ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MHA : Kacchako] The Unexpected

    ลำดับตอนที่ #16 : 15th Hero

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 342
      53
      14 มิ.ย. 64

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     


    15th Hero

     

     


              หลังจากบาคุโกคุงแยกตัวไป ทั้งเดกุคุง อีดะคุง โทโดโรกิคุง รวมถึงโปรฮีโร่ก็ตามมาสมทบติดๆ ตอนนี้เสียงระเบิดเงียบไปได้สักพักหนึ่งแล้ว หวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้วนะ


              ฉันนั่งบนท้ายรถพยาบาลระหว่างปล่อยให้คุณหมอตรวจดูอาการและทำแผล ถ้าไม่มีการบาดเจ็บรุนแรงอะไรอย่างเช่นกระดูกหักก็ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ซึ่งฉันก็มั่นใจนะว่าตัวเองไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเป็นพิเศษ ดังนั้นทำแผลปกติก็พอถึงจะเปลืองผ้าพันแผลนิดหน่อย

              “คุณอุรารากะ”  เดกุคุงเรียกขณะตรงปรี่มาหา  “ต้องไปโรงพยาบาลไหมครับ?”

              “ไม่จ้ะ หายห่วงได้~”  ฉันชูนิ้วหัวแม่มือก่อนจะหันไปขอบคุณคุณหมอที่แปะผ้าปิดแผลบนแก้มกับหน้าผากให้  “แล้ววิลเลินล่ะ?”

    “โดนจับแล้วครับ ถึงตอนแรกจะสู้ไหว แต่พอเจอระเบิดของคัตจังไปก็จนตรอกก่อนที่โปรฮีโร่จะเข้ามาอีกครับ”

    แม้แต่ลูกแก้วระเบิดก็ยังเทียบไม่ได้กับระเบิดของบาคุโกคุงงั้นเหรอ

    “แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ล่ะ?”  ฮากาคุเระจังถามบ้าง

    “กำลังให้ปากคำกับตำรวจอยู่ครับ”


    ฉันก้มดูผ้าพันแผลบนแขนอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจถามเพิ่ม  “เดกุคุงพอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์วาจาสิทธิ์มาบ้างไหม?”

    “อ๋อ รู้มาบ้างนะครับ”  เขาผงกหัวพลางหยิบสมุดบันทึกคู่ใจออกจากกระเป๋า  “ดูเหมือนเป็นอัตลักษณ์ที่ค่อนข้างขี้โกงแต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ อย่างแรกคือวิลเลินจะไม่สามารถลั่นวาจาอะไรก็ตามที่เป็นการควบคุมหรือขัดขวางการใช้อัตลักษณ์ของคนอื่นได้ เพราะงั้นเวลาสู้ก็จะเสียเปรียบบ้างครับ อย่างที่สองคือการจะลั่นวาจาจำเป็นต้องใช้สมาธิสูงมากถึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด”

    “โห โชคดีจังที่ตอนนั้นเพื่อนๆ พร้อมโจมตีต่อเนื่อง ไม่งั้นถ้าเผลอปล่อยให้วิลเลินทำสมาธิได้ล่ะก็ฝั่งเราคงเสียเปรียบแทน”

    “ผมก็คิดอย่างนั้น”  เดกุคุงพยักหน้าให้ฮากาคุเระจัง  “ส่วนอีกจุดหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าควรนับเป็นข้อด้อยรึเปล่า แต่อัตลักษณ์นี้ไม่สามารถถอนวาจาได้ครับ ยิ่งถ้าลั่นวาจาอะไรที่ต้องใช้เวลาเห็นผล ก็ต้องรอจนกว่าวาจาจะสัมฤทธิ์ผลเองเท่านั้น เว้นแต่จะได้อัตลักษณ์ของครูไอซาวะช่วยลบให้น่ะครับ”

    ฉันถึงกับชะงักลงเมื่อได้ฟังรายละเอียดในจุดนี้ สิ่งที่เดกุคุงอธิบายกลายเป็นเครื่องตอกย้ำให้มั่นใจยิ่งขึ้นอีกว่าวาจาสิทธิ์ของวิลเลินที่ควบคุมฉันไว้ตอนนั้นคลายลงได้เพราะบาคุโกคุงจริงๆ


