ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic : TS8 278 ฮั่น ฮัท แกงส้ม (เรียงตามเลขนะคะ) ฟิคสนองจิ้น

    ลำดับตอนที่ #1 : Fic HunzHutKangsom : Choose 1/5

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 55


    ขอเตือนค่ะ จริงจังมากนะคะ ถ้าคุณรับฟิค Y ไม่ได้ ขอให้ปิดฟิคนี้ไปเลยนะคะจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง

    เทคนิคการอ่านให้ดูตามสีค่ะ ฮั่น ฮัท แกงส้ม

    Fic
    นี้เป็นเพียงจินตนาการส่วนตัวของผู้แต่ง

    ไม่ได้อิงชีวิตจริงแต่อย่างใด

    ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ

    ถ้าไม่ชอบกรุณาปิดไปนะคะ เราไม่ตีกะใคร ขอบคุณค่ะ

    ......

    อยากให้มองเป็นผลงานการเขียนเรื่องหนึ่ง เป็นเพียงบทละคร ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด

    ......


    Fic HunzHutKangsom : Choose 1/5

    Type: AU PG-15 และ NC-18บางตอน

    เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใด จะคงไว้แค่เพียงหน้าตาตัวละคร และอาจจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆ ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ

    ........................................................

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....มาอยู่ในหัวใจ

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....โดยใช้แค่ความรู้สึก

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....โดยไม่ทำร้ายใคร

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....ผมควรจะเลือกใคร

    ........................................................

     

    เพียงก้าวเข้ามาในอาคารเสียงเพลงจังหวะคึกคัก ท่วงทำนองสนุกสนาน ดังเชื้อเชิญให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาตบเท้าหรือโยกตัวเบาๆตามไปด้วย บรรยากาศแบบนี้คงตื่นใจแปลกตาสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมมันคือความเคยชิน

    ทุกครั้งที่ร่างกายเคลื่อนไหวไปคล้ายสัญชาติญาณออกจากจิตใต้สำนึกนอกเหนือความคิด ที่นี่ไม่ใช่สถานบันเทิงแต่กลับมีเสียงเพลงดังตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางครั้งถึงกับดังทั้งวันทั้งคืนด้วยซ้ำ ผมผลักประตูเข้าไปยังห้องที่ผนังทำจากกระจกด้านหนึ่ง

    "หวัดดีครับ หวัดดีครับ" ผมร้องทักทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ไม่จำเป็นต้องดูก่อนว่ามีใครอยู่บ้างเพราะยังไงเดี๋ยวก็ต้องทำงานร่วมกันทั้งหมดอยู่ดี

    ผมได้เสียงขานรับดังขี้นทั่วห้อง บางคนผมรู้จักบางคนไม่รู้จัก บางคนผมยกมือไหว้บางคนยกมือไหว้ผม การทักทายคงดำเนินต่อไปถ้าไม่เพราะแรงกระแทกอย่างแรงจากประตูตรงเข้าเต็มกลางหลังและศีรษะด้านหลังของผม ดีนะที่ผมหันหลังอยู่ถ้าเป็นด้านหน้าล่ะก็ ...คงมีจมูกหักคิ้วแตกกันบ้างแหละ

    "เฮ้ยฮั่น/พี่ฮั่น เป็นไรป่าวๆ" เสียงร้องด้วยความตกใจของพี่ๆเพื่อนๆในห้องซ้อมดังขึ้นรอบตัวผม ที่ตอนนี้กำลังงงชีวิตเล็กน้อยจากแรงกระแทกด้านหลัง ไม่เจ็บแต่ก็ทำเอามึนพอสมควร

    "พี่ครับๆ เป็นไรมากมั๊ยครับ ผมขอโทษๆ พี่เจ็บตรงไหนป่าวครับ" เสียงนุ่มๆดังอยู่ตรงหน้าผมพร้อมด้วยใบหน้าใสๆตี๋ๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

