คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Fic HunzHutKangsom : Choose 2/5
ขอเตือนค่ะ จริงจังมากนะคะ ถ้าคุณรับฟิค Y ไม่ได้ ขอให้ปิดฟิคนี้ไปเลยนะคะจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง
บอกเลยว่ายังไม่ระบุนะคะว่าใครเคะใครเมะ
โปรดใช้มโนเองล้วนๆค่ะ
เทคนิคการอ่านให้ดูตามสีค่ะ ฮั่น ฮัท แกงส้ม
Fic นี้เป็นเพียงจินตนาการส่วนตัวของผู้แต่ง
ไม่ได้อิงชีวิตจริงแต่อย่างใด
ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ
ถ้าไม่ชอบกรุณาปิดไปนะคะ เราไม่ตีกะใคร ขอบคุณค่ะ
......
อยากให้มองเป็นผลงานการเขียนเรื่องหนึ่ง เป็นเพียงบทละคร ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด
......
Fic HunzHutKangsom : Choose 2/5
Type: AU PG-15 และ NC-18บางตอน
เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใด จะคงไว้แค่เพียงหน้าตาตัวละคร และอาจจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆ ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ
........................................................
ถ้าเจอคนที่พอใจ
ถ้าเจอคนที่ชอบใจ
ถ้าเจอคนที่รู้สึกดี
แต่...เลือกไม่ได้ มันเพราะอะไรนะ
........................................................
"ถึงบ้านแล้วหรอ" ผมถามไปเพราะคิดว่าป่านนี้ฮัทคงน่าจะถึงบ้านแล้ว ผมเดินเข้าตึกไปคุยโทรสับไป ยังมีงานดีไซน์ท่าเต้นรอผมจัดการอยู่
"ยังครับ ผมยังอยู่ในตึกอยู่เลย" อยู่ในตึกงั้นหรอ อย่าบอกนะว่าที่บ้านยังไม่มารับ นี่มันก็นานมากแล้วนะ หลายชั่วโมงแล้ว
"อยู่ตรงไหน เดี๋ยวพี่ไปหา" ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปหา แค่คิดว่าอีกคนคงเหงาคงต้องการใครสักคน ไม่งั้นคงไม่โทรมา เสียงปลายสายเงียบไปพักนึงถึงตอบกลับมา
"จะดีหรอครับ พี่ฮั่นยุ่งอยู่รึเปล่า ผมไม่อยากกวน" คนเราอ่ะนะ ถ้าไม่อยากกวนจริงๆจะโทรมาทำไม ทำเป็นเกรงใจแต่จริงๆก็คงอยากเจอผมนั่นแหละ เด็กน้อย
"ไม่กวนหรอก ตกลงอยู่ไหน เดี๋ยวพี่ไปหา" ตอนนี้ผมอยู่ในตึกแล้วและกำลังมองหาเด็กตี๋อยู่ คาดว่าน่าจะอยู่แถวคอฟฟี่ชอปเนี่ยแหละ ไม่น่าไปไหนไกลได้
"ก็อยู่ในร้านกาแฟเนี่ยแหละ ผมยังเห็นตัวพี่ฮั่นเลย เอางี้ พี่หาผมให้เจอซิ" อะไร จะเล่นซ่อนแอบกับผมรึไง ผมไม่ได้กดวางโทรศัพท์แต่สายตาก็กวาดไปทั่วร้านทั้งที่ยังไม่ได้เดินเข้าไป ผมพยายามสังเกตุหาเสื้อยืดสีฟ้า เสื้อสีฟ้า เอ๊ะ แล้วผมจำได้ได้ไงว่าเป็นสีฟ้าเนี่ย เพิ่งรู้ว่าตัวเองช่างสังเกตเหมือนกันแหะ หรือว่าเพราะเป็นเด็กคนนี้นะสมองมันเลยจำไปเอง
ผมพยายามมองหาอยู่ซักพักก็ยังไม่เห็น ร้านมันก็ไม่ได้กว้างขวางหรือซับซ้อนอะไร แต่มองยังไงก็ยังหาไม่เจออยู่ดี