              “คุณอุรารากะคะ”  คุณหมอสะกิด  “จากผลตรวจร่างกายทุกส่วนประกอบกับคำยืนยันของคุณก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะคะ แต่อย่าเพิ่งวางใจและระวังไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ถ้าภายในสองสามวันนี้มีอาการบาดเจ็บตรงไหนขอให้รีบพบหมอไม่ก็รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลของโรงเรียนให้เร็วที่สุดนะคะ”

              “ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่อุตส่าห์ใช้อัตลักษณ์ตรวจให้อย่างดี”

              “นั่นเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ”  คุณหมอยิ้ม  “คุณอุรารากะลองยืนดูไหมคะ? จะได้แน่ใจว่าตรงขาไม่มีอาการผิดปกติด้วย”

              “ค่ะ”  ฉันรับคำแล้วค่อยๆ ลงจากท้ายรถไปยืนสำรวจขาตัวเองบนพื้น


              “อุรารากะ!

              เสียงตะโกนเรียกของมินะจังดังพอจะดึงความสนใจทุกคนได้ จากนั้นเธอที่วิ่งนำเพื่อนคนอื่นๆ มาหยุดยืนหอบทั้งน้ำตาจึงสวมกอดฉันเบาๆ ราวกับกลัวจะพลั้งโดนแผลตรงไหนทำให้ต้องเจ็บตัวอีก

    “ขอโทษนะขอโทษที่พามาเจออะไรแบบนี้

    “ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ใช่ความผิดมินะจังสักหน่อย อีกอย่างฉันยังแข็งแรงดีอยู่นะ ดูสิ~

    “ขอโทษจริงๆ


    มินะจังที่สะอื้นไม่หยุดคงรู้สึกผิดมาก ฉันจึงลูบหลังปลอบเงียบๆ เผื่อจะช่วยให้ผ่อนคลายลง

    “อย่าคิดมากเลยอาชิโด ยิ่งเธอเศร้า อุรารากะจะยิ่งไม่สบายใจนะ”

    ขอบคุณคิริชิมะคุงที่พูดแบบนั้น เธอถึงยอมคลายกอดแล้วปาดน้ำตาทิ้ง ไม่ทำหน้าเศร้าแบบตอนแรกเท่าไหร่

    “ไหนลองยิ้มให้ดูหน่อยซิ~”  ฉันฉีกยิ้มเป็นตัวอย่างและปล่อยให้อีกฝ่ายทำตาม  “ในที่สุดมินะจังคนเดิมก็กลับมาแล้ว~”

    แต่สุดท้าย เธอก็โผเข้ากอดอีกครั้งจนฉันต้องหลุดขำพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้ ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน คนเราก็มักจะมีมุมแบบนี้เหมือนกันสินะ~


    บรรยากาศหม่นหมองเริ่มจางหายเมื่อเพื่อนคนอื่นพากันยืนหัวเราะคิกคัก ฉันเกือบจะดีใจอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าสีหน้าผ่อนคลายเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏบนใบหน้านิ่งๆ ของบาคุโกคุงเลย


    “เอาเป็นว่าไหนๆ ตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว พวกเรากลับหอพักกันเถอะค่ะ”

    “เอ๊ะ? เดี๋ยวสิโมโมะจัง จะกลับแล้วเหรอ?”

    “ช..ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ? หรือว่าคุณอุรารากะต้องไปโรงพยาบาลกับคุณหมอต่อ?”

    “เปล่าจ้ะ แค่นึกขึ้นได้ว่าพวกเรายังไม่ได้เดินเที่ยวเล่นกันเลยน่ะ”

    “ยังจะห่วงเที่ยวอีกเหรออุรารากะคุง!”  อีดะคุงขยับมือเหมือนหุ่นยนต์  “เวลานี้เธอต้องรีบกลับไปพักผ่อนจะดีที่สุดนะ!

    “ต..แต่ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นะ เห็นไหม”

    เพื่อนๆ ต่างมองหน้าสลับกันด้วยความลำบากใจพอเห็นฉันกางแขนกว้างแถมยังดึงดันจะไปเที่ยวต่อ แต่ฉันว่าตัวเองไหวจริงๆ นะ! จะให้ตีลังกาโชว์ยังได้!…รึเปล่านะ?

    ช่างเถอะ เหตุผลที่ดื้อดึงแบบนี้ก็เพียงแค่อยากให้ทุกคนกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมเท่านั้นเอง


    “อย่าให้เรื่องวิลเลินมาทำลายวันดีๆ ของพวกเราเลยนะ”  ฉันยิ้มบางๆ  “แค่เดินเล่นก็ได้! นะ?”


    ทุกคนพากันยืนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่คามินาริคุงจะถอนหายใจแล้วยกยิ้มมุมปาก  “อ้าวๆ! รออะไรกันล่ะพวกนาย! แค่นี้อนุโลมให้คนป่วยหน่อยไม่ได้รึไง~”

    “ใช่ๆ! อุรารากะบอกว่าแค่เดินเล่นเองเนอะ~”  เซโระคุงยักคิ้ว

    “เฮ้อ~ ช่วยไม่ได้แฮะ”  มินะจังอารมณ์ดีแล้ว!  “ทำตัวคึกคักให้สมกับเป็นวัยรุ่นหน่อยสิพวกนาย! แล้วก็อีดะอย่าห้ามด้วย!

    “เดี๋ยวสิ–!

    “ไปเดินเล่นในห้างดีกว่านะ ข้างนอกเริ่มหนาวแล้วด้วย”  โทโดโรกิคุงเสนอ

    “ครับ! ทุกคนไปด้วยกันเถอะ”


    กลิ่นอายความครึกครื้นที่ค่อยๆ กลับมาทำฉันยิ้มกว้างได้อย่างสบายใจในที่สุด ทว่าพอจะออกเดินตามหลังบรรดาเพื่อนทั้งหลายไปพร้อมทสึยุจังบ้าง ใครคนหนึ่งก็เข้ามายืนขวางก่อน


    ใครคนนั้นที่ทำให้เผลอนึกย้อนถึงคำทำนายจากอัตลักษณ์วาจาสิทธิ์อีกครั้งทั้งๆ ที่อุตส่าห์ลืมไปแล้วชั่วขณะ


    “บ..บาคุโกคุง...?”


    เขาเงียบ ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร เหมือนจงใจรอให้ทสึยุจังกับเพื่อนคนอื่นทิ้งระยะห่างจากเราทั้งสองไป ก่อนจะหรี่ดวงตาสีสดจ้องมองฉันโดยไม่สนเลยว่าสายตาของตัวเองคู่นั้นจะทำฉันประหม่ายิ่งกว่าเดิมรึเปล่า


    และหากการเร่งจังหวะหัวใจดวงนี้คือแผนการ บาคุโกคุงก็คงทำสำเร็จตอนที่พ่นลมออกจมูกแล้วถอดเสื้อนักเรียนตัวนอกยื่นให้ฉัน


    “สวมไว้”

    “เอ๊ะ!? ม..ไม่เป็นไรหรอกบาคุโกคุง”  ฉันยิ้มอย่างเหนียมอายพลางก้มมองเสื้อนักเรียนสีขาวของตนที่สวมอยู่  “แค่เสื้อตัวนี้ก็พอแล้วล่ะ”

    “ทั้งๆ ที่มันมีรอยขาดตรงนั้น แถมเธอยังมีแผลเต็มตัวเนี่ยนะ?”

    ฉันกะพริบตาปริบๆ แล้วลองก้มสำรวจเสื้ออีกครั้งกระทั่งเห็นรอยขาดตรงช่วงสีข้างกับเอวด้านหลัง  “นิดเดียวเองบาคุโกคุง ไม่เป็นไร–”

    ทว่าเขาที่ไม่คิดจะรอฟังจนจบกลับคลุมเสื้อของตัวเองให้ฉันทันที


    แถมเสื้อตัวนี้ยังหอมกลิ่นคาราเมลอ่อนๆ ด้วย


    “สวมไว้เถอะ


    น้ำเสียงเชิงขอร้องและไม่แข็งกระด้างเช่นเคยทำให้ฉันใจอ่อน ยิ่งไปกว่านั้น แววตาที่แลดูอ่อนโยนลงคู่นี้ยังทำให้ใจสั่นมากกว่าเดิมอีก ฉันหลบสายตาพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ เพราะหากขืนสบตากันต่อไป เขาต้องเอะใจเรื่องสีเข้มๆ ผิดปกติบนแก้มทั้งสองข้างแน่ๆ


    “คุณอุรารากะ~! คัตจัง~!