    ท่าทีกระวีกระวาดเป็นห่วงเป็นใยรวมทั้งหน้าซีดๆที่บอกถึงความกังวลใจทำเอาเจ้าทุกข์อย่างผม แค่คิดจะโกรธยังทำไม่ลง พอตั้งสติได้ผมจึงรีบหัวเราะตอบไป

    "ฮาฮาฮา ไม่เป็นไรๆ เป็นการทักทายที่รุนแรงไปหน่อยนะไอ้น้อง" ผมตบไหล่เจ้าเด็กหน้าตี๋ไปสองสามที อยากให้ดูเป็นเรื่องตลกมากกว่า แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กตี๋จะยังรู้สึกผิดอยู่ ยืนมองผมหน้าจ๋อยไม่ยอมไปไหน ถ้าจะรู้สึกผิดจนน่าสงสารขนาดนั้น หรือว่าผมดูเป็นพวกน่ากลัวเกินไปเองนะ

    "อ่ะ เอาไป เอาเป๋าไปเก็บให้พี่ทีดิ" คงต้องไล่ด้วยวิธีนี้ไม่งั้นก็ได้แต่จ้องผมแล้วทำหน้าจ๋อยอยู่แบบนี้แหละ เจ้าเด็กตี๋รีบรับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของผมไปเก็บไว้ที่เก็บของหลังห้องซ้อมทันที นี่ถ้าใช้ไปซักผ้าไอ้เด็กตี๋นี่คงจะรีบไปเลยทีเดียว

    ก็เข้าใจได้อยู่ว่าทำไมต้องเกรงผมขนาดนั้น ผมอยู่ที่นี่เต้นที่นี่มานาน ทั้งเป็นครูสอนทั้งรับงานใหญ่มาก็มาก เป็นที่รู้จักทั่วไปของทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ในตึกไม่ใช่น้อย ที่เจ้าเด็กตี๋นี่จะกลัวผม...ก็ถูกต้องแล้วล่ะ

    “ฮั่น!! มึงโอเคเปล่าเนี่ย” เพื่อนฝูงเดินเข้ามาถามไถ่หลังจากที่ผมส่งกระเป๋าให้จำเลยแล้วเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

    “เออๆ บอกแล้วว่าไม่เป็นไรๆ แล้วจะเสียงดังกันทำไมวะ” คงต้องออกปากเตือนเพื่อนบ้าง ไอ้ที่เป็นห่วงก็ขอบคุณอยู่นะ แต่พอเจ้าพวกนี้เสียงดังหน่อยหน้าเจ้าตี๋นั่นก็หน้าเจื่อนลงเข้าไปอีก ก็ไม่อะไรหรอกนะ...ก็แค่สงสารเด็ก

    วันนี้ที่พวกเรามารวมตัวกันก็เพื่อประชุมงานและซักซ้อมเพื่อเต้นโชว์ในงานใหญ่ของศิลปินท่านหนึ่ง เพราะเป็นงานใหญ่เลยต้องใช้คนมาก ต้องเต้นกันหลายชุดหลายเพลง แปลกนะที่ตอนแบ่งกลุ่มให้บังเอิญผมต้องเจอกับเจ้าเด็กนั่นแทบนะทุกเพลง อดจะขำโชคชะตาไม่ได้ที่จงใจให้มาเจอกันครั้งแรกก็มีเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันแบบนี้

    “ฮั่น ไปไหนต่อเปล่าวะ หรือกลับเลย” เสียงเพื่อนฝูงไต่ถามดังขึ้นเมื่อการประชุมงานเสร็จสิ้นลง หลายคนเริ่มทยอยกันออกจากห้อง หลายคนยังอยู่ในห้องซ้อมเพื่อนัดหมายกลุ่มย่อยต่อ

    “ฮั่นมีสอนต่อ ไปไหนก็ไปกันก่อนเลย ไม่ต้องห่วง” ผมโบกมือลาเพื่อนๆที่พากันเดินออกนอกห้องซ้อมไป ส่วนตัวเองก็ตั้งใจว่าจะเดินไปเอากระเป๋าที่เก็บไว้หลังห้อง แต่พอหันกลับเข้าห้องมาอีกที กระเป๋าก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าซะแล้ว จ่อแบบว่า...อีกนิดนึงทิ่มหน้าแล้วล่ะ