"แน่ใจนะว่าอยู่ในร้านอ่ะ" ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ ถามย้ำไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ "ก็อยู่แถวนี้แหละ ผมยังเห็นพี่อยู่เลยนะ" แล้วทำไมผมยังหาไม่เจอล่ะ
ผมขยับตัวไปทางขวาเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมายืนใกล้ๆด้านซ้าย พอผมขยับออกห่าง คนข้างๆก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีก ขยับหนีก็ยิ่งขยับตาม อะไรวะเนี่ย ผมหันไปว่าจะดูหน้าสักหน่อยแต่ก็พบหน้าตี๋ๆที่ยืนยิ้มแฉ่งคล้ายต้องการจะแซวผมอยู่
"พี่ฮั่นนี่แก่แล้วจริงๆด้วย ผมอยู่ใกล้แค่นี้ยังหาไม่เจอ" เด็กสมัยนี้มันปากคอเราะร้ายดีแท้ ผมกดวางโทรศัพท์และหันตัวออก ทำท่าทางจะเดินหนี แต่อีกฝ่ายวิ่งมาดักหน้าเอาไว้ก่อน แต่ยังไม่วายทำปากคอเราะร้ายใส่ผมต่อ
"คนแก่นี่ขี้งอนเนอะ" เออผมแก่ ก็แค่แก่กว่าสี่-ห้าปี ไม่แก่มั่งก็แล้วไป ผมกระชากคอเสื้อเจ้าเด็กตี๋ไว้แล้วลากๆๆๆๆให้เดินตามผมขึ้นลิฟท์ไป...คนแก่อย่างผมขี้เกียจจะต่อความด้วยแล้ว
“โอ๊ยยยยย พี่ฮั่น เดี๋ยวๆๆๆ ปล่อยฮัทก่อน” ผมยังคงยึดคอเสื้อของอีกคนไว้ พอลิฟท์เปิดออกถึงชั้นที่ต้องการก็ลากๆๆๆๆให้เดินเข้าไปในห้องซ้อมห้องหนึ่งต่อ ผมปล่อยมือจากคอเสื้อ ดันๆอกเจ้าเด็กตี๋ให้ลงไปนั่งหลังห้องซ้อม
“นั่งเฉยๆอยู่นี่แหละ พี่มีงาน นั่งอยู่นี่จนกว่าที่บ้านจะมารับ...เข้าใจเปล่า?” เด็กตี๋พยักหน้าให้ผม แต่ผมดูก็พอจะรู้ว่ามันพยักหน้าไปงั้นแหละ ยังไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมดที่ผมพูดจริงๆหรอก
“กินอะไรรึยัง...หิวป่ะ?” ผมเริ่มเดินไปกลางห้องเพื่อทบทวนท่าที่ได้ดีไซน์ไว้เมื่อวันก่อน งานเต้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเองเต้นได้ ต้องให้คล้องจองกับองค์ประกอบส่วนอื่นด้วย
“หายงอนแล้วหรอ??” สองขายาวก้าวเข้ามาซ้อนด้านหลังผมไว้ ถึงผมจะมัวแต่ทวนท่าเต้นไม่ได้หันไปมองก็รู้ได้เพราะกระจกเงาที่สะท้อนภาพอยู่รอบห้อง...อะไรอีกละเจ้าเด็กน้อย
“ทำไมต้องงอน พี่ไม่ถือสาคำพูดเด็กเล็กๆหรอก” พูดโดยไม่หันกลับไปมองหน้า แต่เลือกที่จะมองผ่านกระจกแทน ยอมรับว่าที่พูดไปตั้งใจหาเรื่อง ตั้งใจจะดูซิว่าอีกฝ่ายจะทำยังไง
“ใครเด็ก ผมโตแล้วนะ สูงเท่าพี่เลยเนี่ยเห็นเปล่า” ทำเป็นมายืนข้างๆวัดส่วนสูงให้ดู เหอะ เด็กน้อย นี่ฮัทคิดแบบนี้จริงๆหรือว่าแค่อยากให้ผมขำนะ
“เขาไม่ได้วัดว่าโตไม่โตด้วยส่วนสูงหรอกนะ” ผมยอมหันหน้าไปคุยด้วยตรงๆ พอเห็นหน้าแล้ว...แววตาขี้เล่นแบบนั้น...ก็นะ อดไม่ได้ที่จะยกมือไปขยี้หัวคนตรงหน้าซักทีสองที
“งั้น...วัด...ด้วยอะไรอ่ะ” ผมเข้าใจ... เข้าใจคำพูดที่ส่งมา เข้าใจแววตาที่สื่อสาร เข้าใจรอยยิ้มที่มุมปาก เข้าใจมือที่สัมผัสมือ เข้าใจเสียงหัวใจที่ร้องก้อง เข้าใจ...ทุกอย่าง เพียงแต่...
