้ายติดไว้ให้รู้ว่าเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ ในอาณาบริเวณเกือบสองไร่แห่งนี้จึงเป็นทั้งที่พักอาศัยและสถานที่ทำงานของชายหนุ่ม

    คริสเลี้ยวรถเข้าไปจอดในโรงรถที่มีรถยนต์หรูหลายคันจอดเรียงกัน ทันทีที่ลงจากรถเขาก็ตะโกนเรียกให้เด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าตาทะเล้นช่วยยกของเข้าบ้าน

    “โอเลี้ยง...นายช่วยจัดการยกกระเป๋าเดินทางพวกนี้เข้าไปในบ้านให้หมด แล้วห้องพักที่สั่งให้จัดไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง”

    “เรียบร้อยแล้วครับคุณคริส หมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ซักใหม่เอี่ยมอ่อง ทุกอย่างสะอาดไม่มีฝุ่นจับเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วผมก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำรอไว้ให้แล้ว แต่คือว่า...เอ่อ...” ชายหนุ่มที่มีชื่อเหมือนสีผิวทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ลังเล

    “แล้วอะไรล่ะ พูดมาซี อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้”คริสถามด้วยน้ำเสียงรำคาญเมื่อคนรับใช้หนุ่มอมพะนำ

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ...ผมว่ารีบเข้าบ้านกันดีกว่า อากาศมันร้อน” โอเลี้ยงเปลี่ยนใจไม่ยอมพูดต่อเสียอย่างนั้น

    “สงสัยท่าจะบ้า” คริสบ่นพึมพำก่อนจะสั่งงานต่อ “เออ เกือบลืม เดี๋ยวพอยกของพวกนี้เสร็จก็ตั้งโต๊ะอาหารได้เลยนะ” เมื่อสั่งงานครบถ้วนแล้ว คริสก็พาอีวาและมุทิตาเข้าบ้าน

    “บ้านสวยมากเลย...สมแล้วที่พ่อของนายเป็นถึงสถาปนิกชื่อดัง” อีวาอุทานด้วยความตื่นเต้น เช่นเดียวกับมุทิตาที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในหนังสือแม็กกาซีนตกแต่งบ้าน หรือไม่ก็โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์หรูสักแห่ง เพราะทั้งเครื่องเรือนและอุปกรณ์ตกแต่งล้วนมีดีไซน์ที่โดดเด่น คุมโทนด้วยสีน้ำตาลและเงิน หากหล่อนจำไม่ผิด โซฟาที่หล่อนนั่งอยู่ก็เป็นของแบรนด์เนมที่มีมูลค่าหลายแสนบาท

    “ตามสบายนะ คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณทั้งสองคนก็แล้วกัน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ผมเป็นรักความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะฉะนั้นพวกคุณห้ามทำอะไรเลอะเทอะเป็นอันขาด และที่สำคัญห้ามหยิบจับของๆผมโดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีอะไรเคลื่อนที่แม้แต่เพียงนิดเดียว ผมจะสังเกตเห็นทันที...อ้อ แล้วเวลาลุกจากโต๊ะหรือโซฟาก็ช่วยสังเกตด้วยว่ามีเส้นผมของพวกคุณติดอยู่ตามเบาะที่นั่งหรือหล่นตามพื้นบ้างหรือเปล่า เวลาลุกก็ช่วยเก็บไปทิ้งถังขยะด้วย อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”

    ‘เนี่ยะนะไม่ยุ่งยาก’ มุทิตาแอบเบ้ปากอย่างเซ็งๆ แค่ลำพังต้องฝึกเป็นนางแบบก็แย่อยู่แล้ว แต่การต้องทนอยู่ร่วมบ้านกับคนเจ้าระเบียบนี่มันน่าหนักใจยิ่งกว่า ส่วนอีวาไม่ได้สนใจฟังคริสพูดเลยแม้แต่น้อย เธอกลับหลบออกไปนั่งอาบแดดอย่างสบายอารมณ์ที่ระเบียงด้านนอก

    จากคำพูดของอีวาเมื่อครู่ที่เปรยขึ้นมาว่าพ่อของคริสเป็นสถาปนิกดัง ทำให้มุทิตาเริ่มนึกออก ‘ใช่แล้ว...พ่อของคริสคือ นิพล วัฒนเวธิน แน่ๆ’ มิน่าเล่า ชายหนุ่มถึงได้มีบ้านช่องและรถราหรูหราแบบนี้ เพราะบ้านแต่ละหลังที่นิพลออกแบบล้วนแล้วแต่เป็นคฤหาสน์ โรงแรมหกดาว หรือไม่ก็เป็นบ้านพักอากาศบนเกาะส่วนตัวของดาราชื่อดังและมหาเศรษฐีทั่วโลก รวมทั้งเมื่อปีที่แล้วนิพลก็เพิ่งเปิดตัวธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มอลล์ขนาดใหญ่ชื่อ ‘Nick Design’ ในหลายประเทศ ทำให้รายได้ของนิพลที่มากมายมหาศาลอยู่แล้วยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัวจนติดอันดับหนึ่งในสิบนักธุรกิจผู้มีรายได้สูงที่สุดในประเทศไทย

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ...อีวาไม่เคยอดทนฟังอะไรได้เกินสองสามประโยค” เสียงสบถของคริสทำให้มุทิตาสะดุ้ง ถึงเขาจะไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ยักเดินตามไปเอาเรื่องกับหญิงสาว กลับหันมาสั่งหล่อนแทน

