ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ficแก้บน TonJames: To love and be loved is everything!!

    ลำดับตอนที่ #10 : Fic TonJames ตอนพิเศษ vicious1/?

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 54


    Fic นี้เป็นเพียงจินตนาการส่วนตัวของผู้แต่ง

    ไม่ได้อิงชีวิตจริงแต่อย่างใด

    ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ

    ถ้าไม่ชอบกรุณาปิดไปนะคะ เราไม่ตีกะใคร ขอบคุณค่ะ

    ......

    อยากให้มองเป็นผลงานการเขียนเรื่องหนึ่ง เป็นเพียงบทละคร ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด

    ......


    Fic TonJames ตอนพิเศษ vicious1/?

    Type: AU PG-15 และ NC-20บางตอน

    เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใด จะคงไว้แค่เพียงหน้าตาตัวละคร และอาจจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆ ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ

     

    คุณรู้จักคนร้ายกาจมั๊ย

    คุณเกลียดคนร้ายกาจรึเปล่า

    แล้วถ้าเพื่อคนที่คุณรัก

    คุณจะยอมร้ายกาจมั๊ย

    …………………………………….

    ช่วงเช้าของวันใหม่จะพบภาพที่เห็นจนชินตาอยู่เกือบทุกวัน คือความวุ่นวายของนักศึกษาที่รีบร้อนให้ทันเข้าห้องเรียน การได้นั่งดูความวุ่นวายอยู่บนระเบียงห้องเรียนแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ ทำให้อดคิดถึงตัวเองสมัยตอนเรียนปีหนึ่งไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วแต่ผมยังจำความรู้สึกตื่นเต้นของเด็กปีหนึ่งได้อยู่เลย ตอนปีหนึ่งคนส่วนมากมักจะเป็นประเภทสดใส เฮฮา  ไม่ค่อยคิดลบ ไม่ค่อยคิดมาก ออกจะไร้เดียงสา ไร้สาระไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป นิสัยและใจคนก็มักจะเปลี่ยนตาม อย่างผมคนหนึ่งเนี่ยล่ะ ที่ไม่มีอะไรเหมือนตอนปีหนึ่งเลย

    ร้ายกาจ...เป็นนิยามที่เพื่อนสนิทมอบให้ผมเมื่อไม่นานมานี้ อาจจะฟังดูแรงสำหรับลายๆคน แต่ผมกลับชอบนะ เพราะฟังแล้วมันทำให้เรารู้สึกเข้มแข็งดี ผมเกลียดความอ่อนแอ เพราะผมรู้ดีว่าความอ่อนแอเป็นภัยกับตัวเราแค่ไหน ผมเกือบตายเพราะมันมาแล้วและผมจะไม่มีวันกลับไปอยู่กับมันอีก ความอ่อนแอ คือศัตรูของผม

    “มามองหาเหยื่อรายใหม่หรือไง” ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร คนที่กล้าแซวผมแรงๆแบบนี้มีไม่กี่คน

    “อะไร คชาอย่ามาแรง... เรายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผู้ชายหน้านิ่งที่ยืนตรงหน้าผมนี่ คชา คือเพื่อนสนิทของผม เราสนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เขามีส่วนช่วยให้ผมผ่านช่วงชีวิตที่ย่ำแย่ที่สุดมาได้

    “ไว้ใจได้ที่ไหน ต้นยิ่งชอบอ่อยคนไปทั่ว” คำพูดที่ดูรุนแรงแต่เมื่อออกมาจากปากเพื่อนสนิทอย่างคชา ผมกลับรู้สึกมันเป็นแค่มุขตลกขำๆ

    “เราไม่เคยจีบใครก่อน คชาก็รู้” ใช่แล้ว ผมไม่เคยจีบใครก่อน การจีบใครก่อนมันทำให้เราต้องยอมเขาไปตลอด การยอมคือการเสียเปรียบ ผมไม่ชอบเสียเปรียบใคร

    “แต่ทิ้งก่อนตลอด” ก็ถูกอีกนั่นแหละ ทิ้งก่อนตลอด.. ไม่มีใครอยากทำลายความรู้สึกของคนอื่น ไม่มีใครอยากทิ้งใครก่อน แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องทำ เพื่อปกป้องหัวใจและความรู้สึกตัวเอง ผมไม่ได้เถียงอะไรออกไป เพราะสิ่งที่คชาพูดมันเป็นความจริง ผมได้แต่หัวเราะขำๆไป