“พี่ต้องทำงานนะฮัท...นั่งอยู่นี่ดีๆ เดี๋ยวมีครูคนอื่นมาอีก” ผมดันๆอกอีกฝ่ายให้เดินถอยหลังไปนั่งรอที่เดิม ใช้เหตุผลว่าจะมีคนอื่นเข้ามาอีก ซึ่งนั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลจริงๆที่ผมไม่สานต่อบทสนทนาอันท้าทายหัวใจนั้น ก็เพราะ...อยุ่ดีๆก็มีหน้าของใครอีกคนลอยเข้ามาในห้วงความคิด
ให้เป็นจังหวะดีที่พอจับฮัทนั่งลงได้ ประตูห้องซ้อมก็เปิดออกพร้อมด้วยเหล่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ต้องทำงานกันในวันนี้ เลยทำให้ฮัทยอมนั่งรอแต่โดยดี และดูเหมือนจะไม่สงสัยอะไรด้วย ...ยังไงซะ เด็กก็คือเด็ก จะมาตามผู้ใหญ่ทันได้ยังไง
ใช้เวลาพอสมควรกว่าการทำงานของผมจะสิ้นสุดลง ระหว่างทำงานผมก็พยายามมองฮัทอยู่ตลอดว่าทำอะไร เบื่อมั๊ย หรือว่าจะกลับรึยัง แต่เมื่อผมมองไปก็ได้รับสายตาตรงๆจากฮัทตอบกลับมาตลอด รู้สึกเหมือนว่าฮัทก็พยายามมองผมอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
“โอเคนะ เอาตามนี้ละกัน แล้วค่อยไปลองบนเวทีอีกที” ผมสรุปจบงานเมื่อท่าเต้นทั้งหมดลงตัว เหลือแต่ลองบนหน้างานอีกครั้ง ทุกคนแยกย้ายกันไปเก็บกระเป๋าที่วางไว้ตามริมห้องและทยอยกลับออกไป
“เป็นไง เบื่อมั๊ย” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆเด็กตี๋ที่ส่ายหน้าไปมาเพื่อตอบคำถามผม... เหนื่อยครับวันนี้ ทั้งประชุม ทั้งสอน ทั้งเตรียมงาน กว่าจะหมดวันก็เล่นเอาหมดแรง เหนื่อยจนไม่อยากจะสนใจตัวเอง ปล่อยให้เหงื่อไหลหยดไปทั่วใบหน้าและร่างกาย
“ผมยังไม่ได้ใช้...พี่รังเกียจเปล่า” ผ้าขนหนูผืนเล็กลอยมาอยู่ตรงหน้าผม แม้เหมือนเป็นประโยคคำถามธรรมดา แม้เหมือนเป็นการถามอย่างสุภาพชน แต่เมื่อมองหน้าคนถาม ผมจึงรู้ว่า...มันไม่ธรรมดา แต่มีความหมายอย่างอื่นสื่อในคำถามนั้นด้วย ผมไถลตัวลงเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน ปล่อยตัวให้สภาพเหมือนหมดแรงซะไม่มี
“เหนื่อยอ่ะ ไม่ไหวละ ไม่อยากขยับตัวเลย...ฮัทเช็ดให้หน่อยซิ" ผมว่าคำพูดของผม น่าจะเป็นการตอบคำถามก่อนหน้าได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมจะสื่อสารได้ อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองกลับมายังไง
ผมเห็นฮัทมองผ้าขนหนูในมือทีมองหน้าผมที...ก่อนจะ...ยิ้ม และลงมือเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม เชื่อมั๊ย ว่าไม่ได้ผิดจากที่ผมคาดไว้เท่าไหร่ ที่ผมให้เช็ดหน้าให้ หมายถึงผมไม่ได้รังเกียจ และยินดีให้ใกล้ชิด
"คนแก่นี่ขี้อ้อนเนอะ" ถึงมือจะเช็ดหน้าให้ แต่ปากก็ยังคงกัดกวนตามสไตล์ แบบนี้มันน่าให้ใกล้ชิดมั๊ยเนี่ย น่ายันไปใกล้ชิดกับกำแพงซักทีสองที
“แก่แล้วไง ถึงแก่ก็มีคนมองล่ะกัน” ผมตั้งใจยั่ว ถามว่าตอนนี้ผมรู้มั๊ยว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกลับผม...ผมรู้ รู้ว่าอีกฝ่ายสนใจ รู้ว่าอีกฝ่ายอยากใกล้ชิด รู้ว่าอีกฝ่ายคิดมากกว่าพี่น้อง แต่มันก็อาจเป็นแค่อารมณ์ชั่วครู่ก็ได้ ผ่านไปพรุ่งนี้ฮัทอาจจะลืมมันไปก็ได้
“หรอ...ใครมองหรอ” เด็กน้อยจงใจขยับตัวนั่งคร่อมผมไว้ ถึงไม่ได้นั่งทับแต่ก็คร่อมตัวผมอยู่ ดีนะที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วนอกจากเราสองคน ฮัทจงใจเลื่อนหน้าเข้าใกล้ผม ประมาณอยากจะให้เห็นชัดๆว่า...เขามองผมอยู่
“ใครก็ได้ เยอะแยะ” ผมขยับตัวขึ้นยืน หันเดินหนี จะเรียกว่าสบัดตัวใส่เลยก็ว่าได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนักเมื่ออีกฝ่ายจับกระชากไหล่ผมให้หันหลังกลับ แรงที่ฮัทใช้เหวี่ยงผมไปติดกับกำแพงทำให้รู้ว่าคนเหวี่ยงกำลังอารมณ์ไม่ท่าจะดีเท่าไหร่ละ
“เฮ้ยฮัท พี่เจ็บนะเว้ย” ต้องร้อง ถึงไม่ได้เจ็บมากก็ต้องร้องไว้ก่อน ผมรู้ว่าเด็กวัยนี้อารมณ์รุนแรง แต่ถ้าคิดจะคบกันยาวๆก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเองบ้าง
“ถ้าผมมองพี่ พี่จะมองผมมั๊ย” เป็นคำถามที่ต้องตอบรึเปล่า เร็วไปมั๊ยที่จะตอบคำถามนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกไม่ดีด้วย...เพียงแต่...ยังไม่แน่ใจ ผมยังมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในความรู้สึก ...