    “ผมขอโทษจริงๆนะพี่ฮั่น ขอโทษอีกทีนะครับ” เอาอีกแล้วไอ้เด็กนี่ ยกมือไหว้ขอโทษผมอีกแล้ว ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรๆ ยังจะอะไรของมันอีก...เดี๋ยวก็จับเหวี่ยงลงพื้นเลยนิ

    “พี่ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ พี่ก็ผิดเองแหละที่ยืนใกล้ประตูแบบนั้น” ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดของผมด้วยที่ไปยืนค้างหน้าประตูไว้แบบนั้น จะไปโทษน้องมันอย่างเดียวก็คงไม่ถูก

    “ผมผิดเองแหละพี่ที่เปิดประตูแรงขนาดนั้น ถ้าเปิดปกติก็คงไม่โดยพี่อ่ะ” เออ...นี่ขนาดผมยอมรับผิดด้วยแล้ว ยังจะมาแย่งว่าตัวเองผิดอีก อะไรของมัน...แต่ก็...ตลกดี

    “แล้วทำไมต้องเปิดแรงๆล่ะ” ที่ถามไม่ใช่ว่าจะหาเรื่องหรืออะไร แค่สงสัย เพราะเจ้าตัวบอกว่าเองว่าไม่ได้เปิดด้วยแรงปกติ

    “ผมรีบอ่ะพี่ นึกว่าสายแล้ว ก็ที่จริงครูๆเขานัดสิบโมงใช่มะ แต่เพื่อนผมมันรวมหัวอำอ่ะ ว่าครูนัดเก้าโมง ผมก็เลยนึกว่าผมสายแล้ว...ก็รีบบบบบวิ่งมา แล้วก็เปิดประตูไปเต็มแรงที่วิ่งมาเลยอ่ะ” อ้อ...ไอ้ที่ทำผมมึนอยู่พักนึงนี่มาจากแรงวิ่ง ดีนะที่เจ้านี่ไม่วิ่งเร็วกว่านี้ ไม่งั้นผมคงได้มีหัวแตกเลือดตกกันบ้าง

    “ดูจะเป็นที่รักของเพื่อนนะ ฮาฮาฮา” ที่แซวไม่ใช่อะไร ก็แค่อยากชวนคุย ก็แค่อยากเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้ต้องมารู้สึกผิด มาขอโทษขอโพยกันอีก เวลาทำหน้ายิ้มแย้มใส่ผมแบบเมื่อกี้ที่เล่าเรื่อง ให้ความรู้สึกดีกว่าหน้าแบบเกรงลัวผมเยอะเลย ...ผมว่าหน้าน้องเขาเหมาะกับรอยยิ้มนะ

    “เพื่อนมันชอบแกล้งผม ไม่รู้ทำไม ไอ้พวกโรคจิต” ถึงปากจะบ่นเพื่อนแต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า อืม...ต้องแบบนี้ซิ มันทำให้หน้าตา...น่ามองกว่าเดิมเยอะเลย

    “ชื่อไรล่ะเรา พี่ชื่อฮั่นนะ รู้จักแล้วใช่มะ” ไม่รู้ทำไมถึงได้ถามชื่อออกไป จริงๆไม่จำเป็นต้องถามต้องรู้อะไรก็ได้นะ ก็เต้นด้วยกันแค่งานเดียว ไม่ต้องไปให้ความสนิทสนมอะไรมากก็ได้...ไม่รู้ว่าทำไม รู้แค่ว่า...อยากรู้จัก

    “ผมชื่อ..ฮัท..ครับ เคยได้ยินเพื่อนกับครูคนอื่นพูดถึงพี่อยู่ครับ ก็เลยพอๆจะรู้จักพี่มาบ้าง” แววตาและรอยยิ้มที่ส่งมาจากฮัทบอกให้ผมรู้ว่า ไอ้เรื่องที่เคยได้ยินมาคงเป็นเรื่องทางบวก ก็ยังดีที่โดนเล่าถึงทางบวก

