ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MHA : Kacchako] The Unexpected

    ลำดับตอนที่ #17 : 16th Hero

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 330
      42
      24 มิ.ย. 64

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     


    16th Hero

     

     


              “จะไปตอนนี้เลยเหรอบาคุโก?”

              “เออ”

              “แต่ข้างนอกหิมะตกอยู่นะ”

              “แล้วแกคิดว่ามันจะหยุดตกง่ายๆ ไหม”

              เป็นดังบทสนทนาของคิริชิมะคุงกับบาคุโกคุงที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าตรงหน้าประตู วันนี้มีหิมะตกโปรยปรายนิดหน่อย ดีว่าไม่หนักเท่าสองสามวันก่อน ยิ่งถ้าเป็นวันคริสต์มาสที่ผ่านมายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะวันนั้นหิมะตกตลอดทั้งวันจนแทบออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ ต้องขลุกอยู่ในหอพักเพียงอย่างเดียว


              จะว่าไป เผลอแป๊บๆ ก็เข้าฤดูหนาวซะแล้วแฮะ วันงานวัฒนธรรมโรงเรียนเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาถึงเร็วมากและผ่านไปไวเหมือนโกหก ส่วนเอริจังกับโคตะคุงที่มาร่วมด้วยก็ยังท่าทางแจ่มใสแถมยังติดเดกุคุงไม่เปลี่ยนจนรู้สึกว่านับวันเขาชักจะเหมือนพี่เลี้ยงเด็กขึ้นทุกที น่าเอ็นดูมากเลยล่ะ

              “งั้นรีบกลับมาให้ทันเวลานะเว้ย ไปดีมาดี”

              “เออ”

              ฉันเอนตัวพิงพนักโซฟาพร้อมกับส่งยิ้มให้บาคุโกคุงเล็กน้อยพอเห็นว่าเขาชายตามองฉันนิดหน่อยก่อนจะออกจากหอพักไปเงียบๆ


    ความจริง วันนี้ประมาณบ่ายแก่ๆ ฉันก็มีธุระต้องกลับบ้านเหมือนกันนะ แต่ใช้คำว่าธุระอาจดูเป็นงานเป็นการเกินไปหน่อย เพราะมันคืองานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฉันเอง! แม้จะไม่ได้มีอะไรหวือหวา แค่กินข้าวกับพ่อแม่ก็เถอะ~

              “วันนี้โอชาโกะจังต้องออกไปข้างนอกใช่ไหม?”

              “อื้ม!”  ฉันพยักหน้าให้ทสึยุจังที่นั่งเป่าโกโก้ร้อนอยู่ข้างๆ

              “แล้วจะกลับดึกรึเปล่าครับ?”

              “ไม่หรอกเดกุคุง ไม่เกินสองทุ่มก็กลับมาแล้วล่ะ”

              พวกเราสามคนนั่งคุยกันพลางดูทีวีฆ่าเวลากับโทโคยามิคุงและโคดะคุงเรื่อยๆ จนบ่าย ฉันจึงค่อยเตรียมตัวกลับบ้าน ก่อนออก เพื่อนหลายคนถามย้ำเรื่องเวลากลับหอพักอยู่หลายครั้งเหมือนนัดกันมา แต่พวกเขาคงแค่เป็นห่วงกลัวว่าระหว่างทางกลับหิมะอาจตกหนักอีกมากกว่า

     


              ข้างนอกอากาศหนาวมาก ขนาดสวมเสื้อโค้ทกับพันผ้าพันคอแล้วยังทำให้ตัวสั่นได้ ฉันเดินเป่ามือตลอดทาง ในใจก็ภาวนาขอให้ถึงบ้านเร็วๆ สักที ทว่าหากต้องวิ่งโต้ลมหนาวๆ แบบนี้ ฉันคงกลายเป็นโอชาโกะแช่แข็งแน่ แค่คิดก็สยองแล้ว ยิ่งถ้าเป็นทสึยุจังเผลอๆ อาจได้จำศีลกลางถนน ส่วนบาคุโกคุงที่ไม่ค่อยชอบฤดูหนาวเท่าไหร่ป่านนี้จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ไหนสักที่รึเปล่านะ


              ระหว่างปล่อยให้ความคิดในหัวไหลเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูอะพาร์ตเมนต์แล้ว แต่พอพยายามคลำหากุญแจดันฉุกนึกได้ว่าลืมหยิบมาด้วยซะงั้น สุดท้ายเลยต้องเคาะประตูเรียกแทน

    เสียดายจัง อุตส่าห์ตั้งใจจะเข้าไปเซอร์ไพรส์สักหน่อยกลับผิดแผนจนได้ ไม่ๆ ไม่เป็นไร! มาเร็วขนาดนี้พ่อกับแม่ก็ประหลาดใจแล้วล่ะ~!

     

              แอ๊ด~

              “เซอร์–!!!”  ฉันตั้งท่าพร้อมกระโดดกอดพ่อหรือไม่ก็แม่ที่เปิดประตูรับเต็มที่ก่อนจะต้องชะงักลงกะทันหันเมื่อพบว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ทั้งพ่อกับแม่ แต่ดันเป็น–


    “บ..บาคุโกคุง!!!??”

    ฉันถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจขณะมองใบหน้าเขาสลับกับแผ่นป้ายชื่อครอบครัวติดกำแพง

    มันก็เขียนว่าอุรารากะนี่!!!

    “อ..เอ๊ะ!!? ทำไม!!? ทำไมบาคุโกคุงถึง–!!

    “อ้าว~ โอชาโกะเองเหรอ ยินดีต้อนรับกลับนะลูก”

    แม่เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนทุกครั้งที่เห็นฉันกลับมาบ้าน ซึ่งถ้าเป็นตามปกติ ฉันก็คงพุ่งกระโจนเข้ากอดแล้ว ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ดันผิดแปลกขั้นร้ายแรงทำเอาสับสนไปหมด! ฉันยืนเก้งก้างหน้าประตู จะไม่เข้าไปเด็ดขาดหากยังไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้

    “แม่คะ! ทำไมบาคุโกคุงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!!?”