ดีที่เสียงโทรศัพท์ฮัทดังขี้น ผมจึงไม่ต้องตอบคำถามเจ้าเด็กน้อย จากที่ฟังเหมือนว่าที่บ้านมารับแล้ว ครั้งนี้ผมคงรอดตัวไป ผมเบี่ยงตัวออกขณะที่ฮัทยังคุยโทรศัพท์อยู่ ตีเนียนไปหยิบกระเป๋าทั้งของผมและของฮัทมาถือรอหน้าประตูห้องซ้อม
เราไม่ได้พูดอะไรกันตลอดทางลงตึก เหมือนฮัทอยากจะทวนคำถามทวงคำตอบอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งผมจะหันหน้าหนีหรือให้ความสนใจกับคนที่ผ่านไปมาแทน จนกระทั้งออกมาถึงหน้าตึก เรายืนข้างกันทามกลางเสียงรถวิ่งขวักไขว่ เสียงผู้คนเดินผ่านมากมาย หากแต่ไม่มีเสียงเราสองคนพูดคุยกัน
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากพูด แต่คำพูดของผมอาจไม่ใช่คำตอบที่เจ้าเด็กน้อยอยากได้ยิน ผมถึงเลือกที่จะเงียบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
เสียงแตรจากรถที่กระพริบไฟจอดอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามเรียกความสนใจจากเราสองคน ผมเห็นฮัทโบกมือกลับไปให้รู้ว่าเขาเห็นแล้ว นั้นคงเป็นรถที่บ้านที่มารับ เด็กน้อยกระชับกระเป๋าเป้พาดบ่าตั้งท่าเตรียมจะเดินออกไปโดยไม่มีการล่ำลา ไม่รู้อะไรดลใจบังคับร่างกายให้ผมทำแบบนี้ มือข้างหนึ่งเอื้อมคว้ามือเด็กตี๋ไว้ จับจูงพาเดินลงจากหน้าตึกและก้าวข้ามถนนไปด้วยกัน
แม้ทีแรกจะเป็นผมคนเดียวที่จับมือเขา แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นแรงบีบกลับที่มือทำให้ผมรู้ว่าเขาจับมือผมตอบ ผมส่งฮัทขึ้นรถไป ไม่มีคำพูดอะไรใดๆมากมายนอกจากการล่ำลาตามปกติของพี่น้องของคนรู้จัก ผมมองตามรถที่เคลื่อนตัวออกไปทามกลางแสงไฟสาดส่องถนนอันมืดมิด
เสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ทำให้ผมต้องหยุดความสนใจอื่น...ผมรู้ว่าพี่ฮั่นอาจจะเห็นผมเป็นเด็ก แต่ผมอยากให้พี่ฮั่นเปิดใจให้เด็กอย่างผมบ้าง...คืนนี้ผมโทรหานะ... ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่ออ่านข้อความจบ ดีใจนะ พอใจนะ ชอบใจนะ รู้สึกดีนะ แต่ทำไมผมยังไม่กล้าที่จะลุกเข้าไปนะ ทำไมยังมีอะไร ค้างคาในใจผมอยู่
........................
..............................................