    “แล้วจะไปไหนต่อป่าว เรียนเต้นที่นี่ใช่มั๊ย มีเรียนต่อมั๊ย” ด้วยหน้าตาท่าทางที่ยังดูเด็ก คงไม่ใช่นักเต้นมืออาชีพของที่นี่ ผมถามไปพร้อมๆกับดันๆหลังเด็กตี๋ออกจากห้องซ้อมมากับผม เพราะเห็นว่าคนจะออกไปกันหมดแล้ว กลุ่มอื่นเขาจะได้มาใช้พื้นที่ต่อได้

    “ ผมไม่มีเรียนวันนี้ครับ วันนี้มาแค่ประชุมงานเนี่ยแหละ แล้วก็จะกลับเลยครับ” เพราะทางเดินของตึกไม่ได้กว้างมากและตอนนี้ผู้คนก็กำลังขวักไขว่ เลยเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องเบียดน้องฮัทชิดกำแพงไประหว่างการพูดคุย

    “แล้วกลับยังไง” เออ...คือ...แล้วผมจะอยากไปรู้ทำไมเนี่ย งงตัวเองเหมือนกันแหะ.... ฮัทเลือกที่จะพิงหลังไว้กับกำแพงเพื่อเบี่ยงตัวให้คนที่เดินสวนไปมา ผมเลยจำเป็นต้องขยับตัวชิดน้องเขาไว้ ไม่งั้นคนจะเดินไปมาตัดหน้าเราสองคนคุยกัน

    “มี๊มารับครับ คิดว่านะ ฮาฮาฮา” ถึงจะหัวเราะแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างสะท้อนก้องอยู่ แม้จะเจือจางแผ่วเบา แต่ผมกลับจับความรู้สึกนั้นได้...เหมือนมีคำว่า เหงา ลอยสะท้อนส่งมาหาผมด้วย

    “มีโทรศัพท์มะ...เบอร์อะไร” ผมยกโทรศัพท์ของผมขึ้นมารอกดเบอร์จากคนตรงหน้า ถึงเจ้าตัวคนถูกถามจะมองหน้าผมแบบงงๆแต่ก็บอกตัวเลขสิบตัวมาให้ ผมก็จัดการยิงเบอร์ตัวเองกลับไป

    “อ่ะ...เอาไว้โทรถามพี่ ว่าตกลงเขาซ้อมกี่โมงกันแน่ จะได้ไม่โดนเพื่อนหลอกแบบวันนี้อีก” รอยยิ้มแป้นแล้นที่ส่งให้ผมหลังจากผมพูดจบ ก็ทำเอาผมต้องยิ้มตาปิดกลับไปให้เหมือนกัน... ตลกดีนะ เป็นเด็กที่พอเห็นเขายิ้มแล้วเราต้องยิ้มตามไปด้วยซะอย่างงั้น

    “พี่ต้องไปแล้วนะ มีสอนต่อ” ตบหลังตบไหล่ไปทีสองทีเป็นการบอกลา ผมคงจะเดินรีบจากไปเข้าสอนทันทีถ้าไม่เพราะเสียงที่ตอบทิ้งท้ายไว้

    “งั้น...ไว้ผมโทรหานะ ฮัททำท่าโทรศัพท์โดยใช้มือตัวเองประกอบ แปลกนะที่นาทีนั้นผมเกิดอยากตั้งเสียงโทรศัพท์ตัวเองให้ดังกว่าเดิม เวลาใครโทรหาจะได้ยินชัดๆ

    ตามจริงก็แค่การทักทายของคนสองคน ก็แค่คนทำงานร่วมกัน ก็แค่ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก ก็แค่เด็กที่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ แต่ทำไมพอหันหลังเดินจากมา ผมถึงยังไม่สามารถหุบยิ้มได้นะ แล้วก็อดใจไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง ถึงได้ทันเห็นว่าใครบางคนก็ยังคงมองผมเดินออกไปอยู่ อย่างไม่ละสายตา

    ผมโบกมือให้เพื่อลาอีกครั้งฮัทแล้วหมุนตัวเดินไปห้องซ้อมของตัวเองต่อ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีสอน ไม่แน่ว่าผมอาจจะไปยืนรอคนมารับเป็นเพื่อนน้องฮัทแล้วก็ได้ แต่ เพราะนักเรียนของผมคนนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

    ...........................

