คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สองผู้มีอิทธิพล
กีรติกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับรถตำรวจ เธอหันสภาพร้านที่มันเละเทะแล้วแทบจะเป็นลม แต่พอเห็นร่างของเพื่อนสาวที่กำลังเก็บกวาดร้านอยู่คนเดียวในสภาพมอมแมมเสื้อผ้าเปื้อนเลือดก็ตกใจ รีบถลาเข้าไปหาทันที
“ไอ้โรส แกเป็นยังไงบ้าง โดนพวกมันทำอะไรบ้างเนี่ย คุณตำรวจค่ะ เพื่อนของดิฉันถูกทำร้าย นี่แกถูกพวกนั้นรุมโทรมพร้อมมินจูด้วยหรือเปล่า!?!”กีรติโวยวายลั่น ทำให้นายตำรวจสองนายที่ตามมาด้วยวิ่งเข้ามาหาอย่างตกใจ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แกจะโวยวายทำไม อีบ้า!”
“ถ้าแกไม่เป็นอะไร แล้วรอยเลือดนี่มาจากไหน”กีรติชี้ไปที่เสื้อของเพื่อนสาว ที่มันเปรอะเปื้อนเลือดจนแทบจะซักไม่ออก
“นี่เป็นเลือดของคุณมินจู ฉันไมได้เป็นอะไรเลย”
“เป็นไปได้ยังไง ผู้ชายมาเป็นสิบแต่แกกลับไม่เป็นอะไรเลย”
“ที่ฉันไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะ...”เธอลากเสียงยาวๆก่อนที่จะหยิบคมแฝกที่วางอยู่ไม่ไกลนักขึ้นมา
“คมแฝก! นี่แกเป็นคมแฝกด้วยหรอ”กีรติถึงกับอึ้ง
“ก็...นิดหน่อย”
“นี่แกอย่ามาเวอร์นะ คมแฝกมีแต่ในละครเท่านั้นล่ะ”
“ใครบอก วิชาคมแฝกน่ะของจริง เพราะว่าฉันชอบนี่แหละ ถึงได้ลองหัด ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้จริงๆ”เธอมองคมแฝกในมืออย่างชื่นชม
“ฉันนึกว่าแกจะบ้าละครเฉยๆ แต่ไม่นึกเลยนะ ว่าแกจะเป็นเอามากขนาดนี้”
“สงสัยวิญญาณ แสน ราชสีห์ คงจะเข้าสิงล่ะมั้ง ฮ่าๆ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พรุ่งนี้คงจะเปิดร้านไม่ได้แน่ๆ ข้าวของพังแบบนี้”กีรติมองสภาพของร้านอย่างเซ็งๆ
“นี่แกไม่โกรธฉันเลยหรอ ที่ฉันทำให้ร้านของเราต้องพังแบบนี้”
“ไอ้โกรธมันก็โกรธอยู่หรอก แต่แกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าวของพังไปก็หาซื้อใหม่ได้ แต่เพื่อนอย่างแกเป็นอะไรไปมันหาใหม่ไม่ได้โวย”
“เจีย ฉันรักแกที่สุดเลยวะ”รัตเกล้าซึ้งในคำพูดของเพื่อนรัก เธอกระโดดกอดกีรติอย่างรักใคร่
“ยี้! อีบ้า ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น”กีรติร้องลั่น
“ขอบใจจริงๆเพื่อน”รัตเกล้าซึ้งจนน้ำตาคลอ
...........................................................................
หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงแล้ว ตำรวจที่มาสอบปากคำสองสาวก็พอจะทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท จนทำให้ร้านของพวกเธอพังพินาศแบบนี้ ตำรวจทั้งสองนายได้เล่าให้พวกเธอฟังว่า ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้มีสองตระกูลซึ่งมีอิทธิพลล้นฟ้า แต่ทั้งสองตระกูลกลับเป็นคู่อริกันมานานหลายชั่วอายุคน จึงไม่แปลกะไรที่ทั้งสองตระกูลจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันให้เห็นเป็นประจำ และตำรวจอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
“มิน่าล่ะ ผู้ชายคนนั้นถึงได้เรียกคุณมินจูว่านายหญิง”รัตเกล้าพึมพำออกมาหลังจากที่ไปส่งตำรวจทั้งสองนาย กลับขึ้นรถ
“ฟังจากที่แกเล่ามา ฉันว่ายัยมินจูนี่ท่าทางจะใหญ่โตน่าดูเนอะ”กีรติว่า
“ว่าแต่ว่า แล้วพี่เหมยลี่ล่ะ”รัตเกล้าเอ่ยขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามีใครหายไปคนหนึ่ง
“ฉันให้กลับบ้านไปแล้วล่ะ”
“ท่าทางพี่แกคงจะกลัวมากๆ”
“อืม ฉันสั่งพี่เหมยลี่แล้วล่ะ ว่าไม่ให้โทรบอกป๊ากับม๊าที่เมืองไทย ฉันไม่อยากให้พวกท่านมาเป็นห่วงว่ะ”
“ก็จริงของแก”
สองสาวช่วยกันเก็บกวาดภายในร้านกว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบตีหนึ่ง รัตเกล้าปิดประตูลงกลอนหน้าร้านอย่างหนาแน่น ก่อนที่จะขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบๆห้องก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มที่เธอไม่ได้นอนมาหลายคืน ห้องนอนมันก็เดิมๆแต่ทำไมความรู้สึกมันถึงได้เปลี่ยนไปนะ เธอลูบไล้ฟูกนอนที่ก่อนหน้านี้เคยมีใครคนอื่นมานอนทับไว้ และคนๆนั้นก็ได้ไปจากที่นี่แล้ว ผู้หญิงคนนั้น คนที่มีรอยสักรูปมังกร คงจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว รัตเกล้าสลัดความคิดประหลาดนั้นออก แล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนจนหลับสนิทไปในที่สุด
โครม! เสียงทุบโต๊ะดังสนั่นออกมาจากห้องทำงาน พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด จ้าวสื่อลงโทษลูกน้องที่ทำงานผิดพลาดด้วยความโมโห ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นด้วยฤทธิ์หมัดทอนาโดของผู้เป็นนาย
“พวกแกมันไมได้เรื่อง อีกนิดเดียวแท้ๆ พวกแกยังทำพลาดได้”
“แต่นายครับ ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้นมายุ่งล่ะก็ จางมินจูได้กลายเป็นศพไปแล้ว”ต้าอี้ว่า
“ผู้หญิงคนนั้น ใคร!?!”
“ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่านังนั้นมันมีฝีมือพอตัว พวกลูกน้องผมโดนนังนั้นอัดซะกระเจิง ไม่เชื่อก็ลองถามคุณเถาไปไปดูสิครับ”หันไปมองร่างผอมที่นั่งเงียบๆอยู่ใกล้ๆ
“ผู้หญิงคนนั้น มันเป็นใครกันท่านเถาไปไป”จ้าวสื่อหันไปถามอย่างอยากรู้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน กระบวนท่าที่นางใช้ ข้าเองก็ไม่เคยพบ”เถาไปไปกุมที่ท้องน้อยของตัวเองอย่างนึกถึงคนที่ทำให้มันเจ็บปวดอยู่อย่างนี้
“ท่านเป็นถึงยอดฝีมือ ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายได้ล่ะ”
“หือ!ข้าไม่ได้ปล่อย แต่เพราะข้าสงสัยว่ากระบวนท่าที่นางใช้มันมาจากไหน ทั้งความเร็วและความแรงที่สามารถโจมตีศัตรูได้อย่างแม่นยำ และทรงอนุภาพขนาดนี้”เถาไปไปทุบโต๊ะอย่างขัดใจ