    “เออ”

    ครั้งนี้บาคุโกคุงไม่ได้ขึ้นเสียงใส่เดกุคุงที่อาจเห็นพวกเราไม่ยอมเดินตามมาสักทีถึงตะโกนเรียก ก่อนจะหันมาทำเสียงดุใส่ฉันแทน

    “วันนี้มีแต่เรื่องบ้าบอเต็มไปหมด แล้วเธอก็ยังซวยมาก! ซวยขนาดนี้แต่ก็ยังไม่เข็ด!!


    เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าควรกลับไปพักผ่อนมากกว่าเที่ยวเล่นต่อแบบนี้ ฉันจึงก้มหน้าสลดด้วยไม่คิดจะเถียงสู้ ทว่ามิทันไร นิ้วมือของเขาที่เคลื่อนมาสัมผัสมือของฉันอย่างแผ่วเบานั้นก็ทำให้ต้องเผลอตัวเงยหน้า เพื่อพบว่าแววตาของบาคุโกคุงในวินาทีนี้เต็มไปด้วยความห่วงใยมากมายเกินกว่าใจดวงน้อยๆ จะรับไหว


    “และฉันก็จะไม่ทนเห็นเธอซวยอีก


    สิ้นน้ำเสียงละมุนหู บาคุโกคุงก็ค่อยๆ กุมมือของฉันอย่างทะนุถนอมประหนึ่งประคองร่างอันบอบบางของลูกแมวแรกเกิด... น่าเสียดายนะ...ที่เขาคงไม่รู้เลย ว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้จะกะทันหันสำหรับฉันมากซะจนหัวใจในอกไม่สามารถกลับไปเต้นเป็นปกติได้อีกแล้ว


              “อย่าเผลอใช้อัตลักษณ์ก็พอ”


    “อ..อื้ม”


    สัมผัสจากฝ่ามือของบาคุโกคุงทั้งอบอุ่นและน่าปลอดภัยเพียงพอจะย้ำให้มั่นใจว่า ตราบเท่าที่เรายังจับมือกัน จะไม่มีอันตรายใดๆ เข้ามาแผ้วพานได้ทั้งนั้น …เพราะงั้นฉันที่อมยิ้มอยู่นานสองนานจึงค่อยๆ จับมือตอบบ้างด้วยความระมัดระวังขณะปล่อยให้เขาจูงมือเดินตามหลังเดกุคุงไป

    รู้ตัวอีกทีก็แทบละสายตาจากมืออันแสนคุ้นเคยนี้ไม่ได้ซะแล้ว

     

     

    ตลอดทาง ฉันกับบาคุโกคุงเดินรั้งท้ายกลุ่มพลางดูเพื่อนๆ ที่มัวแต่ทำตาวาวอยากซื้อนู่นอยากซื้อนี่จนไม่ได้สังเกตว่าเราสองคนตัวติดกันได้สักพักหนึ่งแล้ว และแม้จะเห็นเดกุคุงร้องเรียกพร้อมถือถาดพลาสติกใสใส่ขนมวิ่งมาหา เขาก็ยังไม่คิดปล่อยมือฉัน

    “นี่ครับคุณอุรารากะ~!

    “ขนมดังโงะ!

    “ใช่ครับ คุณอาชิโดกับคุณอะซุยยืนซื้ออยู่ตรงนู้นเลยวานผมเอามาฝาก”

    “ขอบคุณนะ~”  ฉันยิ้มร่าแล้วรับถาดขนมดังโงะไว้

    “คัตจังอยากกินด้วยไหม?”

    “ไม่เอา”

    เดกุคุงหัวเราะแห้งๆ เหมือนคาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องตอบแบบนี้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสกว่าปกติเมื่อสายตาน่าจะไปสะดุดกับมือพวกเราเข้าพอดี  “คัตจังกับคุณอุรารากะสนิทกันมากขึ้นแล้วสินะ! ดีจังเลย~”

    เดกุคุง!?

    “แกมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยไป!  ..บาคุโกคุงเริ่มแยกเขี้ยวแล้ว!

    “มิโดริยะคุง! ทางนั้นมีโซนเกมด้วยแหละ!

    “เฮ้ยบาคุโก~! ไปเล่นเกมกันเถอะ!

    โชคดีที่อีดะคุงกับคิริชิมะคุงพร้อมใจกันส่งเสียงชักชวนขัดจังหวะ เดกุคุงเลยปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน กระทั่งบาคุโกคุงเริ่มใจเย็นลงจึงหันมองโซนเกมเล็กๆ ข้างๆ แล้วถามกลับ  “ทางนี้ก็มีไม่ใช่รึไง?”

