คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Fic TonJames ตอนพิเศษ The Gambling 2/5
Fic นี้เป็นเพียงจินตนาการส่วนตัวของผู้แต่ง
ไม่ได้อิงชีวิตจริงแต่อย่างใด
ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ
ถ้าไม่ชอบกรุณาปิดไปนะคะ เราไม่ตีกะใคร ขอบคุณค่ะ
......
อยากให้มองเป็นผลงานการเขียนเรื่องหนึ่ง เป็นเพียงบทละคร ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด
......
Fic TonJames ตอนพิเศษ The Gambling 2/5
Type: AU PG-15 และ NC-20บางตอน
เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใด จะคงไว้แค่เพียงหน้าตาตัวละคร และอาจจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆ ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ
คุณเคยเล่นพนันมั๊ย
ผมว่าทุกคนคงเคย
ถ้าผมเปิดวงให้คุณพนันกัน
คุณว่าวงนี้จะมีคนชนะมั๊ย!!!
..........................................................
พวกผมทั้งสี่คนกำลังหัวหมุนกันอยู่ในห้องสมุด ไม่ใช่ว่าขยันอะไรกันหรอกนะครับ เพียงแต่พวกผมโดนสั่งให้ทำรายงานโดยต้องมีหนังสืออ้างอิงประกอบ เลยเป็นเหตุให้พวกผมต้องมาเยี่ยมเยียนห้องสมุดที่ไม่ค่อยเข้ากับพวกผมซักเท่าไหร่ ไอ้การหาหนังสือทำรายงานว่ายากแล้ว การหาหนังสืออ้างอิงให้ได้เยอะๆเนี่ยยิ่งยากกว่าอีก พวกผมเดินวนไปวนมาในชั้นหนังสือมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้น้ำได้เนื้ออะไรเท่าไหร่ พวกเราจึงตัดสินใจแยกย้ายตัวใครตัวมัน เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น
“...ตรืด...ตรืด....” แรงสั่นจากมือถือเรียกความสนใจของผม เมื่อผมกดดูก็พบข้อความสั้นๆจากคนน่ารักคนเดิม
08x-xxx-xxxx
i'm finished class.
Where r u???
ผมคุยกับพี่ต้นผ่านทางข้อความและโทรศัพท์มาได้สักพักแล้ว พี่ต้นเป็นคนที่น่ารักนะ ติดจะขี้เหวี่ยงขี้รำคาญไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยโกรธอะไรใครจริงจังสักที ที่สำคัญคือเขาฟังผมเสมอไม่ว่าผมจะเล่าอะไรไร้สาระแค่ไหนให้ฟัง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากนะ เวลาที่มีใครสักคนพร้อมที่จะฟังเราทุกเมื่อ
ผมส่งข้อความกลับไปหาคนตัวเล็ก
.....
in library fl2 shelf HM24.
Please help me T.T
......