    “อ๋อ วันนี้แม่ออกไปซื้อวัตถุดิบมาแล้วถุงกระดาษมันขาด โชคดีที่เพื่อนลูกมาเจอเข้าก็เลยอาสาช่วยแม่ถือของมาส่งบ้านน่ะ”  แม่ยิ้มและยกมือแตะแก้มตัวเอง  “รู้ไหม แม่จำได้ทันทีเลยนะว่าเป็นบาคุโกเพื่อนที่ลูกเคยพูดถึง ก็เลยชวนให้เขามาฉลองวันเกิดลูกด้วยกันเลยน่ะจ้ะ”

    “เอ๊ะ!!?”

    “ไม่ต้องเอ๊ะแล้วจ้ะ อีกอย่างเปิดประตูนานๆ ฮีทเตอร์จะทำงานหนัก มันเปลืองไฟนะลูก”

    “อ๋อ! ค่ะ

    แม่ส่ายหัวเบาๆ ด้วยความเอ็นดูแล้วหันไปสนใจอาหารบนเตาแก๊สต่อ ปล่อยให้ฉันยืนกะพริบตาปริบๆ เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ตรงนั้น ก่อนที่บาคุโกคุงจะเป็นฝ่ายเอ่ยปาก เปล่งน้ำเสียงแหบทุ้มออกมาขจัดความเงียบระหว่างเราสอง


    “เข้ามาสิ”

    “จ..จ้ะ!”  ฉันพยักหน้าหงึกหงักและเข้าไปถอดรองเท้า พลางเหลือบมองสีหน้าปกติสุขของบาคุโกคุงซึ่งต่างกับใบหน้าเหวอๆ ของฉันเมื่อกี้สิ้นเชิง จากนั้นเขาจึงล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดขึ้นจากกระเป๋ากางเกงมาดูชื่อบนหน้าจอ

    “คุณน้าครับ ผมขอออกไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนนะครับ”

    “ได้จ้ะ แต่ว่าข้างนอกอากาศหนาวนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ คุยไม่นาน”  พูดจบเขาก็เดินผ่านตัวฉันออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้อย่างเบามือ


    ท่าทีแบบนี้ไม่เหมือนบาคุโกคุงคนเดิมเลยแฮะ ทั้งสงบ เรียบร้อย ไม่ได้ทำหน้าบูดเบี้ยวแถมไม่ได้อารมณ์เสียอะไร ประหม่าจัง ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเห็นเขาในมุมนี้ด้วย เป็นเพราะมีแม่ฉันอยู่รึเปล่านะถึงได้เจี๋ยมเจี้ยมขนาดนี้

    น่ารักจังเนอะ


    “ยิ้มอะไรเหรอลูก?”

    ฉันสะดุ้งหลุดจากภวังค์ก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดแม่  “ก็ดีใจที่ได้กลับบ้านไง~”

    “หืม? จริงรึเปล่าเถอะ~”

    “จริงสิคะ~”  ฉันคลายกอดพร้อมกับหันซ้ายแลขวา  “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”

    แม่ส่ายหัว  “ไม่มีแล้วล่ะ เพื่อนลูกช่วยแม่ทำอาหารไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย”

    เอ๊ะ!? ช่วยทำอาหารด้วยเหรอ!?

    งั้นแสดงว่าวันนี้ฉันก็จะได้กินอาหารฝีมือบาคุโกคุงด้วยน่ะสิ!

    ฉันหันไปส่งยิ้มขอบคุณให้บาคุโกคุงที่เดินกลับเข้ามาหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ ดูเหมือนว่าเขาคงแอบสงสัยในท่าทีของฉันนิดหน่อยถึงได้เลิกคิ้วฉงนแบบนั้นแม้จะไม่คิดเอ่ยปากถามอะไร


    “เอาอย่างนี้ โอชาโกะช่วยแม่จัดโต๊ะดีกว่า”

    “ได้ค่ะ”  ฉันพยักหน้ารับ  “แล้วพ่อล่ะคะ?”

    “พ่อกำลังกลับจ้ะ น่าจะใกล้ถึง–”

    ตุ้บ!


    พ่อมักจะกลับมาบ้านเงียบๆ เสมอจนกว่าจะเห็นหน้าแม่หรือฉันจึงค่อยบอกว่า กลับมาแล้ว ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ซึ่งทันทีที่ฉันได้ยินเสียงของตกและชะโงกดูตรงประตูก็พบร่างของพ่อที่ยืนอยู่ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ กระเป๋าทำงานถึงลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นซะงั้นล่ะ

    “พ่อ! ยินดีต้อนรับกลับค่ะ!

    “ยินดีต้อนรับกลับค่ะคุณ”

    “ก..กลับมาแล้ว”  พ่อตอบรับเสียงตะกุกตะกักขณะมองหน้าฉันสลับกับบาคุโกคุงอย่างอึ้งๆ

    อย่าบอกนะว่าสาเหตุที่ทำกระเป๋าตกเมื่อกี้ก็เพราะตกใจที่เข้าบ้านมาเห็นเขาเป็นคนแรก? ตลกจัง~! นึกว่าจะมีอะไรซะอีก แต่จะตกใจก็ไม่แปลกล่ะนะ ขนาดฉันยังประหลาดใจเลย

    บาคุโกคุงโค้ง ชิ่งแนะนำตัวโดยไม่ต้องรอพ่อเอ่ยปาก  “สวัสดีครับ ผมบาคุโก คัตสึกิ เป็น–”

    “ด..ดีใจที่ได้พบนะ!

    อ้าว? จู่ๆ พ่อก็เดินจ้ำข้ามกระเป๋าบนพื้นมาตบไหล่บาคุโกคุงด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเบิกบานกว่าปกติเฉย ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายเข้าไปหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมากอดไว้ น่าน้อยใจแทนมันจริงๆ เนอะ โดนเจ้าของเมินซะได้

    “ทำตัวตามสบายเลยนะ! คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง!

    ครับ”

    ดูทรงแล้วบาคุโกคุงก็คงแอบงงเหมือนฉันสินะ ไม่ยักรู้มาก่อนเลยแฮะว่าพ่อเป็นแฟนคลับเขาด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย?