    “ตรงนั้นมีแค่ตู้คีบตุ๊กตา ไม่สนุกหรอก”

    เขาเงียบไปชั่วครู่  “ฉันจะคอยแถวนี้”

    “เหรอ เอางั้นก็ได้”

    “แล้วคุณอุรารากะล่ะครับ?”  เดกุคุงหันมาถามบ้างก่อนจะเปลี่ยนไปกล่าวกับอีกคนแทนพอเห็นฉันส่ายหัว  “งั้นฝากดูแลคุณอุรารากะด้วยนะคัตจัง!

    “หุบปาก!

    ขนาดโดนทำหน้ายักษ์ใส่แท้ๆ เดกุคุงก็ยังมิวายส่งยิ้มตบท้ายให้จึงค่อยตามเพื่อนคนอื่นๆ ไป ดีจริงๆ นะที่เห็นพวกเขาสนิทกันมากขึ้นต่างจากตอนปีหนึ่งลิบลับแบบนี้ ทำให้พลอยมีความสุขไปด้วยเลย


    ฉันกับบาคุโกคุงถูกทิ้งไว้ตามลำพังอีกครั้งเมื่อทุกคนเดินหายเข้าไปในโซนเกม ทันใดนั้นเขาที่ขบฟันเบาๆ จึงพ่นลมออกจมูกแล้วตัดสินใจปล่อยมือ

    “เอ๊ะ

    “อะไร?”

    ทำไมถึงปล่อยมือล่ะ? เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่โชคดีที่ไม่เผลอหลุดปากถามไปซะก่อน ฉันส่ายหน้าเล็กน้อย ยอมรับว่ารู้สึกโล่งมือนิดหน่อย

    ไม่สบายใจเลยแฮะ

    “ฉันแค่จะเล่นไอ้นั่นเอง”  เขาเอี้ยวหัวไปทางตู้คีบตุ๊กตาที่ตั้งเรียงกัน

    โล่งอกไปที  “บาคุโกคุงชอบคีบตุ๊กตาเหรอ?”

    เขาเหยียดยิ้มมุมปาก  “เกลียดต่างหาก!

    “อ้าว? แล้วทำไมถึงเล่นล่ะ?”

    “ก็เพราะต้องชนะมันให้ได้ไง! ฉันไม่ยอมเสียเงินฟรีจนตายหรอก!”  ว่าจบบาคุโกคุงก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในโซนเกมเล็กๆ ตรงหน้าพลางกวาดสายตาเลือกตู้ที่ถูกใจ  “นี่มันตัวบ้าอะไร?”

    ฉันมองตามก่อนจะร้องลั่น  “ตุ๊กตารูปขนมโมจิ!

    “หา?”  เขาเพ่งดู  “พิลึกชะมัด”

    “น่ารักจะตายไป~”  ฉันเขย่ามือตัวเองด้วยความตื่นเต้น คิดว่าถ้าสมมติขนมดังโงะในมือเกิดมีชีวิต มันคงน้อยใจเนอะที่แค่เจอตุ๊กตาขนมโมจินิดหน่อยก็ถึงกับลืมกันไปเลย

    “งั้นฉันเล่นตู้นี้”  บาคุโกคุงพูดจบจึงหยอดเหรียญลงตู้ทันทีทั้งๆ ที่เพิ่งบอกว่าพิลึกไปหยกๆ แล้วปล่อยให้ฉันยืนดูพร้อมกับกินขนมดังโงะแก้เบื่อเพลินๆ กระทั่งเล่นไปเล่นมา จนโดนตุ๊กตาขนมโมจิทรยศเท่านั้นแหละ...


    “ตายซะ!!!

    “บาคุโกคุง!!!  ฉันก็ต้องร้องเสียงหลงแล้วปล่อยถาดขนมดังโงะลอยเคว้งเพื่อถลาเข้าไปรั้งตัวไว้เมื่อเห็นเขาเงื้อมือทำท่าจะระเบิดตู้ ไม่งั้นล่ะก็–!

    “คุณลูกค้าใจเย็นๆ ค่ะ!!!

    “ไอ้ตู้เฮงซวย!!!

    “คุณลูกค้าคะ!!!

    “บาคุโกคุงหยุดเถอะนะ!! ไม่งั้นจะโดนคุณยามไล่–!!