ผมมั่นใจว่าไม่เกิน 15นาที ผมจะได้เห็นหน้าคนน่ารักแน่นอน ไม่ใช่ผมหลงตัวเองหรอกนะ แต่ผมส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปขนาดนี้ จะใจร้ายไม่มาได้ลงคอเชียวหรอ โทรคุยกันมาเป็นอาทิตย์ๆ ทำไมจะไม่รู้ว่านอกจากคนตัวเล็กจะน่ารักแล้ว ยังใจอ่อนอีกตาหาก
“ไงเด็กน้อย โดนหนังสือทับแบนยัง” เสียงสดใสเอ่ยทักทายเบาๆ รอยยิ้มหวานๆประดับบนใบหน้าคมเข้มนั้น น่าแปลกที่มันกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี
“นึกว่าจะปล่อยผมตายคากองหนังสือซะอีก” ผมแกล้งทำหน้างอตัดพ้อเบาๆ คนตัวเล็กหัวเราะขำกับท่าทีของผม
“ก็มาช่วยแล้วนี่ไง ไหนจะหาหนังสืออะไรล่ะ” คนตัวเล็กเดินมาหยุดยืนข้างผม เปิดหนังสือในมือผมสำรวจดูว่าเป็นเรื่องอะไร
“มนุษย์กับสังคม 121” คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก บอกให้เข้าใจว่าเขารับรู้แล้ว เราเดินหาหนังสือกันสักพัก คนตัวเล็กบ่นว่าหนังสือภาษาไทยหายากเลยลากผมให้ตามเขาไปโซนหนังสือภาษาต่างประเทศ ดูท่าคนตัวเล็กจะคล่องกว่าหนังสือภาษาไทยมาก ไม่ทันไรก็หาหนังสือได้ตรงตามหัวข้อที่ผมต้องการแป๊ะ
“นี่ไงๆ..เจมส์” คนน่ารักเรียกให้ผมดูหนังสือที่เขากำลังเปิดอ่านอยู่ แต่ผมว่าเนื้อหามันเหมือนหนังสือภาษาไทยที่ผมหยิบมาก่อนหน้านั้นแล้ว ผมเลยจะเก็บมันกลับขึ้นชั้น
“แต่พี่ว่า เอาไปเผื่อก็ไม่เป็นไรนิ” พี่ต้นพยายามจะดึงหนังสือจากมือผมออกไปไม่ให้ผมเก็บขึ้นชั้น แต่ผมเองก็ไม่ยอมปล่อยมือ ก็ในเมื่อเนื้อหามันเหมือนกันจะเอาไปทำไมล่ะ
“พี่ต้น ...มันเหมือนกันจริงๆเชื่อผมซิ” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมแต่ดูท่าทางคนน่ารักจะไม่ฟังคำพูดผมสักเท่าไหร่ ยังคงจะแย่งหนังสือจากมือผมไม่ให้วางคืนชั้นอยู่ดี ผมว่าตอนนี้คนน่ารักกลายเป็นคนดื้อไปซะแล้วเมื่อแววตาดื้อรั้นอยากเอาชนะฉายชัดผ่านดวงตาโตคู่นั้น
“...แคว่ก...” เสียงกระดาษขาดดังขึ้น สงครามขนาดย่อมของเราจึงยุติลง ไม่ใช่กระดาษที่ไหนไกล กระดาษในมือของเราสองคนนี้ล่ะที่ขาด!! หน้าปกของหนังสือเล่มที่เรายื้อแย่งกันนั่นแหละขาดรุ่งริ่งออกมาเลยทีเดียว ผมตกใจในทีแรก แต่พอเราสองคนหันมามองหน้ากันต่างฝ่ายต่างหลุดขำออกมา
“คิคิ..งานเข้าแล้วไง เอาไงดีเจมส์” คนตัวเล็กกระซิบถามผมเสียงขำๆ ผมมองซ้ายมองขวาอยู่สองสามที ดีนะที่โซนหนังสือภาษาต่างประเทศไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ผมมองหนังสือปกรุ่งริ่งในมือ แล้วด้วยสมองอันฉลาดของผมก็คิดออกทันที ผมเอาหนังสือที่ผมอุ้มไว้ทั้งหมดส่งให้คนตัวเล็กรับไป ผมจัดการหยิบหนังสือสองสามเล่มออกจากชั้นบนสุดแล้วเอาหนังสือผู้น่าสงสารตั้งไว้ด้านหลังเสร็จแล้วเอาหนังสือสองสามเล่มนั้นใส่กลับที่เดิม ถ้าไม่มีใครหยิบหนังสือสองสามเล่มนี้ออกมาก็จะไม่มีใครรู้ว่ามีหนังสือปกขาดรุ่งริ่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
“เราจำต้องเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอเจมส์” คนตาโตถามผมขณะที่เราเดินออกมาจากห้องสมุด แววตาสดใสทำให้ผมรู้ว่าเขาเพียงแค่ถามเล่นๆ
“อันที่จริงมันก็ไม่จำเป็นหรอก เพียงแต่....” ผมเว้นจังหวะคำพูดไว้แค่นั้นแล้วไม่พูดต่อ ทำเป็นเดินต่อไปเรื่อยๆ
“เจมส์!! อย่าพูดขึ้นหัวแบบนี้แล้วจากไปซิ” ผมโดนคนตัวเล็กเหวี่ยงเข้าให้แล้ว แต่ก็...น่ารักแหะ
“ผมก็แค่อยากให้เราสองคนมีความลับที่รู้กันอยู่แค่ เราสองคน บ้างไง” ผมยิ้มตาหยี๋ให้คนตัวเล็ก เชื่อมั๊ยผมเห็นพี่เขาหน้าแดงจริงๆนะ
“เจมส์อย่ามาเวิ่น” ผมโดนพี่เขาถลึงตาใส่พร้อมกับถ้อยคำจิกๆ แต่ผมกลับไม่โกรธ คงเพราะรอยยิ้มเขินๆที่ปรากฎตลอดเวลาของคนตัวเล็กทำให้ผมรู้สึกดีมากกว่า
...