เสียงดนตรีดังสะท้อนกระจายทั่วลานกว้าง วัยรุ่นจำนวนมากส่งเสียงร้องไปตามเนื้อเพลงที่นักร้องบนเวทีกำลังถ่ายทอด งานประกวดวงดนตรีถึงไม่ใช่อะไรที่ผมเคยชินแต่ก็ไม่ถึงกับขัดแย้ง ด้วยว่าตัวเองก็เคยประกวดเต้นผ่านเวทีมาไม่น้อย บรรยากาศการเชียร์แบบนี้ก็ทำให้นึกถึงคืนวันเก่าๆได้เหมือนกัน
ผมหาเสาป้ายประกาศแถวข้างเวทีนั้นเป็นที่พิงหลังแม้จะไม่ใช่ทำเลที่ดีแต่ก็สามารถเห็นเวทีได้ชัดเจน ที่ผมมาเตร็ดเตร่แบบนี้ได้เพราะไม่มีสอน นักเรียนคนพิเศษของผมเกิดยกเลิกคลาสขึ้นมา เลยทำให้ผมมีเวลาว่างแบบนี้ เสียงประกาศจากพิธีกรบนเวทีบอกผมว่าวงที่ผมรอคอยกำลังจะขึ้นเล่นแล้ว
เสียงท่วงทำนองที่ผมได้ยินเกือบทุกคืนดังดึงดูดใจ เสียงร้องทุ่มใสที่คุ้นเคยลอยล่องกระทบโสต แม้ว่าจะได้ยินอยู่ทุกคืนก่อนนอนก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อมาเห็นและได้ยินตรงๆบนเวทีแบบนี้
...เธอคือคนที่ฉันตามหามาแสนนาน...และเป็นคนที่ฉันใฝ่ฝันในหัวใจ...บทเพลงสื่อความรัก หากเป็นคนที่กำลังมีความรักร้องเราจะยิ่งสัมผัสได้ ตลกดีนะที่ผมรู้สึกว่าคนร้องกำลังมีความรักอยู่และผมก็ดันรู้สึกถึงความรักนั้นได้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้นักร้องหน้าตาดีบนเวทีเห็นว่าผมมาเชียร์ อุสาห์ยืนหลบมาข้างเวทีแล้วแต่ก็ยังไม่วายโดนเจอเข้าจนได้
ถ้าจะเป็นนักร้องที่กวาดสายตาไปทั่วขนาดนี้ไม่รู้จะมองหาอะไรขนาดนั้น รู้สึกได้ว่าคนบนเวทีตกใจที่เห็นผม แต่พอหายตกใจเท่านั้นแหละ ยิ้มซะ ปากใกล้จะถึงหูละอีกนิดเดียว แล้วก็นะ เวลาร้องเพลงไม่ต้องหันมองผมบ่อยขนาดนั้นก็ได้ ถ้าจะหันมาเรื่อยๆแบบนี้ ย้ายหน้าเวทีมาตรงหน้าผมเลยดีกว่ามั๊ย
สองขาพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ในฝูงชนแถวหน้าเวที เพราะยิ่งร้องแกงส้มก็ยิ่งหันมาแต่ทางผม จึงให้ลำบากผมต้องย้ายตัวเองไปอยู่หน้าเวทีแทน เดี๋ยวกรรมการเขาจะเอียงคอมองตามกันปวดคอซะก่อน แต่ไม่รู้เป็นโชค ความบังเอิญ พรหมลิขิต หรือพระเจ้าเล่นตลก ที่ทำให้เมื่อผมมาหยุดยืนด้านหน้าเวทีปุ๊ป ก็เป็นจังหวะที่แกงส้มต้องร้องเพลงท่อนนี้ปั๊ป
...อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี...แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี....แต่คืนนี้จะบอกเธอนะคนดี...อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้... ฉันรักเธอ...
ผมไม่ได้คิดไปเอง คนบนเวทีจงใจมองมาที่ผมตอนร้องเนื้อเพลงท่อนนี้ ตามคมมองมาเจาะจงชัดเจน ชัดเจนจนผมไม่สามารถเบื้อนหน้าหนีได้ และผมเอง...ก็...ไม่มีความคิดจะหันหนีแม้แต่น้อย กลับยิ้มตอบคนบนเวทีซะตาแทบปิด
ผมฟังเพลงนี้จากเสียงร้องของแกงส้มแทบทุกคืนตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เจ้าเด็กห้าวจะโทรหาผมและร้องเพลงนี้ให้ฟัง บอกว่าเป็นการซ้อม ผมว่าเขาร้องเพราะนะ ร้องเพราะทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ ฟังแล้ว...เพราะซึมลึกเข้าไปในใจราวกับจะผมเข้าใจทุกคำทุกเสียงที่เขาต้องการจะสื่อสาร...ฟังแล้ว เกือบลืมหายใจ
เจ้าเด็กห้าวร้องต่ออีกเพลง ครั้งนี้เป็นเพลงมีจังหวะ ฟังแล้วก็อดจะโยกตัวตามไม่ได้ ดูวันนี้คนบนเวทีจะอารมณ์ดีผิดปกติแหะ อดจะคิดให้ความสำคัญกับตัวเองไม่ได้ ว่าเป็นเพราะผมมารึเปล่านะ แกงส้มถึงอารมณ์ดีขนาดนี้ มีหยักคิ้วหลิ่วตาให้ด้วยนะ ดีที่รอบๆตัวผมเป็นกลุ่มเด็กผู้หญิง น้องๆเลยพากันกรี๊ดกร๊าดไปเพราะนึกว่าคนบนเวทีเล่นหูเล่นตาด้วย...ตลกดีอ่ะ
........................................................