    “แต่ถ้าจะทิ้งใครก็อย่าให้เพื่อนเดือดร้อนได้มั๊ย” เสียงหงุดหงิดของผู้หญิงหน้าตาสะสวย เรียกความสนใจจากเราสองคนที่ยื่นเกาะระเบียงอยู่ก่อน... แอ้น เพื่อนคนสวยของผม เดินปึงปังมาขนาดนี้ คงจะโดนผู้ชายที่จีบผมคนไหนก่อกวนล่ะซิ

    “รู้มั๊ยว่าเมื่อวานเต้โทรหาแอ้นเป็นสิบรอบ บอกว่าให้ช่วยหน่อยต้นไม่ยอมรับสาย กว่าจะเลิกโทรเกือบตีสาม ตีสามเชียวนะแก” โวยวายมาเป็นชุดแบบนี้ผมเลยรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆเลย ผมตั้งใจจะไม่รับสายเต้ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะให้แอ้นรับโชคไปแบบนี้นิหน่า

    “โทษทีๆ เดี๋ยวคืนนี้จะรับสายละ โทษทีว่ะแก” รับสายมาคืนนี้ก็บอกว่า ปวดหัวจะนอนแล้วล่ะกัน จะได้ไม่ต้องคุยเยอะแยะ

    “แกไม่ขอบเขาแกก็บอกเขาไปตรงๆซิ งุบงิบงุงิอยู่ได้ ไม่เอาไงซะที” สาวสวยของผมเริ่มจะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแม่ล่ะ ทำไมผู้หญิงยิ่งแก่ขึ้นยิ่งขี้บ่นเนี่ย

    “เออน่าๆ เดี๋ยวฉันจัดการเองน่ะ แกก็เลิกทำหน้าแบบนี้ได้แล้ว หน้ายิ่งแก่เร็วอยู่ด้วย” ได้ผลกับผู้หญิงทุกคนแหละพอพูดเรื่องแก่ขึ้นมา เพื่อนคนสวยของผมรีบเอามือนวดหน้าตัวเองทันทีเชียว ขนาดคชายังยกมือขึ้นมานวดหน้าตัวเองมั่งเลย พวกเรากลัวแก่กันหมดแหละเพราะนี่ก็อยู่ปีสี่แล้วนิ เลขสองลอยเด่นอยู่หน้าเลขบอกอายุแล้ว

    “แล้ววันนี้จะให้ไปส่งป่าว..แอ้น” รถแอ้นเข้าศูนย์อยู่เพราะไปชนเข้ากับเสาบ้านต้องเปลี่ยนไฟ ทำสีใหม่ เป็นสัปดาห์ๆกว่าจะได้ ผมเลยอาสาไปส่งให้ ส่วนตอนเช้าเป็นหน้าที่คชาไปรับ

    ไปส่งๆ แต่ว่าวันนี้เย็นๆหน่อยได้มะ ฉันจะไปดูพวกเด็กปีหนึ่งแข่งบาส” กลับเย็นกลับดึกไม่ได้มีปัญหาอยู่แล้วสำหรับผม ไปดูแข่งบาสก็ฟังดูหน้าสนใจดี

    “อะไรกันๆ แอ้นจะกินเด็กหรอ” เป็นปกติของคชา ได้ลู่ได้ทางทีไรแซวเพื่อนตลอดแหละ แต่ก็เป็นเอกลักษณ์ของคชานะเพราะแซวทีไรเพื่อนก็ไม่เคยโกรธเลย

    “บ้าๆๆๆ...แฟนของลูกพี่ลูกน้องเราเป็นนักบาส มันไปเชียร์แฟนมันเลยชวนเราไปเชียร์ด้วย” แอ้นรีบปฏิเสธ เพราะเจ้าตัวไม่ชอบเด็กตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    “ลูกพี่ลูกน้องนี่ใช่น้องผู้หญิงที่ชื่อกาณรึเปล่า” ผมพอจะจำได้ เพราะเคยเห็นหน้าเห็นตากันอยู่ตอนช่วงที่ผมชอบไปค้างบ้านแอ้น