    พ่อหันกลับมาลูบหัวฉันบ้าง  “ยินดีต้อนรับกลับนะโอชาโกะ~”

    “ก็นึกว่าลืมลูกสาวคนนี้ไปแล้วซะอีก”  ฉันอมแก้มป่อง

    “โอ๋~ จะลืมได้ยังไงล่ะ ไม่โกรธพ่อนะคนดี~”

    ประโยคงอนง้อสุดแสนธรรมดาทำให้ฉันฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับกระโดดกอดด้วยความคิดถึง ส่วนพ่อ พอเห็นแผนการง้องอนสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีก็หลุดหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะคลายกอดแล้วกระซิบ

    “เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ยอมเล่านะเรา”

    “เล่า?”

    พ่อเอี้ยวหัวไปทางบาคุโกคุงที่กำลังช่วยแม่จัดโต๊ะแทนฉัน


    เอ่อหมายถึงชวนเพื่อนมาเลี้ยงฉลองด้วยกันทำไมไม่บอกก่อนน่ะเหรอ?

    “คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะเป็นเด็กคนนี้~”  พ่อยิ้มพราย  “อย่าบอกนะว่าคิดจะเซอร์ไพรส์พ่อกับแม่ด้วยการพามาเปิดตัวเลย?”

    เอ๊ะ

    “ร้ายเหมือนพ่อเลยนะยัยตัวแสบ”

    เดี๋ยวนะ

    “ขอให้คบกันนานๆ นะลูก”

    “พ่อ!!!??”

    “มีอะไรรึเปล่าสองพ่อลูก?”

    “ไม่มีจ้าแม่~”

    ไม่จริงแม่พ่อโกหก!! มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง!!

    ฉันอ้าปากพะงาบๆ พลางโบกมือพัลวันด้วยใบหน้าแดงแปร๊ดเมื่อเห็นพ่อตีความผิดพลาดห่างไกลจากความเป็นจริงมากจนต้องกระซิบแก้ตัวและพยายามควบคุมสติห้ามให้แม่หรือบาคุโกคุงจับพิรุธได้เด็ดขาด

    “พ..พ่อคะ ฟังหนูก่อน คือว่า–”

    “ฮะๆ~ ลูกนี่เวลาเขินแล้วเหมือนแม่ไม่มีผิด ไม่เป็นไรนะ พ่อเข้าใจ”

    ไม่ค่ะ!! เดี๋ยว–!! พ่อไม่เข้าใจอะไรเลยต่างหาก!!

             


              เวลาสำหรับมื้อเย็นเพื่อฉลองวันเกิดของฉันมาถึงแล้ว พวกเราสี่คนนั่งรวมกันที่โต๊ะอาหาร ทว่าในขณะที่ทั้งพ่อกับแม่กินไปชมไปไม่หยุดปาก ฉันกลับไม่ได้ตักอะไรเข้าปากสักคำเดียว เพราะมัวแต่เก็บเรื่องที่พ่อเข้าใจผิด แถมยังไม่คิดจะฟังข้อเท็จจริงจากฉันมาคอยวนเวียนหลอกหลอนตัวเองอยู่อย่างนั้น นี่นับว่าโชคดีนะที่แม่กับบาคุโกคุงไม่ได้ติดใจสงสัยบทสนทนาระหว่างฉันกับพ่อเมื่อกี้ด้วย


              “โอชาโกะกินสิลูก”  แม่เอ่ย  “ขืนช้าเดี๋ยวกลับหอพักดึกนะ”

              “ค่ะ”  ฉันรับคำเสียงหงอยและเริ่มคีบอาหารเข้าปาก แม้ตอนแรกจะยังครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหาที่ว่าไม่ตก แต่หลังจากได้ลองชิมอาหารบนโต๊ะเพียงคำเดียวเท่านั้น เรื่องวุ่นวายในหัวก็ถูกกำจัดทันที!

              นี่แหละฝีมือทำอาหารของบาคุโกคุง!

              ฉันยิ้มแก้มปริพลางเขย่ามือตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วหันไปชมคนข้างๆ  “อร่อยสุดๆ เลยบาคุโกคุง~”

              “ใช่ไหมล่ะ”  แม่ยิ้มบางๆ  “ฝีมือทำอาหารของบาคุโกนี่สุดยอดไปเลยนะ”

              “ไม่หรอกครับ”

              “แต่พ่อว่าอร่อยจริงๆ นะ โอชาโกะยังชอบเลย ใช่ไหมลูก?”

              “อื้ม~!

              บาคุโกคุงชำเลืองมองฉันน้อยๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา  “ขอบคุณครับ”

              พ่อหัวเราะชอบใจแล้วคุยกับแม่  “คราวนี้ลูกเราจะได้มีคนทำอาหารให้กินสักที”


              ตะเกียบแทบหล่นจากมือเมื่อฉันที่ถึงกับอ้าปากค้างได้ยินพ่อพูดแบบนั้น ทำยังไงดี!? ฉัน–! ฉันไม่กล้าหันไปมองบาคุโกคุงเลย! ถ้าเขาเข้าใจสิ่งที่พ่อสื่อจะเกิดหงุดหงิดจนระเบิดบ้านรึเปล่า!!?

              “นั่นสินะ โอชาโกะก็ทำอาหารไม่ค่อยเก่งซะด้วย ลูกเราไม่อดตายแล้วค่ะคุณ”

              แม่คะ!!?

              “พูดอีกก็ถูกอีก ฮ่าๆๆ~”  ยิ่งพูดยิ่งผิดต่างหาก!!  “เออ จะว่าไปแล้วนะบาคุโก

              “ครับ?”

              “ความฝันของบาคุโกคืออะไรเหรอ?”

              เขาเงียบไปครู่หนึ่ง  “ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งครับ”

              “ว้าว~! มีความฝันที่ยิ่งใหญ่สมเป็นเธอเลย! จงเชื่อมั่นในความตั้งใจของตัวเองล่ะว่าเธอสามารถเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งที่ดีได้แน่นอน เพราะพ่อเชื่อมั่นในตัวบาคุโกนะ!

              ขอบคุณนะครับ”

    “อื้ม! แล้วอยากรวยรึเปล่า?”

              บาคุโกคุงกะพริบตาปริบๆ  “สมัยมัธยมต้นผมก็เคยฝันอยากเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกนะครับ”

              รวยที่สุดในโลก!?

              “อ๊ะ! คล้ายกับโอชาโกะเลย! จะว่าไปโอชาโกะก็ฝันอยากมีเงินเยอะๆ เหมือนกันนี่นา ถ้างั้นพ่อก็ขออวยพรให้ลูกทั้งสองรวยไปด้วยกันเลยนะ!