..
.
...เสียงโทรศัพท์เข้า... ผมไม่รีบไปกดรับเพราะผมแน่ใจว่าต้องเป็นเพื่อนผมคนใดคนหนึ่งแน่นอน ทำไมผมถึงไม่คิดว่าเป็นพี่ต้น ก็เพราะว่าผมเพิ่งว่างสายจากคนน่ารักไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้วนี่เอง และก็เป็นอย่างที่ผมคาดไว้ เจ้าเฟรมโทรมา
“ว่าไงเฟ็มๆ” ผมทักเพื่อนสนิท ในใจหวังว่ามันคงไม่ชวนผมไปดูมันซ้อมดนตรีอีกนะ ผมไปดูทีไรไม่เคยกลับบ้านก่อนตีสองเลยซะที
“เจ็มๆ แกรู้ยังว่าเป้าหมายแกกำลังจะมีแฟนแล้ว” ข่าวจากเพื่อนสนิทเล่นเอาผมแทบหัวทิ่มตกเตียง มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อพี่ต้นคุยกับผมทุกคืนมาหลายอาทิตย์แล้ว หรือว่าเขาจะมีคุยกับคนอื่นด้วยนะ
“แกรู้ได้ไงว่ะเฟ็ม ข่าวชัวร์ป่าว” ถึงผมจะไม่ได้ตั้งใจจีบพี่เขา แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ถ้าต้องรู้ว่าหลังจากคุยกับผมแล้วเขายังคุยกับคนอื่นอีก
“เราก็ยังไม่ชัวร์ว่ะ แต่สืบรู้มาได้ว่าเป็นเด็กปีหนึ่งน่ะ” เอ๊ะ ผมว่าข้อมูลชักจะยังไงๆแล้วแหละ
“เห็นพวกเพื่อนเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้พี่ต้นชอบส่งข้อความแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” เอ๊ะ ผมว่าข้อมูลชักจะตะหงิดๆล่ะ
“ที่สำคัญคือวันนี้มีคนเห็นเดินควงกันแถวห้องสมุดด้วย” นั้นไง ชัดเลย ข้อมูลเป๊ะมากว่ะเพื่อนรัก
“แล้วเฟ็มๆจะตื่นเต้นทำไมคร๊าบบบบ” ผมทางเสียงยางคางกลับไป เหมือนจะกวนแต่จริงๆแล้วผมแค่ต้องการกลบเกลื่อนร่องรอยตัวเอง
“ก็เรายังไม่อยากเสียเงินหมื่นให้ไอ้ทีมนะเว้ย” อ้อ เพื่อนผมกลัวเสียตังค์นี่เอง นึกว่าอะไรซักอีก
“นี่ยังไม่ครบเดือนเลยนะเฟ็มๆ ถ้าใกล้ๆครบสามเดือนเฟ็มๆค่อยมาโวยวายดีกว่านะคร๊าบบบบ” นี่ถ้าเฟรมรู้ว่าผมโทรคุยกับพี่ต้นทุกคืนมันคงคลานเข่ามากราบผมแน่ๆ
“เออ จะทำไรก็รีบๆทำ แค่โทรมาส่งข่าวแค่นี้ล่ะ” เฟรมว่างสายไปแล้ว แต่ผมกลับต้องมาคิดหนัก ตอนนี้ความรู้สึกของผมเหมือนมีอะไรหนักๆทับอยู่ในหัวใจ ที่ผมไม่ได้บอกเพื่อนๆเรื่องพี่ต้น เพราะผมคุยกับพี่ต้นจากใจจริงๆ เวลาคุยกัน เวลาอยู่ด้วยกันผมไม่เคยคิดเรื่องวงพนันอะไรนั่นขึ้นมาเลย สิ่งที่มีให้สิ่งที่ทำไปต่างออกมาจากใจผมจริงๆ แล้วนี่ผมควรทำยังไงดี
...