    “อืมใช่ คนนั้นแหละ แฟนมันแข่งบาสเย็นนี้อ่ะ ตกลงแกสองคนไปดูด้วยกันใช่ป่ะ” ผมพยักหน้ารับ ไปดูเด็กๆปีหนึ่งหน่อยก็น่าจะดี เผื่อจะเจออะไรดีๆในชีวิตบ้าง

    “เราต้องไปอยู่แล้ว เพราะเต๋าต้องคุมเด็กปีหนึ่งแข่ง” ที่ผมรับหน้าที่ส่งแอ้นกลับบ้านเพราะเรื่องนี้ด้วยแหละ คชาต้องกลับบ้านกับเต๋า ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นเพื่อนกันแต่ผมว่าคู่นี่มีอะไรมากกว่าเพื่อนอยู่แล้วล่ะ .... เมื่อตกลงกันได้ก็คุยไร้สาระกันนิดหน่อยแล้วก็ต้องแยกย้ายกันเข้าเรียนเพราะอาจารย์มาเข้าสอนแล้ว

    .....

    .....

    .....

    เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากโรงยิมที่ตอนนี้ใช้แข่งบาสอยู่ ตอนนี้ยังไม่เริ่มแข่งแต่บรรดาพวกกองเชียร์เริมมาประจำแสตนเชียร์แล้ว เห็นว่าวันนี้มีประกวดกองเชียร์ด้วย แต่ละคณะคงจัดกันมาเต็มแหละ

    ผมเลือกที่จะนั่งใต้ต้นไม้แถวๆหลังโรงยิม ไว้ค่อยเริ่มแข่งก่อนค่อยเข้าไปล่ะกัน ผมพยายามจะเลี่ยงการพบเจอคนเยอะๆ โจทย์ผมค่อนข้างเยอะ ทั้งๆที่ผมไม่เคยไปจีบใครก่อน แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร แต่ก็ยังมีคนมาตามจีบผมอยู่ตลอดเวลา เอาจริงๆแล้วผมพยายามรักษาความรู้สึกของทุกคนไว้ ไม่ตอบรับใคร ไม่ปฏิเสธใคร หลายๆคนบอกว่าผมให้ความหวังคนไปเรื่อย ก็ดีนะ มันทำให้ผมรู้สึกไม่อ่อนแอ

    ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆก็สังเกตุเห็นนักบาสเสื้อสีขาวเบอร์10 เดินออกมาจากโรงยิม เจ้าตัวดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ หันไปหันมาสักพักก็มาเดินวนไปวนมาอยู่ที่ต้นไม้ข้างๆที่นั่งผม ผมจะไม่สนใจเลยถ้าเจ้าเด็กนี่เดินไปเดินมาแค่สองสามรอบ แต่นี่มันเดินวนไปวนมารอบต้นไม้เกือบสามสิบรอบได้แล้วเนี่ย เดินจนผมเวียนหัวไปหมดแล้ว

    “เป็นอะไรเปล่า พี่เห็นเราเดินไปเดินมาหลายรอบแล้ว” ผมเดินเข้าไปถามเจ้าเด็กนักบาสท่าทางประหลาดๆ

    “ไม่ได้เป็นไรครับ” มันหันกลับมาตอบผม แต่ก็ยังคงเดินวนรอบต้นไม้ไม่หยุด

    “เฮ้ย ไม่เป็นไรแล้วเดินไปเดินมาทำไม” ไอ้เด็กนี่ท่าทางจะโรคจิตนิดๆนะเนี่ย คนเขาทักแล้วยังไม่หยุดเดินอีก

    “ก็ผมอยู่เฉยๆไม่ได้ไง เลยต้องเดินไปเดินมา” อ้าว ไอ้เด็กนี่ กวนตีนนี่หว่า แต่ว่ามันก็ดูน่ารักดีนะ

    “ก็แล้วทำไมถึงอยู่เฉยๆไม่ได้ล่ะ” ผมเดินไปจับตัวไอ้เด็กกวนให้หยุดเดิน พอโดนผมจับตัวไว้ไม่ให้เดินได้เจ้าตัวก็ทำดีดดิ้นแบบเด็กๆใส่ผม เออ..เอากับมันซิ ทำเหมือนจะน่ารักงั้นแหละ

    “โอ๊ย...พี่อ่ะ...พอหยุดเดินแล้วผมตื่นเต้นอ่ะ” ที่แท้ก็ตื่นเต้น ก็ว่าอยู่ว่าเดินไปเดินมาทำไม แล้ววิธีการแก้ตื่นเต้นด้วยการเดินวนรอบต้นไม้เนี่ยนะ คิดได้ไงวะ สุดยอด!!

