คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สำนักมาธยามิกะ - ญาณวิทยา
บทที่ ๒ ญาณวิทยา
๑.ญาณวิทยา ความหมายและขอบเขต
๑.๑ ความหมายของญาณวิทยา
ญาณวิยา หรือ ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) คือ ปรัชญาสาขาที่ว่าด้วยเรื่องของบ่อเกิด ลักษณะหน้าที่ ประเภท ระเบียบวิธีการและความสมเหตุสมผลของความรู้ ปัญหาทางญาณวิทยาเป็นปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับมนุษย์ เราจะรู้ความจริงของโลกได้อย่างไร? ปัญหาในเรื่องญาณวิทยาคือความรู้ที่ใช้เพื่อการพิสูจน์ความจริงนั้นว่าเป็นอย่างไร ?
ตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลเชื่อว่าความจริงแท้คือวัตถุ สิ่งที่จะใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าวัตถุมีจริงหรือไม่ก็คือ การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
การพิสูจน์เรื่องนิพพานต้องใช้การตรัสรู้หรือการบรรลุธรรมอันเป็นเรื่องของจิต
การพิสูจน์เรื่องพระเจ้าก็ต้องใช้มหากรุณาของพระเจ้าในการเปิดเผยตัวเองให้ผู้ที่เชื่อพระองค์ได้รับรู้
๑.๒ขอบเขตในการแสวงหาความรู้
๑. ผัสสะ สามารถรู้ได้โดยประสาทสัมผัส
๒. ความเข้าใจ สามารถรู้ได้โดยการอนุมาน
๓. อัชฌัตติกญาณ สามารถรู้ได้โดยสามัญสำนึก
๔. การตรัสรู้ สามารถรู้ได้โดยญาณวิเศษ หรือการบรรลุธรรม
๕. วิวรณ์ สามารถรู้ได้โดยการเปิดเผยตัวเองของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ
๒. ญาณวิทยา ของสำนักมาธยมิกะ
๒.๑ ระดับของความรู้[1]
มหาวิทยา
ท่านนาคารชุนกล่าวว่า สารัตถะแห่งสรรพสิ่งคือ ศูนยตา อวิทยาทำให้เรามองเนสรรพสิ่งเหมือนมีอยู่จริงและเที่งแท้ถาวร การรู้แจ้งสรรพสิ่งว่าเป็นศูนยตา เรียกว่า มหาวิทยา
มหาวิทยา เป็นความรู้ขั้นประจักษ์พิเศษที่แทงตลอดศูนยตาซึ่งเป็นสัจจธรรมขั้นสูงสุดได้ มหาวิทยาเป็นความรู้บริสุทธิ์ เกิดจากการปฏิบัติสมถกรรมฐานจนได้อัปปนาสมาธิ และใช้สมาธินั้นเป็นฐานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุโพธิสัตวภูมและพุทธภูมิ
มรรคาไปสู่จุดหมายสูงสุดเชิงญาณวิทยาในทรรศนะของมาธยมิกะจึงไม่แตกต่างไปจากมรรคาที่ฝ่ายเถรวาทถือปฏิบัติกัน ซึ่งเริ่มต้นด้วยสมถะแล้วจบลงด้วยวิปัสสนามหาวิทยาของท่านนาคารชุนจึงเป็นสิ่งเดียวกับสัมมสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าไม่ใช่โพธิยาณทั่วไปของพระสาวก นัยที่ดูเหมือนจะต่างออกไปเล็กน้อยคือ สถานะของมหวิทยา
ลักษณะการบรรยายสิ่งสูงสุดในแต่บะเรื่องของมหายานคือ การโน้นเอียงไปเชิงรูปธรรม โยคาจารบรรยายอาลยวิชญานโดดเด่นมากกระทั่งมีสถานะเหมือนพรหมัน มาธยมิกะบรรยายศูนยตาในลักษณะเดียวกัน สถานะของศูนยตาจึงเหมือนพรหมัน มหวิทยาก็เช่นกัน ลักษณะที่มหาวิทยารู้แจ้งศูนยตา (รู้แจ้งสรรพสิ่ง) จะบอกว่าเหมือนกับการที่ชีวาตมันรู้แจ้งปรมาตมันก็มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อยเพราะฉะนั้น ถ้าจะสรุปว่า มหาวิทยาก็คือพิญาณ หรือสัมมาสัมโพธิญาณ อาจจะถูกระดับหนึ่ง แต่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของมาธยิมะทั้งหมด