    ................................

    ประตูห้องซ้อมถูกผลักออกอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะรีบเดินออกห่างให้พ้นหน้าประตู เหตุการณ์เมื่อตอนเช้ายังหลอนๆประสาทผมอยู่พอสมควร...เดี๋ยวโดนกระแทกข้างหลังอีกอาจมีหัวแตกกระดูกหักหลังเสียได้

    "ได้ข่าวว่าโดนดักตีหัวมา นึกว่าจะอาการหนักซะอีก" น้ำเสียงยียวนกับคำพูดกวนๆที่ลอยมา ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร...นักเรียนคนใหม่ของผม ถึงจะเพิ่งเรียนเพิ่งสอนกันได้แค่สัปดาห์เดียว แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยสนิทใจเหมือนได้รู้จักกันมานาน

    "แค่โดนเปิดประตูกระแทก แกงส้มอยากให้พี่หัวแตกหรอ ถ้าพี่หัวแตกไม่มีใครสอนเรานะ" ขายาวทั้งสองก้าวเข้าหาตัวคนอายุน้อยกว่า แต่ไม่จำเป็นต้องขยับหลายหลายก้าวเพราะอีกฝ่ายก็เดินเข้ามาหาเหมือนกัน

    "ฮึ ผมก็ไม่ได้พูดซักหน่อยว่าอยากให้หัวแตก ไหนๆโดนตรงๆไหนผมขอดูหน่อย" ท่าทีเป็นห่วงเป็นใยทำให้ผมเลิกกวนตอบ มือใหญ่ของตัวเองยกขึ้นจับศีรษะด้านหลังไว้ เพื่อบอกให้คนอายุน้อยรู้ว่าผมเจ็บตรงไหน

    มือเรียวของอีกคนรีบยกมาแตะๆตามตำแหน่งที่ผมจับผ่าน ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า แต่ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์อ่อนไหวบางอย่างผ่านปลายนิ้วที่ค่อยๆแตะสัมผัสศีรษะ ผ่านดวงตาที่ฉายสะท้อนเงาผมตลอดเวลา

    "ยังเจ็บอยู่ป่าว" ถึงถามเสียงห้วนห้าวแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกแข็งกระด้างออกแนวเป็นห่วงซะมากกว่า

    "ก็ เจ็บนิดๆอ่ะ เป่าให้หน่อยดิ" ผมอยากแหย่แกงส้มดูว่าเจ้าตัวจะทำไงถ้าผมเกิดทำตัวปัญญาอ่อนใส่ เด็กห้าวมองหน้าผมแบบงงๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะเสียงดัง

    "พี่จะบ้าหรอ ทำเป็นเด็กเล็กๆไปได้" เจ้าเด็กห้าวพูดไปขำไป คงคิดว่าผมแค่พูดเล่นเอาฮา

    "พูดจริง เป่าให้หน่อย" ผมทวนคำขออีกครั้งพร้อมทั้งพนักหน้าหงึกๆให้ด้วยเพื่อเป็นการย้ำว่าผมพูดจริง แกงส้มมองหน้าผมเหมือนชั่งใจนิดนึง ก่อนจะกวักมือเป็นสัญญาณให้ผมก้มหัวลง

    "เป่าก็ได้ แต่มันไม่หายเจ็บหรอกนะพี่ฮั่น" เด็กห้าวขยับตัวเข้าใกล้ผม ใกล้มาก ใกล้ขนาดได้กลิ่นน้ำหอมจากเจ้าตัวชัดเจน แรงลมเป่าเบาๆพัดผ่านบริเวณที่ผมบอกว่าเจ็บพร้อมกับเสียงหัวเราะขำๆตามมา

    “เป็นไง หายเจ็บเปล่า” เป่าเสร็จก็รีบถามเลยนะแถมยังทำหน้าทำตาแบบอยากรู้จริงจังอีกตาหาก แล้วเมื่อกี้ใครบอกนะว่าเป่าแล้วไม่หายเจ็บไง เด็กน้อยเอ๊ย!!