อาจจะเป็นเพราะการร้องที่ดีมีอินเนอร์ซะเหลือเกินรึเปล่า ที่ทำให้การประกวดครั้งนี้ทีมของแกงส้มเป็นฝ่ายชนะไป ผมเลี่ยงที่จะเข้าไปแสดงความยินดีท่ามกลางเพื่อนฝูงผู้คนรุมล้อมมากมาย ผมเดินออกมาริมถนนฝั่งหลังเวที ยังไงเวลาเดินไปเก็บของจะกลับบ้านก็ต้องเห็นผมที่ยืนอยู่แถวนั้น
การเฝ้ามองดูเจ้าเด็กคนนี้เวลาเขามีความสุข มันทำให้เรามีความสุขไปด้วยอย่างประหลาด ชอบเวลาเขายิ้มเขาหัวเราะเขาสุขใจ ผมไม่ได้อยากได้อะไร ก็แค่ชอบที่เห็นแกงส้มมีความสุขจริงๆ
แกงส้มเดินมาหาผมทันทีที่เก็บของเสร็จ นอกจากกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วยังมีช่อดอกไม้มากมายกล่องของขวัญอีกเพียบ เห็นแบบนี้แล้วไอ้ที่ผมเตรียมมาให้ ดูด้อยค่าไปเลย...เก็บไปดีกว่า ไม่ต้องให้ คงจะดีกว่า
“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมา” ยิ้มหน้าระรื่นมาหาผมเชียวนะ รู้ครับว่าวันนี้วันดีได้รางวัล แต่หุบยิ้มบ้างก็ได้มั๊ย ...เด็กน้อย
“เซอร์ไพรไง ไม่ชอบหรอ” ผมเอื้อมมือไปช่วยหิ้วข้าวของ ขณะที่เจ้าเด็กห้าวหัวเราะชอบใจกับคำตอบของผมยกใหญ่
“ชอบซิ ทำไมจะไม่ชอบ...พี่ฮั่นก็รู้ว่าผมชอบ” ผมเข้าใจทุกความหมายของคำพูด ทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มเข้าใจชัดเจนมากขึ้นเมื่อมองตา สิ่งที่ผมท่องเสมอมาว่าแค่พี่กับน้อง ว่าแค่ผู้ใหญ่กับเด็ก ถึงตอนนี้คงไม่สามารถท่องแบบนั้นต่อไปได้แล้ว
“พี่หิวแล้ว ไปหาไรกินกันเหอะ” ขาสองข้างก้าวเดินช้าๆเพื่อเชื้อชวนให้คนอายุน้อยกว่าเดินตาม ซึ่งเจ้าเด็กห้าวก็เดินตามมาแต่โดยดี ข้อดีของแกงส้มคือรู้ว่าควรพูดอะไรตอนไหนและควรเลิกพูดอะไรตอนไหน
“วันนี้พี่ฮั่นเลี้ยงนะ ฉลองผมได้ที่หนึ่ง” ทำมาเป็นอ้อนเอาหัวทุยๆฝากไว้บนไหล่ผม เหอะ...เวลาอยากได้อะไรชอบทำแบบนี้ทุกทีซิ ง่ายไปละ คิดว่าอ้อนแล้วจะได้ทุกอย่างหรอ
“ทำไมพี่ต้องเลี้ยงด้วยอ่ะ คนชนะมาก็ต้องเลี้ยงซิ” ผมเป็นคนไม่ชอบตามใจเด็ก ถ้าปล่อยให้ทำไรตามใจแต่แรก ต่อไปข้างหน้า เราเองเนี่ยแหละที่จะเหนื่อย
“โห่ๆๆๆๆ ผมชนะมาเนี่ย พี่ยังไม่ได้ให้อะไรผมเลยนะ ...ดังนั้น เลี้ยงข้าวผมซะดีๆ” ไม่ใช่ว่าไม่มีของให้ แต่ของที่จะให้มันดูเล็กน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับของขวัญที่แกงส้มได้รับมาทั้งหมดในวันนี้
“ไม่เอาอ่ะ ไม่มีตังค์ ...เลี้ยงได้แต่มาม่าอ่ะ จะกินมะ” ผมให้ทางเลือกแล้วนะ เลี้ยงได้แต่เลี้ยงมาม่า ดูซิว่าเจ้าเด็กห้าวเวลาไม่โดนผมสปอยแล้วจะเป็นยังไง จะเหวี่ยงผมมั๊ยนะ ผมหยุดเดินริมถนนเพื่อรอรถแท๊กซี่พร้อมกับสังเกตุอาการของอีกฝ่ายไปด้วย ...มีคิดนะ เห็นได้ว่าสายตากำลังใช้ความคิดแม้จะเพียงแวบเดียวก็ตาม
“พี่ฮั่นไม่ใจเลยอ่ะ...กินมาม่าก็ได้ แต่..................ไปกินที่บ้านผมนะ” เดี๋ยวนะ ...ขอเวลาผมทบทวนความทรงจำเมื่อสองวินาทีที่แล้วนิดนึงนะ คือ แกงส้มตกลงให้ผมเลี้ยงมาม่า แต่สถานที่กินคือที่บ้านแกงส้ม อืม อืม อืม เฮ้ย!!