..
.
ผมมารอรับคนตัวเล็กที่หลังตึกเรียน วันนี้ผมกับเขาไม่มีเรียนช่วงบ่ายเหมือนกัน เราจึงตกลงกันไว้ว่าจะไปเดินเล่นที่สยามกันซะหน่อย วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกันนอกมหา’ลัย ผมนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่รู้สึกดีใจและตื่นเต้นเกินความจำเป็น นี่ผมถึงขนาดไปแวะซื้ออะไรบางอย่างมาให้คนตัวเล็กเลยนะ
ผมเห็นคนตัวเล็กเดินออกมาจากตึกเรียนแล้ว ผมโบกมือให้เขาเห็นว่าผมรออยู่ เขาพยักหน้ารับและส่งยิ้มหวานกลับมาให้ แต่คนตัวเล็กก็ต้องหยุดเดินเมื่อมีใครบางคนวิ่งตามมาด้านหลัง ผมสังเกตุคนที่วิ่งตามพี่ต้นมา หน้าตาดีทีเดียว ตี๋ๆ ใส่แว่น ท่าทางจะรวยซะด้วย ที่สำคัญที่สุดคือผู้ชายนิรนามคนนั้นถือกุหลาบช่อโตอยู่ในมือ
ผมเห็นพี่ต้นหันไปคุยกับผู้ชายคนนั้นซักพัก ไอ้แว่นนั่นก็ยกช่อดอกไม้ขึ้นมาตรงหน้าคนตัวเล็ก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดอกไม้ช่อโตนั้นอ่ะเอามาให้ใคร นี่คงมาสารภาพรักหรือว่าชวนไปเที่ยวล่ะซิ
คนตัวเล็กรีบหันมามองที่ผมทันทีที่เจ้าแว่นนั่นยื่นช่อดอกไม้ให้ ถึงเราจะไกลกันคนละฝั่งถนนและมีลานจอดรถคั่น แต่ผมเห็นแววตาและท่าทีตะหนกตกใจของเขาที่ส่งมายังผมชัดเจน ผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปเพียงแค่ยืนกอดอกมองนิ่งๆ ผมเห็นคนตัวเล็กหันรีหันขวางอยู่พักนึงก่อนก้มหัวลงนิดๆให้เจ้าแว่นนั้นเหมือนจะขอบคุณหรือขอโทษสักอย่าง แล้วรีบวิ่งมาหาผมโดยไม่ได้รับดอกไม้ช่อโตนั่น
ผมหยิบกองชีทและหนังสือสองสามเล่มในมือคนตัวเล็กมาถือให้ เจ้าตัวมองหน้าผมเหมือนต้องการจะรู้ว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหน อารมณ์ไหนน่ะหรอ อารมณ์นอยด์ไง ผมเริ่มบ่นนู้นบ่นนี่ไปเรื่อยตามประสาผม
“ทำไมไม่รับล่ะ ดอกไม้ออกจะสวย คนให้ก็หน้าตาดี ดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนั้นคงจะหลายตัง ห่อสีส้มมาซะด้วย มาดักรอเลิกเรียนคงจะวางแผนมาอย่างดี...” ผมคงจะบ่นๆไปเรื่อยถ้าไม่โดนคนตัวเล็กเบรคด้วยเสียงเหวี่ยงๆมาซะก่อน “เจมส์ อย่าเวิ่นได้ป่ะ”
ผมชำเลืองมองคนตัวเล็กด้านข้างที่กำลังยืนจ้องหน้าผมอยู่ ที่ยอมเงียบให้เนี่ยไม่ได้กลัวหรอกนะแต่เห็นว่าน่ารักหรอก ผมเอื้อมมือไปปลดกระเป๋าเป้สีดำของผมลงจากหลัง หยิบสิ่งที่เตรียมมามอบให้คนตัวเล็ก มันเป็นเพียงดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง ไม่ได้ดอกใหญ่เหมือนดอกทิวลิป ไม่ได้จัดช่อสวยงาม ไม่ได้มีราคาแพงหรูหรา เป็นเพียงแค่ดอกกุหลาบยับๆดอกหนึ่งเท่านั้น