“จะยังไงก็ช่าง ท่านจะต้องฆ่าจางมินจูให้ได้ เพื่อเอาเลือดของสกุลจางมาล้างอายให้สกุลโจวให้ได้”จ้าวสื่อสั่งเสร็จก็เดินออกไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ทิ้งให้เถาไปไปนั่งเงียบอยู่ตามลำพัง
มินจูถูกนำตัวมารักษาตัวอยู่ในโรงแรมใหญ่ในเมืองเซียะเหมินซึ่งเธอเป็นเจ้าของนั้นเอง เฉินลองมองร่างที่นอนนิ่งของผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วง แต่สีหน้าของเขานิ่งราวกับไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ โดยมีหนี่วาลูกสาวคนเดียวของเขาที่กำลังจัดการทำแผลให้กับร่างที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณพ่อ ที่เหลือก็คงต้องรอให้นายหญิงฟื้นเท่านั้นค่ะ”หนี่วาหันไปบอกกับบิดาที่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง
เฉินลองพยักหน้ารับ พลางนึกถึงวินาทีที่เขาเข้าไปช่วยเจ้านายสาว หากว่าเขาเข้าไปไม่ทันผู้สืบทอดตระกูลจางที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวคงต้องวายชีวาเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหน้าที่ตระกูลผู้พิทักษ์จะต้องเสื่อมเสียเกียรติในรุ่นของเขาแน่ๆ คนตระกูลเฉินมีหน้าที่ดูแลและพิทักษ์สกุลจางมาหลายร้อยปีแล้ว เพราะตระกูลจางและตระกูลโจวเป็นศัตรูคู่อริกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตระกูลจางจึงได้คัดเลือกผู้มีฝีมือจากหลายตระกูลที่มีฝีมือชาญยุทธ์ เพื่อปกป้องและคุ้มครองลูกหลานตระกูลจาง และผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนั้นก็คือตระกูลเฉินนั้นเอง
เฉินลองยังจำวันสุดท้ายที่เขาได้ปกป้องเจ้านายคนก่อนได้ดี จางคูมิน ผู้เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิท หากว่าวันนั้นเขาไม่เสียทีกลลวงของพวกตระกูลโจว จนจางคูมินต้องเข้ามาปกป้องเขาแทนแล้วล่ะก็...
“ลอง มันไม่ใช่ความผิดของนาย”ริมฝีปากที่อาบไปด้วยเลือดกระซิบบอกเขา
“นายท่าน! อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะครับ ผมจะพาท่านไปหาหมอ”
“ฉันรู้ตัวดี ว่ามันสายไปแล้ว ลอง ฉันขอฝากมินจูด้วยนะ นายเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจที่สุด...”สิ้นเสียงใบหน้าที่ซีดเผือกของจางคูมินก็สงบนิ่งลง
“นายท่าน!”
ร่างใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือบางของหนี่วาแตะที่แขนอย่างเป็นห่วง เขาหันไปมองหน้ลูกสาวพร้อมกับตบที่มือเรี่ยวเบาๆ
“หนูรู้นะค่ะ ว่าคุณพ่อกำลังโทษตัวเองอยู่”
“เพราะพ่อต่างหาก ถ้าวันนั้นพ่อออกมาพร้อมกับนายหญิงด้วย นายหญิงก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้หรอก”
หนี่วากอดแขนบิดาอย่างปลอบใจ ก่อนที่จะหันไปมองร่างที่นอนอยู่บนตื่น ดวงตาเล็กเรียวของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างที่นอนนิ่งเริ่มมีการตอบสนองแล้ว
“นายหญิง!”
“แค่กๆ...อ่า...”ร่างบางขยับจะลุก หนี่วารีบถลาเข้าไปช่วยประคองให้เธอได้นั่งในท่าที่สบาย
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”มินจูเอ่ยถามบอดี้การ์ดคนสนิท