    “แล้วเดินวนรอบต้นไม้เนี่ย มันหายตื่นเต้นมั๊ย ปัญญาอ่อนว่ะ” ดูท่าทางเจ้าเด็กนี่จะโตแต่ตัวซะแล้วมั๊ง โดนว่าเข้าหน่อยก็ทำหน้าเป็นตูดเชียว

    “แล้วพี่จะให้ผมทำไงอ่ะ ไหนๆ พี่เก่งนักก็ทำให้ผมหายตื่นเต้นซิ” ดูมันๆ กวนดีนะเนี่ย น่าแกล้งซะให้เข็ด ก็น่าจะดีนะ ลองแกล้งนิดๆหน่อยๆดูซิว่าจะมีปฏิกิริยายังไง

    ผมเดินเข้าไปประชิดตัวไอ้เด็กจอมกวนโดยไม่ให้ตั้งตัวแล้วจัดการกอดหมับเข้าให้ ดูจากหน้าตาตื่นๆแบบนี้คงไม่ค่อยได้ถูกกอดหรือกอดใครแน่ๆ หน้าฮาชะมัดเลยอ่ะ

    “พี่กอดผมทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่าทำให้หายตื่นเต้น” เป็นปฏิกิริยาทางบวกสำหรับผม เพราะเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ร้องแรกแหกกระเชิง ไม่สะบัดดิ้นหนี หรือทำหน้าตารังเกียจใส่ผม แค่ทำหน้าตางงๆเฉยๆ ถือว่าเริ่ดเลยแหละ

    “ไม่เคยได้ยินหรอ เขาบอกว่าการกอด ทำให้คนเราใจสงบขึ้น ฝรั่งเขาถึงชอบกอดกันไง” ผมไม่ได้หลอกนะ ผมเคยได้ยินมาแบบนั้นจริงๆ แต่แค่ว่าเลือกเอามาใช้ตอนนี้กับเจ้าเด็กนี่ก็แค่นั้นเอง ดูท่าทางเด็กน้อยนี่จะเชื่อแหะอาจเพราะผมทำหน้าจริงจังใส่

    “ไม่เชื่อก็ลองกอดดูดิ ของแบบนี้ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง” แน่นอนว่าที่ผมพูดไปต้องได้ผล ถ้าไม่ได้ผลผมไม่พูดหรอก เด็กน้อยแม้จะดูกล้าๆกลัวๆแต่ก็กอดตอบ พอเขากอดตอบมา ผมก็กอดเขาแน่นขึ้นเหมือนบอกให้เขารู้ว่าควรจะกอดแน่นๆแบบนี้นะ แล้วก็แน่นอน เจ้าเด็กนี่กอดผมกลับมาแรงๆ ผมกอดเขาไว้สักพักหนึ่งแล้วดันตัวออกเปลี่ยนเป็นจับมือใหญ่ทั้งสองข้างไว้แทน

    “เป็นไง ดีขึ้นยัง” ความห่วงใยเล็กๆน้อยๆเป็นการสร้างความประทับใจเริ่มแรกที่ดีสำหรับผู้ชาย ผมมั่นใจว่าเจ้าเด็กนักบาสคนนี้ต้องไม่ลืมผมไปอีกนาน

    “พี่นี่เก่งแหะ แล้วถ้าแข่งครั้งต่อไปแล้วผมตื่นเต้นอีกอ่ะ” นั่นแหนะ ไอ้เด็กขี้กวน ติดใจล่ะซิถึงได้ถามแบบนี้

    “ก็ไปกอดแฟนตัวเองซิ” คำถามของผมมีความหมายแน่นอน มันก็เป็นคำถามอ้อมๆนั้นแหละว่ามีแฟนรึยัง