“ตอนแรกว่าจะไม่ให้แล้วล่ะ เพราะเห็นมีคนอื่นให้แล้ว” ในตอนแรกผมคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ไหนๆก็ไหนๆตั้งใจจะให้ตั้งแต่แรกแล้วก็ต้องทำ
คนตาโตมองผมแบบงงๆสลับกับมองดอกกุหลาบในมือผมที่ยื่นให้เขา สักพักเจ้าตัวก็หัวเราะคิกคักก่อนจะรับดอกกุหลาบในมือผมไป เขามองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแล้วก็ไม่พูดกลับหัวเราะคิกคักแทนอีก
นี่ผมจะงอนแล้วนะ คนอุส่าห์ตั้งใจเอามาให้หัวเราะอยู่นั่นล่ะ เกิดมาในชีวิตไม่คิดว่าจะต้องมาให้ดอกไม้ผู้ชายแบบนี้ คนตัวเล็กไม่รู้หรือไงว่าผมต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหน
ผมหันหลังให้เขาออกเดินไปตามทางเท้าโดยไม่รอคนตัวเล็กข้างหลัง “เจมส์ เจมส์ เดี๋ยวก่อนซิ” เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งไล่ตามผมมา
“เจมส์ เป็นอะไร โกรธพี่หรอ” คนตาโตดึงมือผมเขย่าไปมาเพื่อเรียกให้ผมหันไปสนใจเขา ผมหยุดเดิน แต่ยังไม่มองหน้าและยังไม่ตอบอะไรกลับไป ไม่ใช่ว่าผมโกรธหรืองอนอยู่หรอกนะ ผมหายโกรธตั้งแต่เขาวิ่งตามมาแล้ว แต่ที่ผมยังนิ่งๆอยู่เนี่ย แค่อยากรู้ว่าเขาจะง้อผมยังไง
“พี่ไม่ได้หัวเราะเจมส์นะ พี่หัวเราะเพราะ...เพราะ...ดอกไม้มันน่ารักดีอ่ะ” คนตัวเล็กเดินมาอยู่ข้างหน้าผม ส่งยิ้มหวานๆมาให้ ผมสบตากับคนตรงหน้า ความรู้สึกของความสุข ความดีใจส่งผ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้นจนผมรู้สึกได้ ผมชอบดวงตาคู่นี้จังเลย โดยเฉพาะเวลาที่สะท้อนเงาของผมในดวงตาคู่นั้นพร้อมกับคลื่นของความสุขที่เหมือนจะมอบให้ผมเพียงคนเดียว
แปลก!! ทำไมตอนนี้หัวใจของผมถึงเต้นผิดปกตินะ ผมไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ ว่านี่ผมกำลังทำเพื่อชนะพนัน หรือเพื่อชนะใจพี่ต้นกันแน่
..........................................................
คุณเคยเล่นพนันมั๊ย
ผมว่าทุกคนคงเคย
ถ้าผมเปิดวงให้คุณพนันกัน
คุณว่าวงนี้จะมีคนชนะมั๊ย!!!
..........................................................
อยากได้ทุกคอมเม้นนะคะ เป็นกำลังใจให้กาน้ำคนนี้หน่อยนะคะ
ความคิดเห็น