มหาวิทยาของมาธยมิกะคือโลกุตตรปัญญาในฝ่ายเถรวาท หรือจะเรียกว่าอาสวักขยญาณก็ได้ มหายานถือว่า ในเชิงจริยศาสตร์ มหาวิทยาอยู่ในระดับเดียวกับโลกุตตรปัญญาหรืออาสวักขยญาณ แต่ในเชิงอภิปรัชญาอยู่ระดับสูงกว่า เพราะมหาวิทยาคือโลกุตตรตมปัญญา กล่าวคือ ในเชิงจริยศาสตร์ หมายถึงปัญญาที่ไม่ได้ทำลายเฉพาะม่านคือกิเลสเท่านั้น (กิเลสาวรณะ) แต่ทำลายม่านคือญาณด้วย(ชเญยวรณะ) ในเชิงอภิปรัชญา หมายถึงปัญญาที่ไม่ได้แทงตลอดเฉพาะปุทคลศูนยตาเท่านั้น แต่งตลอดธรรมศูนยตาด้วย
อวิชชา
อวิชชา หรือ อวิทยา ไม่ใช่ปฏิบัติการแยกจากการเกิดขึ้นแห่งปรัชญาทั้ง ๒ อย่างเป็นไปในขณะเดียวกัน เป็นด้านที่แตกต่างกันทั้ง ๒ ของกิริยามี่เหมือนกัน เป็นหลักการเดียวกัน ในลักษณะสูงสุดแห่งปรัชญากับอวิชชา ไม่มีความแตกต่างกัน
๒.๒ ระดับของความรู้
ระดับของความรู้ตามที่ท่านนาคารชุนได้กล่าวไว้นั้น มีอยู่ ๒ ระดับอันได้แก่ ๑.ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงของอริยะบุคคล มีแต่อริยะบุคคลเท่านั้นจึงจะเข้าถึงและมองเห็นความแตกต่างระหว่างระดับของความเป็นจริงต่างๆ ๒. สมมติสัจจะ คือ สัจจธรรมที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดารู้เข้าใจ และมองเห็น
ปรมัตถสัจซึ่งอยู่เบื้องหลังโลกแห่งปรากฏการณ์นั้นมีอยู่และทรงอยู่ชั่วนิรันดร์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดเป็นเหตุและเป็นปัจจัย และไม่มีคุณลักษณะทางปรากฏการณ์อื่นใด มาเป็นเหตุของความจริงข้อนี้ย่อมสมกับที่ท่าน นาคารชุน พูดว่า สัจจธรรมนั้นมีสองอย่าง และพรระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้นก็ตั้งอยู่บนสัจธรรมทั้งสองนี้ อย่างหนึ่ง เป็นสมมติสัจจะ คือหมายถึงที่ประชาชนคนธรรมดาเข้าใจได้ และอีกอย่างหนึ่งเป็นปรมัตถสัจจะ คือเป็นความจริงของอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ใดยังไม่เห็นแจ้งถึงความแตกต่างระหว่างความจริงทั้วสองประการนี้แล้วผู้นั้นย่อมไม่สามารถจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้งได้[2]
๒.๒ วิธีการเข้าถึงความรู้
ท่านนาคารชุนเป็นนักประสบการณ์ยอดเยี่ยม(Empiricist par excellence) เห็นว่า แหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้ มีอย่างเดียวคือประสบการณ์ (experience) ความรู้มีแต่ประเภทภายหลังประสบการณ์ (a posteriori knowledge)
พระพุทธเจ้าเป็นนักประสบการณ์นิยมแบบเอหิปัสสิกะ (Verifications) คือเห็นเฉพาะตนแล้วเรียกให้มาดู ความรู้ต้องเป็นการรู้เห็นและต้องเป็นการรู้เห็นซึ่ง (seeing of) ไม่ใช่รู้เห็นเกี่ยวกับ (seeing about) และปรากฏการณ์มีลักษณะเป็นสันทิฏฐิกะ คือต้องเห็นด้วยตัวเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพพะคือเห้นเฉพาะตน ท่านนาคารชุนเป็นนักประสบการณ์นิยมแบบสมัตตเสฏฐะ (par excellence) ซึ่งเหทือนพระพุทธเจ้าไม่จำกัดตัวเองอยู่กับแนวคิดแบบนามธรรม (Abstract idea) แต่จะไปยึดแนวคิดแบบการพิสูจน์ให้เห็นจริง (Identification)
๒.๓ ความรู้ ๒ ประเภท
๑ . สัจปรัชญา (Prajna as Reality)[3]