    “บ้าพี่...ผมเป็นสุภาพบุรุษให้เกียรติผู้หญิงนะ” แปลว่ามีแฟนแล้ว เป็นผู้หญิงซะด้วย น่าสนใจแหะ

    “งั้นก็ไปหาเพื่อนๆซิ เพื่อนกอดกันก็ไม่เป็นไรซะหน่อย” ผมต้องบ่ายเบี่ยงแน่นอน จะให้อาสาว่ามากอดผมเลยมันก็จะกระไรอยู่นะ ถึงคำพูดจะบ่ายเบี่ยงแต่สายตาแวววาวที่ผมส่งไปให้ ไม่ว่าใครก็รอดยาก

    “เดี๋ยวเพื่อนมันก็ว่าผมผิดปกติหรอก ...พี่นั่นแหละ มาให้ผมกอดก่อนแข่งทุกนัดเลย” และแล้วก็เข้าล็อคเป๊ะ ผมว่าแล้วว่าต้องแอบติดใจเบาๆ

    “ไม่เอาอ่ะ ยังไม่รู้จักกันเลย จะให้มากอดอะไรบ่อยๆ วันนี้สงสารหรอกนะถึงได้กอดเนี่ย” ประโยคนี้คือการถามชื่อนั่นแหละ แต่จะถามตรงๆก็ดูจะเข้าหาเกินไป มันต้องถามอ้อมๆแบบนี้แหละดี

    “งั้นเราก็มารู้จักกันเลย ผมชื่อเจมส์ ปีหนึ่งนิติฯ แล้วพี่ล่ะ” ชื่อเจมส์หรอ ผมว่าผมถูกชะตากับชื่อนี้ยังไงไม่รู้ซิ ชื่อกับตัวดูเข้ากับดีจัง

    “ทำไมพี่ต้องบอกด้วยอ่ะ” การบ่ายเบี่ยงก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดูน่าสนใจ

    อ้าว ก็ตามมารยาทพี่ต้องบอกชื่อพี่กลับ พี่อย่ามาทำตัวเสียมารยาทดิ” เออเว้ย!! ไอ้เด็กนี่ กวนได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ แต่ผมกลับรู้สึกสนุกกับการกวนแบบนี้

    “ชื่อต้น บีเจเอ็ม ปีสี่ พอใจยัง” ผมเดาว่าเด็กน้อยคงกำลังตั้งใจท่องชื่อของผมอยู่ เพราะทำปากเรียกต้นเสียงเบาๆอยู่หลายที ผมตัดสินใจตัดบทด้วยการเดินหนีไปจากบริเวณนั้น รู้จักกันครั้งแรกแค่นี้ก็เกินพอแล้ว แต่ผมต้องหยุดการเดินเพราะเจ้าเด็กเจมส์ดึงมือผมไว้

    “พี่อย่าลืมมานะ ผมมีแข่งวันเว้นวันไปตลอดสองอาทิตย์... อย่าลืมมานะครับ พี่ต้น” ทำมาเป็นเสียงอ่อนเสียงหวานตอนเรียกชื่อผม ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มอายๆให้ทีหนึ่งแล้วก็เดินหนีออกมา ... ผมว่าผมคงต้องมาดูแข่งบาสวันเว้นวันซะแล้วล่ะซิ

    .......

    .......

    การแข่งขันจบลงไปแล้ว ใครจะแพ้ใครจะชนะจริงๆผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก แต่ที่ผมสนใจที่สุดเห็นจะเป็นผู้ชายในชุดกีฬาสีขาวหมายเลขสิบ เวลาอยู่ในสนามบาสผมสามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เขาผู้ชายไม่ใช่เด็กน้อย ผมมั่นใจว่าหลายๆคนบนอัฒจรรย์ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือไม่ใช่ผู้หญิง ต้องกรี๊ดผู้ชายคนนี้แน่ๆ ...เท่ห์ว่ะ

    ตอนนี้ผมกำลังรอแอ้นกับน้องกาณอยู่หน้าประตูทางออกโรงยิม ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยออกมากันเกือบหมดแล้ว ที่ต้องรอนานเพราะว่าวันนี้น้องกาณเขาขอให้แฟนติดรถกลับด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไปกันหลายๆคนก็สนุกดี อีกอย่างเผื่อเป็นคนรู้จักกับเจมส์ ผมจะได้หาเบาะแสซะเลย