“จะบ้าหรอ!! ทำไมต้องไปกินบ้านแกงส้มด้วย” งงครับ เอาอะไรคิดว่าต้องกินมาม่าที่บ้าน ไม่เข้าใจ หรือแค่เหนื่อยแล้วอยากกลับบ้าน อะไรของมันนะไอ้เด็กนี่
“กินมาม่าก็ต้องกินที่บ้านซิ พี่จะกินมาม่าในรถเมล์หรอไง” ถ้าจะทำเสียงประหนึ่งผู้ใหญ่สอนเด็กแบบนี้ เดี๋ยวก็จัดให้ลงไปนอนบนถนนเลยนิ
“อีกอย่าง พี่เป็นคนทำนะ มาม่าอ่ะ ผมทำไม่เป็น” โอ๊ย อมพระ28วัดมาผมก็ไม่เชื่อว่าแกงส้มจะต้มมาม่าไม่เป็น เด็กป.1ยังทำได้เลยแล้วจะภาษาอะไรกับวัยรุ่นแบบนี้ ไอ้ที่พูดเนี่ย เพราะขี้เกียจจริงๆ หรือเพราะจะอ้อนเฉยๆกันนะ
ยังไม่ทันที่ผมจะตบปากรับคำอะไร แกงส้มก็โบกแท็กซี่ที่ผ่านมาพอดี โยนของลงเบาะหน้าแล้วดันๆผมให้ขึ้นรถแท็กซี่นั่งเบาะหลังไปด้วยกัน ผมได้แต่ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของเด็กห้าวคนนี้
“ผมเหนื่อยจัง...เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย แต่ตอนนี้อย่างง่วง” แกงส้มพูดไปหาวไป ดูเจ้าตัวจะง่วงจริงจัง ยิ่งมาเจอแอร์ปรับอากาศเย็นๆบนรถแบบนี้ด้วย ขนาดตัวผมยังอดจะเคลิ้มอยากพักสายตาไม่ได้เลย
“เหนื่อยก็พักซิ ...พี่ก็อยู่ให้พักแล้วนี่ไง” ผมไม่รู้ว่าแกงส้มเข้าใจความหมายที่ผมพูดมั๊ย แต่แววตาและรอยยิ้มที่ผมมอบให้ น่าจะบอกอะไรได้หลายอย่าง บอกได้มากพอที่จะทำให้แกงส้มเอนตัวลงมาหลับตาพิงไหล่ผมไว้
เรื่องค้างคาใจ...ที่ผมรู้สึกค้างคาใจมาตลอด ที่ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ทั้งสัปดาห์ ที่ผมยังก้าวออกไปกับฮัทไม่ได้ เพราะความรู้สึกค้างคาในจิตใจ และคำตอบตอนนี้ชัดเจนนัก เรื่องค้างคาใจของผม เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากคนนี้...แกงส้ม
...................................