    “หายเลยอ่ะ สุดยอดว่ะ อย่างงี้ ถึงโดนรถชน ให้แกงส้มเป่าก็พอละ” ยอมรับครับว่าประชด แต่แค่ประชดเล่นๆนะ แค่ประชดสนุกๆ แค่อยากเห็นอีกคนยิ้มได้ แค่อยากให้หัวเราะ...ก็แค่นั้นเอง

    “พี่ฮั่นอย่ามาเวอร์ มัวแต่คุยจะได้เรียนมั๊ยเนี่ยวันนี้.. ฮู้ว..” ทำมาบ่น ทำมาฮู้วเฮ้อใส่ผม ทำเป็นวิ่งไปมาวอร์มรอบห้อง แต่หน้านิยิ้มไม่หุบเลยนะ

    บางสิ่งถูกผมดึงออกมาจากกระเป๋าเป้ เป็นของที่ผมเตรียมมาให้นักเรียนใหม่ของผม ไม่ได้เป็นของใหญ่โตหรือมีค่าหายากอะไร ก็แค่อยากให้ ก็แค่คิดว่าเหมาะกับอีกคน

    ผมวิ่งไปตัดหน้าคนที่ทำเป็นวิ่งวอร์มร่างกายอยู่ พร้อมกับสวมหมวกที่เตรียมมาให้ลงบนศีรษะของเด็กห้าว แกงส้มมองหน้าผมงงๆแล้วแตะๆหมวกบนหัวตัวเอง

    “พี่ให้” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปยังเครื่องเสียงเพื่อเปิดเพลงที่จะสอนวันนี้ ผมว่าผมพูดเคลียร์แล้วนะว่าหมวกใบนั้น... ผมให้ แต่แกงส้มดูยังไม่พอใจในคำตอบผมเท่าไหร่

    “ให้ผมทำไม” อ้าวไอ้นี่ ก็คนเขาให้ก็คือให้ ทำไมต้องอยากได้คำตอบอะไรมากมายเนี่ย เด็กสมัยนี้มันขี้สงสัยจังวะ

    “ก็พี่อยากให้” ผมกดปุ่มเปิดเพลงเพื่อจะได้เริ่มการเรียนการสอนซะที แต่ก็ต้องชะงักค้างเพราะเจ้าเด็กห้าวดันมากดปุ่มปิดซะงั้น พอผมกดเปิด แกงส้มก็กดปิด อะไรของมันเนี่ย

    “ทำไมอยากให้ผม” เออเว้ยเฮ้ย อะไรมันจะขี้สงสัยขนาดนั้น จะตอบไงให้พ่อคุณเขาเลิกสงสัยดีเนี่ย อาจจะต้องใช้อะไรที่มากกว่าคำพูดซะละถึงจะเข้าใจ

    “จะได้เหมือนกันไง” ผมเดินไปหยิบหมวกที่เหมือนกันกับที่แกงส้มสวมอยู่ในกระเป๋าเป้ขึ้นมาใส่ แกงส้มเดินมามองๆหมวกที่ผมสวมอยู่แล้วก็มองตัวเองในกระจกแล้วก็...ยิ้ม คาดว่าน่าจะได้คำตอบเป็นที่พอใจของเจ้าตัวแล้วละ

    “ผมชอบนะ ขอบคุณครับพี่ฮั่น” คือว่า แบบว่า คือแบบ...ต้องได้คำตอบที่พอใจก่อนใช่มั๊ยถึงจะขอบคุณได้ เออ...ดีเว้ยเฮ้ย อีกหน่อยถ้ามันให้อะไรผมบ้าง ผมจะเล่นยี่สิบถามกลับบ้างคอยดูซิ