สัจปรัชญาเป็นอสังขตธรรม และอสังวิภาคภาวะ ตั้งชื่อไม่ได้แต่กล่าวถึงได้โดยอาศัยชื่อ สัจจปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นลักณะ(Nature) แท้จริงของสรรพสิ่ง เป็นอปฏิเสธิตธรรม เป็นอภินนธรรม ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติหรือไม่ก็ตาม ลักษณะแท้จริงของสรรพสิ่งนี้ก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น ธุวลักษณะของสิ่งทั้งหลาย (ธรรมสถานะ) ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างขึ้น หรือไม่ใช่สิ่งที่ใครสร้างขึ้น
สัจปรัชญาเป็นอันติมตัจฉลักษณะของสิ่งที่ถูกแบ่งแยกและสิ่งสุดท้าย(อณูและปรมาณู-Atom and Molecule) ในระดับสมมติสัจจะ มีการกำหนดชื่อ เช่น เมื่อพูดถึงโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่ในระดับปรมัตถสัจจะ ไม่มีความต่างกันระหว่างความรู้และสัจภาวะ (ผู้รู้กับสิ่งทีถูกรู้) การรู้กับภาวะ (Knowing and Being) หรือแม้กระทั่งวิชชาและอวิชชา (Knowledge and Ignorance)
๒. ญาณปรัชญา(Prajna as Knowledge)
ญาณปรัชญา อยู่ในฐานะเป็นหลักการสูงสุดแห่งความรู้ และเป็นกิริยาแห่งความรู้ มีความจำเป็นในการกล่าวถึงโลกแห่งสิ่งต่างๆซึ่งยังมีความต่างกันระหว่างความรู้กับสัจภาวะ การรู้กับภาวะ และวิชชากับอวิชชา
ญาณปรัชญาแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ๑. สถานปรัชญา (Eternal, Substantial) และ อสถานปรัชญา (Functional, Impermanent)
สถานปรัชญาเป็นสัจภาวะสูงสุดในตัวเองก็เฉพาะที่เรียกว่า ปรัชญาเท่านั้นกล่าวคือ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับโลกแห่งวัตถุ (Objective World) ซึ่งเป็นสิ่งสัมพัทธ์และเปลี่ยนแปลง ส่วนอสถานปรัชญาเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจิต เป็นสวสังเวทนา (Self-Conscious Intellect) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับอวิชชา และในส่วนที่เกี่ยวกับสัจภาวะเชิงวัตถุวิสัย (Objective Reality) ซึ่งเผชิหน้าอยู่เท่านั้น
๒.๔ ความรู้เป็นสิ่งสัมพัทธ์
ความรู้เป็นสิ่งสัมพัทธ์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เลื่อนไหลอยู่ตลอกเวลา แหล่งที่มาของความรู้จากแหล่งเดียวกันอาจได้ความรู้ไม่เหมือนกัน
...ลักษณะแท้จริงของความโง่คือปรัชญา แต่ถ้าบุคคลเข้าใจผิด ยึดติดปรัชญาปรัชญาเองนี่แหละกลายเป็นความโง่ โดยสรุปจึงไม่มีความต่างกันระหว่างปรัชญากับความโง่ เพราะข้อเท็จจริงคือว่า ความโง่เกิดจากการมองปรากฏการณ์ ความฉลาดก็เกิดจากการมองปรากฏการณ์เช่นกัน ถามว่า ปรากฏการณ์ทำให้เกิดความโง่ หรือความฉลาด?
ตอบว่า ไม่ใช่ ปรากฏการณ์หนึ่งทำให้เกิดได้ทั้งความโง่และความฉลาดอยู่ที่วิธีการมอง การอ่านหนังสือทำให้เกิดความฉลาด แต่คนอ่านหนังสือทุกคนฉลาดจริงหรือไม่? คำตอบคือ อาจจะไม่ใช่... [4]
[1] พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์), พุทธปรัชญา สาระ และ พัฒนาการ, (กรุงเทพมหานคร), หน้า ๑๘๘
[2] สนั่น ไชยานุกุล, ปรัชญาอินเดีย, ลัทธิมาธยมิกของสุญญวาท, (โรงพิมพ์การศาสนา ๒๕๒๔), หน้า ๒๖๗
[3] พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์), พุทธปรัชญา สาระ และ พัฒนาการ, (กรุงเทพมหานคร), หน้า ๑๙๓
[4] พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์), พุทธปรัชญา สาระ และ พัฒนาการ, (กรุงเทพมหานคร), หน้า ๑๙๕
....จบ....
ความคิดเห็น