              พ่อจ๋าพอแล้ว~!!!

    ฉันแทบยกสองมือปิดสีแดงก่ำบนหน้าด้วยความกระดากอาย จริงๆ เรื่องที่ฝันอยากเป็นฮีโร่เพราะเงินด้วย นอกจากพ่อ แม่ เดกุคุงกับอีดะคุงก็ไม่มีใครรู้อีก แต่ตอนนี้บาคุโกคุงดันรู้ความลับเพิ่มซะงั้น แถมจนถึงบัดนี้พ่อก็ยังเชื่อสนิทใจว่าพวกเราสองคนคบกันอยู่อีก! ฉัน–! ฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้ว! บาคุโกคุงอย่าโกรธพ่อเลยนะ!

              “ขอบคุณครับ”

    อย่างนั้นแหละ! ใจเย็นๆ ช่วยอดทนหน่อยนะบาคุโกคุง!


    “กว่าจะเป็นฮีโร่ได้นี่ก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคเยอะเหมือนกันสินะ”  แม่ยกมือทาบแก้มตัวเองจึงกล่าวกับฉัน  “แต่แม่รู้ว่าความฝันนี้มีค่ากับโอชาโกะมากแค่ไหน ดังนั้นอย่ายอมแพ้นะลูก...

              “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เธอไม่ยอมแพ้แน่นอน”


    แววตาหนักแน่นกับน้ำเสียงจริงจังของบาคุโกคุงที่ยืนยันออกมาอย่างไร้ความลังเลนั้น ทำให้ฉันตัดสินใจกลืนเสียงของตัวเองลงลำคอ เพื่อรอฟังถ้อยคำซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นที่เขามีต่อฉันอีกครั้งโดยไม่ทันคิดเลยว่าหากได้ฟังแล้ว ฉันจะไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มแห่งความตื้นตันนี้ไว้ได้อีก


    เพราะลูกสาวของคุณน้าไม่ใช่คนอ่อนแอ อีกอย่างผมก็เชื่อว่าเธอเป็นฮีโร่ได้”


              เห็นไหมคะแม่


              “บาคุโกพูดถูก อย่ากังวลเลยคุณ”  พ่อสมทบ

              “ค่ะ ขอบคุณนะจ๊ะบาคุโก”


              “อืมแต่ให้บาคุโกเรียกแต่คุณน้าๆ เนี่ยฟังดูห่างเหินจัง”

              เอ๊ะ!? ม..ไม่ได้นะ–!!  จู่ๆ จะมาคิดอะไรแปลกๆ ทำลายบรรยากาศซึ้งๆ หน้าตาเฉยไม่ได้นะคะพ่อ!!!

              “เรียกว่าพ่อกับแม่เถอะ”

              พ่อคะ!!!??

              “ครับพ่อ แม่”

    บาคุโกคุง!!!??

    “ฮ่าๆๆ~!! ต้องอย่างนี้สิ!! ถ้างั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พ่อกับแม่ขอเรียกชื่อจริงของบาคุโกได้ไหม?”

    “พ่อจ๋า~!!”  เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ได้กรีดร้องโหยหวนในใจอีกต่อไป เพราะถึงทำหน้าเหยเกแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี หวังว่าเสียงคร่ำครวญของฉันครั้งนี้จะมีความหมายบ้างนะ

    “อ๊ะ!”  พ่อร้องอย่างคนลืมตัว  “ขอโทษที่เสียมารยาทนะบาคุโก”

    “เรียกชื่อผมเถอะครับ”

    ..บาคุโกคุง!? ทำไมถึง–!

    คัตสึกิ คือชื่อของผม”

    พ่อทำตาลุกวาวขึ้นมาทันทีพอได้ยินอีกฝ่ายขอเอง  “ฮะๆๆ~!! ดีใจจังเลย!! ขอบคุณนะคัตสึกิ~

    ไม่ไหวแล้ว~!! พอกันที!! ทั้งพ่อทั้งบาคุโกคุงเลย!!!

     

     


    “ขอบคุณที่มาฉลองวันเกิดโอชาโกะด้วยกันนะคัตสึกิ!

    “ยินดีครับ”

    ท้องฟ้าในเวลานี้กลายเป็นสีมืดแล้ว ฉันกอดลาพ่อกับแม่ตรงหน้าประตูอย่างแนบแน่นก่อนเตรียมตัวกลับหอพัก แม้ตอนแรกพ่อจะคิดอาสาขับรถไปส่งถึงหน้าโรงเรียนให้ แต่เพราะระยะทางที่ไม่ได้ไกลขนาดนั้นจึงโดนฉันขัดไว้ก่อน อีกอย่าง ขืนยังปล่อยให้ท่านคุยกับบาคุโกคุงอีกล่ะก็ เรื่องที่กำลังเข้าใจพวกเราผิดอยู่ต้องลุกลามบานปลายแน่นอน แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะสรรหาข้อแก้ตัวมาอธิบายกับทั้งสองคนว่ายังไงแล้วล่ะ

    “กลับดีๆ นะลูก ถึงแล้วก็โทรบอกด้วยล่ะ”

    “ค่ะแม่”

    “ฝากดูแลโอชาโกะด้วยนะคัตสึกิ!

    เอาอีกแล้วนะพ่อ!!

    “ครับ”

    บาคุโกคุงก็ไม่ต้องตอบรับทุกคำก็ได้!!

    “พ..พวกเราไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ”  ฉันโค้งลาพร้อมกับรีบดันหลังบาคุโกคุงให้หนีห่างจากพ่อโดยเร็วที่สุด ก่อนจะมิวายต้องหยุดฝีเท้าลงพอได้ยินเสียงเรียก

    “โอชาโกะ”

    รอยยิ้มแสนอ่อนโยนและอบอุ่นช่วยให้สบายใจทุกครั้งที่กลับมาบ้านปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อกับแม่

    “สุขสันต์วันเกิด”


    ต่อให้เป็นเพียงคำสั้นๆ แค่สี่พยางค์เท่านั้น ฉันก็ยังสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใยมากมายขนาดที่คำอวยพรยาวๆ ยังเทียบไม่ติดผ่านน้ำเสียงนุ่มนวลของพวกเขาจนต้องฉีกยิ้มกว้างออกมา

    “ขอบคุณค่ะ!