    “ต้นๆ เสร็จแล้วๆ รอนานป่าว” เสียงแอ้นเรียกความสนใจของผมให้หันไปทางต้นเสียง แต่สายตาของผมกลับไม่ได้โฟกัสที่แอ้น เพราะสองคนที่เดินตามแอ้นมาตาหากที่เรียกความสนใจของผมได้มากกว่า น้องผู้หญิงที่เดินตามหลังแอ้นมาผมจำได้ว่าคือน้องกาณ ลูกพี่ลูกน้องของแอ้น และผู้ชายที่เดินตามหลังมาผมก็จำได้ ชนิดว่าความทรงจำแบบสดๆร้อนๆเลยแหละ ..เจมส์..

    ไม่ต้องเดาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่ากาณเป็นแฟนกับเจมส์ ผมยอมรับว่าเสียศูนย์เล็กๆแหะ แต่สีหน้าตกใจของเจมส์ตอนเห็นหน้าผมสร้างรอยยิ้มขึ้นมาในใจของผม ทำไมน่ะหรอ ถ้าคนเขาไม่คิดอะไรในใจเขาจะไม่ทำหน้าตกใจอย่างงั้นน่ะซิ

    “แก...นี่กาณน้องสาวเรา นี่เจมส์แฟนกาณ” แอ้นทำหน้าที่สาวแสนดีแนะนำตัวน้องกับแฟนน้องให้ผมรู้จัก ผมยิ้มให้แบบเป็นมิตรสุดๆ คนอายุน้อยกว่าทั้งสองคนก็ยกมือไหว้ผมตามมารยาท อดจะขำไม่ได้เพราะเจ้าเด็กเจมส์เมื่อตอนที่เจอกันหลังโรงยิมไม่มีทีท่าอ่อนน้อมให้ผมแบบนี้ซะนิด ทำเป็นมารยาทดีต่อหน้าสาว เชอะ!!

    ผมบอกให้ทุกคนขึ้นรถ ไม่ได้ทักอะไรเจมส์เป็นพิเศษออกไป ผมเข้าใจว่าถ้าทักออกไปคงจะโดนน้องกาณซักแน่ว่าไปรู้จักผมมาก่อนได้ไง แล้วถ้าเกิดพูดความจริงไปว่ารู้จักเพราะยืนกอดกันอยู่หลังโรงยิม ไม่รู้ว่าจะมีระเบิดลงรึเปล่า เอาเป็นว่ารักษาน้ำใจไปก่อนดีกว่า ตอนนี้ผมยังไม่อยากจุดไฟซะเท่าไหร่

    “กาณกับเจมส์คบกันมาตั้งแต่ม.ปลายหรอ” ผมถามขณะรถแล่นมาได้ซักพัก แน่นอนว่าคำถามทุกคำถามของผมย่อมมีความหมายที่มากกว่าคำถามปกติ ผมต้องการเช็คบางอย่าง

    “ค่ะ ตอนแรกก็เป็นเพื่อนกันก่อน แล้วถึงจะเป็นแฟนค่ะ” น้องกาณเป็นคนตอบคำถามผม ผู้หญิงมักจะชอบเป็นฝ่ายตอบคำถามเรื่องพวกนี้ก่อนเสมอ ทั้งๆที่ควรให้ผู้ชายเป็นคนตอบมากกว่า การไว้ตัวก็เป็นอะไรที่ไม่ควรมองข้ามนะ

    “ดีจัง เป็นแฟนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย แล้วยังเรียนมหาลัยที่เดียวกันอีก น่ารักจัง” ผมมองไปทางกระจกมองหลังเห็นเจมส์แค่ยิ้มๆกับคำพูดผม แต่น้องกาณนี่ซิดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ

    “นี่ ..พี่จะเตือนไว้นะ ถ้าอยากให้ความรักยั่งยืนล่ะก็ เรียนจบแล้วต้องรีบแต่งงาน ไม่ควรเกินสองปีหลังเรียนจบ เชื่อพี่” ดูน้องกาณจะสนใจกับคำเตือนของผม ดีดตัวเองมาทางเบาะหน้าเพื่อที่จะฟังผมได้ถนัดๆ