“แกงส้ม พี่ว่าซื้ออะไรเข้าบ้านหน่อยไม่ดีหรอ มาใช้ของที่บ้านทุกอย่างเลยมันแปลกๆนะ” ผมเตือนคนข้างตัวเมื่อลงจากแท๊กซี่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่ตัวบ้าน มาบ้านเขาแล้วยังมาใช้ของๆเขา ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ไม่ต้องหรอกพี่ฮั่น ที่บ้านมีเต็มไปหมด ซื้อมาเดี๋ยวก็โดนแม่ว่าหรอกว่ารกบ้าน” พอฟังแกงส้มพูดแบบนี้แล้วเห็นหน้าคุณแม่ลอยมาเลย ผมมีโอกาสได้เจอคุณแม่ครั้งหนึ่งตอนมาส่งแกงส้มที่ตึก ถึงจะดูเจ้าระเบียบแต่ก็ยิ้มแย้มใจดีมาก
“แล้วนี่คุณแม่ทำไรอยู่อ่ะ บ้านเงียบจัง” ผมทักขึ้นเมื่อเข้ามาในบ้านแล้วแต่ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีเสียงทีวี พัดลม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆเลย
“พ่อแม่ไม่อยู่หรอก พ่อไปถ่ายละครอ่ะ ไม่รู้จะกลับกี่โมงกี่ยาม แม่ก็ไปหาพี่สาวที่คอนโดอ่ะ คงนอนกับพี่ข้าวสวยเลย” อืม คือ สรุปว่า ....ผมต้องอยู่กับแกงส้ม สองต่อสอง อย่างงั้นใช่มั๊ย โอเค ผมขอไปหายใจเข้าออกลึกๆก่อนได้มั๊ย ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนหลอกมายังไงแปลกๆ
“นี่ๆ พี่ฮั่น ถามจริงๆเหอะ” แกงส้มเดินมาป้วนเปี้ยนด้านหลังผมขณะที่ผมกำลังจัดเรียงข้างของที่แกงส้มได้มาให้เป็นระเบียบอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นช่อดอกไม้สวยๆกับของกินที่ดูจากการห่อแล้วคงแพงหลายบาทอยู่
“พี่ไปเชียร์ผมเนี่ย ไม่ได้เตรียมอะไรไปให้ผมเลยจริงๆอ่ะ” ไอ้หน้าเข้มนี่มันมีของ!! มันต้องเล่นของแน่ๆ มารู้ได้ไงว่าจริงๆผมมีของให้ อย่างงี้มันเล่นของชัดๆ
“มี...แต่ไม่ให้” นั้นไง พอได้ยินเท่านั้นแหละ หัวหูกระดิกจนผมรู้สึกได้เลยนะ หัวทุยๆถูกวางแหมะลงบนไหล่ผมอีกครั้ง ท่าประจำเวลาจะอ้อนเอาอะไรซักอย่าง
“ทำไมไม่ให้อ่ะ ไหนๆก็เตรียมไว้แล้วก็ให้ผมเหอะ เหอะน่า” ถ้าคิดตามไอ้เด็กขี้อ้อนนี่พูดก็ถูกนะ เอามาแล้วก็ให้ๆไปเหอะ เขาจะเห็นค่ารึเปล่าก็เป็นเรื่องของเขา ถือว่าเราได้ให้แล้วก็พอ
“จะเอาก็ไปหยิบเอง อยู่ในกระเป๋าอ่ะ กล่องสีส้มๆ” เจ้าเด็กขี้อ้อนรีบตรงดิ่งไปหากระเป๋าผมทันที พอเจอของเท่านั้นแหละ ทำมาเป็นกระโดดโลดเต้นรอบตัวผม พร้อมกับแกะห่อออกดูด้วย
สิ่งที่ผมให้ไม่ใช่อะไรใหญ่โต ไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย ไม่ได้สวยงามล้ำค่า เพียงแต่ผมทำให้ด้วยมือ ด้วยสมอง ด้วยใจของผมเอง เสื้อเรียบๆพื้นสีขาวแต่ด้านหน้าและด้านหลังมีลายเพ้นท์สวยงาม ด้านหลังเป็นคำว่า แกงส้ม The Winner ส่วนด้านหน้าตรงอกเสื้อเป็นคำว่า เธอคือหัวใจของฉัน ที่ผมใช้ข้อความนี้เพราะเพลงโชว์ของแกงส้มคือเพลงนี้ เหตุผลแค่นี้จริงๆนะ แต่ ใจลึกๆของตัวเองก็รู้อยู่ว่าเหตุผลแจริงคืออะไร
“ขอบคุณครับ ผมชอบที่สุดเลย” แกงส้มสวมเสื้อที่ผมเพ้นท์ให้ทันที ...ไอ้เด็กขี้อวด!! แปลกที่การขี้อวดแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกดีแหะ แต่ชมได้ไม่นานหรอก เจ้าเด็กขี้อวด...ไหว้ขอบคุณผมเสร็จแล้วไม่ต้องเอาหัวมาวางบนไหล่ผมอีกได้มั๊ยเนี่ย ผมว่าจะหันไปด่าซะทีถ้าไม่ติดว่าแกงส้มพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาซะก่อน............................“คืนนี้ค้างที่บ้านกับผมนะ”
........................................................
ถ้าเจอคนที่พอใจ
ถ้าเจอคนที่ชอบใจ
ถ้าเจอคนที่รู้สึกดี
แต่...เลือกไม่ได้ มันเพราะอะไรนะ
........................................................
ความคิดเห็น