     

     


    ..แม้สุดท้ายจะยิ้มแป้นแล้นได้แค่แป๊บเดียวก็ตาม

    ฉันเดินตัวเกร็งข้างกายบาคุโกคุงระหว่างทางกลับหอพัก พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันและเขาก็ไม่มีท่าทีจะพูดอะไร เหมือนอยากปล่อยให้ฉันทำใจแล้วเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน


    เขาจะทำสีหน้าแบบไหนอยู่นะ


    ต่อมอยากรู้บังคับให้ฉันตัดสินใจค่อยๆ เงยหน้าเหลือบมองคนข้างๆ ก่อนจะพบว่าตอนนี้ บาคุโกคุงกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะพยายามควบคุมปากไม่ให้สั่นอย่างยากลำบาก

    อย่าบอกนะว่าที่ไม่พูดอะไรตลอดทางเลยก็เพราะหนาว?

    “มองอะไร?”  ควันเย็นๆ ออกจากปากทันทีที่เขาตั้งคำถาม

    “หนาวเหรอ?”

    คนปากแข็งเบือนหน้ากลับไปมองทาง  “เปล่าสักหน่อย

    ฉันกะพริบตาปริบๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้าด้วยต้องการทำใจดีสู้เสือเพื่อพูดเรื่องพ่อ  “เอ่อ...คือว่านะบาคุโกคุง พ่อฉันน่ะอาจจะชอบพูดไปเรื่อยบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก ยังไงก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ แหะๆ~”

    “เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”

    “เอ๊ะ!?”  ฉันเบิกตาโต

    “ว่าพ่อเธอคิดว่าพวกเราคบ–”

    “รู้จ้ะรู้!!!

    ..ทั้งๆ ที่อากาศข้างนอกหนาวมากแท้ๆ แต่ตัวฉันซึ่งร้องลั่นพลางโบกมือพัลวันกลับรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าไปหมด กล้าพนันเลยว่าถ้าละอองหิมะตกลงมาโดนแก้มตอนนี้ล่ะก็ จะต้องละลายกลายเป็นน้ำแน่ๆ!

    “ขอโทษนะบาคุโกคุง!! ฉันพยายามอธิบายให้พ่อฟังแล้วแต่พ่อไม่สนใจเลย!! ขอโทษนะขอโทษจริงๆ!!”  ฉันโค้งขอขมารัวๆ จนหัวแทบแตะพื้น ทว่าต่อให้ต้องโค้งซะจนหัวกระแทกพื้นหรือหลังหักฉันก็ทำได้ ขอแค่เขาไม่คิดโกรธและยอมไว้ชีวิตกันก็พอ!

    “ถ้างั้นครั้งหน้าก็ช่วยอธิบายให้มันชัดเจนด้วย”

    “อื้ม! ฉันสัญ– ครั้งหน้า!!!??”

    “ทำไมอีก!?”  ..อย่าเพิ่งแยกเขี้ยวสิ!

    “เปล่าจ้ะๆ!!!”  ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความกระดากอายเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนจะกลับไปเจอหน้าพ่อแม่ฉันอีกครั้ง  “เอาเอาเป็นว่าฉันขอโทษนะ! สำหรับทุกเรื่องเลย รวมถึงเรื่องที่แม่รั้งตัวบาคุโกคุงให้อยู่ฉลองวันเกิดด้วยกันด้วย!

    “เรื่องนั้นแม่เธอไม่ได้บังคับ!!

    “อ..เอ๊ะ?”


    บาคุโกคุงขมวดคิ้วพลางส่ายหัวนิดหน่อยราวกับเคืองที่ฉันเอาแต่ขอโทษขอโพยอยู่ได้ ทั้งๆ ที่บางสิ่งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดทั้งหมด


    “ฉันตั้งใจอยู่เอง”


    “จริงเหรอ!”  ฉันยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ไม่คิดเลยแฮะว่าเขาที่น่าจะรำคาญเรื่องจุกจิกพวกนี้จะเต็มใจอยู่ฉลองวันเกิดของฉัน!  “ขอบคุณนะบาคุโกคุง~!

    เขาขบริมฝีปากพร้อมกับยีผมตัวเองเล็กน้อย  “แล้วจะเดินได้รึยังหา!? มัวแต่ยืนอยู่ได้!

    “อื้ม! ไปสิ~

    คงหนาวมากสินะถึงได้เร่งให้กลับหอพักเร็วๆ แต่เดี๋ยวก็ใกล้ถึงแล้วล่ะ ตอนนี้อยู่ในเขตโรงเรียนแล้วด้วย อดทนหน่อยนะบาคุโกคุง! สู้ๆ~!


    “บาคุโกคุงรู้ไหม~

    “อะไร?”

    “ตอนนั้นฉันตกใจมากๆ เลยนะที่กลับมาบ้านแล้วเจอบาคุโกคุงเป็นคนแรก! ก็นึกว่าเคาะผิดบ้านซะอีกถึงฉันจะไม่รู้ว่าบ้านบาคุโกคุงอยู่ไหนก็เถอะ”

    เขาเหมือนจะคิ้วกระตุกนิดหน่อยระหว่างเดินฟังเงียบๆ อืมนั่นสิ ถ้ายิ่งพูดมากๆ จะโดนทิ้งระเบิดใส่รึเปล่านะ? แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก!

    “ยิ่งตอนนั่งกินข้าวด้วยกัน ฉันกลัวบาคุโกคุงจะโมโหจนระเบิดบ้านทิ้งสุดๆ เลยล่ะ! แถมพ่อฉันยังขอเรียกชื่อจริงบาคุโกคุงอีก จะอธิบายให้เข้าใจเดี๋ยวนั้นก็ลำบากซะด้วย”  ฉันหัวเราะคิกคัก  “พอกลับไปมองตอนนั้นก็ตลกดีเนอะ! เอาเป็นว่าขอบคุณบาคุโกคุงนะที่ไม่ระเบิดบ้านของฉัน~

    “เฮ้ย!

    ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อคนที่เงียบเสียงอยู่นานโพล่งขึ้น  “ม..มีอะไรเหรอ?”

    “เธอไม่รำคาญตัวเองบ้างรึไง!