“คนของเราได้รับบาดเจ็บไม่มาก แต่นายหญิงนี่สิ แผลเก่าของนายหญิงเพิ่งทุเลาแต่ก็มีแผลใหม่เกิดขึ้นมาอีกจนได้ ขออภัยด้วยนะครับที่ผมไปช้า”ชายผู้มีวัยวุธสูงกว่าโค้งให้ รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก พวกนั้นมันหมาลอบกัด มันโรยตะปูเรือใบไว้ทำให้ยางรถฉันแบน มันอาศัยจังหวะที่ฉันเผลอเข้ามารุมทำร้ายฉัน ชิ!คราวหน้าฉันจะคิดบัญชีกับพวกมันให้หมดเลย”มินจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“รักษาตัวเองก่อนเถอะนะค่ะ นายหญิง”หนี่วาว่า มินจูหันมาส่งสายตาเรียบเฉยแต่แฝงความอ่อนโยนให้เธอ ก่อนที่จะหันกลับไปที่ร่างใหญ่อีกครั้ง
“จริงสิ ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้นายช่วย”เฉินลองมองหน้านายสาวพร้อมรับคำสั่ง
“คนที่ช่วยชีวิตฉัน นายช่วยตอบแทนเธอแทนฉันที”
“น้อมรับคำสั่ง...”เขาโค้งให้อีกครั้งดุจรับราชองค์การจากฮองเต้ ก่อนที่ออกจากห้องไปเหลือไว้แต่หนี่วา
“คนที่ช่วยเหลือนายหญิง เป็นคนยังไงค่ะ เล่าให้ดิฉันฟังหน่อยจะได้มั้ยค่ะ”ร่างบางข้างเตียงเอ่ยถามอย่างสนใจ
“คนที่ช่วยชีวิตฉันน่ะหรอ เธอเป็นคนไทย ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่ธรรมดา”มินจูกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“เอ๋? ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”หนี่วามองหน้ามินจูอย่างงงงัน
“หึๆ ช่างเถอะ”หนี่วามองนายหญิงของเธอที่นั่งหลับตานิ่ง หัวเราะในลำคอเบาๆอย่างแปลกใจ แต่เธอก็ไมได้ถามอะไรอีก
ร้านอาหารจานด่วนเปิดขึ้นอีกครั้งในอีกสองวันต่อมา ลูกค้านักศึกษายังคงแน่นร้านเหมือนเดิม แต่ลูกค้าบางคนมาที่ร้านเพราะทราบข่าวการวิวาทของสองตระกูลใหญ่ แต่ถึงอย่างไรแม่ค้าก็ย่อมเป็นแม่ค้าอยู่วันยังค่ำ สองสาวตั้งใจกอบโกยกำไรให้คุ้มกับต้องเสียไปหลายตังในการปรับปรุงร้าน รถยนต์คันใหญ่สีดำแล่นเข้ามาจอดเทียบบริเวณหน้าร้าน ร่างกำยำในชุดสูทสีดำเดินเข้าเข้าร้าน ทุกคนที่ยืนเข้าแถวอยู่ด้านนอกถึงกับหลีกทางให้ชายแปลกหน้าแทบจะไม่ทัน กีรติถึงกับผวารีบไปหลบอยู่ข้างหลังกับเหมยลี่ รัตเกล้าที่กำลังยุ่งอยู่ที่หน้าเคาเตอร์เหลือบขึ้นไปมองนิดนึง เธอจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่เข้ามาเอาตัวมินจูไป แต่เพื่อความมั่นใจเธอจึงมุดลงไปข้างใต้เคาเตอร์แล้วกลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับคมแฝก
“นายเป็นใคร แล้วมีธุระอะไรที่นี่”เธอถามเสียงกระด้าง พร้อมกับกับพาดคมแฝกไว้ที่บ่าเหมือนข่มขวัญ
ทุกคนในร้านเงียบสนิทหันไปมองนักเลงสาวเป็นตาเดียวกัน บางคนกลัวว่าจะมีเรื่องก็ลุกขึ้นหนีออกจากร้านไป
“เอ้า!มีอะไรก็รีบๆพูดมา เห็นมั้ยลูกค้าฉันหนีกันหมดแล้ว”รัตเกล้ายังคงเอ่ยถามชายคนนั้นอย่างไม่เกรงกลัว
“ต้องขอโทษด้วย หากผมมารบกวน แต่ที่ผมมาในวันนี้เพราะผมจะมาขอบคุณและมีของเล็กๆน้อยๆจากนายหญิงจางมินจูมาให้”เฉินลองแจ้งจุดประสงค์พร้อมกับเอากระเป๋าใบเล็กที่ถือมาเปิดออกให้เธอดู
ในกระเป๋ามีธันบัตรปึกใหญ่อยู่สองปึก กีรติถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้เห็น เธอรีบตรงเข้าไปรับกระเป๋าแทนรัตเกล้าทันที
“นี่เป็นค่าเสียหาย และค่าทำขวัญของพวกเราสินะ ให้เสร็จแล้วก็รีบๆออกไปสิ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมด”กีรติออกปากไล่กอดกระเป๋าเงินแน่น