    “พี่เห็นหลายคู่แล้วนะ พวกรุ่นพี่เนี่ยคบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย พอจบออกไปแล้วไม่ยอมแต่งงาน เลิกกันทุกคู่ แต่คู่ไหนที่จบแล้วรีบแต่งนะ อยู่กันไปตลอดรอดฝั่งทุกคู่เลยล่ะ” ผมไม่ได้โกหกนะ ผมพูดจากประสบการณ์ที่เห็นมาจริงๆ

    “ผมยังไม่ได้คิดไกลขนาดนั้นหรอกครับพี่” เป็นคำพูดจากเจมส์ที่ตอบโต้ผมมา เป็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจทีเดียวเชียว

    “หมายความว่าไงเจมส์ ทำไมบอกว่าไม่คิดไกลขนาดนั้น คนเราคบกันก็ต้องคิดจะแต่งงานกันซิ” นั้นไง พื้นฐานผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้แหละ

    “ไม่ใช่อย่างงั้น เจมส์หมายความว่าเรื่องมันยังอีกตั้งหลายปี” เจมส์นี่สงสัยจะชอบเถียง เวลาแบบนี้ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้เถียงผู้หญิง

    “ถึงจะอีกหลายปีก็ต้องคิดเรื่องแต่งงานไว้ด้วยซิ” ถ้าคิดตามที่น้องกาณพูดจริงๆมันก็ถูกอ่ะนะ แต่น้องกาณคงไม่รู้ว่าผู้ชายวัยแบบนี้แพ้คำว่าแต่งงานที่สุด

    “เฮ้ยๆๆๆๆ พี่เตือนเพื่อให้รักกัน ไม่ใช่ให้ทะเลาะกัน เด็กพวกนี้นิ” ผมแกล้งหัวเราะขำๆไป ไม่อยากให้ในรถเสียบรรยากาศมากไปกว่านี้ เพราะแค่นี้ก็บรรลุเป้าหมายของผมแล้ว

    พวกที่คบกันมาตอนเรียนม.ปลาย จะไม่ได้คิดอะไรมากมายหรอก เอาว่าหน้าตาดี นิสัยพอไปกันได้ก็โอเค แต่พอคบกันตอนมหาลัย ผู้หญิงมักจะคิดเรื่องอนาคตเรื่องแต่งาน แต่ผู้ชายยังต้องการอิสระต้องการเพื่อนอยู่ การถามแบบนี้ก็เหมือนจุดประเด็นให้ต่างฝ่ายต่างกลับไปคิดนั่นแหละ

    รถสีขาวจอดเทียบหน้าประตูรั้วสีทอง ผมมาส่งแอ้นกับน้องกาณก่อนเพราะว่าทั้งสองคนเป็นผู้หญิงกลับดึกๆคงจะไม่ดีเท่าไหร่  ล่ำลากันเล็กน้อยผมก็ออกรถไปส่งอีกหนึ่งหนุ่มที่ยังอยู่บนรถผม ที่ตอนนี้เปลี่ยนมานั่งข้างๆผมแล้ว

    “เจมส์..หิวมั๊ย” ตอนนี้ก็หัวค่ำแล้วและเราก็ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยตั้งแต่ก่อนแข่ง

    “ก็นิดหน่อย พี่หิวหรอ งั้นหาไรกินกันแต่พี่เลี้ยง โอเค” นั้นไง พอสาวลงรถไปล่ะเปลี่ยนมาเป็นโหมดตัวเองเต็มที่เลยนะ ความสุภาพนี่หายเกลี้ยง

    “อยากกินอะไรล่ะ” ผมเปิดโอกาสให้เขาเลือก ดูซิว่าจะเลือกยังไง

    “อะไรก็ได้แล้วแต่พี่เลย ผมกินได้ทุกอย่างที่พี่กินได้ แต่ถ้าพี่กินอะไรแปลกๆผมไม่กินกับพี่นะ” ถ้าจะชอบกวนแบบนี้ เดี๋ยวก็พาเข้าโรงแรมซะเลยนิ เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวจะเอาให้กวนไม่ออกเลย