    ..นี่เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่หรอกเหรอ

    ที่มัวแต่เรียกฉันแบบนั้น”

    เรียก?”  จู่ๆ นัยน์ตาสีสดคู่นี้ก็ฉายแววจริงจังออกมาทำเอาฉันถึงกับสับสน  “แต่ฉันก็เรียกบาคุโกคุงว่าบาคุโกคุงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ?”

    “นี่เธอไม่เข้าใจที่ฉันจะสื่อรึไงหา!?”  เขากัดฟันแล้วจึงลดระดับเสียงลง  “ทำไมเธอไม่เรียกฉันอย่างที่พ่อแม่เธอเรียก?”

    “เอ๊ะ!!!??”

    ฉันเบิกดวงตากว้างขณะปล่อยให้ปากที่หุบสนิทเริ่มอ้าพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ มิหนำซ้ำยังเผลอทำให้ผิวแก้มร้อนๆ ทั้งสองข้างนี้เผยสีระเรื่ออีกต่างหาก  “ฉ..ฉันไม่กล้าหรอก! ถ้าบาคุโกคุงโกรธขึ้นมาก็แย่น่ะสิ!

    “เธอแกล้งโง่เหรอ! ฉันจะโกรธได้ยังไงก็ในเมื่อตอนนี้ฉันขอเธออยู่!!


    บาคุโกคุงเป็นฝ่ายหลบสายตาลงก่อนหลังจากจ้องหน้าฉันมาได้สักพักหนึ่ง พร้อมกันนั้นจึงตัดสินใจเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชนิดที่ไม่สนเลยว่าฉันจะต้องควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจตนเองลำบากแค่ไหน


    “ฉันขอให้เธอเรียกชื่อฉัน


    ดวงตาของเราสองคนกลับมาสบประสานกันอีกครั้ง


    เรียกชื่อจริงๆ ของฉันไม่ใช่บาคุโก


    บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิท ณ วินาทีที่บาคุโกคุงพูดจบ แต่ถ้าเขาหูดีพอ ก็อาจจะได้ยินเสียงหัวใจของฉันเต้นโครมครามจนแทบกระเด็นหลุดออกจากอกอยู่รอมร่อก็ได้ แถมอันที่จริง ตอนแรกก็ยังเร่งเร้าจะกลับหอพักเร็วๆ อยู่เลยนี่นา ขณะนี้ดันกลายเป็นว่าเขายืนนิ่งด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง ประหนึ่งกำลังรอฟังเสียงของฉันอย่างใจจดใจจ่อจนลืมหนาวซะงั้น


    ภายใต้แผ่นฟ้ามืดท่ามกลางแสงนวลของไฟประดับต้นไม้ข้างทางในโรงเรียน หิมะยังคงโปรยปรายต่อเนื่องราวกับต้องการร่วมเป็นสักขีพยานฉันยืนตัวแข็งทื่อพลางกำเสื้อของตัวเองแน่นด้วยความประหม่า เพราะการจะปริปากเรียกชื่อจริงของบาคุโกคุงออกมาเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ปกติฉันเรียกชื่อเพื่อนบางคนได้อย่างง่ายดาย


    ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าสีระเรื่อทั่วใบหน้านี้คงจะเข้มพอที่เขาจะสังเกตเห็นแล้วด้วย ฉันจึงต้องยกมือขึ้นโบกสะเปะสะปะเพื่อบดบังมันไว้ก่อนจะถูกจับได้ พร้อมกับกล่าวเสียงสั่น


    “ม..ไม่ไหวหรอกบาคุโกคุง! ถ้าเป็นเพื่อนสนิทอย่างทสึยุจังล่ะก็ว่าไปอย่าง!


    หลังจากลนลานปฏิเสธออกมา จู่ๆ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่นิ่งงันไปก็ทำให้ฉันตัดสินใจเงยหน้าช้าๆ


    บาคุโกคุงผ่อนลมหายใจนำควันเย็นๆ ออกจากปาก จากนั้นจึงเอ่ยถาม


    “เราไม่ได้สนิทกันหรอกเหรอ?”


    น้ำเสียงแหบทุ้มนี้ต่างจากปกติ ไม่ได้ดูหงุดหงิดหรือขุ่นเคืองอะไร ทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความรู้สึกด้านลบมากมายที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน บาคุโกคุงขบฟัน ยกมือขยี้กลุ่มผมสีสว่างนั่นเล็กน้อยราวกับกำลังตำหนิตัวเองในใจที่เผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกมาแล้วเดินต่อ ทิ้งให้ฉันยืนเรียบเรียงรายละเอียดความรู้สึกอันแสนซับซ้อนต่างๆ ในหัวด้วยตนเอง

     

    แม้จะเป็นคนที่ไม่ว่าใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเดาความรู้สึกยาก แต่ฉันกลับเชื่อว่าตัวเองเข้าใจตัวตนของบาคุโกคุงดีเข้าใจดียิ่งกว่าใครๆ และแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะทันทีที่ได้ฟังเสียง ได้เห็นสีหน้าอันน่าสงสารของเขาถึงจะเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ฉันก็เข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้


    แผ่นหลังกว้างๆ ยังคงทิ้งระยะห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ฉันเม้มริมฝีปากแน่น อยากตะโกนบอกความจริงในใจที่ล้นอกออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเขากำลังเข้าใจผิดมิหนำซ้ำ ภารกิจที่อยากจะเป็นเพื่อนสนิทกับเขาบ้าๆ บอๆ ของฉันนั่นมันก็ล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดีมาตั้งนานแล้วด้วย


    เพราะฉันไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนสนิทกับเขาเลย


    ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาจนถึงบัดนี้มันมากมายเกินกว่าจะอยากเป็นเพียงเพื่อนสนิทแล้ว


    ดังนั้น ได้โปรด ฟังฉันก่อน


     

    “คัตสึกิคุง!



    ในที่สุดเสียงตะโกนเรียกของฉันก็สามารถหยุดฝีเท้าคู่นั้นไว้ได้ จากนั้นคัตสึกิคุงที่ค่อยๆ หันกลับมาสบตาฉันอย่างอึ้งๆ จึงเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้แค่ไหน


    “ก็เรียกได้นี่”


    สีหน้าหม่นหมองของเขาเมื่อครู่จางหายไปก่อนที่ฉันจะขบริมฝีปากเบาๆ แล้วฉีกยิ้มกว้าง คัตสึกิคุงคงไม่รู้เลยสินะว่ากว่าจะเรียกชื่อของเขาออกมาได้นั้น หัวใจของฉันต้องทำงานหนักมากขนาดไหน


    “จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม อยากหนาวตายเหรอ”

    ฉันส่ายหัวพร้อมกับวิ่งไปขนาบข้างเขา  “เรียกแบบเมื่อกี้ดีรึเปล่า?”