    ได้ผล! เขาไม่ทำท่าจะระเบิดตู้แล้ว แต่ห้ามวางใจเด็ดขาด ก็ตอนนี้ยังขู่ฟ่อๆ ใส่ตู้คีบตุ๊กตาอยู่เลยนี่นา

    “ฉันจะเล่นใหม่!

    “แต่บาคุโกคุงต้องไม่ระเบิดตู้นะ!

    เขาแยกเขี้ยว  “รู้น่ะ!


    ฉันปล่อยตัวบาคุโกคุงช้าๆ พร้อมกับหันไปโค้งขอโทษคุณพนักงาน ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าเขาทำท่าจะระเบิดตู้อีกก็จะรีบใช้ซีโร่กราวิตี้พาออกไปทันที อาจฟังดูเสี่ยงนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไร


    บาคุโกคุงกลับมาเล่นต่ออย่างสงบในที่สุดแม้จะยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ และขณะที่เฝ้าระวังไปพลางๆ ฉันจึงหยิบขนมดังโงะไม้สุดท้ายขึ้นมา...

    จริงด้วยแฮะ เขายังไม่ได้กินเลยนี่นาถึงจะรู้อยู่ว่าคงถูกปฏิเสธ แต่ถามตามมารยาทอีกครั้งก็ไม่เสียหาย

    “บาคุโกคุง กินดังโงะไหม?”

    เขาเหลือบมองน้อยๆ  “กิน”

    ฉันทำตาโต  “เกินคาดนะเนี่ย”

    “ทำไม? ฉันจะลองกินบ้างมันแปลกมากรึไง?”

    “ก็นานๆ ทีจะเห็นบาคุโกคุงกินขนมหวานนี่นา แถมก่อนหน้านี้เดกุคุงก็ชวนกินแล้วด้วย”

    เขากัดฟัน  “กับอีแค่อยากลองกินของที่เธอชอบบ้างมันจะอะไรนักหนา! สรุปยังไงจะให้กินไหมหา!?”


    ฉันที่เม้มริมฝีปากแน่นถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงยื่นดังโงะให้ ไม่คิดเลยว่าเหตุผลของเขาจะผิดคาดขนาดนี้


    “ตาบอดเหรอ! มือฉันไม่ว่าง!  บาคุโกคุงเบือนหน้ามาทางฉันเล็กน้อยขณะที่สายตายังจ้องตุ๊กตาในตู้อยู่แล้วอ้าปากรอ  “เร็วเข้า”

    “เอ๊ะ!? อ..อื้ม!


    ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้า ค่อยๆ ยื่นดังโงะไปใกล้ๆ จนกระทั่งวินาทีที่เขางับมันเข้าปากไปหนึ่งชิ้น แก้มทั้งสองข้างนี้ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที โชคดีนะที่เขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการคีบตุ๊กตา ฉันจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนจับพิรุธจากสีระเรื่อบนหน้ารึเปล่า


    “หวาน”

    บาคุโกคุงย่นคิ้วและเคี้ยวขนมตุ้ยๆ เหมือนเด็กระหว่างดำเนินภารกิจคีบตุ๊กตาต่อ ส่วนฉันก็พยายามควบคุมสติ เปลี่ยนมาจัดการกินขนมดังโงะที่เหลือจนหมดเกลี้ยง ทันใดนั้นเอง

    “เสร็จฉัน!”  ดูท่าครั้งนี้คงไม่ต้องกลัวตู้คีบตุ๊กตาระเบิดแล้วแฮะ เพราะในที่สุดเขาก็คีบตุ๊กตาขนมโมจิลงช่องได้สักทีก่อนจะก้มตัวลงหยิบมันออกมาแล้วยกยิ้มมุมปาก

    “ไม่เสียเงินฟรี สะใจชะมัด!