    การเรียนเต้นคลาสนี้ดำเนินไปพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะเป็นคลาสแบบไพรเวทเลยสอนง่ายหน่อย จะช้าจะเร็ว จะขึ้นเสต๊ปนั้นเสต๊ปนี้ก็ทำได้ตามใจทั้งคนเรียนและคนสอน จะโวยวายเสียงดังหรือแกล้งแหย่กันบ้างก็ทำได้ไม่ต้องเกรงใจใคร ก็เล่นกันซะจนหลายคนที่เดินผ่านไปมาหยุดดูตรงหน้าต่างกระจกว่าทำอะไรกัน

    “พรุ่งนี้มาเรียนมั๊ย” ผมถามเพราะแกงส้มบอกไว้ว่าตัวเองมีงานร้องเพลงอีกสองสามวันข้างหน้า เลยไม่แน่ใจว่าเขาจะหยุดเรียนเพื่อซ้อมเพลงรึเปล่า

    “อืมมมมมมม ผมยังไม่แน่ใจเลยอ่ะ ยังไม่ได้คุยกับเพื่อนคนอื่นเลย” แกงส้มเดินไปเก็บประเป๋าพร้อมกับทำหน้าคิดไปด้วย ผมโยนผ้าขนหนูกับขวดน้ำให้ กว่าจะจบคลาสก็เล่นเอาเหงื่อท่วมไปตามๆกัน เห็นทีคงต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนถึงจะออกไปข้างนอกได้ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะรังเกียจเอา

    “ไว้ไปคุยกับเพื่อนก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ล็อคเวลาเผื่อไว้ให้” จะบอกว่าให้อภิสิทธิ์ก็คงไม่ผิด ก็นะ อย่าถามว่าทำไม ก็ผมแค่อยากสอนเด็กคนนี้ ถึงไม่แน่ใจว่าจะมา ผมก็ยินดีเสียเวลาให้

    “ผมถามจริงเหอะ” เด็กห้าวเริ่มประโยคคำถามขึ้น ขณะที่มือสองข้างเกาะไหล่ผมไว้เหมือนต่อรถไฟแบบเด็กเล็กๆ ผมไม่ได้หยุดเท้าเมื่อได้ยินคำถามยังคงเดินออกนอกห้องซ้อม โดยมีเด็กอายุสิบเก้าเกาะหลังตามออกมาด้วย

    “หมวกเนี่ย พี่ซื้อให้ผมคนเดียวหรือซื้อมาแจกคนอื่นด้วย” เฮ้ยยยยยยย อะไรของมัน!! ผมรีบหันตัวกลับไปหาเด็กเจ้าของคำถามทันที ผมอยากเห็นสีหน้าแววตาของคนถามว่าต้องการสื่ออะไรกับคำถามนี้ เพียงแต่ว่า...ผมพยายามเท่าไหร่ก็ยังมองแววตาคู่นั้นไม่ออก รู้แต่ว่าเจ้าตัวดูจะจริงจังกับคำถามทีเดียว

    “จะบ้าหรอ... ก็ซื้อให้เราคนเดียวเนี่ยแหละ สงสัยอะไรอีกล่ะ” ผมพูดความจริง ผมซื้อให้คนเดียว ไม่ได้ซื้อให้ใครอีก ของบางอย่างก็มีไว้เพื่อคนๆเดียวเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าแกงส้มเชื่อรึเปล่า และผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเขาจะเชื่อมั๊ย แค่หวังว่าการมองตาผมตรงๆแบบนี้จะทำให้เขาเชื่อผมได้

    “เปล่า” เปล่าซะเสียงสูงเลยนะเด็กบ้า เมื่อกี้ยังถามหน้าตาจริงจังทีนี้มายิ้มทะเล้นละ ทำไมเด็กวัยนี้ อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วจังวะ แกงส้มออกแรงดันๆหลังผมให้เดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามหลังมานะ

    พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็เดินออกมาส่งแกงส้มหน้าตึก จริงๆจะไม่มาส่งก็ได้แหละ แต่เจ้าเด็กนี่ก็ยืนพิงกำแพงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มองหน้าผมไม่ยอมเดินไปไหน จนผมต้องเอ่ยปากว่าจะเดินลงมาส่งเนี่ยแหละถึงได้เคลื่อนกายลงมาได้

    “กลับดีๆ อย่าไปกวนตีนใครเขาล่ะ” ผมไม่ได้พูดเล่นๆนะ ผมพูดจริงๆ เจ้านี่ยิ่งชอบไปทำหน้ากวนตีนใส่ชาวบ้านซะด้วย

    “ผมโตแล้วน่า” แกงส้มดูจะไม่ค่อยพอใจกับคำเตือนของผมเท่าไหร่ เถียงเสียงห้วนแล้วสะบัดตูดวิ่งลงบันไดหน้าตึกไปเลย เนี่ยนะโตแล้ว โตแต่ตัวอ่ะดิไม่ว่า...ท่าทีแบบนี้ถึงไม่ต้องรู้จักกันมานานผมก็รู้สึกได้ว่าเขางอนผมแล้วล่ะ

    “แกงส้ม!! ถึงแล้วโทรบอกพี่ด้วย” ผมตะโกนไปเต็มเสียงเพราะตอนนี้ไอ้เด็กโตแต่ตัววิ่งไปไกลพอสมควรแล้ว แกงส้มหมุนตัวกลับมาหาผมแต่ยังคงเดินอยู่ เดินถอยหลังซะด้วย เดี๋ยวถ้าชนเสาขึ้นมานะจะหัวเราะเยาะให้ แต่ประเด็นตอนนี้คงไม่ได้อยู่ที่เขาจะเดินชนเสารึเปล่า แต่อยู่ที่ประโยคที่ตะโกนกลับมาหาผมตาหาก

    “งั้น...ไว้ผมโทรหานะ แกงส้มทำท่าโทรศัพท์โดยใช้มือตัวเองประกอบ... แปลกนะที่วันนี้ผมได้ยินประโยคแบบเดียวกันในวันเดียวกัน แปลกนะที่นาทีนี้ผมเกิดอยากตั้งเสียงโทรศัพท์ตัวเองให้ดังกว่าเดิมจริงๆจังๆซะแล้ว เวลาใครโทรหาจะได้ยินดังๆชัดๆ แต่ถ้าเกิดโทรมาพร้อมกันสองคน ผมควรจะรับสายใครดีละ...ช่างเหอะ อย่าเพิ่งคิดไรไปไกลเลย จะมีใครโทรมาเปล่ายังไม่รู้เลย

    ตามจริงก็แค่การดูแลกันธรรมดาของคนสองคน ก็แค่ครูกับนักเรียน ก็แค่ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก ก็แค่เด็กที่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ แต่ทำไมพอแกงส้มหันหลังเดินจากไป ผมถึงยังไม่สามารถหุบยิ้มได้นะ แล้วทำไมผมถึงต้องยืนส่งใครคนนั้นจนกว่าเขาจะลับสายตาไปนะ แล้วทำไมใครคนนั้นต้องเหลียวกลับมามองผมเป็นระยะนะ

    ผมโบกมือให้เพื่อลาอีกครั้ง แกงส้มหมุนตัวเดินกึ่งวิ่งออกไปจนลับตา นี่ถ้าไม่ติดว่ามีงานต่อ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเดินไปส่งจนขึ้นรถเลยก็ได้ ....เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายภวังค์ของผม ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอทำเอาผมประหลาดใจไม่น้อย...ฮัท...

    ........................................................

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....มาอยู่ในหัวใจ

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....โดยใช้แค่ความรู้สึก

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....โดยไม่ทำร้ายใคร

    ถ้าต้องเลือกใครสักคน....ผมควรจะเลือกใคร

    ........................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×