    คนข้างกายเลิกคิ้วฉงน  “ชื่อจริงของฉันก็มีแค่ชื่อเดียวไหม เธอจะเอาอะไร”

    “เผื่อคัตสึกิคุงอยากให้เรียกแบบอื่น อย่างเช่นอืมคัตจัง!

    “ไม่เอา!!!

    ฉันระเบิดหัวเราะทันทีที่เห็นเขาโวยวาย  “เรียกเหมือนเดกุคุงไง น่ารักนะ~”

    “ไม่เอา!!!

    “ฮ่าๆๆ~ ก็ได้ๆ ไม่แกล้งแล้วจ้ะ~”  ฉันใช้นิ้วปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาพลางมองคัตสึกิคุงทำหน้านิ่วเหมือนพร้อมกินหัวใครต่อใครได้ตลอดเวลา ซึ่งก็แน่นอนว่าฉันชอบใบหน้าบึ้งตึงของเขาแบบนี้ที่สุด


    “อืมไม่ยุติธรรมเลยแฮะ”

    “อะไรอีก!!?”

    “ทำไมฉันถึงได้เรียกชื่อคัตสึกิคุงแค่คนเดียวล่ะ?”

    “หา!!?”

    เขาร้องเช่นคนไม่เข้าใจ ฉันเห็นดังนั้นจึงยิ้มร่าแล้วว่าออกไปตามตรง ไร้ซึ่งความเขินอายใดๆ  “คัตสึกิคุงก็เรียกชื่อจริงของฉันบ้างสิ!

              ดวงตาสีแดงสดคู่คมค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น เขาคงคาดไม่ถึงว่าฉันจะเสนออะไรแบบนี้สินะ

              “ไม่เรียก!!! จำไม่ได้!!!

              “ว่าแล้วเชียว~”  ฉันวิ่งขึ้นไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ  “โอชาโกะไง


              ความจริง ฉันไม่เชื่อว่าเขาจำชื่อของฉันไม่ได้จึงจงใจย้ำอีกรอบ ถือเป็นการเอาคืนที่ก่อนหน้านี้เขาก็เล่นย้ำคำขอของตัวเองซะจนฉันประหม่าสุดๆ เหมือนกัน คัตสึกิคุงขบริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมเบือนใบหน้ากับสีเลือดฝาดบนแก้มหนี และยกมือดันหัวฉันเบาๆ เป็นเชิงให้หลีกทาง


    “ก็บอกว่าไม่เรียกไงล่ะ เดี๋ยวก็ฆ่าซะเลย


    ฉันอมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่คำขู่ติดปากนั่นไม่น่ากลัวอย่างเคย แถมใบหน้าของเขาในตอนนี้ก็ยังน่ารักเกินกว่าที่จะฆ่าใครด้วย


    คัตสึกิคุงถอนหายใจพลางหันมาสบตาน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจมือของตัวเองที่ยังคงค้างไว้บนศีรษะของฉัน จากนั้นจึงค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมาไล้ปอยผมสีช็อกโกแลตด้านหน้านี้อย่างทะนุถนอม ชนิดที่ไม่คิดจะรอให้หัวใจของฉันได้ทันตั้งตัว


    ..คัตสึกิคุง


    เพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนได้สติกลับคืน เขาก็เบิกดวงตากว้างพร้อมกับชักมือกลับ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย  “ว..ว่าไง?”


    ไม่ว่าใครจะโทรมาขัดจังหวะก็ตามขอบคุณนะ ไม่งั้นฉันต้องแย่แน่ๆ


    “เออจะถึงแล้ว”  เขาพูดแค่นั้นก็กดวางสายแล้วกล่าวกับฉัน  “ไปกันเถอะ”


    อื้ม!

     

     


    “เอ๊ะ? ทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะ?”


    แปลกจัง ทั้งๆ ที่ชั้นล่างของหอพักมักจะมีเพื่อนหลายคนคอยนั่งเล่นนอนเล่นและตะโกนบอกว่า ยินดีต้อนรับกลับ แท้ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าทั่วทั้งชั้นดันมืดตึ๊ดตื๋อซะงั้น นี่ยังไม่สองทุ่มเลยนะ ทุกคนจะเข้านอนกันเวลานี้เหรอ? ถ้าเป็นคัตสึกิคุงล่ะก็ว่าไปอย่าง


    แม้จะมืดก็ต้องไปต่อ ฉันพยายามคลำหาสวิตช์ไฟก่อนที่สุดท้ายจะต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงวันเกิดดังขึ้น


    เป็นบรรดาเพื่อนๆ นี่เองที่พากันร้องเพลงและปรบมือเป็นจังหวะ ทยอยเดินตามเดกุคุงกับทสึยุจังที่ช่วยกันถือขนมเค้กเข้ามาหาฉัน แถมแสงสว่างจากเทียนบนเค้กยังเพียงพอจะทำให้เห็นว่าทุกคนกำลังอยู่รวมกันตรงนี้ ไม่ขาดใครแม้แต่คนเดียวอีกด้วย


    ฉันยิ้มแก้มแทบปริขณะกวาดสายตามองใบหน้าเหล่าเพื่อนผู้น่ารัก แม้บางคนจะร้องผิดคีย์หรือเสียงหลงบ้างจนคนอื่นๆ จับได้ แต่หากเป็นเพลงที่พวกเขาร้องให้ ต่อให้เสียงเพี้ยนแค่ไหนก็ยังไพเราะที่สุดสำหรับฉัน


    “สุขสันต์วันเกิดนะโอชาโกะจัง/อุรารากะ/คุณอุรารากะ/อุรารากะคุง~!!!

    ฉันถึงกับหัวเราะลั่นเมื่อเสียงเพื่อนๆ ในตอนท้ายตีกันมั่วซั่วไปหมด จากนั้นพวกเขาจึงมองหน้าสลับกันแล้วโทษกันเองเหมือนลืมว่าต้องนัดกันพูดไปซะสนิท

    “อะไรวะเนี่ย~!