เฉินลองเหลือบไปมองรัตเกล้าด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไป เละเมื่อเมฆดำผ่านไปฟ้าก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ลูกค้าที่เหลืออยู่ต่างก็ให้ความสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาก และหนึ่งในนั้นก็รวมน้องปูด้วย
“ที่ว่า...ก็เป็นความจริงสิค่ะ พี่โรส เจ็เจีย”น้องปูที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างนอกถลาเข้ามาในร้าน
“ไปได้ยินอะไรมาอีกล่ะ”รัตเกล้าหันมาถาม
“ก็เขาบอกว่าร้านพี่ เป็นร้านที่อยู่ในความคุ้มครองของตระกูลจางไง”
“เฮ้อ...ข่าวลือนี่น่ากลัวจริงๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จบ!”รัตเกล้าตัดบทแล้วกลับเข้าไปประจำตำแหน่งที่เคาเตอร์ต่อ โดยไม่สนใจใบหน้าที่ผิดหวังของเด็กรุ่นน้อง
รัตเกล้าเก็บกวาดหน้าร้านพร้อมกับปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา เธอเหลือบไปมองเพื่อนสาวที่กำลังนั่งตรวจนับธนบัตรในกระเป๋าที่ได้มาจากผู้ชายคนนั้น เธอถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะกลับเข้าไปหลังเคาเตอร์เพื่อเก็บกวาด
“ยัยมินจูนี่ รวยของจริงวะ ดูสิ เงินที่เขาให้เรามาหักค่าเสียหายแล้วยังเหลือเป็นค่าทำขวัญพวกเราตั้งเยอะ”กีรติโพล่งออกมาขณะที่ยังเอานิ้วเกลี่ยธนบัตร
“แกก็รวย แล้วจะไปเอาของๆเขามาทำไมอีก”เธอแขวะ
“แต่ตอนนี้ฉันจน แล้วเงินที่เขาให้เรามามันก็สมควรแล้ว เพราะข้าวของๆเราเสียหาย แกก็น่าจะรู้นี่ว่าอยู่ที่นี่มันไม่ใช่บ้านเรานะ มันต้องกินต้องใช้ทุกอย่างเป็นเงินไปหมด แล้วเงินส่วนที่เหลือเนี่ย เราก็แบ่งกัน”กีรติส่งธนบัตรที่เหลือซึ่งเป็นส่วนของรัตเกล้าให้
“เหลือเยอะขนาดนี้เลยหรอ”เธอว่าเมื่อตรวจนับธนบัตรที่ได้มา
“นี่แหละนิสัยคนรวยล่ะ เยอะพอที่แกจะได้ใช้ไปอีกเดือน แถมมีเก็บส่งไปให้ที่บ้านอีก ไม่ดีหรอไง””
“ก็จริงของแก แต่ช่วงนี้พวกเราก็ต้องระวังตัวหน่อยนะ ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น ฉันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครมาจ้องมองยังไงก็ไม่รู้”
“ใคร!พวกนั้นหรอ”กีรติเริ่มรู้สึกกลัว
“ไม่รู้สิ แต่ฉันคงจะคิดมากไปเอง เรื่องบ้าๆมันจบลงไปแล้ว ก็คงไม่มีใครมายุ่งกับพวกเราอีกแล้วล่ะ”
“ก็ขอให้มันจริงอย่างที่แกพูดเถอะ ฉันจะได้ไม่ต้องนอนผวาอีก”กีรติจัดการเก็ยสมุดบัญชี และรวบรวมเงิรที่ได้จากการค้าขายในวันนี้ใส่กล่องนิรภัยเหมือนอย่างเคย
“ว่าแต่ว่า วันเกิดน้องปูจะเอายังไง น้องเค้ามาขยั่นขยอให้ไปงานอยู่นี่”
“เมื่อไหร่หรอ?”รัตเกล้าหันไปถาม
“อาทิตย์หน้า ฉันว่าพวกเราน่าจะไปเปิดหูเปิดตาด้วยนะ เพราะตั้งแต่แกมาที่นี่ พวกเรายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย”
“เอาสิ แล้วจะไปจัดกันที่ไหนล่ะ”
“รู้สึกว่าจะเป้นคลับเปิดใหม่นะ มีห้องคาราโอเกะแล้วก็มีห้องรวมเอาไว้แดนซ์ด้วย”กีรติว่า
“แต่ฉันไม่มีชุดใส่ เอาไงดี”
“ก็เงินค่าทำขวัญไง เอาไปช็อปเสื้อผ้ากันเถอะ เอางี้ ก่อนวันเกิดฉันจะปิดร้านพาแกไปเดินพาร์ค”
“เที่ยวได้ แต่อย่าแพงนะ ฉันไม่ชอบของแพง”
“เอาน่า นานๆที”กีรติหันไปบ่นเพื่อนขี้งก ก่อนที่จะขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับวาดแผนการช็อปปิ้งแสนสนุกในวันนี้จะมาถึงนี้
ความคิดเห็น