    “ดีจังเลยนะ~”

    เขาเปลี่ยนมาสบตาฉันพร้อมกับยัดตุ๊กตาขนมโมจินุ่มๆ ใส่มือ  “เอาไป”

    “เอ๊ะ!?”  ฉันก้มดูตุ๊กตาในอ้อมแขน  “แต่ว่าบาคุโกคุงคีบได้นะ”

    “ฉันไม่ชอบตุ๊กตา มันรกห้อง”  ซะงั้น  “อีกอย่างเธอชอบโมจิไม่ใช่เหรอ”

    “อ..อืม”

    “ฉันยกให้”


    ณ วินาทีนั้น...นัยน์ตาสีแดงคู่คมของเขาสะกดสายตาฉันไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง


    บาคุโกคุงที่ไม่เคยสนใจอะไร ขนาดชื่อเพื่อนบางคนยังจำไม่ได้ กลับจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับตัวฉันอย่างเรื่องขนมหวานที่ชอบได้


    อันที่จริงไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเลย แต่แค่ได้แอบคิดว่าฉันอาจจะพิเศษสำหรับเขานิดหน่อย รอยยิ้มกับความรู้สึกดีๆ ที่ล้นใจนี้ก็ไม่สามารถถูกเก็บซ่อนต่อไปได้อีกแล้ว


    ฉันใช้แก้มคลอเคลียตุ๊กตาขนมโมจิสีขาวบริสุทธิ์ที่นุ่มนิ่มเกินกว่าจะกอดไว้เฉยๆ พลางอมยิ้มแก้มปริเฉกเช่นเด็กน้อยได้รับของขวัญจากพ่อแม่เป็นครั้งแรก แล้วกล่าวเสียงหวาน


    “ขอบคุณนะบาคุโกคุง


    ใช่ ถ้าเป็นของที่เขามอบให้ ไม่ว่าอะไรฉันก็ชอบทั้งนั้น


    ฉันจะนอนกอดทุกคืนเลย”


    หลังจากตัดสินใจพูดคำนั้นออกไป จู่ๆ บรรยากาศโดยรอบก็เงียบเสียงลง ทำให้ฉันที่มัวแต่ซุกแก้มบนตุ๊กตาต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าตอนนี้ บาคุโกคุงยืนนิ่งอึ้งไปขณะใช้หลังมือป้องปากตัวเอง ถึงอย่างนั้นใครจะไปคิดว่าสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อหัวใจฉันมากที่สุดในวินาทีนี้กลับเป็นพวงแก้มแลดูร้อนผ่าวนั่น

    นี่ฉัน...ทำให้เขา...เขินงั้นเหรอ...


    “บ..บาคุโกคุงคือเมื่อกี้ฉัน–”


    “อุรารากะ


    เขาลดมือลงช้าๆ แล้วขบริมฝีปากเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ


    เธอพูดอะไรของเธอ



    “บาคุโก~! อุรารากะ~!”  ป..เป็นคิริชิมะคุงนี่เองที่เข้ามาเรียกชื่อขัดจังหวะก่อน ไม่งั้นป่านนี้...เราสองคนคงหัวใจวายทั้งยืนไปแล้ว  “กลับกันเถอะ จะมืดแล้ว”

    “กันโดนอีดะบ่นด้วย”  คามินาริคุงกระซิบ

    “อ..อื้ม!  แบบนี้...ดูไม่น่าสงสัยใช่ไหมนะ?

    “นั่นตุ๊กตาอะไรเหรอ? น่ารักดีแฮะ”

    “ตุ๊กตาขนมโมจิน่ะจิโร่จัง!

    “ซื้อมาจากที่ไหนเหรอ?”  ทสึยุจังถาม

    “บาคุโกคุงคีบให้น่ะ!”  ฉันว่าจบจึงกอดตุ๊กตาแน่นตามนิสัย

    ส่วนเพื่อนๆ ก็พร้อมใจกันทำตาโตพลางเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของบาคุโกคุง ไม่มีใครกล้าพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร ยกเว้น

    “คีบ? ไม่ใช่ว่าบาคุโกระเบิดตู้แล้วเอามาให้เธอหรอกเหรอ?”

    “อันนั้นก็เกินไปนะคามินาริ  คิริชิมะคุงเอ่ย

    “เหรอ”  คนขี้สงสัยเงยหน้าแล้วกระตุกยิ้ม  “เฮ้ยๆ คัตจัง~ คีบตุ๊กตาให้เพื่อนสักตัวสองตัวบ้างสิ~”

    แถมเซโระคุงด้วยอีกคน  “ใช่ๆ~ คำว่าเพื่อนน่ะ~”

    “ไปตายซะ!!!

    “อ้าวๆ~ โกรธหน้าแดงซะแล้ว~”

    “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!”  ต้องขอบคุณอีดะคุงที่เข้ามาห้ามทัพทันเวลาพอดี  “หัดเกรงใจคนอื่นๆ บ้างสิ! รีบกลับหอพักกันเถอะ!