    “เอาเป็นว่า...คุณช่วยบอกเรื่องที่ผมคุยกับคุณเมื่อกี้ให้อีวาฟังก็แล้วกัน ส่วนเรื่องตารางเวลา เจ็ดโมงเช้าเริ่มกินอาหารเช้า ช่วงแปดโมงถึงเที่ยงคุณจะต้องฝึกเดินโพสท์ท่า พักเที่ยงกินข้าวถึงบ่ายโมง แล้วพอช่วงบ่ายๆ คุณจะต้องซ้อมโพสต์ท่าถ่ายรูปกับผม วันจันทร์ถึงพุธ คุณจะต้องฝึกกับพอลลี่ ส่วนวันพฤหัสถึงอาทิตย์เป็นหน้าที่ของอีวา”

    “ฉันไม่ฝึกกับคุณพอลลี่ไม่ได้เหรอ มีครูฝึกสองคน ฉันสับสนแย่” มุทิตาโวยวาย เช่นเดียวกับอีวาที่เพิ่งเดินมาสมทบก็อาละวาดทันที

    “อะไรกัน นี่นายจะให้แฟนนายมาช่วยฝึกคิตตี้ด้วยเหรอ ฉันไม่ยอมนะ นายต้องเลือกระหว่างฉันกับยายกิ้งกือนั่น”

    “อีวา แค่นี้ผมก็มีปัญหามากพอแล้ว ถือว่าผมขอร้องคุณสักครั้งนะ อย่าก่อกวนหรือทำตัวมีปัญหากับพอลลี่นักเลย คราวที่แล้วคุณก็แกล้งเธอจนเสียงาน หวังว่าคราวนี้คุณคงจะไม่ทำอย่างนี้อีก ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องพักอยู่กับผม...มุทิตา คุณเองก็อย่าทำตัวเรื่องมากนักเลย โชคดีแค่ไหนแล้วที่คุณมีนางแบบเก่งๆถึงสองคนเป็นครูฝึกให้ อ้อ...แล้วข้อสำคัญ พวกคุณห้ามบ่น ห้ามเถียง ห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาด ตอนนี้ผมจะพาพวกคุณไปห้องพักก่อน พอกินอาหารกลางวันเสร็จค่อยเริ่มฝึก”

    “คริส...นี่นายจะให้ฝึกวันนี้เลยเหรอ ฉันเพิ่งมาถึงเองนะ อยากจะไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาก่อน” อีวาบ่นอุบ แต่คริสไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีวาโต้แย้ง

    “ต้องเริ่มวันนี้เลย...เพราะเรามีเวลาไม่มากแล้ว อีกอย่าง ผมลืมบอกไปว่าคุณกับมุทิตาจะต้องพักอยู่ห้องเดียวกัน เผื่อเธอมีปัญหาอะไรจะได้ปรึกษาคุณได้ตลอดเวลา”

    “เอ่อ...ฉันว่าไม่ดีมั๊งคะ เพราะฉันนอนกรน” มุทิตารีบหาข้ออ้าง ที่จริงหล่อนไม่ได้นอนกรนเลย เพียงแต่ต้องการเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง

    “ถ้าคิตตี้กรน ฉันคงนอนไม่หลับ งั้นเดี๋ยวฉันนอนกับนายก็แล้วกัน” ข้อต่อรองของอีวาทำให้คริสมีสีหน้ายุ่งยากใจ แต่อีวาก็ยังพยายามหว่านล้อม“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ตอนนายไปอยู่กับฉันที่แอลเอ เรายังนอนห้องเดียวกันเลย ไม่ดีรึไง เราจะได้ทำอะไรแบบที่เคยทำด้วยกันอีก” แววตาของอีวาที่จ้องมองคริสฉายแววซุกซน ทำให้มุทิตาคิดเตลิดจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน แต่แล้วเสียงเฉียบขาดของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดังขึ้นหน้าห้องพักก็ทำลายจินตนาการนั้นไปสิ้น

    “อีวา...เธอนอนกับมุทิตาดีแล้วล่ะ”

    “พอลลี่...คุณมาที่นี่ได้ยังไง” คริสอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆแฟนสาวก็เปิดประตูออกมาจากห้องพักที่เตรียมไว้สำหรับหล่อนและอีวา

    “แหม...คริสก็...พอลลี่ก็ต้องมาต้อนรับเพื่อนเก่าอย่างอีวาน่ะซีคะ อีกอย่างคริสเป็นผู้ชายจะจัดห้องให้ผู้หญิงถูกใจได้ยังไง พอลลี่ก็เลยมาช่วยจัดห้องหับให้ใหม่จะได้ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เพราะไม่มีใครที่รู้จักบ้านของคริสดีทุกซอกทุกมุมดีเท่ากับพอลลี่อีกแล้ว” พลอยชมพูพูดพลางเดินมาเกาะแขนของคริสเพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่อีวาไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

    “งั้นเหรอจ้ะ...ถึงฉันจะไม่รู้จักบ้านหลังนี้ดีเท่ากับเธอ แต่ฉันก็รู้จักคริสทุกซอกทุกมุมดีกว่าใครทั้งนั้น”
    บรรยากาศเริ่มตึงเครียด พลอยชมพูก็ร้าย อีวาก็แรง จนมุทิตาชักไม่แน่ว่าหล่อนจะอยู่รอดปลอดภัยจนครบสามเดือนได้ไหมหนอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×