    “เจมส์... รู้มั๊ยทำไมพี่ถึงถามว่าจะกินอะไร” ไอ้เด็กจอมกวนทำหน้าตาอึนๆใส่ผม ประมาณว่าแล้วพี่ถามผมทำไม

    “ที่ถามเพราะพี่อยากให้เจมส์เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ” ผมค่อยๆพูดไปเรื่อยๆเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร

    “เพราะพี่ตัดสินใจไปแล้วว่าจะกิน เจมส์ก็ตัดสินใจว่ากินอะไร ต่างฝ่ายต่างมีส่วนร่วม...” ผมชะลอรถเข้าข้างทางแล้วหันไปมองหน้าคนที่นั่งข้างๆตรงๆ

    “...มันคือสิ่งที่คนสองคนควรจะปฏิบัติต่อกัน จริงมั๊ย” ใช่แล้ว มันคือเรื่องง่ายๆอยู่ที่ว่าเราจะคิดได้รึเปล่า ผมเคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่ได้รับการมีส่วนร่วมในชีวิตของคนที่เราสนใจมาก่อน ผมถึงเข้าใจมันดี

    “รู้มั๊ย ถ้าพี่เป็นผู้หญิง ผมคงจีบพี่ไปแล้วล่ะ” ผมไม่แปลกใจที่เขาจะพูดแบบนี้ เพราะผมต้องการให้เขารู้สึกแบบนี้อยู่แล้ว ให้เขาเห็นว่าผมมีอะไรดีกว่าผู้หญิงของเขามากแค่ไหน!!!

    “ไปกินข้าวดีกว่า เจอร้านไหนก่อนก็กินร้านนั้นเลยล่ะกันเนอะ” ผมออกรถไปข้างหน้าอีกครั้ง แค่นี้ก็โอเคแล้วสำหรับคนเพิ่งรู้จักกัน รุกมากไปกว่านี้เดี๋ยเด็กจะตื่นเอา

    “งั้นผมขอแก้ตัวได้มั๊ย เดี๋ยวพอถึงร้านสั่งข้าวจานเดียวพอนะพี่” อะไรของมัน ให้สั่งข้าวจานเดียว เพื่อ!!

    “อ้าว..แล้วจะกินไง เรามากันสองคนนะ” ผมหันไปแย้ง แต่ไม่ได้ใส่น้ำเสียงจริงจังอะไร

    “ก็กินข้าวจานเดียวกันไง คราวนี้เราสองคนก็จะมีส่วนร่วมของกันและกันละ เจ๋งป่ะละความคิดผม” ดูท่าทางเด็กน้อยของผมจะมั่นใจในความคิดตัวเองมากเลยนะนั่น กอดอกเชิดหน้าซะอย่างภาคภูมิใจ

    “ไอ้บ้า...” ถึงจะด่าไปแบบนั้นแต่ผมก็ขำไปกับความคิดพิเรนๆของไอ้เด็กบ้า

    ผมมีความสุข ผมยอมรับว่าผมมีความสุขกับท่าทีเหมือนเด็ก คำพูดกวนประสาท และอ้อมกอดอุ่นๆนั้น มีคนน้อยมากที่จะทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ ผมว่า ผมอยากได้ผู้ชายคนนี้จริงๆ ซะแล้วซิ

    ...............................................

    คุณรู้จักคนร้ายกาจมั๊ย

    คุณเกลียดคนร้ายกาจรึเปล่า

    แล้วถ้าเพื่อคนที่คุณรัก

    คุณจะยอมร้ายกาจมั๊ย

     

    เหมือนจะสั้นเนอะ แต่ไม่สั้นนะคะ จริงๆความยาวก็เท่ากับตอนอื่นๆแหละ แต่ว่าตัวละครเยอะไปหน่อย 55555

    สปอยตอนหน้า มีNCเลือดสาดนะคะ

    ....ผมตั้งใจทำให้ตัวเองเปียก เสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ใสมาด้วยแน่นอนว่าผมตั้งใจเลือกตัวที่บางที่สุดเท่าที่จะหาได้ และก็ไม่ผิดหวังกับความตั้งใจเมื่อสองมือหนาจับลงบนไหล่ผมพร้อมกับสายตาร้อนแรงที่ส่งมาให้....

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×