    “โธ่~! ทำไมไม่นัดกันพูดล่ะ~”

    “พังๆๆ”

    “ไม่ต้องมามองเลย ฉันกับโทโดโรกิเป็นทีมเฝ้าต้นทาง ถ้าจะโทษไปโทษคิริชิมะทีมประสานงานนู่น”

    “อ้าว! ฉันอีกแล้ว!?”

    “ทีมเตรียมเค้กไม่เกี่ยวนะครับ~”

    “ไม่เกี่ยวอะไร มันก็ต้องพูดทุกคนไหม”

    “เงียบได้แล้วทุกคน~! ให้อุรารากะคุงเป่าเทียนสักทีเถอะ~!

    ต้องขอบคุณอีดะคุงเพื่อนๆ จึงเลิกเถียงกันสักที ส่วนฉันก็ใช้แรงฮึดสุดท้ายในการกลั้นขำก่อนจะเอ่ยบ้าง  “ขอบคุณมากๆ นะ! ทุกคนคือของขวัญที่ดีที่สุดในวันเกิดปีนี้เลย~!

              เพื่อนๆ เผยรอยยิ้มตามๆ กันเมื่อเห็นฉันพอใจกับแผนการเซอร์ไพรส์สุดน่ารักนี้

              “คุณอุรารากะอย่าลืมอธิษฐานก่อนเป่าเทียนนะคะ”

              “จ้ะ!”  ฉันประสานมือเข้าด้วยกันพร้อมกับอธิษฐานตามคำบอกของโมโมะจัง ซึ่งคำอธิษฐานของฉันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายขอแค่ให้ได้อยู่กับพ่อแม่และเพื่อนๆ ทุกคนอย่างมีความสุขแบบนี้ตราบนานเท่านานก็พอ


              ทันทีที่ฉันเป่าเทียนบนเค้กดับลง ทุกคนก็ร้องเฮฮาพลางปรบมือให้

              “อธิษฐานเร็วจังแฮะ”

              “ใครก็ได้เปิดไฟหน่อย มองไม่เห็น~”

              แสงไฟคืนความสว่างทั่วทั้งหอพักอีกครั้งทำให้ฉันกับใครหลายคนต้องหรี่ตาเล็กน้อยหลังจากอยู่ในห้องมืดๆ มาเป็นเวลานาน

              “เฮ้ยดูนั่น! ทีมเปิดไฟว่ะคิริชิมะ~”  คามินาริคุงเอี้ยวหัวไปทางคัตสึกิคุงที่ยืนกอดอกทำหน้าบูดอยู่

              “ไม่อยากคุยกับคนทำผิดแผนว่ะ~”

              เซโระคุงยิ้มพราย  “เออ คนทรยศก็ต้องโดนพวกเราแบนอย่างนี้แหละ~”

              เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?

              “คุณอุรารากะครับ”

              “จ๋า?”

              “ไปกินเค้กกับเพื่อนๆ กันเถอะ”

              “ได้สิ~!  ฉันรับคำขณะก้มสำรวจหน้าเค้กบนมือเดกุคุง

              “จริงๆ ซาโต้คุง ผม คุณอะซุย กับอีดะคุงยังไม่ค่อยแน่ใจว่าคุณอุรารากะชอบเค้กรสอะไรเป็นพิเศษเลยช่วยกันทำรสวานิลลามาให้ หวังว่าจะชอบนะครับ”

              “ชอบสิ! ต้องอร่อยแน่ๆ เลย~”  ฉันยิ้มตาหยี  “แบบนี้แสดงว่าทั้งสี่คนคือทีมเตรียมเค้กใช่ไหม ขอบคุณนะ~”

              เดกุคุงหัวเราะเบาๆ  “เดิมไม่ใช่ผม คุณอะซุย กับอีดะคุงหรอกครับ คัตจังต่างหาก”

              “เอ๊ะ?”

              “ใช่แล้ว แถมบาคุโกจังยังยืนกรานจะเป็นทีมเตรียมเค้กกับซาโต้จังแค่สองคนด้วย”  ทสึยุจังเสริม

              “แต่พอคิริชิมะคุงลองโทรตามตอนคัตจังออกไปซื้อวัตถุดิบที่หมดไปก็บอกแค่ว่าเขาติดธุระสำคัญมากๆ เลยต้องเปลี่ยนทีมเตรียมเค้กกะทันหันน่ะครับ”

              “อ๋อ”  ฉันตีหน้าซื่อพร้อมเหลือบมองคิริชิมะคุง คามินาริคุง กับเซโระคุงที่เข้าไปทำท่าทางกวนประสาทใส่คัตสึกิคุงอย่างไม่กลัวภัย

    อย่าบอกนะว่าพวกเขาก็รู้ว่าจริงๆ แล้วคัตสึกิคุงหายไปไหนมาด้วย

              “โอชาโกะจังยิ้มอะไรเหรอ”

              ทสึยุจัง เดกุคุง รวมทั้งอีดะคุงกับซาโต้คุงที่ยังยืนอยู่ด้วยกันคงงุนงงไม่น้อยเมื่อจู่ๆ ก็เห็นฉันอมยิ้มขึ้นมา แต่ว่าขอโทษนะ รอบนี้ฉันคงพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากคำว่า

              “ความลับจ้ะ~”






           Chit-Chat : พอได้อัพch.นี้แล้วก็รู้เลยค่ะว่าฟิคคัตชาโกะเรื่องนี้เดินทางมาเกินครึ่งได้ไกลมากแล้วจริงๆ ฮื่อ ส่วนเพลงที่รู้สึกว่าไวป์มันได้เลยฟังตลอดที่เขียนch.นี้ก็คือ steal my boy ที่โคฟจาก steal my girl ของ 1D อีกทีค่ะ มันแบบว่าเป็นจั๊กจี้ในใจดี
           Top Secret จริงๆ ตอนแรกหม่ามี๊น้องชาก็คิดว่าพวกต้าวสองคนเป็นเพื่อนกันปกตินั่นแหละค่ะ แต่เพราะเห็นปฏิกิริยาของพ่อน้องชาก็เลยคิดเองเออเองตามคุนสัมมีไป สุดท้ายก็เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×