    “เรารอดตายแล้วเซโระ! หนีกัน!

    คามินาริคุงพูดจบก็รีบวิ่งหนีไปกับเซโระคุงอย่างไว ในขณะที่บาคุโกคุงทำได้แค่กัดฟันกรอดก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันเพียงแวบเดียวแล้วเดินตามเพื่อนคนอื่นๆ ไปบ้าง


    “บาคุโกคุง

    “อะไร?”

    เขาไม่ได้ตะคอกแม้น้ำเสียงจะฟังดูหงุดหงิดนิดหน่อย และไม่รู้อะไรดลใจ ฉันถึงได้ฉีกยิ้มแล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายจับมือเขาก่อน...

    ...นั่นสินะ เผลอๆ เหตุผลอาจเป็นเพราะตัวฉัน ณ ตอนนี้เกิดอยากจับมือเขาอีกครั้งซะจนไม่อยากพลาดโอกาสจากความประหม่าใดๆ ทั้งนั้นแล้ว...ล่ะมั้ง~


    “ฉันสัญญา ว่าจะไม่เผลอใช้อัตลักษณ์ออกไปและจะไม่ปล่อยมือเด็ดขาดนะ”


    บาคุโกคุงค่อยๆ เบิกตากว้างในวินาทีที่ฉันพูดจบ จากนั้นจึงขบริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมเบือนหน้าหนีราวกับกำลังปกปิดบางสิ่ง ก่อนจะยอมเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อจูงมือกลับหอพักด้วยกันในที่สุด

     

     


    ครูยามาดะกับเพื่อนๆ ที่เหลือเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เห็นพวกเรากลับมาถึงหอพัก เดาว่าคงจะได้ยินข่าววิลเลินโจมตี ครูถึงได้มาดักรอด้วย สุดท้ายพวกเราเลยโดนอบรมยกใหญ่ที่ขนาดเกิดเหตุไม่ดีขึ้นก็ยังจะดื้อดึงไปเที่ยวต่อ นี่นับว่าโชคดีที่ข่าวไม่ได้ใหญ่มาก พ่อกับแม่ฉันจึงไม่รู้และไม่พลอยเป็นห่วงไปอีกคน


    ฉันกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเองหลังจากโดนบ่นจนหูชา จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นครูยามาดะมุมนี้มาก่อนเลย ซึ่งถ้าเขาไม่เป็นห่วงซะอย่างคงไม่เทศน์ยาวแบบนี้ เพราะงั้นคราวนี้จึงไม่มีใครรำคาญเสียงแสบหูของครูเขา กลับกัน รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำไป


    เหนือสิ่งอื่นใด คืนนี้ฉันจะนอนกอดตุ๊กตาขนมโมจิให้หนำใจเลย~!

    โอ๊ะ! จริงสิ ลืมไปสนิทเลยว่ายังไม่ได้คืนเสื้อให้บาคุโกคุง แต่...จะให้เอาไปคืนทั้งอย่างนี้ก็ใช่เรื่อง ซักให้เป็นการขอบคุณคงดีกว่า ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย


    ฉันค่อยๆ ถอดเสื้อตัวนอกออก จากนั้นจึงตัดสินใจดึงมันเข้ามากอดพลางหลับตาปี๋


    ..อายตัวเองจังเลย… 

    ทำไงได้ล่ะ...แค่นึกถึงตอนที่บาคุโกคุงตั้งใจคลุมเสื้อตัวนี้ให้อย่างดีก็อดดีใจไม่ได้เลย พูดไปใครจะเชื่อว่าเสื้อของเขาช่วยให้ฉันอุ่นกายอุ่นใจได้มากกว่าเสื้อกันหนาวทั่วไปซะอีก


    ขอบคุณนะที่เข้ามาเป็นเรื่องดีๆ ในวันที่โชคร้ายของฉัน







    Chit-Chat : เจ้าคัตที่เผลอโป๊ะบ่อยๆ นี่ไรท์ว่าก็แอบน่าสนใจเหมือนกันนะคะ ส่วนเรื่องดังโงะ จากที่รู้มาเขามักนิยมกินกันช่วงฤดูใบไม้ผลิแต่คงไม่ฟิกขนาดนั้น คิดว่ากินฤดูไหนก็อร่อยเหมือนกันค่ะ555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×